กัณหากับอาติเดินกลับมาที่เดิม เห็นช่วงกำลังเอาไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดบริเวณท่าเรืออย่างแข็งขัน

            “เป็นอย่างไร ไปคุยอะไรกับเขา” ช่วงทักเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้

            “แค่สนใจวิธีการเก็บกวาดโดยใช้อาคมของเขาขอรับ แต่เห็นท่าเขาจะหวงวิชาสักหน่อย” อาติว่าติดตลก “อ้อ แล้วผู้หญิงสองคนนั้นบอกว่า ตอนนี้ทุกคนในเมืองนี้มาช่วยกันเก็บกวาดท่าเรือกันหมด อาจจะซื้อผ้าใบเรือไม่ได้”

            “นั่นไง ซวยตลอดการเดินทาง” ช่วงถอนใจเมื่อได้ยิน “สงสัยเราก้าวขาผิดข้างออกจากเขาริมอ่าวถึงได้ซวยตลอดทางขนาดนี้”

            “หรือตั้งแต่อยุธยา” กัณหาอมยิ้ม ช่วงชะงักแล้วก็หัวเราะขำขัน 

            “ข้าว่าที่พวกนางพูดน่าจะจริง ดูนั่น พวกนั้นมาแล้ว” อาติชี้มือไปด้านหลังพวกเขา  กัณหามองตามไปเห็นแอเรียนและลูกเรือคนอื่นๆ กำลังเดินมาทางพวกเขาโดยไม่มีผ้าใบเรือติดมือมาด้วย

            “เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ แอเรียน สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดี” ช่วงทัก เขารู้สึกว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดีแน่นอน

            “ผ้าใบเรือขาดตลาด คนขายผ้าใบเอาผ้าใบไปซ่อมแซมเรือของที่นี่จนหมด แม้แต่เรือของที่นี่เองก็ต้องรอต่อคิวด้วยเช่นกัน”

            “แปลว่าเราต้องรออยู่ที่นี่จนกว่าจะมีของอย่างนั้นหรือ” ช่วงชะงักไป ดูท่าสถานการณ์เลวร้ายของพวกเขายังไม่จบสิ้นเสียทีเดียว

            “ใช่แล้ว ตอนนี้มีพ่อค้าอีกเจ็ดแปดคนกำลังเดินทางไปบันจาร์บารีโต เพื่อขอซื้อผ้าใบเพิ่ม เขาบอกว่าให้เรารอของอีก หนึ่งถึงสองสัปดาห์น่าจะได้” แอเรียนยิ้มแหยๆให้ทั้งสาม “เราคงต้องรอ”

            “เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นมากนักหรอกนะ” ช่วงถอนใจ

 

            

            ระหว่างรอผ้าใบเรือมาถึง พวกเขาก็ไม่มีอะไรทำมากนัก จะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมืองก็ล้วนปิดทั้งหมด เพราะทุกคนมาช่วยกันอยู่บริเวณชายหาด กัณหากับอาติจึงขอลงไปเดินที่ชายหาดเพื่อแอบดูการเก็บกวาดชายหาดของชาวเมือง หลังจากวันนั้นกัณหาเห็นมีอีกหลายคนทำแบบเดียวกัน คือหันหลังชนกันและเริ่มเสกอาคมด้วยการทำท่าที่เหมือนกันเป็นกระบวนท่า หลังจากนั้นเศษวัสดุต่างๆก็เริ่มกลับขึ้นมาประกอบร่างกันใหม่ด้วยตนเอง แม้บริเวณพื้นที่โดยรอบตัวผู้เสกอาคมจะยังสกปรกอยู่ อีกสักพักพวกเขาจะร่ายอาคมอีกครั้งเพื่อทำให้พื้นที่รอบตัวสะอาดเหมือนเดิม สิ่งที่น่าทึ่งคือ หลังจากผ่านไปแค่วันเดียวพื้นที่บริเวณชายหาดและท่าเรือก็ได้รับการทำความสะอาดจนเกือบเสร็จ

            “พรุ่งนี้เสร็จหมดแน่” อาติออกความเห็น สายตายังสอดส่ายไปรอบตัว “ทำความสะอาดเร็วมาก”

            “เราลองทำดูบ้างไหม” กัณหาชักชวน เธอแอบดูท่าทางเสกอาคมของพวกเขาจนจำได้ขึ้นใจแล้ว 

            “ทำอย่างไร ข้าทำไม่เป็นนะ” อาติทำหน้าฉงน 

            “นี่ทำแบบนี้…” กัณหาทำท่าเสกอาคมให้อาติดู อาติทำตาม  “ท่านี้จะทำให้เศษต่างๆกลับไปประกอบกันเหมือนเดิม ส่วนท่านี้จะทำให้พื้นที่รอบตัวสะอาดขึ้นในทันใด”

            “ยากมากจริงๆ” อาติลองขยับแขนตามกัณหาหลายรอบ แต่ก็ยังไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ “ทำให้ดูช้าๆสิ ข้าตามไม่ทัน”

            กัณหาทำให้อาติดูอีกหลายรอบจนอาติเริ่มจำท่าทางได้แล้ว ทั้งคู่ค่อยลองหันหลังชนกันและทำท่าที่ฝึกมา 

            “อาจต้องตั้งสมาธิให้ข้าวของพวกนี้ลอยกลับที่เดิมอะไรประมาณนี้” อาติเสนอ “เริ่มทำพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง สาม…”

            ผลที่ได้จากการฝึกคาถาดูตลกนัก ข้าวของรอบตัวพวกเขาแค่ลอยขึ้นแล้วตกลงไปเหมือนหมดกำลังใจ ทำให้ของแตกหัก พื้นที่เต็มไปด้วยเศษซากและฝุ่นฟุ้งกระจาย

            “คาถาบางอย่างแค่เลียนแบบท่าทางตามได้ ไม่ได้แปลว่าจะเกิดผลได้ตามนั้น” เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากพวกเขานัก กัณหากับอาติหันไปมอง หญิงชราชาวบันจาร์การายาคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก กัณหามีความรู้สึกแปลกๆว่าหล่อนแอบมองพวกเขามาสักพักแล้ว “เจ้าต้องเข้าใจหัวใจของคาถาก่อน จึงจะฝึกได้ และต้องฝึกอีกนานถึงจะเกิดผลได้ตามต้องการ” หล่อนพูดด้วยเสียงแหบพร่าคล้ายกับจะสั่งสอน “หากเจ้าไม่เข้าใจหัวใจของคาถานี้ ต่อให้ฝึกไป มันก็ไม่มีวันเกิดผลอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ”

            “แล้วหัวใจของคาถานี้คือสิ่งใดเล่าแม่เฒ่า” อาติโค้งให้หล่อน “โปรดช่วยชี้แนะแก่ข้าและน้องสาวด้วยเถิด”

            หญิงชราหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “ได้สิ แต่ข้ามีข้อแม้นะ”

            “ข้อแม้อะไรหรือท่าน”

            “ข้าจะสอนให้ก็ต่อเมื่อเจ้าบรรเลงอังกะลุงในงานเฉลิมฉลองหลังจากเราซ่อมท่าเรือเสร็จในต้นสัปดาห์หน้า หากเจ้าทั้งบรรเลงเพลงได้ไพเราะจับใจข้าละก็ ข้าจะสอนให้”

            “อังกะลุง?” กัณหากับอาติพูดพร้อมกัน พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่ออะไรแบบนี้มาก่อน

            “เครื่องดนตรีพื้นเมืองของเรา เราใช้เล่นในงานสำคัญต่างๆ สองเดือนที่ผ่านมาเราเจอคลื่นยักษ์ทำลายท่าเรือมาสองรอบ กรมการเมืองของเราอยากสร้างขวัญกำลังใจให้ชาวเมือง จึงจัดงานรื่นเริง ในงานจะมีการแสดงอังกะลุงด้วย ตอนนี้เขายังขาดอีกสองคน หากเจ้าเข้าร่วมแสดงละก็ ข้าจะสอนให้เป็นการตอบแทน”

            กัณหากับอาติได้แต่มองหน้ากัน รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร

            “พวกเราไม่มีความรู้เรื่องดนตรีเลย” กัณหาคอตก “ฉันไม่เคยแตะเครื่องดนตรีเลยตั้งแต่เกิด หากจะฝึกดนตรีภายในเวลาไม่กี่วัน ฉันว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ฉันเคยได้ยินว่าเขาฝึกกันเป็นปีๆกว่าจะเล่นได้”

            “เอาน่าไม่ยากหรอก” หญิงชราคว้าข้อมือเด็กทั้งสอง พาเดินไปที่ปะรำสีน้ำเงินที่อยู่ไม่ไกลนัก “ฝึกเล่นไม่ยากหรอกสัปดาห์เดียวก็เป็น”

            

 

 

            “แล้วพวกท่านก็เออออไปกับเขา” แหวนอุทานอย่างเหลือเชื่อในตอนเย็น เมื่อได้ยินว่ากัณหากับอาติไปเข้าร่วมฝึกการแสดงอังกะลุงกับเด็กๆคนอื่นในเมือง “ท่านจะบ้าหรือไง ข้าว่าพวกเขาแค่ขาดคนก็เลยมาหาคนไปแสดง แล้วพวกท่านก็เชื่อเสียอย่างนั้น”

            “ก็นั่นแหละ” อาติถอนใจ คอตกพอๆกับกัณหา “จริงๆเล่นอังกะลุงไม่ยากหรอกนะ ที่ยากคือเล่นให้เข้ากับคนอื่นมากกว่า”

            “ข้าว่าดีออก ตอนข้าเดินผ่านปะรำนั่น ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีลอยมาแต่ไกล เสียงเพราะดี ข้าไม่เคยได้ยินเสียงอะไรแบบนี้มาก่อน ไหนๆเราก็ต้องรอผ้าใบเรืออยู่แล้ว ไปฝึกเล่นดนตรีคลายเครียดระหว่างรอสนุกดีออก เจ้าน่าจะไปด้วยอีกคน”

            “สนุกกะผีนะสิ” แหวนเบะปากใส่เขา “ข้าไม่ไปแน่ๆละ”

            นับตั้งแต่วันนั้นมาอาติและกัณหาไปที่ปะรำสีน้ำเงินทุกวันเพื่อฝึกอังกะลุง เครื่องดนตรีไม้ไผ่อันเล็กๆประกอบด้วยไม้ไผ่สองกระบอกอยู่ในรางกรอบที่ทำจากไม้ เครื่องดนตรีนี้สามารถทำให้เกิดเสียงด้วยการแกว่งรางไปข้างๆให้กระบอกไม้ไผ่เขย่าแล้วจะเกิดเสียง เครื่องดนตรีหนึ่งชิ้นจะทำให้เกิดเสียงตัวโน้ตได้เพียงหนึ่งตัว เพราะฉะนั้นเวลาจะเล่นเป็นเพลง จะต้องเล่นพร้อมกันหลายคนให้ครบตามจำนวนโน้ตที่มีในเพลง แต่ละคนจะแกว่งเครื่องดนตรีเฉพาะโน้ตของตัวเอง ในส่วนการทำให้อังกะลุงเกิดเสียงนะไม่ยากจริงเหมือนที่หญิงชราคนนั้นบอกไว้ สิ่งที่ยากคือการเล่นให้เป็นเพลง เพราะต้องเล่นพร้อมกันหลายคนและต้องเล่นให้ตรงจังหวะ วงอังกะลุงที่พวกเขาไปฝึกมีแต่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกับกัณหาและอาติ มีชายสองคนช่วยฝึกเด็กๆและควบคุมวง วงนั้นมีทั้งเด็กหญิงและชาย โน้ตหนึ่งตัวจะมีคนแสดงสองคน คือ เด็กผู้หญิงหนึ่งคนและเด็กผู้ชายหนึ่งคน กัณหาได้เล่นตัวโน้ตชื่อลิมา ส่วนอาติได้เล่นโน้ตตัวบารัง พวกเขาฝึกซ้อมรวมวงทั้งวันตั้งแต่เช้าจนพระอาทิตย์ตกดินจึงแยกย้ายกัน กัณหาเป็นมือใหม่เพิ่งเคยเล่นเครื่องดนตรีนี้เป็นครั้งแรก จึงมักเล่นผิด เช่น เล่นก่อนจะถึงจังหวะที่ตนเองต้องเล่น  เล่นช้าหรือนานเกินกว่าจังหวะที่ต้องเล่น ทำให้เสียงเพลงฟังดูเพี้ยนบ่อยๆ กัณหานึกสงสัยว่าการเอาเธอมาเล่นในวงอาจจะทำให้วงฝึกได้ช้าลงและเพลงไม่เพราะเท่าที่ควร จนบางทีอาจถึงขั้นวงล่มได้

            “มันไม่ยากขนาดนั้นซะหน่อย” เด็กหญิงผิวคล้ำที่ชื่อปาหนันปลอบใจกัณหา “แค่เจ้ายังไม่ชำนาญเท่านั้นเอง ฝึกไป ฝึกไปทุกวันก็คล่องเอง”

            “ฉันกลัวว่าฉันจะเล่นผิดจังหวะ แล้วทำให้เพลงเพี้ยนไปหมด” กัณหาถอนใจ “ฉันไม่เคยเล่นดนตรีมาก่อน เคยแต่ฟัง พอมาเล่นเองก็ยังจับจังหวะไม่ถูก ฉันกลัวว่าขืนยังเล่นต่อไป อาจทำให้วงล่มได้ ฉันควรไปบอกคนคุมวงดีไหม ปาหนัน”

            “ไม่หรอกนะ ข้าเชื่อใจเจ้าเต็มที่” ปาหนันยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าพักก่อนก็ได้ ข้าเห็นเจ้าดูเคร่งเครียดเหลือเกิน เล่นดนตรีจะเล่นได้ไพเราะ จะต้องมีอารมณ์ดีด้วย”

            “ขอบคุณมากนะ” กัณหาเศร้าใจเล็กน้อย “ขนาดฉันเล่นผิดเกือบตลอดเวลาแบบนี้ ทุกคนในวงก็ยังดีกับฉันมาก แทบไม่มีใครตำหนิเลย ทุกคนเอาแต่พยายามช่วยฉันให้เล่นไปได้”

            กัณหานึกถึงเมื่อวานที่ทุกคนในวงมารวมตัวกันช่วยกัน บอกว่ากัณหากับอาติต้องเล่นตรงไหนบ้าง เขย่านานแค่ไหน บางคนถึงขั้นเล่นเองให้ดูเลยและให้พวกเขาเล่นตามทีละท่อน หลังจากฝึกครั้งนั้นอาติดูเหมือนจะทำได้คล่องขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะอาติเคยเล่นดนตรีมาก่อนตอนอยู่ที่วังมุก ทำให้เขาจับจังหวะได้เร็วกว่า เขาเล่นผิดอยู่หนึ่งถึงสองวันแรก มาวันนี้เขาก็เล่นเข้าจังหวะกับทุกคนได้ดีแล้ว เหลือแต่กัณหาคนเดียวที่ยังเล่นเข้ากับทุกคนไม่ได้ อาติพยายามช่วยกัณหาเต็มที่ ตอนกลางคืนหลังจากเลิกฝึกที่ปะรำไปแล้ว เมื่อพวกเขากลับมาพักที่เรืออาติก็ช่วยสอนกัณหาต่อจนถึงดึกดื่น

            “การเล่นอังกะลุงจะเพราะได้ ไม่ใช่ว่าตัดตัวโน้ตที่เล่นไม่เพราะทิ้งไปนี่ เพราะโน้ตทุกตัวมีความสำคัญเหมือนกันหมด ถ้าโน้ตไม่ครบก็ไม่เป็นเพลง” ปาหนันส่งขนมของว่างให้กัณหา “แทนที่เจ้าจะตำหนิคนที่เล่นไม่ได้ เจ้าต้องช่วยให้เขาเล่นเข้ากับวงได้ดี เพราะถ้าโน้ตผิดหนึ่งตัว เพลงอังกะลุงของเจ้าก็เพี้ยน วงจะไปได้ดีทุกคนต้องไปพร้อมกัน ต้องฝึกฝนร่วมกันให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ เพราะนั้นเจ้าไม่ต้องโทษตัวเองหรอก ไม่ใช่ว่าเจ้าเล่นไม่ดี แค่เจ้ายังเล่นได้ไม่เข้ากับวงเท่านั้นเอง สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าต้องฝึกเล่นกับพวกเราบ่อยๆ”

            กัณหารับขนมมากินแล้วก็แอบป้ายน้ำตาไม่ให้ปาหนันเห็น

            “เดี๋ยวกินเสร็จไปฝึกอีกที ข้าว่าที่เจ้ายังเล่นไม่เข้ากับคนอื่น เพราะเจ้าไม่ค่อยฟังคนอื่นเล่นนะ เจ้ารอแต่จะเล่นตัวโน้ตของเจ้าอย่างเดียว เจ้าต้องฟังคนอื่นเล่นด้วยสิ จะได้รู้ว่าจังหวะไหนเจ้าควรจะเล่น”

            “หมายความว่ายังไง” กัณหาเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ

            “เนี่ย ลองดูสิ ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อไหร่จะถึงตัวโน้ตที่เจ้าต้องเล่น ให้เจ้าฟังคนอื่นเล่น และจำว่าตอนไหนที่เจ้าต้องเล่น” ปาหนันหลับตาและร้องเพลงที่พวกเขากำลังฝึกเล่นให้ฟัง เมื่อถึงตรงตัวโน้ตของเธอปาหนันก็แกว่งเครื่องดนตรีของกัณหาได้ตรงจังหวะ “ถ้าเจ้าจะเล่นดนตรีพร้อมคนอื่น เจ้าต้องฟังคนอื่นเล่นก่อน ลองดูสิ”

            กัณหาลองทำตาม เธอหลับตาไม่ดูโน้ตเหมือนที่ปาหนันทำ และลองแกว่งเครื่องดนตรีตรงที่คิดว่าเป็นจังหวะของเธอ

            “นี่ไง เจ้าทำได้” ปาหนันยิ้ม “ลองอีกที”

            เมื่อเริ่มต้นการฝึกอังกะลุงตอนบ่ายอีกหน กัณหาลองทำตามที่ปาหนันพูดคือ ฟังเสียงดนตรีเป็นหลักแล้วค่อยเล่นตามจังหวะของดนตรี หลังจากการฝึกในตอนบ่ายวันนั้นเสร็จ ทุกคนในวงก็พากันชมว่าเธอเล่นได้ดีขึ้นมากและแวะเวียนมาให้กำลังใจเธอ

            “เยี่ยมเลย กัณหา”

            “ยอดเยี่ยม”

            “นี่ไง เข้าจังหวะได้แล้วฮ่ะฮ่า”

 

 

            และแล้ววันแสดงดนตรีในงานฉลองท่าเรือใหม่ก็มาถึง กัณหารู้สึกตื่นเต้นมาก หนึ่งวันก่อนหน้านั้น เธอได้รับแจกชุดแบบชาวบันจาร์การายามาใส่ กัณหาชอบมากชุดนี้มันประกอบด้วยเสื้อสีส้มแขนยาว ผ้าสไบผืนเล็กสีฟ้าไว้พาดบ่าและผ้าซิ่นผืนยาวสีน้ำตาลทอง อาติก็ได้ชุดใหม่เช่นกันเป็นเสื้อสีขาวกางเกงสีน้ำตาลทอง ทุกชุดถูกตัดให้ขนาดพอดีกับนักแสดง วันนี้เธอใส่ชุดนี้ตั้งแต่เที่ยงเพื่อไปซ้อมใหญ่รอบสุดท้ายก่อนจะได้เข้าร่วมการแสดงในเย็นวันนี้ เมื่อช่วงและลูกเรือคนอื่นๆเห็นต่างชมว่าสวยงามมาก แม้แต่แหวนก็ยังอมยิ้ม

            “ท่านกลายเป็นชาวบันจาร์การายาไปแล้ว” ช่วงว่า “ชุดนี้สวยมากเหมาะกับท่านทีเดียว ดูแปลกตามาก”

            “ขอบใจมาก” กัณหาบอก ก่อนจะเดินตามอาติไปยังปะรำสีน้ำเงิน

            “ตื่นเต้นไหม” ปาหนันถามเมื่อเจอกันที่ปะรำ 

            “นิดหน่อย กลัวเล่นผิด” กัณหารู้สึกว่าเธอใจสั่นมือเย็นเฉียบ ปาหนันยิ้มเอามือมากุมมือเธอไว้

            “ไม่ต้องตื่นเต้น คิดซะว่ามันคือการซ้อมอีกครั้ง” เด็กหญิงเพื่อนร่วมวงอีกคนบอก 

            “ใช่ไม่ต้องกลัวเล่นผิด ทำเต็มที่เหมือนทุกทีก็พอแล้ว”

            “จ้ะ” กัณหารับคำ เพื่อนร่วมวงของเธอพากันยิ้ม

            “รู้อะไรไหม” กัณหาเอ่ยขึ้นกับปาหนันระหว่างที่พวกเขาหยิบเครื่องดนตรีเตรียมออกไปแสดง “ฉันว่าฉันเข้าใจที่ผู้เฒ่าบอกแล้วล่ะ ว่าหัวใจของคาถาที่ทำพร้อมกันคืออะไร บางทีมันอาจไม่ใช่แค่หัวใจของคาถาเท่านั้น แต่อาจเป็นหัวใจของการายาด้วยเช่นกัน เจ้าว่าไหม”

            ปาหนันมองกัณหาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจมันซะทีนะ”

            ครั้นพระอาทิตย์ตกดินพวกเขาค่อยๆทยอยกันเดินไปบริเวณลานกลางแจ้งใกล้ๆท่าเรือ บริเวณนี้กลับมาสะอาดสะอ้านเหมือนไม่เคยถูกคลื่นยักษ์ซัดมาก่อน หลังจากนั้นพวกเขาพากันเดินขึ้นไปยังบริเวณที่เป็นพื้นยกที่จัดไว้ให้นักแสดงอังกะลุงยืนเรียงกัน กัณหาเห็นคนมากมายนั่งลงบริเวณตรงหน้าพวกเขาเพื่อรอรับฟังพวกเขาเล่นอังกะลุง

            “สู้ๆ” ปาหนันกระซิบ บีบมืออันเย็นเฉียบของกัณหาเพื่อให้กำลังใจ

            “อือ” กัณหาชักเริ่มพูดไม่ออก เสียงเริ่มสั่น

            “ทุกคนครับ” เสียงประกาศดังลอยมา “ต่อไปเป็นการแสดงของคณะอังกะลุงแห่งการายา จะบรรเลงเพลงให้พวกเราฟัง เพื่อขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันเสียสละเพื่อสร้างท่าเรือขึ้นมาใหม่และเป็นกำลังใจให้เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ต่อไปครับ ขอเชิญรับฟังได้ตอนนี้ครับผม”

            มีเสียงเคาะจังหวะดังขึ้นก่อนวงอังกะลุงจะเริ่มบรรเลงเพลง เสียงเพลงจากอังกะลุงไม้ไผ่ก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงเพลงนั้นฟังดูไพเราะจนหลายคนที่นั่งฟังพากันซับน้ำตา

            “ไพเราะจริง ไม่น่าเชื่อว่ากระบอกไม้ไผ่ สามารถบรรเลงเป็นเพลงได้ไพเราะขนาดนี้” ช่วงที่ลงจากเรือมานั่งฟังดนตรีที่ลานกลางแจ้งเอ่ยขึ้น

            “ใช่ เพราะมาก ข้าไม่คิดว่าในโลกมนุษย์จะมีดนตรีที่ไพเราะขนาดนี้ ทำให้ข้าคิดถึงเสียงร้องเพลงของเพื่อนๆข้าในป่าหิมพานต์เลย” จี้ดรำพันขึ้นมา

            “เจ้าคงคิดถึงป่าหิมพานต์มากสินะ จี้ด” แหวนพูดขึ้นมา น้ำเสียงฟังดูเศร้าพิกลจนเจ้านกน้อยต้องหันไปมอง 

            “เจ้าเป็นอะไร”

            “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่คิดถึงบ้านเหมือนกัน พอฟังเพลงนี้แล้วทำให้คิดถึงบ้านขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไร” แหวนตอบ “ขอกอดหน่อยสิจี้ด”

            ช่วงหันมามองอย่างประหลาดใจ แต่ที่ประหลาดใจมากกว่าคือเจ้านกการเวกยอมให้แหวนกอดโดยไม่โต้แย้งเลย เขาได้แต่มองแล้วยิ้มเมื่อเห็นท่าทีเป็นมิตรแบบฉับพลันของทั้งคู่

            ใช่ ข้าก็คิดถึงบ้านเหมือนกัน เขารำพึงรำพันในใจ เพลงของชาวบันจาร์การายานี่มีเสน่ห์จริงๆอยู่ๆสามารถทำให้เราคิดถึงงบ้านของเราขึ้นมา

            ช่วงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีหมึกที่ปราศจากเมฆของเมืองบันจาร์การายา ตอนนี้เริ่มมองเห็นดาวสุกสว่างขึ้นมา ไม่มีฝุ่นควันจากภูเขาไฟหรือคลื่นยักษ์มารบกวนอีกต่อไป

            ภัยธรรมชาติคงยากที่มนุษย์จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ชาวบันจาร์การายาแปรเปลี่ยนความสามัคคีให้เป็นพลังที่สวยงามที่แม้แต่ภัยธรรมชาติก็ไม่อาจพรากมันไปจากชาวเมืองได้

            อาจเพราะความสามัคคีนี่ละกระมั้ง ทำให้บันจาร์การายาเมืองที่โดนคลื่นยักษ์ถล่มถึงสองครั้งสองคราสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง