“บันทึกที่ข้ามีอยู่ ในบันทึกเล่มนี้เล่าเรื่องราวตั้งแต่พวกเขาออกเดินทางจากบันจาร์การายาจนกระทั่งถึงพบน้ำอมฤต มีหลายคนที่อ่านบันทึกนี้และเริ่มออกเดินทางตามรอยสามสหาย ในที่สุดพวกเขาก็พบประตูมิติเข้าสู่สระน้ำพุได้เหมือนสหายทั้งสาม คนพวกนั้นเคยบอกกับข้าว่า พวกเขาเชื่อว่าหนึ่งในสาเหตุที่คนที่ออกเดินทางค้นหาสระน้ำพุนั่นทำไม่สำเร็จ เพราะว่าการเดินทางพวกนี้มีแต่เป้าหมาย แต่ไม่มีเส้นทางให้ หลายคนพอเดินทางไปนานเข้าก็ลืมเป้าหมายเดิมของตนเอง นั่นเลยทำให้การค้นหาน้ำอมฤตไม่เป็นผล แต่ในทางกลับกันถ้าเจ้าเดินตามเส้นทางที่เคยมีคนเดินไปแล้ว เจ้าจะรู้ว่าตนเองจะต้องไปไหน และเมื่อไหร่ถึงจะไปถึงเส้นชัยของเจ้าได้สำเร็จ ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อกันว่า หากเจ้าเดินทางไปตามสถานที่ทุกสถานที่ที่ระบุไว้ในบันทึกนี้ โดยมุ่งหวังว่า ถ้าเดินทางตามนี้ครบถ้วน เจ้าจะพบน้ำอมฤตอยู่ที่ปลายทาง เจ้าจะมีโอกาสได้พบประตูมิติเข้าจริงๆ”
กัณหามองบันทึกอย่างตื่นตะลึง นี่คือบันทึกที่จะพาเธอไปพบน้ำอมฤตจริงๆหรือ
           “แต่อย่างไรก็ตาม คนที่จะตามหาทางเข้าสู่สระน้ำพุคือ เจ้า ดังนั้นบันทึกเล่มนี้ก็เป็นเพียงเหมือนเครื่องมือนำทางเจ้าเท่านั้นเอง เมื่อเจ้าจะใช้มันเป็นเครื่องมือนำทาง เจ้าต้องเดินทางร่วมไปกับบันทึก หมายความว่า เจ้าจะอ่านมันและเดินทางไปตามที่บันทึกระบุไว้ เจ้าต้องอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ห้ามอ่านข้ามหน้าเด็ดขาด และจะอ่านเฉพาะต่อเมื่อเจ้าเข้าไปอยู่ในเมืองที่ระบุไว้ในบันทึกจริงๆเท่านั้น เมื่อเจ้าทำเช่นนั้นแล้วบันทึกจะกลายเป็นเสมือนเพื่อนนำทางเจ้า นำดวงจิตเจ้าไปยังสถานที่ที่มันถูกเขียนไว้เมื่อสามร้อยปีก่อน”
           “มันเป็นบันทึกที่มีอาคมเหรอ” แหวนแทรกขึ้นมาอย่างสงสัย
           “มันเป็นเพียงบันทึกธรรมดา” แม่เฒ่าตอบอย่างสุขุม “แต่มันจะกลายเป็นบันทึกวิเศษเมื่อเจ้าอ่านตามมันไปพร้อมทั้งเดินทางไปด้วยเสมือนมันเป็นเพื่อนเดินทางของเจ้า แต่อย่างไรก็ตามข้าต้องเตือนเจ้าไว้ก่อนว่า เส้นทางที่อยู่ในบันทึกนี่มีทั้งสถานที่สุขสบายและสถานที่ที่อันตรายมาก การตามบันทึกไปอาจจะทำให้เจ้าพบเจออันตรายได้เช่นกัน และที่สำคัญที่สุด บันทึกนี่เขียนเมื่อสามร้อยปีก่อน เมื่อเจ้าไปถึงสถานที่จริงๆ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีภัยอันตรายใหม่ที่เจ้าไม่รู้เช่นกัน ฉะนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้มาก”
           “ฉันจะระวังตัวจ้ะ แม่เฒ่า” กัณหารับคำ “ถ้าฉันทำตามพวกนี้ได้ทั้งหมด ฉันจะได้เข้าสระน้ำพุจริงๆใช่ไหม”
           “อาจจะเข้าไปได้ ข้าต้องใช้คำว่า อาจจะเข้าไปได้ ถึงแม้จะมีหลายคนที่เดินทางตามบันทึกนี้แล้ว สามารถเข้าสู่ประตูมิติได้จริง แต่ก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่ไม่เจออะไร ในความเห็นของข้า หากเจ้าทำตามนี้แล้วก็ยังไม่เป็นผลโอกาสจะได้เข้าไปที่สระน้ำนั่นก็น่าจะเป็นศูนย์ เพราะฉะนั้นข้าขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้ก่อนว่า หากเจ้าอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายและทำตามที่บันทึกเขียนไว้ทั้งหมดแล้วยังไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้ เจ้าจงยอมรับความจริง ว่าเจ้าอาจจะไม่อาจเข้าไปที่นั่นได้อีก และจงเดินทางกลับบ้านของเจ้าเสียเถิด”
           “จ้ะ” กัณหาตอบทันที และเอาบันทึกมากอดไว้แนบอก “ถ้าฉันทำตามนี่หมดแล้ว ยังไม่เกิดผล ฉันก็จะยอมแพ้”
           “ดี” แม่เฒ่าถอนใจ
           “ฉันขอบคุณแม่เฒ่ามากนะจ้ะ ที่กรุณาฉันมาก หากฉันได้น้ำอมฤตกลับมา ฉันจะกลับมาที่นี่เอาหนังสือมาคืนด้วยตนเอง พร้อมคำขอบคุณครบถ้วน”
           “แล้วถ้าไม่เจอล่ะ เจ้าจะไม่มาคืนหนังสือหรือ” อาติว่าขำๆ แหวนหัวเราะดังลั่นตาม
           “คืนจ้ะ ต้องมาคืน”
           “ข้าได้แต่เอาใจช่วย ให้เจ้าได้พบน้ำอมฤตสมประสงค์”
           “ขอบคุณจ้ะ” กัณหาพนมมือไหว้หล่อน “หากไม่ได้แม่เฒ่าช่วย ฉันอาจต้องงมทางไปเอง คงวุ่นวายมากกว่านี้ อย่างน้อยการได้หนังสือเล่มนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจว่าอย่างน้อย ฉันมีเส้นทางที่ชัดเจนเพื่อไปสู่น้ำอมฤต ขอบคุณแม่เฒ่ามากนะจ้ะ ที่กรุณาช่วยฉัน”
           “แล้วคนที่ทำตามวิธีการนี้มีสักกี่คนหรือแม่เฒ่า” จี้ดซัก 
           “เท่าที่ข้ารู้ร้อยคน แต่คนที่สำเร็จจนสามารถเข้าสู่สระน้ำพุได้ มีแค่สองคน” 
           แหวนชะงัก แล้วก็หันมามองแม่เฒ่า
          “สถิติดีงามมากเลย ท่าน”
          “ก็ข้าบอกเจ้าแล้วตั้งแต่ต้นว่ามันยาก โอกาสสำเร็จน้อย ข้าบอกเจ้าไปทั้งหมดแล้ว ส่วนเจ้าจะทำตามหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้านะ ข้าบอกได้แค่นี้แหละ” แม่เฒ่าขยับตัวลุกขึ้นยืน “อ้าว กินเสร็จกันแล้วก็ไปฝึกต่อ พรุ่งนี้จะเริ่มออกเดินทางแล้วไม่ใช่รึไง”

   แหวน กัณหา อาติ เดินทางกลับมาถึงเรือที่พักในตอนเย็น สภาพเรือสำเภาที่พวกเขาเดินทางมานั้นตอนนี้กลับมาสวยงาม ใบเรือพัดโบกไปตามแรงลมที่ท่าเรือ ช่วงยืนรอพวกเขาอยู่ที่ดาดฟ้าเรือเหมือนเช่นทุกวัน
          “พวกเราซ่อมเรือกันเสร็จแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะเริ่มออกเดินทาง” ช่วงบอกทันทีเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ “เสบียงพร้อม ลูกเรือพร้อม ทุกอย่างพร้อมแล้ว คืนนี้นอนให้เต็มที่ อีกสี่ถึงห้าวันหลังจากนี้เราก็จะถึงเกาะสุลาวารีที่เรารอคอยเสียสักที”
          “หวังว่าคงจะไม่แวะที่ไหนอีกนะ” แหวนดูหวาดระแวง 
          “ไม่มีแล้ว ตอนนี้มุ่งตรงสู่เกาะสุลาวารีเท่านั้น”
          “ดี” แหวนพูดทันควัน อาติกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินดังนั้น
          “ท่านถืออะไรมานะ” ช่วงหันไปถามกัณหา เมื่อเห็นหนังสือเก่าแก่ที่เธอกอดไว้
กัณหาเล่าเรื่องที่แม่เฒ่าซงเก็ตเล่าให้พวกเขาฟัง ช่วงรับฟังอย่างสงบนิ่งไม่พูดอะไร
          “ท่านก็เลยจะเดินทางตามที่เขียนไว้ในบันทึกนี้” ช่วงสรุปประเด็น “แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะได้ผล”
          “ฉันก็ไม่รู้ แต่มันเป็นหนทางเดียวที่เรามี แต่ก่อนอื่น ก่อนเราจะเดินทางทั้งหมด เราต้องไปที่เมืองเถียนอัน เพื่อเอาของขวัญไปให้สหายของท่านอาจารย์ที่ชื่อ จางหมิ่น ก่อน ท่านอาจารย์ฝากข้าเอาไปให้”
         “นอกจากเขาจะไม่ค่อยบอกข้อมูลอะไรให้เราแล้ว ยังจะใช้เราเดินทางเอาของไปให้เพื่อนอีก” แหวนถึงกับร้องอุทานออกมา “อาจารย์ท่านช่างน่านับถือเสียจริงๆ”
         “ท่านอาจารย์คงมีเหตุผลอะไรบางอย่างถึงให้เจ้าทำอย่างนั้น” อาติแก้ตัวแทนท่านอาจารย์                     “เจ้าจะเดินทางไกลอยู่แล้ว แค่แวะไปเมืองเถียนอัน ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก ถ้าเจ้าได้เรือเหาะแล้ว”
         “เจ้าก็พูดได้สิ เจ้าเดินทางไปถึงแค่สุลาวารี เจ้าก็เดินทางสำเร็จแล้วนิ แต่เราสิยังไม่ได้เริ่มออกเดินทางเลย” แหวนเถียง
         “ข้าก็อยากไปช่วยเจ้าค้นหา น้ำอมฤตนะ แต่ว่า…” เสียงพูดของอาติค่อยๆเบาลงก่อนจะเงียบหายไป เขานิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ยังไงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาก็ต้องทำให้เสร็จก่อน”
         “ไม่เป็นไรหรอก แค่เธอมาเป็นเพื่อนพวกเราถึงที่นี่ก็ดีแล้ว” กัณหาตอบ
         “เราจะออกเดินทางแล้วนะ” เสียงแอเรียนตะโกนมาจากด้านหลัง “มุ่งหน้าสู่สุลาวารีกัน”
         สายลมพัดผ่านเส้นผมของพวกเขาไปในยามที่เรือค่อยๆแล่นออกจากท่า กัณหายังคงกุมบันทึกการเดินทางของสามสหายแห่งการายาไว้แน่นแนบอก ราวกับว่ามันเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจเธอไว้ ให้ยังเดินหน้าต่อไปอย่างมีความหวัง ภาพแม่นมส่งยิ้มให้กัณหาลอยขึ้นมาในใจ เหมือนเห็นกันได้จากที่ไกลแสนไกล
         ท่านรอฉันก่อนนะ แม่นม สักวันเราจะได้พบกันอีก

 

พวกเขาล่องเรืออีกครั้ง แม้ครานี้ทุกอย่างดูสงบแต่กัณหาอดคิดไม่ได้ว่า ทุกคนดูหวาดกลัวสิ่งที่จะได้เจอที่เกาะสุลาวารี แหวนที่ปกติไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ ก็ยังหันมาสวดมนต์ก่อนนอน เพื่อขอให้การเดินทางราบรื่นและปลอดภัย ช่วงมีท่าทีวิตกกังวลอยู่หน่อยๆ เขาพูดย้ำกับกัณหาหลายครั้งว่า ถ้าไปถึงแล้วสภาพเกาะดูไม่ปลอดภัยนักก็จะขอให้ทุกคนเดินทางกลับพร้อมเรือเลย จะไม่แวะขึ้นเกาะอีก เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงตายที่นั่น 
        “เมืองที่เรือจะไปจอดเทียบท่าชื่อเมืองโกวา เป็นเมืองค้าขายของสุลาวารี” ช่วงบอกพวกเขา “เป็นเมืองใหญ่สุดแล้วในเกาะนั้น พื้นที่อื่นๆของเกาะเป็นป่าดงดิบ มีแต่พวกชนเผ่าอาศัยอยู่ ซึ่งเขาบอกกันว่าชนเผ่าพวกนี้ไม่ค่อยยินยอมต้อนรับคนแปลกหน้านัก ถ้าที่เมืองโกวามีปัญหา เช่น ท่าเรือพัง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟล่มแล้ว ข้าว่าก็ไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ในเกาะนี้อีกต่อไป ควรเดินทางกลับเลย และลืมเรื่องการเดินทางรอบโลกของท่านซะ”
        “แต่ว่า…” 
        “เชื่อข้าเถิด สุลาวารีไม่ใช่ดินแดนที่เหมาะสมนักที่จะมาเยี่ยมเยือน หากไม่จำเป็นจริงๆข้าก็ไม่อยากมามากนัก แต่ที่เพราะที่นี่เป็นที่เดียวในโลกที่มีเรือเหาะที่สุดพิเศษ ก็จำเป็นต้องมา”
        “แล้วเจ้าของเรือเหาะนี่อยู่ที่เมืองไหนในเกาะหรือ” แหวนสงสัย
        “เรือเหาะโบเน เรือเหาะที่มีเชื่อเสียงมากของชาวตาโกนัน อยู่ที่ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางใต้ของเมืองโกวา ต้องเดินเท้าต่อจากท่าเรือเมืองโกวาไปอีกราวหนึ่งถึงสองวัน เดินทางไม่ยาก มีนักเดินทางมาติดต่อขอขึ้นเรือเหาะตลอด” อาติตอบแทน “ชาวตาโกนันมีความสามารถในการสร้างและขับเรือเหาะมาก นั่นคือสาเหตุที่ข้าอยากมาเรียนรู้กับพวกเขา”
        “แปลว่า เราไม่ต้องเข้าป่าดงดิบใช่ไหม” แหวนโล่งอก หล่อนนึกกลัวมานานว่าอาจจะต้องเดินป่าด้วย “ดีแล้ว ข้าไม่อยากเข้าป่าเลย ในป่านั้นน่ากลัวมีแต่สิงสาราสัตว์อะไรก็ไม่รู้”
        “อาจต้องผ่านบ้าง แต่เป็นป่าโปร่งธรรมดา ไม่ใช่ป่าดงดิบ” อาติตอบ แหวนหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
        “ทำไมต้องกลัวการเข้าป่า ในป่าอากาศดี เย็นสบาย มีต้นไม้และดอกไม้ที่สวยงามมากมาย แล้วก็มีน้ำตกที่…”
        “แน่ละ ถ้าเจ้าเป็นนก ไม่ใช่คน” แหวนบอก ยักไหล่ “เจ้าอยู่ในป่ามาตลอดชีวิตของเจ้า แต่ข้าอยู่ในเมืองมาตลอดบ้านของเจ้าคือป่า แต่บ้านของข้าคือในเมือง”
เจ้านกมีสีหน้าไม่พอใจหน่อยๆ
        “แล้วเจ้าจะได้เห็นเองว่าในป่าสวยงามแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นป่าหิมพานต์ด้วยแล้ว...” เจ้านกพูดถึงจุดนี้แล้วก็นิ่งไป 
         ทั้งสี่คนหันมามองเจ้านกน้อย มันนิ่งไปสักพักก่อนบินจากไป
         “เป็นอะไรของมัน” แหวนถามไปอย่างนั้น แต่สีหน้าของหล่อนดูไม่สบายใจขึ้นมา

 

ในช่วงเย็นวันนั้นพวกเขาเริ่มเห็นบริเวณสีเขียวของเกาะสุลาวารีอยู่ไกลๆ กัณหาตื่นเต้นและดีใจมากจนนอนไม่หลับ คืนนั้นเธอลุกขึ้นมาตอนกลางดึก มานั่งเกาะขอบหน้าต่างเพ่งมองเงาดำๆที่อยู่สุดขอบฟ้า บริเวณที่เธอรู้ว่าคือเกาะสุลาวารี
         “ยังไม่นอนเหรอ” จี้ดถามบินมาเกาะหน้าต่างเรือข้างเธอ
         “ยัง” กัณหาตอบ “แล้วจี้ดละทำไมไม่นอน”
         เจ้านกไม่ตอบ สายตาเขาเพ่งมองไปที่เกาะสุลาวารีด้วยเช่นกัน
         “คิดถึงบ้านเหรอ” กัณหาถาม
         “นิดหน่อย” เจ้านกถอนใจ “พอได้ยินว่าเกาะนั่นมีป่า ข้าก็คิดถึงป่าหิมพานต์ บ้านของข้า”
          “เธอออกมาจากป่าได้เองนี่นา” กัณหามองเจ้านกอย่างแปลกใจ “เธอตั้งจิตเพื่อกลับเข้าไปที่นั่นไม่ได้หรือ จี้ด”
         “ได้สิ” เจ้านกถอนหายใจหนักกว่าเดิม “ถึงข้ารู้วิธีที่จะกลับเข้าไปที่นั่นแต่ข้ากลับไปไม่ได้ เพราะข้าถูกขับออกมาจากป่าหิมพานต์แล้ว พวกของข้าคงไม่ยอมให้กลับเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นข้าต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกมนุษย์”
         กัณหานิ่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอเข้าใจดีว่าเจ้านกน้อยรู้สึกอย่างไร เธอเองรู้สึกแบบนี้เช่นกันตอนที่แม่นมตาย รู้สึกว่าสงสัยว่าต่อไปนี้จะใช้ชีวิตเช่นไรต่อไป
        “แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อ” กัณหาเลียบเคียงถาม 
        “ไม่รู้” นกตอบสั้นๆ 
        กัณหาไม่พูดอะไร ได้แต่เอื้อมมือมาดึงเจ้านกน้อยเข้าไปกอดไว้ ทั้งเธอและเจ้านกต่างจมจ่ออยู่ในห้วงคิดคำนึงของตนเองจนไม่ทันได้สังเกตว่าเสียงกรนของแหวนได้เงียบหายไป

 


         ในที่สุดหลังจากการเดินทางที่ยาวไกลและเสียเวลานานมากจากเหตุการณ์ต่างๆ พวกเขาก็เดินทางมาถึงเกาะสุลาวารีในช่วงบ่ายวันต่อมา เรือของพวกเขาเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือเมืองโกวา พวกเขาช่วยกันขนย้ายข้าวของลงจากเรือไปรอที่ท่า ข้าวของส่วนตัวของกัณหานั้นไม่มีอะไรมากและไม่หนัก สิ่งเดียวที่หนักอึ้งคือ ของขวัญของท่านอาจารย์ที่ฝากเธอนำไปมอบให้เพื่อนที่ต่างแดน
         “ข้าช่วยอุ้มดีกว่า มันดูหนักมาก” แหวนบอกเมื่อเห็นท่าทีอุ้มต้นหยกมังกรของกัณหาอย่างทุลักทุเลระหว่างย้ายมันลงไปที่ท่าเรือ 
         “ให้ข้าช่วยลดขนาดมันลงไหม” อาติเสนอ “เจ้าจะได้ขนย้ายสะดวก เพราะเราต้องเดินทางอีกไกล แบกไปทั้งที่ต้นใหญ่แบบนี้ไม่น่าจะไหว”
         “เอาเลยสิ” แหวนวางมันที่พื้นเรือให้อาติเสกอาคม
อาติเพ่งสมาธิสักพัก แล้วต้นหยกมังกรนั้นก็ค่อยๆลดขนาดลงจนตอนนี้มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ
         “สุดยอด” แหวนว่า เอื้อมมือไปคว้าต้นหยกมังกรต้นจิ๋วมาดู “น่ารักน่าชังทีเดียว แต่ยังดูมีน้ำหนักมากอยู่ แล้วถ้าเกิดเราแยกกับเจ้าที่สุลาวารีนี่แล้ว ตอนเราเอามันไปมอบให้เพื่อนอาจารย์ของเจ้าจะทำอย่างไรให้มันคืนสภาพเป็นขนาดเดิมล่ะ”
          “ก็แค่บอกท่านว่า ข้าเสกอาคมลดขนาดมันเท่านั้นเอง มันเป็นอาคมง่ายๆ ท่านแก้คืนได้อยู่แล้ว” 
          “เยี่ยม” แหวนหยิบมันใส่กระเป๋าของกัณหา “พกสะดวกขึ้นมากนะเจ้าค่ะ คุณหนู”
          “อือ” กัณหารับคำ
           พวกเขาค่อยๆทยอยลงมาที่ท่าเรือ เห็นลูกเรือกำลังทยอยขนสินค้าบางส่วนลงมาจากเรือ แอเรียนกำลังยืนคุยกับช่วงอยู่ที่ท่าเรือ
           “ท่านจะไปไหนต่อหรือ” ช่วงถามเขา สายตามองตามสินค้าที่ลูกเรือกำลังขนลงมา
           “ก็หลังจากขายสินค้าหมดก็คงจะกลับ ขากลับก็คงแวะรายทาง ขายสินค้าไปตามทาง” แอเรียนตอบ “เรื่องทางไปหมู่บ้านตาโกนันที่ท่านถามข้าเมื่อวานนะ หมู่บ้านนั้นเดินทางไปไม่ยาก พรุ่งนี้เช้าหรือเย็นนี้ก็ได้ ท่านลองเข้าไปที่ลานที่กลางตลาดริมท่าเรือแห่งนี้ ถามหาลูกหาบไปหมู่บ้านตาโกนัน ชื่อ เบซา ข้ารู้จักเขาเป็นอย่างดี เป็นคนอัธยาศัยดี มีน้ำใจ เชี่ยวชาญเส้นทางมาก ข้าเคยไปกับเขาหลายครั้ง ท่านลองไปถามดู”
           “ขอบคุณท่านมาก” ช่วงโค้งให้แอเรียน “ที่ช่วยพาเรามาส่งถึงที่ และดูแลเราเป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง”
           “ดีมาก ดีจนเกือบตายแหนะ” แหวนประชดเบาๆ กัณหาเหยียบเท้าแหวนไว้ทันที “โอ๊ย”
           “ขอบคุณท่านเช่นกันที่ช่วยเหลือข้าและลูกเรือตลอดการเดินทาง ไม่สิ ต้องบอกว่าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือชาวปาเล็มทุกคนให้รอดผลอาคมวิบัตินั่น ขอบคุณมากจริงๆ หวังว่าจะได้มีโอกาสเจอท่านกับเด็กๆอีก”
           “เช่นกัน” ช่วงบอก 
           “โชคดีนะ เด็กๆ ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” เขาหันมาร่ำลาทั้งสามคน 
           “ขอบคุณที่ท่านดูแลเราตลอดการเดินทาง และขอให้ท่านมีความสุขมากๆ เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ พร้อมกำไรอย่างงามนะจ้ะ” กัณหาอวยพรให้เขา แอเรียนยิ้ม โบกมือลาพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับไปขึ้นเรือสำเภา
           “แล้วทีนี้เราไปไหนต่อ” แหวนหันไปถามช่วงทันที
           “ประเดี๋ยวคืนนี้เราหาที่พักในเมืองโกวาก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปหาทางไปหมู่บ้านตาโกนัน” ช่วงตอบ “ไปกัน”