กัณหาตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าอีกวัน เธอเดินตามทางเดินเล็กๆเข้าไปที่สระน้ำเล็กที่อยู่ในป่าไม่ไกลจากชายหาดมากนัก หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอก็กลับมาที่โรงอาหารที่เจ้างูบอกไว้ 

          การมาโรงอาหารนี่แหละทำให้กัณหาได้รู้ว่าที่เขาริมอ่าวมีคนอยู่เยอะแค่ไหน ภายในโรงอาหารเต็มไปด้วยผู้คนมากมายทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และสัตว์ประหลาดต่างๆสุดจะพรรณนา ทุกคน(และตัว)ล้วนนุ่งขาวห่มขาว เหมือนท่านอาจารย์ไม่มีผิดเพี้ยน บางคนใส่สร้อยประคำไว้ที่คอด้วย ทุกคนดูจะอยู่ในอาการสงบนิ่งจนกัณหาไม่กล้าแม้แต่จะร้องทักเจ้าผีพรายที่อยู่ห่างไปไม่ถึงวา 

          “งง อะไรรึ” เจ้าผีพรายลอยมาใกล้ๆ เมื่อเห็นกัณหาดูอึ้งที่เห็นผู้คนมากขนาดนี้

          “พวกเขาเป็นใครกัน” เด็กน้อยกระซิบ มองไปรอบๆ เห็นหลายคนกำลังตักข้าวและผักผลไม้ อีกหลายคนถือจานข้าวมานั่งกินที่โต๊ะไม้ไผ่อย่างสงบ โดยไม่มีเสียงพูดคุยกันแม้สักแอะ ทั้งที่มีคนมากขนาดนี้

          “เหล่าบรรดาลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ ที่กำลังฝึกสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่” เจ้าผีพรายกระซิบตอบ “ต้องรักษากิริยามารยาทให้สำรวมทุกครั้ง แม้เวลากินอาหาร”

          “มีกี่คนกัน” กัณหาถาม 

          “สักห้าสิบได้มั้ง” เจ้าผีพรายยิ้มให้ มองไปรอบๆเหมือนจะนับหัวคนเหล่านั้น “เจ้าสนใจไปปฏิบัติสมาธิกับพวกเขาไหมละ ข้าพาไปได้นะ ช่วงนี้เจ้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนิ พวกเพื่อนเจ้าก็ยังไม่ฟื้นไม่ใช่เหรอ”

           “ฉันยังไม่ได้ไปเยี่ยมเพื่อนๆเลย” กัณหาว่า รู้สึกกลัวคนอื่นๆนิดหน่อย เพราะท่าทีที่สำรวมเกินไปของพวกเขาราวกับว่ามาจากคนละโลกกับเธอ ขนาดว่าทั้งชีวิตเธออยู่แต่ในวังที่มีกฎระเบียบมากมาย ผู้คนก็ยังดูไม่สำรวมขนาดนี้

           “โอ๊ย ไม่ยากหรอกประเดี๋ยวข้าพาไป” อีกฝ่ายขยิบตาให้อย่างอารมณ์ดี  “เจ้าไปเองไม่ได้เยี่ยมไข้แน่”

          กัณหาเดินไปตักอาหารใส่ลงถาดหลุมก่อนเดินกลับมานั่งกินที่โต๊ะอย่างเจี๋ยมเจี้ยม ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว เจ้าผีพรายที่ลอยอยู่ข้างๆกลั้นขำ กัณหาพยายามรีบกินอาหารให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ออกจากโรงอาหารที่เงียบและน่าอึดอัดเช่นนี้ 

          เพล้ง!!! 

          กัณหากับผีพรายหันไปมองเห็นหญิงชราคนหนึ่งเอ่ยขอโทษขอโพยชายอีกคนหนึ่งที่ขาของเขาเต็มไปด้วยข้าวที่หกจากจานลงมาเปรอะเปื้อน 

“ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอกหญิงชราอย่างอ่อนโยน โบกไม้โบกมือเหนือจานเหล่านั้น สักพักจานที่ตกแตกก็กลับมาต่อกันกลางอากาศ ข้าวที่หกบนพื้น ก็เหาะมารวมกันบนจานได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

“เขาทำได้ยังไง” เด็กหญิงมองอย่างตกตะลึง 

“อาคมอย่างไรละ” เจ้าผีพรายมองตามสายตาเธอไป “ตกใจอะไรเยอะแยะ เมื่อวานก็ได้เห็นอาคมมาบ้างแล้วไม่ใช่รึ”

“อาคม?” อีกฝ่ายทวน “ท่านดูไม่ตกใจเลย แสดงว่าทุกคนที่นี่ใช้อาคมได้เป็นเรื่องปกติงั้นหรือ”

“ก็ไม่เชิง” เจ้าผีพรายเอียงคอไปมา “บางคนฝึกแทบตายก็ใช้ไม่ได้ บางคนฝึกประเดี๋ยวเดียวก็ใช้ได้คล่องแคล่ว”

“ฉันเคยได้ยินหมื่นช่วงบอกว่าท่านอาจารย์มีอาคม” 

“ใช่สิ ทุกคนที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านที่นี่ก็เพื่อว่าจะได้ฝึกอาคมให้แก่กล้าทั้งนั้นแหละ” ผีพรายหรี่ตามองเด็กน้อยอย่างประหลาดใจ “ข้าคิดว่าเมื่อวานที่เจ้าขึ้นไปพบท่านอาจารย์ เจ้าจะไปฝากตัวของเป็นศิษย์ท่าน ก็ไหนบอกเองว่ามาขอให้ท่านช่วย ข้าก็นึกว่าขอให้ท่านช่วยสอนอาคมเจ้าเสียอีก แล้วเจ้ามาขอให้ท่านช่วยเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่ต้องการมาเรียนอาคม” 

“ฉันมาขอคำแนะนำเรื่องการตามหาน้ำอมฤต” กัณหาตอบอย่างไม่อ้อมค้อม ก็ถ้าอาคมยังเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่นี่ เรื่องแปลกประหลาดอย่างน้ำอมฤทธิ์ก็คงกลายเป็นเรื่องปกติไม่ต่างกัน 

“น้ำอมฤตหรือ แล้วเจ้าจะเอามันไปทำอะไรละ” 

“แม่นม ผู้หญิงที่เลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็กเพิ่งตายไปก่อนวัยอันควร ฉันจึงออกตามหาน้ำอมฤตเพื่อเอามาชุบชีวิตแม่นมให้ได้” กัณหาถอนใจ “ฉันอยากเจอท่านอีกครั้ง”

เจ้าผีพรายชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “แล้วท่านอาจารย์บอกเจ้าว่าอย่างไรละ”

“ท่านบอกว่าฉันต้องเดินทางให้ครบพันโยชน์ก่อนจึงจะพบหนทางเข้าสู่สระน้ำพุที่น้ำอมฤตอยู่” กัณหาเล่าต่อ 

“เดินทางครบพันโยชน์” เจ้าผีหัวเราะเบาๆในคอ “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เจ้าไม่รู้รึว่าพันโยชน์ไกลแค่ไหน ไกลจนเจ้าอาจท้อจะเลิกไปก่อน ข้าว่าเจ้ากลับบ้านเสียเถิด มันคุ้มกันเหรอที่ต้องออกเดินทางไกลแสนไกล แถมยังอาจเสี่ยงอันตรายขนาดนี้”

“ฉันต้องไปให้ได้ อุตส่าห์มาขนาดนี้แล้ว” กัณหามองผีพรายด้วยแววตามุ่งมั่น

เจ้าผีพรายมองเด็กหญิงแล้วนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ถ้างั้นข้าว่าเจ้าควรไปขออาจารย์สอนอาคมให้เจ้า  ถ้าเจ้าคิดจะเดินทางพันโยชน์จริง เพราะเส้นทางในโลกนี้ทั้งน่ากลัว และเต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมาย เด็กตัวเล็กๆอย่างเจ้าจะเดินทางไกลขนาดนั้นได้ไง ถ้าไม่มีวิชาติดตัวไว้ป้องกันตัวบ้าง ข้าว่าเจ้าอาจตายตั้งแต่โยชน์แรกๆ”

“ท่านพูดเหมือนมันเรียนได้ง่ายดายเสียอย่างนั้น ก็ไหนท่านบอกว่า บางคนฝึกแทบตายก็ใช้ไม่ได้”

เจ้าผีพรายหัวเราะในคออีกครั้งก่อนขยิบตาให้กับกัณหาและเอ่ยว่า “อาคม เวทมนตร์ พลังจิต หรืออะไรก็แล้วแต่เจ้าจะเรียก สิ่งนี้เป็นพรสวรรค์พิเศษที่ไม่ได้มีในทุกคน มันก็เหมือนบางคนรบเก่ง จับฝึกดาบประเดี๋ยวเดียวก็ออกรบได้ ในขณะที่บางคนเล่นดนตรีเก่ง บางคนวาดภาพเก่ง อาคมก็เป็นเช่นเดียวกัน ถ้าเจ้ามีแววมีพรสวรรค์และได้รับการฝึกฝนสักหน่อย ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำได้ดี”

“อะไรทำให้ท่านคิดว่าฉันมีแววละ” อีกฝ่ายยังสงสัย

“อ้าว ข้านึกว่าเจ้าได้คุยกับท่านอาจารย์แล้ว แปลกเสียจริง ข้านึกว่าท่านอาจารย์ต้องชวนเจ้าเรียนอาคมเสียอีก” ผีพรายมองมาทางกัณหาอย่างสงสัย “ที่พวกข้าคิดว่าเจ้ามีอาคม เพราะเจ้าสามารถข้ามทะเลอาคมเข้ามาได้อย่างไรละ ถ้าไม่มีอาคมเลยก็จะเป็นเหมือนพ่อช่วงและเพื่อนๆของเจ้านั่น ตอนนี้ก็ยังนอนสลบไสลกันอยู่เลย”

“อ้าวก็เมื่อวานท่านบอกว่า เพราะฉันไม่ตอบโต้ อะไรสักอย่างไม่ใช่รึ ถึงรอดมาได้”

“ใช่ ข้าก็ไม่ได้เข้าใจมนต์นี้ดีนัก ข้ารู้แต่ว่าถ้าคนที่มีอาคมหลุดเข้ามาในทะเลนี้ แม้เขาจะไม่สลบ แต่เขาจะตอบโต้ทะเลอาคมด้วยอาคมของตนเอง พอใช้อาคมใด อาคมที่ใช้ก็จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวผู้ใช้เอง สุดท้ายไม่ว่าเจ้าจะมีอาคมหรือไม่ เจ้าก็จะถูกดักไว้ด้วยทะเลอาคมทั้งนั้น แต่ท่านอาจารย์คงไม่คาดคิดว่า จะมีผู้มีอาคมที่ไม่คิดจะตอบโต้เพื่อป้องกันตัวจากทะเลอาคมนี้ด้วย หลังจากที่เจ้าหลุดรอดเข้ามาที่นี่ได้ เราคงต้องหาวิธีการป้องกันใหม่เพื่ออุดช่องว่างที่เกิดขึ้นแล้วล่ะ”

“ท่านอาจารย์เสกทะเลอาคมขึ้นมาเพื่อไม่ให้มีใครเข้ามาที่นี่ได้เลยรึ ทำไม” กัณหาถามอย่างสงสัย “มีเหตุผลใดท่านถึงทำเช่นนั้น ท่านกลัวอะไรรึ”

“ท่านจะบำเพ็ญสมาธิ ไม่ใคร่ให้ใครมารบกวนมากนัก” เจ้าผีพรายดูหงุดหงิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก “ข้าก็บอกเจ้าหลายครั้งแล้ว”

“แค่เพราะกลัวใครมารบกวนถึงขั้นจะฆ่าคนที่จะมาหาเลยเหรอ” กัณหายังสงสัยไม่หาย “ก็แค่บอกให้ท่านมาบอกว่าไม่อยากพบจะไม่ง่ายกว่ารึ”

“ก็พวกข้าบอกแล้วเจ้าฟังที่ไหนละ” เจ้าผีพรายยังเถียง “เจ้าก็หาทางขอขึ้นไปพบท่านจนได้ เห็นไหมท่านก็ต้องออกจากสมาธิมาพบเจ้าอยู่ดี”

“แต่ตอนฉันขอพบท่าน ก็ไม่ได้ยากอะไรเลยนะ” เด็กน้อยยังสงสัยไม่เลิก พลางคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ตนไปพบท่านอาจารย์ 

“โอ๊ย เจ้าจะสงสัยอะไรมากมาย” เจ้าผีพรายโวยวายอย่างหงุดหงิด “จะไปเยี่ยมเพื่อนรึเปล่า ถ้าใคร่ไปก็ตามมา”  

กัณหาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเจ้าผีพรายหลบตาเธอ