กัณหาตั้งใจไปเยี่ยมเจ้างูเขียวที่เรือนพยาบาล แต่กลับเจอแต่อำพันที่นั่น อำพันบอกว่าคนไข้ทั้งหมดอาการดีขึ้นแล้ว หล่อนจึงให้กลับไปพักที่บ้านพักของตน กัณหาจึงตามไปถึงถ้ำในบริเวณป่าซึ่งเป็นที่พักของเจ้างู เจ้างูเขียวกำลังนอนขดตัวอยู่ที่พื้นถ้ำเมื่อกัณหาไปถึง

“อาการท่านเป็นอย่างไรบ้าง” กัณหาถาม เมื่อเธอนั่งลงบนพื้นถ้ำข้างๆเจ้างู เธอเอาผลไม้จำนวนมากมาฝากเขาด้วย

“ดีขึ้นมาก” เจ้างูบอก ขยับยกหัวขึ้นมาสูงระดับเดียวกับศีรษะของเธอ “ข้าได้ยินวิธีการที่เจ้าจัดการพ่อฉิมนั่นละ ต้องขอบอกว่า ช่างเป็นวิธีที่อัศจรรย์ใจมาก”

กัณหายิ้ม

“ว่าแต่เจ้าเสกฝนเสกลมเป็นแล้วหรือ เรียนรู้ได้ไวมาก” เจ้างูดูประทับใจมาก

“ไม่หรอก ฉันแค่หักกิ่งไม้ได้ แต่เสกลมนั้น ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันเกิดขึ้นเอง” กัณหาตอบ

เจ้างูชะงักเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“เจ้าหมายความว่า เพราะตอนนั้นใจเจ้าเต็มแน่ไปด้วยอารมณ์เลยทำให้เกิดอาคมขึ้นมาหรือ”

“ก็น่าจะใช่” กัณหาตอบ “ตอนก่อนจะมาเรียนที่นี่ ฉันเคยโกรธจัดจนเสกไฟขึ้นมาเองได้”

เจ้างูดูไม่สบายใจ เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ให้ได้มากกว่านี้ ต้องหมั่นทำสมาธิทุกวัน ไม่เช่นนั้นอาคมที่เกิดขึ้นอาจจะทำลายเจ้าได้”

“แต่มันก็ทำให้ฉันเสกอาคมได้ใช่หรือ” อีกฝ่ายสงสัยว่าเขาจะกังวลทำไม

“อาคมที่เกิดจากการเอาอารมณ์มาขยายพลังงานจากจิต จะทำให้เกิดอาคมรุนแรงมาก บางทีรุนแรงจนแม้แต่ตัวเจ้าเองก็ไม่อาจควบคุมได้เลย” เจ้างูส่ายหน้าดูกังวลใจมาก “ปรากฏการณ์แบบนี้มักเกิดกับคนที่มีพื้นฐานอาคมสูง ช่วงแรกที่เริ่มฝึก ถ้ายังคุมอาคมและจิตของตนเองได้ไม่ดี เวลามีอารมณ์รุนแรงก็อาจจะทำให้เกิดอาคมที่คุมไม่ได้ขึ้นมาได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่ดีเลย เพราะอาคมที่ควบคุมไม่ได้ จะเกิดผลร้ายทั้งต่อตัวเจ้าของและคนรอบข้าง เช่นลมที่เจ้าสร้างขึ้น อาจกลายเป็นพายุร้ายคร่าชีวิตผู้อื่นได้”

“ถ้างั้นฉันควรทำอย่างไรละ ถึงจะควบคุมมันได้” 

“ก็ต้องฝึกสมาธิให้มากขึ้น ฝึกทุกคืนก่อนนอนเลยยิ่งดี และที่สำคัญต้องฝึกอาคมต่อจนกว่าจะควบคุมอาคมของตนเองได้” เจ้างูบอกทันที 

“ฉันก็อยากจะฝึกนะ แต่ถ้ามัวแต่ฝึก ฉันก็จะไม่ได้ออกเดินทางเสียที การเดินทางก็จะยิ่งล่าช้าไปอีก” กัณหาทำท่าปรามเจ้างูก่อนเขาจะเอ่ยปากห้ามเธออีก “ถ้าฉันมัวแต่ชักช้า พวกเขาอาจจะเผาร่างของแม่นมไปเสียก่อน แล้วการเดินทางที่ผ่านมาทั้งหมดของฉันก็สูญเปล่า ฉันอยากให้ท่านเข้าใจความจำเป็นของฉันด้วย”

“อืมม ข้าก็เข้าใจเหตุผลของเจ้าอยู่” เจ้างูเอาหางเกาหัวอย่างครุ่นคิด “ถ้าเช่นนั้น เจ้าต้องฝึกสมาธิให้มากๆ ฝึกปล่อยวางอารมณ์ทุกคืนก่อนนอน เมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์โมโหมาก โกรธมาก เสียใจมาก เริ่มคุมไม่ได้ ต้องรีบตั้งจิตเพื่อหยุดอารมณ์นั้นทันที เมื่อเจ้าคุมอาคมของตนไม่ได้ เจ้าก็ต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้ การควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบนิ่ง จะเป็นภูมิคุ้มกัน ไม่ให้อาคมที่ควบคุมไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะทำได้ ดูพื้นฐานนิสัยเจ้าแล้วบ่งบอกว่าได้รับการฝึกสอนเรื่องนี้มา ถ้าหมั่นทำสมาธิทุกวันน่าจะช่วยให้ควบคุมจิตใจได้ง่ายขึ้น”

“ฉันจะพยายามจ้ะ” กัณหารับคำ

“แล้วเจ้ามานี่ นอกจากจะเอาข้าวของมาเยี่ยมข้าแล้ว ต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือเปล่า” เจ้างูถามต่อ

“ท่านพูดราวกับอ่านใจฉันได้” กัณหายิ้มกว้าง “คือฉันอยากจะสอบถามท่านถึงเรื่องการเดินทางไปเกาะสุลาวารีนะ ว่าจะไปได้อย่างไร”

“อืมม เท่าที่ข้ารู้คือ เรือที่จะไปเกาะสุลาวารีได้ เห็นว่าต้องไปขึ้นที่ท่าเรือที่เมืองศรีวิชัยนะ” เจ้างูใบตองชี้ไปที่แผนที่แปะไว้ที่ผนังถ้ำด้านหนึ่ง “น่าจะมีที่เดียว เท่าที่ข้ารู้”

“เมืองศรีวิชัย” กัณหาทวนคำ “เมืองทางใต้” 

“ใช่ อยู่ทางใต้ลงไปอีก พ่อช่วงก็รู้เส้นทางนะ ให้เขานำไป” เจ้างูพยักหน้า เอาหางชี้ไล่ไปตามแผนที่ “แล้วก็..”

เจ้างูเอาหางหยิบสร้อยเส้นเล็กๆเส้นหนึ่ง ที่มีอัญมณีสีฟ้ารูปหยดน้ำอยู่ที่ปลายสร้อยส่งให้กัณหา

“นี่คือ…” กัณหารับมาถือไว้ในมืออย่างประหลาดใจ

“สร้อยเส้นนี้ จะช่วยเจ้าได้ในหลายเรื่อง” เจ้างูกระซิบ “เมื่อมีภัยอันตรายเข้ามาใกล้มันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและร้อนขึ้นทันที ข้ายกมันให้เจ้า หวังว่ามันจะช่วยนำทางเจ้าในวันที่มืดมิดที่สุดของเจ้า จงเก็บมันไว้ให้ดี ถือเป็นของตอบแทนที่เจ้าช่วยเราจับฉิมไว้ได้ และช่วยให้ข้าได้รับการรักษาได้ทันท่วงที” 

“นั่นเป็นฝีมือท่านอาจารย์ต่างหาก” กัณหาเถียง เจ้างูใบตองหัวเราะ

“ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้าให้เจ้าแล้วกัน จงเก็บมันไว้ให้ดี” 

 

 

กัณหาเดินขึ้นมาบนเขาริมอ่าวอีกครั้งเพื่อร่ำลาท่านอาจารย์ก่อนจะออกเดินทาง ท่านอาจารย์นั่งรอเธอในถ้ำเหมือนทุกครา 

“ข้าขออวยชัยให้พร ให้เจ้าเดินทางโดยปลอดภัย และได้พบน้ำอมฤตสมประสงค์” ท่านอาจารย์บอก 

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” กัณหารับคำ 

“ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้เรียนอาคมต่อ แต่จงหมั่นฝึกอาคมเดิมที่เจ้าเคยฝึก แล้วเอาไปใช้บ่อยๆ จะได้ไม่ลืม การฝึกฝนที่สม่ำเสมอจะทำให้เจ้าชำนาญในการควบคุมอาคมของตนเอง และที่สำคัญต้องหมั่นฝึกสมาธิทุกคืนก่อนนอน ปล่อยวางอารมณ์ทุกอย่างให้หมด การฝึกสมาธิจะทำให้เจ้าก้าวหน้าในการควบคุมอาคมของตนได้”

“เจ้าค่ะ” กัณหารับคำ

“อ้อแล้วอีกอย่าง ข้ามีเรื่องจะขอรบกวนเจ้าเรื่องหนึ่ง” ท่านอาจารย์เอ่ยขึ้น

“เรื่องอันใดหรือเจ้าค่ะ”

ท่านอาจารย์ยกกระถางต้นไม้สีทองอันหนึ่งที่ภายในมีต้นไม้ที่มีลำต้นสีทองสุกปลั่ง และใบของมันเป็นสีเขียวดูคล้ายทำจากหยก

“นี่คือ…”

“ต้นหยกมังกร” ท่านอาจารย์บอก “เป็นของขวัญที่ข้าตั้งใจทำให้เพื่อนของข้าที่อยู่ที่เมืองเถียนอัน เจ้าจะว่าอะไรไหม ถ้าข้าจะรบกวนให้เจ้าช่วยเอามันไปให้เขา”

“เมืองเถียนอัน” กัณหาทวนคำ “อยู่ที่ใดหรือเจ้าค่ะ”

“เจ้าช่วงพอรู้จัก ให้เจ้าช่วงพาไปเถิด” ท่านอาจารย์ตอบ “สหายของข้าชื่อจางหมิ่น เป็นอาจารย์สอนอาคมในเมืองเถียนอัน ข้าเป็นหนี้บุญคุณเขาหลายอย่าง ต้องการนำต้นนี้ไปให้เขาด้วยตนเอง แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียสักที ข้าจึงได้แต่หวังว่าเจ้าจะนำต้นหยกมังกรนี้ไปให้เขาได้หรือไม่”

“เจ้าค่ะ อิฉันจะนำมันไปถึงมือท่านอาจารย์จางหมิ่นให้ได้”

“ที่สำคัญ เจ้าต้องเป็นคนนำมันไปให้เขา ให้ถึงมือเขาด้วยตัวเจ้าเองเท่านั้นด้วย เจ้าทำได้หรือไม่” ท่านอาจารย์เน้น

“เจ้าค่ะ” กัณหานึกแปลกใจแต่ก็รับคำ

 

 

 

กัณหา ช่วง แหวนและนกการเวกออกมาขึ้นรถม้าที่ลานเทียบรถม้า โดยมีนางนิ่ม เที่ยง อำพัน ทับและลูกศิษย์คนอื่นๆของท่านอาจารย์แวะมาส่ง กัณหาสังเกตเห็นว่าแหวนตาแดงๆ เธอสงสัยว่าเมื่อคืนแหวนคงต้องร้องไห้ทั้งคืน เพราะโกรธที่นางนิ่มไม่ยอมไปด้วยเป็นแน่

“โชคดีในการเดินทางนะเจ้าค่ะ” นางนิ่มอวยพร “ช่วยดูแลคุณหนูด้วยละนางแหวน อย่าหาแต่เรื่องมาให้ท่านอย่างเดียว และที่สำคัญจำคำแม่ให้ดี อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคนเป็นอันขาด” 

แหวนพยักหน้ารับคำ แต่ไม่พูดว่าอะไร เห็นได้ชัดว่ายังงอนนางนิ่มอยู่

“ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ” อำพันยิ้มให้กัณหา “และดูแลตัวเองดีๆด้วย”

“จ้ะ ขอให้ท่านดูแลตัวเองเช่นกัน” กัณหาตอบ “เสียดายไม่ได้เจอท่านใบตองกับผีพรายเลย ไม่ได้มีโอกาสบอกลา”

“เดี๋ยวข้าจะไปบอกให้เอง” อำพันบอกทันที “แล้วก็ขอบใจมากนะ สำหรับทุกสิ่งเจ้าทำมาตลอดเวลาที่ทำงานในเรือนพยาบาล ข้าขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัย และได้พบสิ่งที่เจ้าปรารถนาในเร็ววัน เมื่อใดเจ้าว่างก็แวะมาเยี่ยมหมู่บ้านเขาริมอ่าวบ้างนะ” 

“หูยยยย” ทับล้อทันที “เจ้าโชคดีมากนะ กัณหา เจ้าเป็นคนแรกเลยนะที่นางชวนให้แวะมาที่นี่อีก”

กัณหายิ้ม อำพันหันมามองทับเขม็ง ก่อนหันไปหาช่วงแล้วพูดว่า “ดูแลเด็กๆดีๆละพ่อช่วง อย่าไปเป็นภาระเขาเสียเอง”

“ท่านก็พูดเกินไป” ช่วงส่ายหน้า อำพันกับทับยิ้มให้กัน

“มารอบนี้ข้ากับเอ็งยังไม่ทันได้ฉลองกันเลย ไว้รอบหน้าแล้วกัน” ทับตบไหล่ช่วงแรงๆทีหนึ่ง จนอีกฝ่ายเข่าทรุด

“แน่นอน” ช่วงบอกปัดมือทับออก แล้วหันมาบอกกัณหากับแหวน “รีบขึ้นรถม้าเถิด”

แหวนเดินเข้าไปกอดนางนิ่ม แล้วก็รีบออกมาขึ้นรถมาเลย กัณหาและช่วงลาทุกคนก่อนกลับขึ้นรถม้าตามแหวน

“พร้อมรึยัง” ช่วงเจาะจงถามแหวนเป็นพิเศษ

“พร้อมนานแล้ว รีบไปสิ ไม่ต้องถามมาก” แหวนหงุดหงิดและไม่ยอมมองหน้าช่วงเลย เจ้านกการเวกแอบอมยิ้ม

แล้วรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนออกไป

 

 

 

เมืองศรีวิชัยเป็นเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของกรุงศรีอยุธยา ตอนเล็กๆกัณหาเคยได้ยินแม่นมเล่าให้ฟังว่า ชาวศรีวิชัยเป็นกลุ่มชนที่มีความรู้ความสามารถในการเดินเรือมาก สามารถเดินเรือออกทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลไปค้าขายในดินแดนที่ห่างไกล จึงเป็นเหตุผลให้ชาวศรีวิชัยร่ำรวยและมั่งคั่ง มีบ้านเมืองประดับประดาไปด้วยลูกปัดและทองคำ มีสินค้าจากทุกที่ในโลกนี้มาขายที่เมืองศรีวิชัย กัณหานึกตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเห็นเมืองศรีวิชัยเป็นครั้งแรก เธอตั้งใจว่าจะจดจำรายละเอียดของเมืองนี้ไว้ให้ดี เผื่อแม่นมฟื้นมาเมื่อไหร่ เธอจะได้เล่าให้ท่านฟัง

รถม้าของพวกเขามาถึงเมืองศรีวิชัยในตอนบ่ายแก่ๆในวันหนึ่ง รถม้ามาจอดที่บริเวณท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองศรีวิชัย ช่วงลงไปก่อน กัณหาและแหวนตามลงไป โดยมีเจ้านกน้อยบินตามมาติดๆ

“นี่มันท่าเรือหรือป่าช้า” แหวนว่า มองไปรอบๆท่าเรือที่ทำจากไม้สักที่ตอนนี้แตกหัก ไม้บางชิ้นหลุดลุ่ย มีเศษไม้ลอยเกลื่อนเต็มท่า ราวกับว่าท่าเรือแห่งนี้เพิ่งผ่านพ้นพายุมาในเร็วๆนี้ บนท่าเรือเงียบกริบไม่มีคนแม้แต่คนเดียว มีเพียงเรือจอดเรียงรายไว้ด้านข้างของท่าเรือ สภาพเรือที่จอดเรียงรายนั้นก็ดูไม่ต่างจากท่าเรือนัก ชิ้นส่วนของเรือหลุดออกจากตัวเรือ เสาเรือเอียงโย้ เรือถูกปล่อยลอยโคลงเคลงตามยถากรรม “ตลาดน้ำบ้านข้ายังมีคนมากกว่าท่าเรือนี้เลย”

“เกิดอะไรขึ้นที่หรือ” เจ้านกน้อยร้องเสียงหลง บินวนไปมา

“อาจมีพายุเข้า” กัณหาเริ่มหนักใจ เมื่อเห็นสภาพชิ้นส่วนเรือและท่าเรือที่ดูกระจัดกระจาย

“ฟ้าใสไร้เมฆขนาดนี้หรือ คุณหนู” แหวนเลิกคิ้ว “ระหว่างทางที่เรามาก็ไม่มีฝนหรือลมเลยสักนิด ข้าว่าโดยข้าศึกโจมตีเสียละกระมั้ง”

“ไม่ใช่พวกข้าศึกศัตรูหรอก” กัณหามั่นใจ “พวกข้าศึกไม่มีทางทำลายท่าเรือได้ขนาดนี้”

ช่วงเดินไปรอบๆท่าเรือแล้ววิ่งกลับมาหาพวกเขา

“เกิดอะไรขึ้น ท่านเจอใครไหม” 

“ไม่เลย” ช่วงส่ายหน้า “แต่ยังไงวันนี้ก็บ่ายแก่แล้ว ข้าว่าเราเข้าไปในตัวเมืองหาที่พักกันก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าค่อยมาที่ท่าเรืออีกที”

“แล้วถ้าเข้าไปในเมืองเจอสภาพแบบนี้ละ” แหวนย้อนทันที “ข้าว่าไปข้ามเมืองอื่นไม่ดีกว่ารึ”

“เมืองนี้เป็นเมืองหลักในการเดินเรือ ถ้าจะไปอีกเมืองต้องนั่งรถไปอีกเป็นสัปดาห์ทีเดียว” ช่วงตอบแหวนอย่างหมั่นไส้เต็มประดา แหวนแอบแลบลิ้นใส่เขา “เอ็งไม่รู้กระไรอย่าพูดมาก”

“งั้นเราเข้าไปดูลาดเลาก่อน ถ้าสภาพในเมืองไม่แย่มาก เราก็พักที่เมืองนี้ก่อน แล้วค่อยถามเขาเรื่องท่าเรืออีกทีไหม” กัณหารีบเสนอก่อนจะมีสงครามตามมา 

รถม้าของพวกเขาค่อยๆเดินไปตามทางเข้าเมืองที่เงียบสงัดราวกับว่าไม่มีผู้คนอาศัยในย่านนี้เลย ตามถนนหนทางที่ไปสู่เมืองแทบไม่มีผู้คนสัญจร ไม่มีร้านค้าเปิดขายข้างของ ไม่มีทหารเดินผ่านไปมาอย่างที่ควรจะเป็น แต่อย่างน้อยสองข้างทางที่พวกเขาผ่านก็ไม่ได้ดูราบเป็นหน้ากลองเหมือนท่าเรือ เบื้องหน้าพวกเขามีประตูเมืองที่สูงใหญ่ที่ถูกปิดไว้

“เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่” กัณหามองไปนอกรถม้าอย่างไม่สบายใจ “ถึงขั้นต้องปิดประตูเมืองเลยหรือ”

“หรือกำลังจะมีสงคราม” ช่วงตั้งข้อสังเกต “แต่ถ้ามีสงครามจริง เราเข้ามาใกล้ประตูเมืองขนาดนี้ ควรจะมีทหารออกมาจับหรือมีการต่อต้านเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งบ้างนะ”

“หรือคนที่นี่อพยพไปหมดแล้ว” แหวนเสนอขึ้นมาบ้าง  

รถม้าของพวกเขาเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูเมือง ช่วงลงจากรถม้า ไปสั่นกระดิ่งเล็กๆที่แขวนไว้ที่หน้าประตูเมือง เขาสั่นอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิกิริยาใดๆ แหวนกระโดดลงจากรถม้า แล้วเดินตรงไปที่ประตูเมืองแล้วกระโดดถีบประตูเสียงดังลั่น จนช่วงหันมามอง

“จะบ้าเรอะ”

“มีใครอยู่ไหม” แหวนตะโกนเสียงดัง กัณหาลงจากรถม้ามาช่วยตะโกนด้วยอีกคน

มีเสียงครืดคราดอยู่หลังประตู ดูเหมือนมีคนกำลังพยายามเปิดประตู พวกเขาจึงหยุดตะโกนและถอยออกจากประตู สักพักประตูเมืองแง้มออกเพียงเล็กน้อย มีลูกตาคู่หนึ่งมองไปมองมาจากรอยแง้มของประตู

“พวกเจ้าเป็นใคร” เจ้าของลูกตาคู่นั้นถาม 

“เรามาจากอยุธยา จะมาขึ้นเรือไปเกาะสุลาวารี” ช่วงบอก “แต่พอมาถึงท่าเรือเราพบว่าไม่มีใครอยู่เลย จึงจะขอเข้าเมืองไปหาที่พักก่อน”

“ชาวอยุธยารึ” เจ้าของลูกตาคู่นั้นเพ่งมองพวกเขา ดูชั่งใจสักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “มาเสียเย็นเชียว รีบเข้ามา”

ประตูเมืองเปิดแง้มพอให้คนผ่านเข้าไปเท่านั้นเอง แล้วพวกเขาก็เห็นว่าคนที่คุยกับพวกเขาเป็นนายทหารร่างสูงใหญ่ท่าทางหวาดระแวงมาก เขาแต่งกายคล้ายๆกับชาววังมุก คือใส่เสื้อผ้ากางเกงขายาวเป็นสีขาว มีผ้าพันเอวและต้นขาด้านนอกอีกหนึ่งชั้น 

“เรามีรถม้ามาด้วย จะขอเอาเข้ามาด้วยได้ไหม” ช่วงเจรจาต่อ

“รถม้าด้วยรึ” เขาดูวิตกกังวล มองไปรอบพวกเขาอีกครั้งแล้วก็พยักหน้า “เร็วๆ เอาเข้ามา” 

เขารีบพยักพเยิดให้คนช่วยกันเปิดประตูเมือง ให้กว้างขึ้นอีกให้พวกเขาเอารถม้าเข้ามา ทันทีที่รถม้าของพวกเขาผ่านประตูเข้ามา นายทหารหลายคนที่อยู่หลังประตูนั่นก็รีบปิดประตูทันที 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” แหวนว่า ท่าทีที่หวาดระแวงของทหารเล่านี้ดูพิกลเสียจริง

บริเวณที่หลังกำแพงเมืองมีทหารเดินไปมาหลายคน ทุกคนถืออาวุธครบมือ แต่เลยจากกำแพงเมืองเข้าไป ถนนหนทางในเมืองศรีวิชัยนั้นเงียบสงบไม่ต่างจากนอกเมือง

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ ใต้เท้า” แหวนถามทหารคนที่สั่งให้เปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา ระหว่างนั้นนายทหารหลายคนกำลังเอาโซ่และไม้จำนวนมากไปปิดทับด้านหลังประตูเมือง

“เรื่องมันยาว และนี่จวนค่ำแล้ว พวกเจ้ารีบไปหาที่พักเสียเถิด ค่ำแล้วแถวนี้ไม่ปลอดภัย” นายทหารคนนั้นบอกแล้วโบกมือไล่พวกเขาให้เข้าไปในเมือง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” แหวนถามคำเดิม 

“เราไปหาที่พักก่อนแล้วกัน” ช่วงตัดบท  “ที่เมืองทางฝั่งตะวันออกมีโรงแรมใหญ่เป็นที่พักสำหรับนักเดินทางที่มาค้าขายที่นี่ เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงมาก ข้าเคยมาพักบ่อยๆเวลาแวะมาที่เมืองนี้ เราไปดูกัน” 

พวกเขากลับขึ้นรถม้าและนั่งไปจนถึงบริเวณโรงแรมที่ช่วงบอก สภาพบ้านเมืองระหว่างทางนั้นเงียบกริบ มีผู้คนเดินตามทางที่รถม้าของพวกเขาผ่านอยู่บ้างแต่ไม่มาก ทุกคนดูรีบเร่งไปยังจุดหมาย ไม่มีการแวะพูดจาทักทายกันเลย ตามข้างทางไม่มีการค้าขายระหว่างทางให้เห็น และเมื่อพวกเขามาถึงบริเวณโรงแรมใหญ่ที่ช่วงว่า สภาพหน้าโรงแรมก็ไม่ต่างกัน คือ ประตูหน้าโรงแรมปิดสนิท ไม่มีผู้ผ่านไปมาเลย

“เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงมาก” แหวนลากเสียงยาวแบบประชดประชัน

ด้านหน้าโรงแรมนี้เป็นเรือนยาวสูงสองชั้นดูภายนอกก็คล้ายเรือนพยาบาลที่เขาริมอ่าว ด้านหน้าโรงแรมตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีสวยงาม

“มีใครอยู่ไหม” ช่วงตะโกน รัวเคาะประตูไปด้วย แล้วสักพักประตูก็เปิดทันที มีชายชราไว้หนวดยาวแต่งตัวคล้ายๆชาววังมุกออกมาต้อนรับ “พวกข้าเดินทางมาจากอยุธยา จะมาขอพักที่นี่สักคืน”

“เชิญเลย เชิญเลย นายท่าน” ชายชราบอก แล้วผายมือเข้าไปในตัวอาคาร “เรามีที่พักว่างมากมาย เชิญเลย ส่วนข้าวของประเดี๋ยวข้าจะให้เด็กมาช่วยขนให้ อยู่ในรถม้าทั้งหมดนั่นใช่หรือไม่”

“ไม่เป็นไร เรามาพักแค่คืนเดียว คงไม่เอาข้าวของย้ายขึ้นไปหมดหรอก” ช่วงปฏิเสธชายคนนั้น “เราจะเอาเฉพาะบางอย่างขึ้นไป ว่าแต่ท่านมีโรงเก็บรถม้า หรือคอกม้าบ้างหรือไม่”

“อยู่ด้านข้างนายท่าน”​ เขาชี้มือไป แล้วหันไปเรียกใครอีกคนในร้าน “มูดา ไปช่วยนำทางให้แขกหน่อย” 

เด็กชายวัยรุ่นตัวผอมบางผิวคล้ำวิ่งมาทางพวกเขา ก่อนผายมือไปด้านข้างของโรงแรม “เชิญทางนี้ขอรับ” 

 

หลังจากจัดการกับรถม้าแล้ว พวกเขาเข้าไปในเรือนไม้สองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องกว้างๆ มีโต๊ะไม้และเก้าอี้หลายตัววางกระจายกันทั้งห้อง แต่แทบไม่มีคนเลย มีเพียงชายคนหนึ่งนั่งที่โต๊ะตัวเล็กๆที่มุมห้องเพียงคนเดียว ชายแก่เจ้าของร้านเชิญพวกเขามานั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง

“รับอะไรดีขอรับ”

“มีอะไรกินบ้างเอามาเลย ชุดหนึ่ง” ช่วงตอบทันที “ว่าแต่เมืองนี้มันเกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมถึงได้เงียบเหงาถึงเพียงนี้ เมืองเงียบดังเมืองร้างก็ไม่ปาน”

ชายชราเจ้าของร้านได้แต่ถอนใจ

“ก็ช่วงนี้มีปีศาจออกอาละวาดนะขอรับ” ชายแก่ผู้ด้วยเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ ระหว่างนั้นเขามองไปรอบๆร้านอย่างระแวดระวัง “ปีศาจร้ายออกมาล่มเรือและหลอกหลอนผู้คนจนไม่เป็นอันทำมาหากิน ตอนนี้ผู้คนต่างหวาดกลัวกันไปหมด หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้านนะขอรับ”

“ปีศาจรึ” แหวนทวนคำ “หน้าตาเป็นเช่นไรหรือ”

ชายชราเจ้าของร้านตัวสั่น

“อย่าให้กระผมพูดมากเลยขอรับกลัวมันจะมาหักคอเอา” เขาเสียงสั่น “รอสักประเดี๋ยวนะขอรับ กระผมจะให้คนเอาอาหารมาให้” ว่าเสร็จเขาก็รีบจากไป

“ปีศาจอะไรกัน ถึงขั้นต้องกลัวจนไม่เป็นอันทำงาน” กัณหามองไปรอบๆร้านที่เงียบสงบ 

“กัณหา!!!” เสียงอุทานดังขึ้น กัณหาและอีกสองคนหันไปมองเจ้าของเสียง