สายลมพัดผ่านยอดไม้และขุนเขาเบื้องหน้า สายลมอ่อนกระทบกับแก้มและไรผมที่ตกระใบหน้าเล็กๆของเด็กหญิง เสียงใบไม้เสียดสีกันยามลมพัดผ่านคลอเคล้าไปกับเสียงนกร้องแข่งกันอยู่ไกลๆ กัณหานั่งสมาธิอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ เบื้องหน้าเธอนั้นคือสระน้ำใสแจ๋วที่ส่องประกายล้อแดด
        “เจ้าต้องตั้งสมาธิให้มั่น และเชื่อใจในสหายของเจ้า เชื่อว่าเขาจะทำได้เหมือนเจ้าทุกอย่าง” เสียงหญิงชราดังลอยมาเหนือศีรษะ “เอาละ เริ่มอีกที”
         กัณหากับอาติ เริ่มต้นขยับมือด้วยท่าทางที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แล้วสักพักก้อนหินขนาดใหญ่สองถึงสามคนโอบที่อยู่กลางสระค่อยๆขยับเขยื้อนออกจากที่ของมัน เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอยู่สักพัก ก้อนหินก็ค่อยๆลอยขึ้นกลางอากาศตรงกลางระหว่างกัณหาและอาติผู้นั่งอยู่อีกฟากของสระ หญิงชราที่ยื่นข้างๆนั่นมองมันอย่างพออกพอใจ 
         “ดีมาก สูงขึ้นอีก สูงขึ้นอีก” หญิงชราสั่ง ก้อนหินค่อยๆลอยสูงขึ้นช้า มันลอยสูงขึ้นจากน้ำได้ราวสองถึงสามวาก็ตกกลับลงไปในน้ำ ทำน้ำให้เกิดคลื่นขนาดเล็กแผ่ออกโดยรอบ
         “เฮ้ย” หญิงชราถอนใจ “เอาเถิดก็ทำได้ดีขึ้นมากแล้วล่ะ มาพักกินน้ำกินท่าเสียก่อน” หล่อนเอ่ยเชิญชวน 
         กัณหาลุกจากที่ที่ตนเองนั่งเดินมายังพื้นดินราบเรียบข้างสระน้ำที่มีเสื่อปูไว้ บนเสื่อนั้น เจ้านกน้อยจี้ดกำลังนั่งมองพวกเขาฝึกอยู่อย่างสนอกสนใจ ผิดกับหญิงสาวข้างๆที่กรนเสียงดังเสียแล้วทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ
        “ตื่น ตื่นได้แล้ว” จี้ดเอ็ดใส่แหวน “พวกเขาฝึกเสร็จแล้ว”
        ”ห๊า อะไร ใครเรียกข้า” แหวนสะดุ้ง ลุกขึ้นมองไปรอบข้างอย่างตกใจ “ภูเขาไฟจะระเบิดอีกเหรอ”
         เจ้านกนึกหงุดหงิดใจถึงขั้นต้องบินไปทึ้งผมหล่อนจนผมกระเซิง
        “โอ๊ย พอ พอ พอได้แล้ว เจ้านกบ้า” แหวนเอ็ดใส่ พยายามปัดไล่นกออกไป แต่เจ้านกกลับยิ่งรุกหนักกว่าเก่า
        “เอา แต่ นอน!!!” เจ้านกจี้ดยังไม่ยอมหยุด ในเวลาไม่นานนักผมของแหวนก็กลายเป็นรังนกก้อนใหม่อยู่บนศีรษะ
        “ไอ้นกบ้า” แหวนตะโกน ปัดไล่นกอย่างขุ่นเคือง “ผมข้า!!!”
        “พอเถอะ จี้ด” กัณหาว่า เธอทรุดตัวลงมานั่งข้างๆแหวน แล้วเทน้ำในขวดที่แหวนเตรียมมาให้ลงในแก้วอีกใบและส่งให้หญิงชรา ที่ขยับตัวมานั่งข้างๆเธอ ในขณะที่อาติเดินลงมานั่งลงอีกข้างของแหวน

เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากกัณหาขึ้นแสดงอังกะลุงในงานฉลองท่าเรือใหม่ แม่เฒ่าซงเก็ต หญิงชราชาวบันจาร์การายาก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเขา หล่อนพากัณหาและอาติมาที่สระน้ำกลางป่าแห่งนี้เพื่อฝึกอาคมร่วมกันทุกวัน โดยมีแหวนตามมานั่งเฝ้าด้วย สระน้ำแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร ส่วนช่วงนั้นไม่ได้ตามมา เพราะต้องอยู่ช่วยพวกลูกเรือซ่อมแซมเรือก่อนเพื่อที่จะออกเดินทางได้ไวขึ้น แม่เฒ่าบอกพวกเขาว่าสาเหตุที่ต้องมาฝึกไกลขนาดนี้เพราะผู้หัดอาคมใหม่ๆมักจะควบคุมอาคมของตนเองไม่ค่อยได้ จึงอยากให้ฝึกในที่ที่ไกลจากบ้านเมืองและผู้คน พวกเขาใช้เวลาเดินไปกลับจากตัวเมืองประมาณหนึ่งชั่วโมง ในระหว่างนั้นพวกเขาจะฝึกอาคมที่นี่ทั้งวัน
 
        แม่เฒ่าซงเก็ต เป็นหญิงชราร่างผอมสูง ท่าทางใจดี กัณหาเพิ่งมารู้ทีหลังว่าท่านเป็นหนึ่งในสิบสองนักอาคมประจำเมือง ตำแหน่งที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลและควบคุมการใช้อาคมในเมืองนี้ เพราะที่บันจาร์การายามีคนที่มีความสามารถทางอาคมมากมายและมีการฝึกสอนอาคมกันอย่างแพร่หลายไม่เหมือนเมืองปาเล็ม และกรุงศรีอยุธยา เด็กทุกคนในบันจาร์การายาที่จะเข้ารับการฝึกอาคมจะต้องมาขึ้นทะเบียนไว้ และมีกฎหมายสำหรับพวกที่มีอาคมโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการใช้อาคมในทางที่ผิด
ตอนนี้กัณหากับอาติฝึกอาคมร่วมกันได้สองสามอย่าง แม้จะเป็นช่วงสัปดาห์สั้นๆ แม่เฒ่าบอกพวกเขาว่าแทบทุกอาคมในโลกนี้สามารถฝึกให้เสกพร้อมกันได้ การเสกอาคมร่วมกันจะก่อให้เกิดพลังอาคมที่มากกว่าการใช้อาคมแยกกันหลายเท่าตัว ที่บันจาร์การายาแห่งนี้มีการดัดแปลงวิธีการเสกอาคมร่วมกันหลายอย่าง มีการใส่ท่าทางเข้าไปเพื่อให้ง่ายต่อการฝึกและช่วยให้คนที่ใช้อาคมร่วมกัน สามารถเข้าถึงแก่นของการฝึกได้ดี สามารถเสกอาคมร่วมกันหลายๆคนได้
        “ฉันเคยเห็นที่เขาริมอ่าว เขาดับไฟร่วมกันโดยการจับมือ” กัณหาเล่าให้แม่เฒ่าฟัง “พวกเขารวมกันจับมือหลับตานิ่ง แล้วสักพักไฟที่ลุกไหม้ก็ดับลง” กัณหายกน้ำขึ้นดื่ม “ตอนที่สองสาวนั่นเก็บกวาดที่ท่าเรือก็ยืนหันหลังชนกัน แต่ตอนที่ท่านฝึกเรา ท่านกับให้เราอยู่คนละฟากของก้อนหิน”
        “การฝึกเสกอาคมร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องมีการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกันเลย  มันอยู่ที่เจ้าสามารถหลอมรวมจิตเจ้าให้เป็นหนึ่ง และใช้แสดงอาคมขึ้นมา สิ่งที่ยากที่สุดคือการกำหนดจิตให้หลอมรวมกัน เพ่งในสิ่งสิ่งเดียวกัน การกำหนดให้อาคมออกมาร่วมกัน พวกนี้ต้องใช้ความสามัคคีมากและต้องฝึกร่วมกันเป็นประจำ”
        “ยากจริง” กัณหาโอดครวญ “ฉันรู้สึกขัดอย่างๆก็ไม่รู้ ตอนที่เสกอาคม”
        “อาคมของพวกเรายังอ่อนกำลังมากนัก” อาติพูดขึ้น ขณะยกน้ำขึ้นมาดื่ม แหวนหันไปจัดขนมที่เตรียมมาให้พวกเขาทาน “ตอนที่ฝึกข้ายังรู้สึกว่ามันไม่ค่อยราบรื่นนัก”
        “เพราะฝีมือพวกเจ้ายังห่างชั้นกันมาก” แม่เฒ่าซงเก็ตตอบ “อาติมีพื้นฐานอาคมที่กว้างกว่ากัณหามาก เลยทำให้เวลาฝึกคู่กัน เจ้าจะรู้สึกเหนื่อยมากกว่า”
        “จริง ข้าเห็นด้วย” อาติแอบยิ้มแล้วก็บุ้ยใบ้มาทางเธอ “กัณหาแอบอู้ตลอด”
        “ก็แหม ฉันได้เรียนอาคมสักกี่เดือนกันเชียว จะให้เก่งเท่าพ่อคุณได้อย่างไร” กัณหาไม่วายย้อน “แต่เสียดายนักวันรุ่งพรุ่งนี้ เรือของพวกเราก็จะซ่อมเสร็จแล้ว เราคงต้องเริ่มออกเดินทางกัน คงไม่มีโอกาสได้ฝึกใช้อาคมคู่กันจนชำนาญ”
        “แล้วเหตุใด เจ้าจึงไม่อยู่เรียนที่นี่ต่อเล่า ข้าสามารถสอนให้เจ้าได้” แม่เฒ่าถาม “จะเดินทางไปสุลาวารีทำไม เกาะนั้นมีแต่ป่ากับเขา หาได้มีสิ่งใดไม่” 
         อาติกับแหวนได้แต่มองกัณหาเป็นตาเดียว สำหรับอาติแล้ว เขาก็สงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่ากัณหาจะต้องการไปหาคนขับเรือเหาะเพราะอะไร แต่เขาไม่อยากถามมากความ เพราะเห็นกัณหามีท่าทีเหมือนไม่อยากเล่าเรื่องนี้นัก เขาจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลยหลังจากที่ถามคราวนั้น
         “ฉันมีธุระที่นั่นจ้ะ แม่เฒ่า” 
         “ธุระใดกัน” แม่เฒ่ามองอย่างสงสัย เมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบสายตา ท่านก็มั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ
         “คือ…” กัณหานิ่งไปสักพัก แล้วก็ตัดสินใจเล่าเรื่องน้ำอมฤตและคำแนะนำของเจ้างูใบตองให้มาหาเรือเหาะที่นี่ เพื่อเป็นพาหนะในการเดินทาง 
         “น้ำอมฤตงั้นหรือ น้ำพุวิเศษในตำนานที่ทำให้ผู้คนล้มตายมานักต่อนัก” แม่เฒ่าส่ายหน้า “อาจารย์ของเจ้า เขาไม่ได้บอกรึว่ามีกี่คนกันที่จะได้เจอสระน้ำพุนั่นจริงๆ คนเดินทางสักหมื่นคนอาจจะได้เจอจริงแค่หนึ่งคน แทนที่จะได้น้ำวิเศษนั่นมาชุบชีวิตแม่นมของเจ้า ข้าว่า เจ้าอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งมากกว่า”
        “ท่านก็รู้จักสถานที่ที่น้ำอมฤตอยู่หรือ” กัณหาถาม
        “แน่นอน มีใครบ้างไม่รู้จักสระน้ำพุแห่งนี้บ้างละ ต่อให้มันจะอยู่ในอีกมิติก็ตามที” แม่เฒ่าถอนใจ “ตำนานพวกนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักนักในปาเล็มหรืออยุธยาที่เจ้าจากมา แต่ในดินแดนอื่นโดยเฉพาะดินแดนที่มีผู้มีอาคมจำนวนมาก มันเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี”
         “เจ้าก็รู้จักเรื่องน้ำอมฤตนี้หรือ อาติ” แหวนหันไปถามอาติทันที
         “แน่นอน” อาติพยักหน้ารับ “แต่พ่อข้าบอกว่ามันเป็นแค่ตำนาน มันไม่มีอยู่จริง”
         “มันไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันเป็นประวัติศาสตร์ของเรา ผู้ฝึกฝนอาคมทุกคน” แม่เฒ่ากล่าวทันที “ประวัติศาสตร์ของการกำเนิดของวิชาอาคมในโลกใบนี้ น้ำอมฤต น้ำวิเศษ น้ำทิพย์ ไม่ว่าเจ้าจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม จริงๆแล้วมันคือสิ่งเดียวกัน มันคือน้ำจากสระน้ำพุในเมืองนาเทียร์”
          ทั้งคนทั้งนกต่างมองแม่เฒ่าซงเก็ตเป็นตาเดียวกัน 
          “โห มีชื่อด้วยเหรอ” แหวนร้องออกมา
          “เมืองนาเทียร์ เมืองต้นกำเนิดอาคมนะเหรอ” อาติทวนคำ “แต่เมืองนี้ล่มสลายไปเมื่อหลายพันปีมาแล้ว แล้วน้ำพุนี่จะยังมีอยู่หรือ”
          “เมืองต้นกำเนิดอาคมคืออะไร” แหวนถามยังคงไม่เข้าใจพอๆกับกัณหา
          “ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง” แม่เฒ่าตอบอย่างสุขุม “วิชาอาคมที่เราฝึกกันอยู่ทุกวันนี้ ที่จริงแล้วมันถูกค้นพบโดยชาวเมืองนาเทียร์ เมืองในสมัยโบราณเมื่อพันปีก่อน เชื่อกันว่าสถานที่ค้นพบวิชาอาคมคือบริเวณริมสระน้ำพุแห่งนี้ หลายร้อยปีต่อมา เมื่อวิชาอาคมเจริญก้าวหน้าและแพร่หลายไปทั่ว ผู้ที่ฝึกอาคมทุกคนก็ให้เกียรติชาวเมืองนาเทียร์ในฐานะผู้ค้นพบอาคม และเรียกสถานที่ที่พวกเขาค้นพบอาคมว่า สระน้ำพุศักดิ์สิทธิ์
           ด้วยความเคารพและให้เกียรติชาวนาเทียร์ผู้ค้นพบอาคมที่เปลี่ยนโลกนี้ได้ จึงกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันต่อๆมาว่า ผู้ที่ฝึกอาคมทุกคนจะถือว่าสำเร็จการศึกษาวิชาอาคมก็ต่อเมื่อเดินทางมาอาบหรือดื่มกินน้ำจากสระน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อรำลึกถึงการค้นพบอาคมของชาวเมืองนาเทียร์ ผู้เป็นต้นกำเนิดวิชาอาคม
           นั่นคือประวัติศาสตร์เท่าที่มีการบันทึกไว้ แต่เรื่องราวเล่านี้ถูกบดบังด้วยตำนานน้ำวิเศษ เล่ากันว่าคนที่มาอาบดื่มกินน้ำจากสระน้ำแห่งนี้ค้นพบว่าน้ำจากน้ำพุแห่งนี้สามารถทำให้เป็นอมตะ ทำให้คนตายให้ฟื้นคืน ทำให้สารพัดโรคภัยหายเป็นปลิดทิ้ง ที่สำคัญที่สุดคือสามารถเปลี่ยนวัตถุธรรมดาให้กลายเป็นทองคำได้ พวกเขาเลยพากันเรียกว่า น้ำอมฤตแห่งนาเทียร์
           ตำนานพวกนี้มีการเล่าขานกันมาเป็นร้อยๆปีหรืออาจจะเป็นพันปีไม่มีใครรู้ได้ แต่ที่แน่ๆข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างเดินทางมาที่สระน้ำแห่งนี้เพื่อขอได้ดื่มหรืออาบน้ำในสระแห่งนี้บ้างสักนิดก็ยังดี ท้ายที่สุดมันกลายเป็นสงครามที่มีการรบราฆ่าฟันกันจนกระทั่งถึงทำให้เมืองนาเทียร์ล่มสลายลง”
           “ฆ่ากันตายเพื่อแย่งชิงน้ำพุเนี่ยนะ” แหวนร้องออกมา “ใครมันช่างคิดทำได้”
           “ถ้าเจ้ารู้จักผู้คนมามาก เจ้าจะรู้ว่ามนุษย์ฆ่าฟันกันด้วยเหตุผลว่าต้องการแย่งชิงอะไรบางอย่างเป็นจำนวนมาก แม้สุดท้าย สิ่งที่เจ้าแย่งชิงกันจะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการอย่างแท้จริงก็ตามที” แม่เฒ่าส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
           “ไม่นานนักหลังจากการล่มสลายของเมืองนาเทียร์ ผู้มีอาคมราวห้าร้อยคนตัดสินใจรวมตัวกัน เสกอาคมเพื่อผนึกให้สระน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อยู่ในอีกมิติหนึ่ง มิติที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ เว้นแต่ผู้มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ผู้ที่มีปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเข้าไปยังสถานที่แห่งนี้เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าต้องมีความมุ่งมั่นมากขนาดไหนถึงจะสามารถเข้าไปยังดินแดนนี้ได้
           มีคนพยายามแสวงหาทางเข้าสระน้ำพุนั่นมามากกว่าศตวรรษแล้ว แต่แน่นอนมันอันตรายมาก หลายคนตาย หลายคนยอมแพ้ หลายคนไปถึงแล้วและไม่ได้กลับมาอีกเลยก็มี” 
           “ตายเลยเหรอ” แหวนพึมพำ ดูหวาดกลัว
           “แล้วท่านแม่เฒ่าพอจะทราบวิธีช่วยฉันบ้างได้หรือไม่” กัณหาทวนย้ำอย่างมีความหวัง “ท่านอาจารย์บอกฉันแต่เพียงว่า ถ้าเดินทางครบพันโยชน์ก็จะพบเส้นทางเข้าสู่สระน้ำพุได้
           “อย่างที่ข้าบอก การเข้าสู่ดินแดนนั้นไม่มีเส้นทางที่แน่ชัด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าต้องเดินทางไปไหน เดินทางอย่างไรจึงจะเข้าไปสู่ดินแดนนั้นได้ มันอาศัยช่วงเวลาที่เหมาะสม เมื่อประตูระหว่างมิติเปิดออกจากปรารถนาที่แรงกล้าของเจ้าในการเข้าสู่ดินแดนนั้น เจ้าจึงจะเดินทางผ่านเข้าไปสู่สระน้ำนั้นได้ ซึ่งก็อย่างที่ข้าบอก ไม่มีใครรู้ว่าต้องมีความมุ่งมั่นมากขนาดไหนถึงจะเปิดประตูมิตินี้ได้ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองถามเจ้านกเพื่อนยากของเจ้านั่นสิ”
           เจ้านกการเวกที่เกาะอยู่บนพื้นสะดุ้งสุดตัว และหันมามองแม่เฒ่า 
           “ท่าน ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้าทะลุมิติเข้ามา” เจ้านกดูตกอกตกใจ
           “นกการเวกวิเศษในโลกนี้ไม่มีหรอกที่จะงดงามเสมอนกจากป่าหิมพานต์” แม่เฒ่าตอบ “มีคนกล่าวว่าสัตว์วิเศษในดินแดนของเราที่มีอาคมทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานของสัตว์จากป่าหิมพานต์ที่มาผสมพันธุ์กับสัตว์ธรรมดาๆในโลก เนื่องจากเป็นพันธุ์ผสม ก็จะไม่มีวันงดงามเสมอด้วยพวกพันธุ์แท้ที่มาจากป่าหิมพานต์จริงๆ”
           “นกเนี่ยเหรอ วิเศษ” แหวนคว้าตัวเจ้านกการเวกมาจับหมุนดูรอบตัว ยกปีกขึ้นมาสำรวจ “ไม่เห็นทำอะไรได้ นอกจากร้องโหวกเหวกโวยวายเสียแต่เท่านั้น”
           “ปล่อยข้า” จี้ดร้องลั่น ในขณะที่อาติกลั้นขำจนตัวสั่น กัณหาเองก็แอบยิ้มตามไปด้วยกับท่าทีของแหวน
           “เจ้าอย่าดูถูกนกจากป่าหิมพานต์ไป เด็กน้อย” แม่เฒ่าอดขำท่าทีของแหวนกับจี้ดไม่ได้
           “ข้าว่า ข้อดีอย่างเดียวของเจ้านี่คือ ถ้าอดอยากมากจริง เอามาปิ้งกินคงอิ่มใช้ได้ เนื้อปีกนี่แข็งไปหน่อย แต่สะโพกนี่ใช้ได้อยู่” ว่าแล้วก็จิ้มเนื้อสะโพกให้แม่เฒ่าดู “แต่จะอร่อยรึเปล่านั่นอีกเรื่องนะ”
           “เจ้านี่มัน” นกโวยวายลั่น พยายามหนีจากอุ้งมือของแหวน  ในระหว่างนั้นเอง แหวนปล่อยเจ้านกทันทีทันใดจนเจ้านกถึงกับหล่นลงไปหัวฟาดพื้นอย่างจัง 
           “โอ๊ย จะปล่อยทำไมไม่บอกก่อน” เจ้านกโวยวาย ขณะกัณหาช่วยจับพยุงให้เจ้านกนั่งบนพื้นได้อีกครั้ง จี้ดเอาปีกคลำหัวตัวเอง หันไปมองแหวนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ด้วยสายตาขุ่นเขียว ก่อนเริ่มเล่าเรื่องของตน “ข้าถูกคำสั่งของฝูง ขับออกจากป่าหิมพานต์ ข้าจึงต้องออกมาอยู่ในเมืองมนุษย์ เพียงตั้งจิตว่าจะออกมาที่นี่ข้าก็บินมาโผล่ที่เมืองมนุษย์นี้เลย”
           “ขอบใจย่ะ ช่วยมากเลย” แหวนประชดประชัน  อาติกับกัณหาพากันกลั้นหัวเราะ
           “ก็อย่างที่นกการเวกบอกนั่นแหละ การตั้งจิตมั่นทำให้เขาเดินทางจากป่าหิมพานต์ทะลุมิติมาสู่โลกมนุษย์ได้ ต้องอาศัยจิตที่มั่นว่าจะออกมา ประตูมิติจึงจะปรากฏ เช่นเดียวกัน ทางเข้าสู่น้ำพุวิเศษนั้น เจ้าต้องอาศัยพลังในทำนองเดียวกัน แต่มันไม่ง่ายดายนัก บางคนทั้งมุ่งมั่น ทั้งทุ่มเทอย่างไรก็ยังไม่อาจทำให้ประตูเชื่อมมิติไปสู่สระน้ำพุนั่นปรากฏได้ เพราะฉะนั้นบอกยากว่าจะต้องมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างไร มากแค่ไหนจึงจะเข้าไปยังที่นั่นได้ จนถึงได้มีการพูดกันเอาสนุกปากแบบที่เจ้าได้ยินจากอาจารย์เจ้านั่นแหละว่า หากเดินทางได้ครบพันโยชน์อะไรนั้นถึงจะเจอทางเข้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจะมีสักกี่คนกันที่จะออกเดินทางไกลขนาดนั้น”
           “มีฉันไง” กัณหาตอบทันที “ที่จะยอมเสี่ยงเดินทางไกลขนาดนั้นเพื่อไปหามัน”
           “โดยไม่รู้ว่าจุดหมายของเจ้าอยู่ที่ใดรึ” แม่เฒ่ามองเธออย่างตกตะลึง 
           “ใช่” กัณหายังคงยืนยันคำเดิม แล้วภาพของแม่นมยืนส่งยิ้มให้ก็ลอยขึ้นมาในใจของเธอ ภาพนี้เป็นภาพเดียวที่ทำให้เธอยังคงยืนหยัดเดินทางต่อไปได้
           การเดินทางจะไกลแค่ไหน จะวกวนอย่างไร แต่หากรู้แน่ว่าท่านรออยู่ที่ปลายทาง ฉันจะเดินไปแน่นอน
           แม่เฒ่ามองหน้ากัณหาอย่างชั่งใจสักพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ หากเจ้าตั้งใจมุ่งมั่นขนาดนี้ ข้าก็คงไม่อาจขัดได้หรอก หากเจ้าอยากเข้าไปที่นั่นจริง…” แม่เฒ่าดูครุ่นคิดหนักก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“เมื่อสามร้อยปีก่อนที่เมืองการายานี่ก็เคยมีสหายสามคนได้ออกเดินทางรอบโลกเพื่อหวังว่าจะได้เข้าไปสระน้ำพุนี่เหมือนกัน” แม่เฒ่าพูดช้าๆ “สาเหตุที่พวกเขาต้องการเข้าไปที่สระน้ำแห่งนั้นเพื่ออะไรไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆพวกเขาออกเดินทางรอบโลกและนำน้ำอมฤตกลับมาให้ชาวเมืองรักษากาฬโรคในที่กำลังระบาดในเมืองได้พอดี เหตุการณ์นั้นทำให้พวกเขากลายเป็นวีรบุรุษ มีชื่อเสียงเรียงนามและกลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว ในการเดินทางครั้งนั้นพวกเขาได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางของพวกเขาใส่ลงในสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง บันทึกนี้ต่อมาถูกเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งการายาและถูกคัดลอกไว้เป็นจำนวนมาก ข้าเองก็ได้มาเล่มหนึ่ง”
           แม่เฒ่าหลับตาและพึมพำคาถา ต่อมาไม่นานหนังสือเก่าเล่มหนึ่งปรากฏอยู่ในมือของแม่เฒ่า แม่เฒ่าส่งหนังสือเล่มนั้นให้กัณหารับไว้ มันเป็นหนังสือเล่มหนา ดูเก่าแก่มากจนกลายเป็นสีน้ำตาล หน้าปกกรอบ ขอบม้วนงอ หน้าปกลอกล่อนจนมองไม่เห็นสิ่งที่เขียนไว้ที่หน้าปกนี้
“นี่คือ..”