“พวกเจ้าออกมาได้แล้ว” ชายที่มาพร้อมเฉิงอี้ตะโกนเสียงดังไปทั่วอาคาร “ศิษย์พี่มาเจรจากับพวกเจ้าแล้ว อยากได้อะไรก็บอกมา เจรจากันให้จบในวันนี้ก่อนที่พวกเจ้าจะไม่มีเงาหัว” หลังพูดจบก็พากันหัวเราะเสียงดัง เสียงของพวกเขาก้องสะท้อนไปทั่วบ้านร้าง

“รีบไปแจ้งซิงอีเลย ทางนี้ใกล้เริ่มการแสดงแล้ว” กัณหากระซิบบอกจี้ด นกน้อยพยักหน้ารับก่อนโผบินออกทางหน้าต่างที่เปิดไว้ออกไปสู่ความมืดมิดยามราตรี หลังจากเจ้านกน้อยบินออกไปสักพัก กัณหาก็เริ่มตั้งจิตเพื่อเสกอาคมที่ซุ่มฝึกซ้อมมานาน

หมอหยูเดินออกจากที่ซ่อนไปสู่บริเวณกลางโรงเตี๊ยม เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณชั้นล่างของโรงเตี๊ยมที่เงียบสงบ

“ไม่ได้เจอกันนานนะ เฉิงอี้” หมอหยูพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เฉิงอี้หันมามอง เมื่อเห็นหมอหยูเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้วสักพักก็กลับมายิ้ม ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยท่าทีเย้ยหยัน

“ท่านนั้นเอง มาทำอะไรที่นี่ล่ะ ศิษย์พี่” เขาถามมองไปรอบๆ เพื่อหาผู้ที่เขาต้องการพบ “ท่านอาจารย์ไม่ให้ท่านมาเหยียบที่เมืองเถียนอันอีกไม่ใช่รึ หรือว่าท่านไม่สนใจ คิดจะฝ่าฝืนคำสั่งของท่านอาจารย์เสียแล้ว”

“ไม่ต้องมองหาสามคนนั้นหรอก ข้าจัดการไปแล้ว” หมอหยูตัดบทพูดของเฉิงอี้อย่างไม่ใส่ใจ “ของที่เจ้าต้องการอยู่นี่” เขายกมือข้างขวาขึ้น เผยให้เห็นต้นหยกมังกรขนาดย่อส่วนที่กำอยู่ในมือ

เฉิงอี้ชะงัก มองมาที่หมอหยูด้วยดวงตาวาวโรจน์

“ดูเหมือนท่านจะหาเรื่องเข้าไปวุ่นวายได้ทุกเรื่องนะ ศิษย์พี่” เฉิงอี้ยิ้มเหยาะๆ “ของนั่นเป็นของขวัญจากอาจารย์แห่งเสียนหลัวต้องการมอบให้ท่านอาจารย์ ท่านควรจะคืนมันให้ข้าเดี๋ยวนี้ ก่อนที่คนอื่นๆ จะรู้ว่าท่านถือโอกาสมาขโมยมันไป ไม่เช่นนั้นท่านคงได้แตกหักกับศิษย์อื่นๆ ในสำนักเป็นแน่ คงไม่อยากจะรับมือกับศิษย์ทุกคนของสำนักโม่ฝ่าช่านใช่ไหม”

“ของขวัญจากอาจารย์แห่งเสียนหลัว” น้ำเสียงหมอหยูเต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างที่กัณหาไม่เคยได้ยินมาก่อน “ต้นหยกมังกรมีมากมายในแคว้นยูนแห่งนี้ จะหาซื้อที่ไหนก็ไม่ยาก แค่ของขวัญชิ้นเดียว คงไม่ทำให้ศิษย์เอกแห่งสำนักโม่ฝ่าช่านต้องกระวีกระวาดรีบออกมาจากงานเลี้ยงฉลองการก่อตั้งสำนักหรอก ข้าว่า”

หมอหยูสั่นต้นหยกมังกรที่ย่อส่วนราวกับรอฟังว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่ภายใน เฉิงอี้สีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย

“คืนมันมาให้ข้าได้แล้ว” เขาตัดบท น้ำเสียงฟังดูเริ่มหงุดหงิด “คืนนี้ข้าไม่มีเวลาจะมาเล่นกับท่านหรอกนะ”

“ข้าชอบต้นหยกมังกรต้นนี้” หมอหยูเอ่ยขึ้น “ข้าขอต้นนี้แล้วกัน ข้าไปหาซื้อต้นใหม่มาคืนให้ท่านอาจารย์แล้ว” หมอหยูชี้ไปที่ต้นหยกมังกรต้นใหญ่ที่วางไว้ไม่ห่างจากตรงที่เขายืนมากนัก “ท่านอาจารย์คงไม่ว่าอะไรหรอก ท่านไม่สนใจสมบัติพวกนี้อยู่แล้ว”

“นี่ท่าน” เฉิงอี้ตวาดชายสองคนที่มาด้วยพากันลอบชำเลืองมองกันดูเหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอะไร เฉิงอี้ทำท่าสงบสติอารมณ์สักพักก่อนกลับมาปั้นหน้ายิ้มอีกรอบ และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบลงกว่าเดิมว่า “เดี๋ยวนี้ท่านฉลาดไวขึ้นนะ คงรู้สิว่ามีอะไรอยู่ในต้นหยกมังกรต้นนี้เลยคิดจะมาขโมยต้นหยกมังกรไปใช่ไหม ท่านนี่ทำผิดแล้วไม่รู้จักสำนึกนะ ศิษย์พี่”

“ไม่สำนึกงั้นหรือ” หมอหยูหัวเราะเสียงดังที่ฟังดูเหมือนเสแสร้ง “เจ้าช่างเล่นละครเก่งเสียจริงนะ ศิษย์น้องของข้า แต่ที่นี่เจ้าไม่จำเป็นต้องมาเล่นละครหรอก เพราะตอนนี้ข้ารู้ดีแล้วว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร ต่อหน้าก็ตีหน้าซื่อทำเหมือนปกป้องรักษาสมบัติของสำนัก เมื่อสบโอกาสก็หาทางขโมยมันออกมา แล้วก็แต่งเรื่องเพื่อยัดเหยียดความผิดของตนให้ผู้อื่นเหมือนคราวที่หลอกใช้ข้ากับศิษย์พี่ไปขโมยคัมภีร์ต้าจินหลงแทนเจ้า”

เฉิงอี้หัวเราะดังลั่น แววตาเป็นประกายอย่างพออกพอใจ

“ก็ลงเอยว่าจะเชื่อใครดี ระหว่างเฉิงอี้ลูกศิษย์แสนซื่อ อ่อนน้อมถ่อมตน รับใช้อาจารย์อย่างซื่อบริสุทธิ์ ไม่มีปากเสียง หรือศิษย์ช่างหาเรื่องอย่างพวกท่านสองคน หาเรื่องมาให้ท่านอาจารย์ไม่เว้นวัน” เฉิงอี้แกล้งทำเสียงถอดถอนใจ “ท่านอาจารย์ก็คงเลือกได้ไม่ยาก นึกไปก็น่าขัน ข้าไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าแผนการของข้าจะเป็นไปด้วยดีขนาดนี้ ท่านอาจารย์เชื่อข้าสนิทใจ แต่ก็ยังอุตส่าห์เมตตาไม่ถือสาเอาความ ลงโทษแค่ขับท่านออกจากสำนัก ท่านควรจะดีใจนะที่ท่านอาจารย์ลงโทษแค่นั้น”

“ลงโทษแค่นั้นหรือ” หมอหยูทวนคำ “ใช่ กายข้าไม่เจ็บปวดอันใด แต่ใจของข้าเจ็บปวดแทบร้าวรานที่เชื่อคนปลิ้นปล้อนเช่นเจ้า”

“ข้ารึปลิ้นปล้อน” เฉิงอี้หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิม “คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด คนโง่ใช้แต่กำลังอย่างพวกท่านก็คงต้องพ่ายแพ้แก่สติปัญญาของข้า ศิษย์พี่ ท่านบอกให้ท่านไปขโมย ท่านก็ไปขโมย ช่างเชื่อคนง่ายเสียจริง เอาเถอะ เห็นแก่ที่ท่านพยายามจะขโมยคัมภีร์มาให้ข้า หากท่านเอาต้นหยกมังกรต้นนั้นคืนให้ข้าเสีย ข้าจะปล่อยท่านไปเงียบๆ แต่ถ้าหากชักช้า ข้าเกรงว่าท่านอาจจะมีข้อหาใหม่เพิ่มให้นะ ท่านก็เห็นนิว่าคนในสำนักโม่ฝ่าช่านเชื่อข้ามากแค่ไหน”

“เจ้ามันเป็นคนที่มีแผนการ มีอุบายแยบคายตลอดนะ ศิษย์น้องข้า” หมอหยูหัวเราะในลำคอที่ฟังเหมือนเสียงคำรามมากกว่า “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่า เจ้าเขียนจดหมายไปหลอกอาจารย์แห่งเขาริมอ่าว อ้างว่าอาจารย์ต้องการทวงคืนคัมภีร์ต้าจินหลง คะยั้นคะยอให้อาจารย์แห่งเขาริมอ่าวส่งมา พอมาถึงที่นี่ก็ลอบให้คนมาขโมยมันออกไป เพื่อจะได้เก็บไว้ศึกษาเอง เสียก็แต่ว่าเจ้าสามคนนี้มันเล่นไม่ซื่อเสียหน่อยเจ้าก็เลยต้องวุ่นวายตามหามันเสียให้ทั่วสินะ”

“ฉลาดนี่” เฉิงอี้หัวเราะเสียงดัง รอยยิ้มเหยาะปรากฏกว้างบนใบหน้า “ช่วงนี้ท่านดูฉลาดขึ้นนะ เริ่มตามทันข้าบ้างละสิ ท่านก็รู้นิสัยข้าดีนิว่า ถ้าข้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ และคนที่มันเข้ามาขวางทางข้า คงรู้นะว่าจะต้องเจอกับอะไร” เขาแสยะยิ้มย่างเหี้ยมเกรียม “หากไม่อยากถูกตามล่าแทบพลิกแผ่นดินเหมือนเจ้าสามคนนั้น ก็รีบคืนคัมภีร์นั่นให้ข้าได้แล้ว ข้าชักจะหมดความอดทนแล้วนะ”

หมอหยูกำต้นหยกมังกรในมือไว้แน่น เฉิงอี้ดูระแวดระวังเห็นได้ชัดว่ากำลังชั่งใจว่าจะตรงดิ่งเข้าไปต่อสู้กับหมอหยูดีหรือไม่

“เห็นได้ชัดว่าท่านยังคงการข่าวดีเหมือนเดิมทั้งที่ออกจากสำนักไปแล้ว แต่ก็ยังรู้เรื่องภายในสำนัก ข้าชักอยากรู้แล้วสิ ว่าใครไปให้ข่าวท่านนะ ใช่ซิงอีหรือเปล่า ข้าได้ยินว่านางแอบออกไปหาท่านนิ ไม่รู้ไปสุมหัวกันพยายามขโมยต้นหยกมังกรหรือเปล่า เห็นทีข้าต้องแจ้งท่านอาจารย์” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ “ท่านจะได้มีเพื่อนเพิ่มดีไหมล่ะ ศิษย์พี่”

“ทำไม เจ้าจะหาทางขับไล่นางเหมือนที่ขับไล่ข้ารึ เฉิงอี้” หมอหยูพูดทันที นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “เจ้าคงจะกลับไปแจ้งข่าวว่านางทรยศสำนัก คาบข่าวมาบอกข้า เพื่อให้คนในสำนักไล่นางออกสินะ เจ้านี่มันชั่วจริงๆ เสียแต่ว่าซิงอีนางเป็นคนฉลาดมากกว่าข้ามาก นางรู้ทันเจ้าตลอดเวลา นางรู้ว่าเจ้าเป็นคนวางแผนจัดงานเลี้ยงต้อนรับศิษย์ของอาจารย์แห่งเสียนหลัว เพื่อจะได้วางยาทุกคนแล้วลอบเอาคัมภีร์ออกไป นางก็รู้ด้วยว่า เจ้ากำลังมีเรื่องขัดแย้งกับสามศิษย์ทรยศที่ลอบมาชิงคัมภีร์แทนเจ้า นางฉลาดมากไม่เหมือนข้าที่ไว้ใจเจ้า จนยอมกระทำผิดเพื่อช่วยเจ้า เพียงเพราะต้องการช่วยเจ้าแล้วข้ากับศิษย์พี่ยอมขึ้นไปบนหอสูงเพื่อขโมยคัมภีร์ เพราะถูกเจ้าหลอกว่ามีคาถาอาคมที่จะรักษาเจ้าได้”

“กระทำผิดเพื่อช่วยข้างั้นหรือ” เฉิงอี้ทวนคำแล้วหัวเราะเสียงดัง เสียงของเขาดังสะท้อนกำแพงโรงเตี๊ยม “ช่างเป็นพระคุณอย่างสูงจริงๆ ศิษย์พี่ ที่อุตส่าห์พยายามช่วยข้า หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือต้องขอบคุณความโง่ของท่านที่ยอมมาช่วยข้า น่าเสียดายนะที่ซิงอีนางฉลาดจริงดังว่า แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกอีกไม่กี่วันข้าก็จะเขี่ยนางออกจากสำนักไปพร้อมกับท่าน จะเอาข้อหาอะไรดีนะ” เขาทำท่าครุ่นคิด “เอาเป็นว่านางสมคบกับท่าน วางยาคนทั้งสำนักดีไหม แล้วก็ถือโอกาสลอบเอาคัมภีร์ออกไปให้ท่าน เสียเพียงแต่ว่าเจ้าสามคนนั้นกับนางเกิดขัดแย้งกัน ก็เลยยังไม่ได้คัมภีร์ แล้วข้าก็เข้ามาจับได้กลางทางดีไหม” เขาหัวเราะก้องกว่าเดิม

หมอหยูยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนั้น

“เอาล่ะ อย่าเสียเวลาพูดจาให้มากความ ข้ามีธุระมากที่ต้องสะสาง คืนมันมาให้ข้าซะ ไม่เช่นนั้นเราจะได้เห็นดีกัน” เฉิงอี้ข่มขู่

“หากเจ้ามีฝีมือจริงก็เข้ามา ศิษย์น้องของข้า” หมอหยูยังคงยืนนิ่งที่ตำแหน่งเดิม “เข้ามาพร้อมๆ กันทั้งสามคนก็ได้ ถ้าเจ้าไม่กล้าสู้กับข้าตามลำพังเฉิงอี้”

“ท่านท้าทายข้าเองนะ ข้าเตือนท่านแล้ว” อีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิด หันไปพยักหน้าให้อีกสองคนด้านข้าง แล้วทั้งสามคนก็เข้าโจมตีหมอหยูพร้อมกัน

“อ้าว พวกเขาสู้กันแล้ว” บารัตดูตกใจ “ไหนตอนแรกว่าจะมาคุยกันเฉยๆ ไม่ใช่รึ”

มันเป็นการต่อสู้ที่ว่องไวและดุเดือดมากอย่างที่กัณหาไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าเทียบการต่อสู้ระหว่างเธอ อาติ กับชายชุดดำสามคนนั้นแล้ว ต้องถือว่าการต่อสู้ของเธอนั้นเหมือนเด็กน้อยไปเลย ชายทั้งสี่คนที่ต่อสู้กันขยับเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมาก ทั้งเหาะ ตีลังกา กระโดด จนกัณหากับบารัตมองตามแทบไม่ทัน ชายทั้งสี่ซัดพลังลมปราณใส่กันแบบไม่ยั้ง อีกฝ่ายก็เหาะหลบได้อย่างรวดเร็วมากเช่นกัน และบางทีก็ซัดพลังลมปราณกลับด้วย กัณหาได้แต่มองการต่อสู้นั้นอย่างทึ่งๆ จนลืมสิ่งอื่นไป

“เราควรจะหยุดพวกเขาไหม หรือควรเข้าไปช่วย” บารัตกระซิบข้างหูเธอ “พวกเขาสู้กันแบบนี้อาจถึงตายกันก่อน อีกอย่างหมอหยูสู้คนเดียวไม่น่าจะรอด เพราะอีกสามคนก็ฝีมือใช่ย่อยเหมือนกัน”

“แล้วเราควรทำอย่างไรล่ะ ขืนเข้าไปแทรก เรากลายเป็นศพแน่” กัณหาว่า แค่มองตามยังมองตามไม่ทันเลย ขืนยื่นมือยื่นเท้าออกไปคงเละอย่างเดียว

“ไปตามซิงอีมาไหม” บารัตเสนอ “ท่านเหาะไปเร็วกว่าข้า ไปสิ”

“ตกลง” กัณหาเองก็นึกไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรดี ขณะที่เธอกำลังจะหาทางลงจากชั้นสองนี่ไป เจ้านกน้อยโผบินเข้ามาพอดี

“จี้ด”

“ได้ผล แผนของท่านได้ผล” จี้ดมีท่าทียินดีร่าเริงใจแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นการต่อสู้ข้างหน้า “โอ้ พวกเขากะจะฆ่ากันตายเลยหรือนี่”

“นั่นแหละ เราไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนแรกคิดว่าเขาจะแค่คุยกันเฉยๆ พอเสร็จงานเราก็หนี แต่หมอหยูดันชวนสามคนนั้นมาสู้ ไม่คิดว่าจะสู้กันดุเดือดขนาดนี้” บารัตมองไปทางหมอหยูอย่างร้อนใจ

“จี้ด” กัณหาเพิ่งนึกอะไรได้ “ร้องเพลงสิ ร้องเพลงหยุดพวกเขา”

“อะไรนะ” จี้ดชะงัก

“ร้องเพลงไง หยุดพวกเขา ทำให้พวกเขาหลับไป ระหว่างนั้นฉันจะไปตามซิงอีกับคนอื่นๆ มาช่วย”

“อ๋อ” จี้ดเพิ่งนึกได้ว่าตนเองมีความสามารถอะไร “ตกลง”

“พวกท่านพูดเรื่องอะไรกัน” บารัตงุนงง

“ไปสิ ท่านรีบออกไปตามซิงอีมา ออกไปตอนนี้เลย ท่านออกไปแล้วข้าจะเริ่มทันที” จี้ดไล่ กัณหาพยักหน้าก่อนปีนออกไปทางหน้าต่างที่ชั้นสอง กัณหาปีนออกไปจนถึงระเบียงที่ชั้นสอง มองไปเห็นหลังคาบ้านข้างๆ อยู่ไม่ไกลนัก

“ตั้งสมาธิ กัณหา เจ้าต้องทำได้” เธอพึมพำกับตัวเอง พยายามจะไม่เงี่ยหูฟังเพลงของจี้ด เธอกระโดดฟึ่บเดียวก็ไปอยู่ที่หลังคาของบ้านอีกหลังที่ห่างกันหลายวา กัณหาดีใจมาก หันหน้ามองไปเบื้องหน้าหาหนทางที่มุ่งตรงสู่สำนักโม่ฝ่าช่าน

 

 

 

ที่ลานหินกลางสำนักโม่ฝ่าช่านนั้นเงียบสงบ คนทั้งหลายยังคงยืนนิ่งอยู่ราวกับต้องภวังค์ของเสียงเพลงของจี้ดก็ไม่ปาน เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขายืนนิ่งไม่ใช่เสียงเพลงของจี้ด แต่เป็นความจริงที่เพิ่งได้รับรู้หลังจากการเชิดสิงโตจบลง ระหว่างนั้นเองกัณหากระโดดลงไปที่กลางลานข้างๆ เจ้าสิงโตเชิดที่วางนิ่งอยู่

“ท่านอาจารย์จางหมิ่น” กัณหารีบคำนับผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เบื้องหน้า ท่ามกลางสายตาตกใจปนประหลาดใจของทุกคน “ได้โปรดช่วยไปยุติการต่อส้ของหมอหยูกับเฉิงอี้ด้วยเถิด พวกเขากะจะสู้กันถึงตาย” เธอรีบบอก คนที่อยู่รอบลานนั้นพากันตกใจ

“ศิษย์พี่” ซิงอีอุทาน

“ข้าไปเอง ท่านอาจารย์” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทันที

“ไม่ต้อง” อาจารย์จางหมิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าจะไปคุยกับพวกเขาเอง”

ศิษย์ทุกคนในสำนักโม่ฝ่าช่านพากันหันมามองที่อาจารย์จางหมิ่นเป็นตาเดียวกัน

“นำทางข้าไปสิ” อาจารย์จางหมิ่นหันมาพูดกับกัณหา

“เจ้าค่ะ”