37 ตอน หัวใจแห่งการายา(1)
โดย นกเป็ดน้ำ
เรือสำเภาแล่นห่างจากเกาะระกาตาออกมานานมากแล้ว แต่เสียงดังน่าสะพรึงกลัวนั่นยังคงดังก้องในหูของกัณหาอยู่ดี กลุ่มควันสีเทากลุ่มใหญ่ก็ยังคงลอยสูงขึ้นบนท้องฟ้าด้านที่พวกเขารู้ว่าเป็นตำแหน่งของเกาะระกาตา
“จะเกิดอะไรขึ้นกับชาวเมืองงาวี” กัณหาหันไปถามแอเรียนผู้ยังยืนมองไปกลุ่มควันที่ยังพวยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องบริเวณสุดขอบฟ้า
“ข้าไม่รู้” แอเรียนตอบ “ข้าไม่แน่ใจนักว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่รอดได้ในกลุ่มควันพวกนั้นหรอกนะ กลุ่มควันพวกนี้ดูหนาแน่นเกินไป”
“แหงละซิ” แหวนดูหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ใครรอดได้ก็แปลก ควันฟุ้งขนาดนั้น ลาวานั่นอีก แถมยังมีหินภูเขาไฟตกลงมาเหมือนห่าฝนอีก บุญเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ตายตามไปด้วย”
“แหวน” ช่วงปราม แอเรียนก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดเป็นอันมาก ลูกเรือคนอื่นๆได้แต่พากันส่ายหน้า
“ที่จริงแล้วไม่มีใครรู้หรอกว่าภูเขาไฟมันจะระเบิดแรงขนาดนี้ ชาวเมืองส่วนใหญ่ที่เราคุยด้วยตอนไปซื้อของ ส่วนใหญ่บอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลหรอก ประเดี๋ยวมันก็หยุดเอง เมื่อเดือนก่อนภูเขาไฟปะทุแบบนี้เหมือนกัน” อาติช่วยแก้ต่างให้แอเรียน
“สรุปคือทุกคนต่างประมาท” กัณหาส่ายหน้า “เพราะเคยมีประสบการณ์ว่าภูเขาไฟมันระเบิดแบบไม่รุนแรงมาก่อนแถมยังอยู่คนละฟากของเกาะคงไม่มีวันส่งผลกระทบมาถึง พอคาดว่ามันคงจะระเบิดคล้ายแบบเดิมอีก ทำให้ไม่มีใครพยายามหลบหนีออกจากเกาะ ไม่มีใครระวังว่ามันสามารถระเบิดทั้งเกาะให้เป็นจุณได้เช่นกัน”
“ยังไงก็ต้องขอบคุณกัณหากับแหวนนะ ที่หาซื้อของมาได้สำเร็จ” อาติชี้ไปที่ผักและเนื้อสัตว์ที่พวกเขาอุ้มวิ่งมาจากตลาด “ข้ากับท่านช่วง ยังไม่ทันจะได้ซื้ออะไรเลย แค่เห็นหินตกลงมาจากฟ้ายังกะห่าฝนก็พากันหนีแล้ว”
“ดีนี่” แหวนประชดประชัน ผลักห่อเนื้อสัตว์ให้พ้นตัว พวกลูกเรือพากันอาสาเข้ามาช่วยกันขนย้ายลงไปเก็บที่ท้องเรือ “พวกเราเกือบตาย”
“พวกเราสิต้องขอบคุณอาติ ถ้าไม่ได้อาติช่วยป่านนี้คงยังอยู่บนเกาะเป็นแน่” กัณหาหันไปหาอาติผู้ช่วยให้เธอรอดได้หวุดหวิด “แต่เราก็ดูใจร้ายนะ เหมือนเราทิ้งให้ชาวเมืองงาวีตายเลยแทนที่จะชวนพวกเขาหนีมาด้วยกัน”
“เราไม่มีปัญญาพาชาวเมืองทั้งหมดออกมาได้หรอก” แหวนถอนใจ “แล้วอีกอย่างพวกเขาก็ยังทนอยู่ในสภาพแบบนี้นะ ทั้งที่ภูเขาไฟเคยระเบิดรุนแรงมาแล้วหนหนึ่งเมื่อเดือนก่อนโดยไม่คิดหาทางอพยพแล้ว นี่มันประมาทชัดๆ ข้าว่าเผลอๆถ้าเราชวนพวกเขาออกมาอาจโดนด่ากลับ”
“บางคนก็อาจไม่มีที่ไป หรือไม่มีเงินทองพอจะเดินทางออกจากเกาะไปอยู่ที่อื่นก็ได้” ช่วงตอบทันที “เจ้าเคยอยู่อย่างอดๆอยากๆมาก่อน เจ้าน่าจะรู้ว่าคนไม่มีนะเป็นอย่างไร”
แหวนชะงักไม่พูดอะไร
“ไปทำแผลก่อนเถอะ” อาติรีบเบี่ยงประเด็น “แผลพวกเจ้าสองคนเต็มตัวไปหมด ไปขอยาที่ลูกเรือกัน”
หลังจากวันที่หลบหนีจากภูเขาไฟระเบิดได้อย่างหวุดหวิด กัณหายังคงหวาดกลัวและฝันร้ายเกี่ยวกับการวิ่งหนีภูเขาไฟระเบิดเกือบทุกคืน เธอตื่นกลางคืนบ่อยครั้งและได้แต่มานั่งที่หน้าต่างเรือเพื่อมองออกไปยังมหาสมุทรที่เวิ้งว้าง อาศัยลมเย็นจากทะเลช่วยสงบจิตสงบใจ เธอได้แต่หวังว่าหลังจากนี้จะได้เดินทางไปยังเกาะสุลาวารีอย่างสงบราบรื่น เมื่อวันถัดมาแอเรียนประกาศว่าพวกเขาจะไม่แวะเกาะไหนอีกแล้ว จะมุ่งตรงสู่เกาะสุลาวารีเลย
“ต้องขอบคุณแขกของเราที่ช่วยไปหาซื้ออาหารมาให้เรา แม้ปริมาณไม่มากนัก แต่ถ้าเรากินอย่างประหยัดข้าเชื่อว่าด้วยเสบียงเท่านี้เพียงพอที่จะไปถึงเกาะสุลาวารีได้” แอเรียนบอกทุกคน ลูกเรือหลายคนส่งเสียงโห่ร้องอย่างดีใจไม่ต่างกัน
แต่โชคร้ายที่แผนการของพวกเขาไม่เป็นไปตามนั้น เมื่อผ้าใบเรือที่บางส่วนเป็นรูจากหินภูเขาไฟที่ตกใส่แบบห่าฝน ตอนแรกมันเป็นแค่รูเล็กๆที่ไม่น่าจะส่งผลอะไร แต่พอเจอลมพัดแรงในวันต่อๆมา บริเวณที่เป็นรูบางส่วนเริ่มฉีกขาด ลูกเรือบางคนต้องปีนขึ้นไปซ่อมแซมผ้าใบเรือ พร้อมทั้งเปลี่ยนผ้าใบเรือบางส่วนที่เสียหาย และกลับลงมาพร้อมกับข่าวร้าย
“เราอาจต้องแวะเกาะการายา” ลูกเรือคนหนึ่งแจ้งแก่แอเรียน “ผ้าใบด้านบนฉีกขาดมาก ซ่อมแซมไม่ได้ อาจต้องเปลี่ยนอย่างเดียว ถ้าไม่เปลี่ยนมันอาจฉีกขาดเพิ่มเติมระหว่างทางได้”
“แย่จริง” แอเรียนมองไปรอบๆอย่างวิตกกังวล ราวกับพยายามหาตัวช่วย แต่ไม่มีใครเลยกล้าออกความเห็นในเรื่องนี้ กัณหารู้ดีว่าทุกคนไม่อยากแวะเกาะใดๆอีกแล้ว เพราะฝันร้ายจากระกาตายังชัดเจนในความทรงจำ แต่ถ้าไม่แวะ พวกเขาอาจจะเดินทางไม่ถึงเกาะสุลาวารี หลังจากประชุมปรึกษาหารือกันเป็นเวลานาน สุดท้ายแอเรียนก็ประกาศว่า พวกเขาจะแวะเกาะการายาด้วย กัณหาฟังด้วยรู้สึกใจหายพิกลที่ต้องแวะเกาะอีกครั้ง
“ที่เกาะการายาไม่มีภูเขาไฟ” แอเรียนรีบบอกทุกคน เมื่อเห็นสีหน้าของแหวน อาติและกัณหา “เป็นเกาะที่สงบเงียบ บ้านเมืองสวยงาม ผู้คนใจดี”
“ขอให้เป็นอย่างที่พูดเถอะ” แหวนกระซิบกับกัณหาที่ได้แต่ยิ้มแหยๆให้
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้า แต่ผ้าใบเรือของเราเสียหายค่อนข้างมากจากหินภูเขาไฟที่หล่นลงมา เราซ่อมแซมได้เพียงบางส่วน ผ้าใบเรือด้านบนจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะรอยฉีกมันอาจกว้างขึ้นอีกเมื่อเจอลมแรง ถ้าปล่อยไว้จะมีปัญหาในการเดินเรือในอนาคตได้ พวกเราจำเป็นต้องเข้าไปที่เกาะการายา เพื่อซื้อผ้าใบมาเปลี่ยน”
“หวังว่าเราจะได้กลับจากเกาะนั่นนะ ไม่ใช่เป็นผี…” แหวนพูดได้แค่นั้นเพราะโดนกัณหาเหยียบเท้าไว้
“รีบไปรีบกลับก็ดีจ้ะ” กัณหาพูดทันทีระหว่างที่แหวนนั่งกุมเท้า “ซื้อผ้าใบคงไม่นานใช่ไหม”
“ไม่นาน” แอเรียนตอบทันที ส่งยิ้มให้เธอด้วย “ซื้อเสร็จก็กลับ จะแบ่งอีกสองสามคนเอาไปแลกอาหารมานิดหน่อย”
“ดี คราวนี้ข้าขอรอบนเรือนะ” แหวนยืนยัน
“ได้ ไม่มีปัญหา” แอเรียนยิ้มแหยๆ “เมืองที่เราแวะไปชื่อเมือง บันจาร์การายา เป็นเมืองท่าที่มีชื่อเสียงมาก”
“ทำไมจู่ๆข้าเกิดเกลียดคำว่าเมืองท่าที่มีชื่อเสียงมาก” แหวนแอบกระซิบกระซาบ กัณหาได้แต่ยิ้มแหยๆอย่างไม่สบายใจ เธอเองก็รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
รุ่งเช้าวันต่อมาเรือของพวกเขาค่อยๆขยับเข้าใกล้เมืองบันจาร์การายาทุกที ทุกที กัณหารู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล เธอไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตั้งแต่ออกจากกรุงศรีอยุธยามา เธอไปเมืองใดก็ตาม ก่อนเข้าเมืองก็มักจะมีปัญหาตลอด ตอนเข้าไปเขาริมอ่าวก็เจอกับอาคมทะเลเลือด ตอนไปเมืองศรีวิชัยก็เจอปีศาจผี ตอนเข้าเมืองงาวีก็เจอภูเขาไฟ เธอเลยไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเข้าเมืองนี้โดยสวัสดิภาพหรือเปล่า
“นั่นไง ซวยแล้ว” คำพูดอาติสรุปเหตุการณ์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
ภาพตรงหน้าพวกเขาคือ บริเวณที่น่าจะเป็นท่าเรือของเมืองบันจาร์การายา บริเวณที่ควรมีสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ควรจะมีผู้คนคึกคัก เดินคุยกันไปมา มีเรือเข้าออกมากมาย ปรากฏว่าบริเวณนั้นกลับมีสภาพไม่ต่างจากท่าเรือเมืองศรีวิชัยไม่มีผิด ทุกสิ่งทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง ไม้ที่ใช้ทำท่าเรือแตกหัก เรือที่ควรลอยต้อนรับอยู่ที่ท่าเรือ กลับขึ้นไปนอนลอยตัวอยู่บนหาดไกลออกไปอีกหลายวา ต้นไม้ริมท่าเรือหักโค่น เศษซากข้าวของที่ท่าเรือกระจัดกระจาย กลิ่นแปลกๆเหมือนกลิ่นน้ำเน่าหรืออะไรซักอย่างเน่าลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ แม้พวกเขาจะอยู่บนเรือก็ยังได้กลิ่นอย่างชัดเจน สิ่งที่ดีกว่าท่าเรือเมืองศรีวิชัยนิดหนึ่งคือ เธอยังเห็นผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เดินอยู่บนซากปรักหักพังเหล่านั้น ดูเหมือนกำลังตามหาอะไรบางอย่างใต้ซากนั้น
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ช่วงมองสภาพท่าเรืออย่างตกตะลึง
“น่าจะโดนคลื่นซัด” แอเรียนมองไปที่ท่าเรือด้วยสีหน้าตกใจ “สภาพเหมือนเหตุการณ์ที่ปาเล็มไม่มีผิด”
“ท่านว่าเมืองนี้เพิ่งโดนคลื่นยักษ์ถล่มท่าเรือหรือเปล่า” กัณหาถามอย่างสยดสยอง ข้างล่างนั่นเธอเห็นผู้คนที่กำลังรื้อซากปรักหักพังเหล่านั้นร้องตะโกนขึ้นมา และชี้ชวนให้กันดูสิ่งซึ่งดูเหมือน…
“มีคนตาย” อาติเอามือปิดปากปิดจมูก กัณหาเองก็ทำเช่นกันเพราะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นลอยมาด้วย
“เรายังจะแวะเมืองนี้อยู่ไหม” แหวนเอามือปัดไล่กลิ่นออกไปจากจมูก ใบหน้าหล่อนซีดเซียวลงมาก
“พวกเจ้ารอบนเรือก่อน ข้าจะไปถามพวกเขาเอง” แอเรียนอาสา “ถ้าเห็นท่าไม่ดี เราจะไปแวะเมืองอื่นแทน”
แอเรียนและลูกเรืออีกคนวิ่งลงไปจากเรือ ไปคุยกับคนที่ท่าเรือ แหวนทรุดตัวนั่งลงข้างๆกัณหา ใบหน้าซีดเซียว
“ไหวไหม แหวน” กัณหาคุกเข่าลงข้างๆ
“ได้อยู่ แต่กลิ่นแรงใช้ได้เลย”
“เจ้าควรนั่งพัก” นกน้อยจี้ดบอก
“เจ้านี่ดูบอบบางยิ่งกว่าคุณหนูอีกนะ” ช่วงแอบขำ “ไม่อยากเชื่อเลย เห็นท่าวิ่งตอนแรกนึกว่าบึกบึน”
“ข้ากลัว ไม่ได้บอบบาง” แหวนเอ็ดใส่เขา “ไม่เคยกลัวอะไรรึไง”
“อ้าว มีแรงเอ็ดข้าได้ก็แปลว่ายังพอไหวอยู่” ช่วงหัวเราะหึๆ
“ท่านว่ามันเกิดขึ้นได้ไง ขอรับ” อาติหันไปถามช่วง “ทำไมจู่ๆเมืองแถวนี้ถึงมีคลื่นยักษ์มาถี่ขนาดนี้ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องปกติ”
“เป็นผลมาจากภูเขาไฟนั่นหรือเปล่า ภูเขาไฟนั่นอยู่กลางทะเล ถ้าระเบิดอาจทำให้มีคลื่นลูกใหญ่ยักษ์ได้ไหม” กัณหาเสนอความคิดเห็น “ฉันได้ยินคนที่เมืองงาวีบอกว่าเมื่อเดือนก่อนภูเขาไฟลูกนั้นเคยระเบิดมาแล้วหนหนึ่ง เป็นช่วงเดียวกับที่มีคลื่นยักษ์ซัดเข้าท่าเรือเมืองศรีวิชัย แสงสีแดงที่ชาวเมืองศรีวิชัยเห็นอาจเป็นสีจากการระเบิดของภูเขาไฟก็ได้”
“แต่เมืองศรีวิชัยและเมืองนี้อยู่ห่างจากเกาะระกาตามากนะ และอีกอย่างตอนเราแล่นผ่านทะเลมาก็ไม่เห็นมีคลื่นอะไรเลย ถ้ามีคลื่นยักษ์จากภูเขาไฟจริง ทำไมเราไม่เจอก่อน เราอยู่ใกล้ภูเขาไฟแห่งเกาะระกาตามากที่สุด” อาติท้วง
“แต่ข้าว่าสิ่งที่คุณหนูพูดก็มีโอกาสเป็นไปได้นะ” ช่วงพูดช้าๆอย่างครุ่นคิด “ถ้าเมืองที่อยู่ห่างไกลกันหลายโยชน์ดันเกิดเหตุการณ์บางอย่างเหมือนกัน ข้าก็ว่า… ข้าหมายถึงมันน่าจะเป็นจากธรรมชาติ ไม่น่าเป็นจากคาถาอาคม แล้วมันจะมีเมืองสองเมืองที่ดันโชคร้ายพร้อมๆกันจากคนละเหตุการณ์ที่ก่อผลเหมือนกันหรือ ข้าว่าไม่หรอก มันน่าจะมาจากเหตุการณ์เดียวกันมากกว่า”
“ถ้าเป็นจริงก็น่ากลัวมาก” อาติรำพัน “พ่อพูดถูกนะ ธรรมชาติยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเอาชนะ ภาพภูเขาไฟระเบิดนั่นยังอยู่ในหัวข้าอยู่เลย”
“ทุกคน” เสียงแอเรียนดังจากด้านล่างเรือจนพวกเขาสะดุ้ง กัณหา อาติ ช่วงและจี้ดหันไปมอง เห็นแอเรียนโบกไม้โบกมืออยู่ข้างล่าง “ลงมาเถอะ ในเมืองไม่มีอะไร ทุกอย่างยังเป็นปกติดี มีปัญหาเฉพาะท่าเรือ”
“ควรจะลงจริงหรือ” แหวนเบะปากทั้งๆที่ยังนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่
“ฉันก็กลัว ภาพภูเขาไฟและฝุ่นควันนั่น ยังตามหลอกหลอนฉันอยู่เลย” กัณหาส่ายหน้า “ขอรอบนเรือได้ไหม”
“อย่าเลย ไปให้พ้นจากท่าเรือนี้เถอะ” อาติเตือน “ถ้ามีคลื่นซัดมาอีกรอบพวกเจ้าจะตายอยู่ที่นี่นะ”
“ข้าเห็นด้วยนะ” จี้ดพูดบ้าง “ไปเถอะ เข้าไปในเมือง อย่าอยู่ที่ท่าเรือนี่เลย”
“แล้วแหวนล่ะ”
“ประเดี๋ยวข้าแบกนางไปเอง ไปเถอะคุณหนู” ช่วงเสนอทันที
“ข้าเดินเองได้” แหวนเบะปากอีกที พยายามพยุงตัวเองขึ้นมา “ไหว ไปกัน”
ช่วงและจี้ดได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
กัณหาเดินตามคนอื่นๆลงมาถึงท่าเรือ โดยมีเจ้านกน้อยเกาะบนไหล่ ที่ท่าเรือนั้นมีผู้คนมากมาย ทุกคนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างใต้กองซากปรักหักพังเหล่านั้น อะไรบางอย่างที่กัณหาคาดว่า น่าจะเป็นร่างของผู้โชคร้ายจากคลื่นยักษ์ พวกเขาเดินตามแอเรียนและลูกเรือคนอื่นๆมาเรื่อยๆ เมื่อเดินไกลออกไปจากท่าเรือ บ้านเรือนและอาคารที่อยู่ไกลออกไปยังไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างไร
“คนที่นี่บอกว่า เมื่อสี่ห้าวันก่อนมีคลื่นยักษ์ซัดเข้าฝั่งตอนเช้า ก่อนหน้านี้มีอีกลูกหนึ่งเมื่อเดือนก่อน” แอเรียนเล่าระหว่างเดินไปด้วย “พวกเขาบอกว่าหลายๆเมืองในละแวกนี้โดนคลื่นยักษ์ซัดเหมือนกันในเวลาเดียวกัน พวกเขาได้ยินเรื่องภูเขาไฟระเบิดที่เกาะระกาตาแล้ว ดูเหมือนพวกเขาคิดว่าเป็นจากภูเขาไฟระเบิด เพราะคลื่นเกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกันทั้งสองรอบ”
“สรุปว่า ภูเขาไฟระเบิดที่ระกาตาทำให้เกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้าเมืองชายฝั่งที่อยู่ห่างออกไปหลายโยชน์พร้อมกันหลายเมือง” ช่วงสรุปอีกครั้ง “แล้วลูกชายเจ้าเมืองปาเล็มของท่านก็เลยอาศัยจังหวะนี้สร้างเรื่องว่าเป็นปีศาจทะเลแทน”
“ใช่เลย” แอเรียนตอบเศร้าๆ “เมืองของข้าช่างแตกต่างจากเมืองนี้นัก เมืองนี้แทนที่จะสร้างความหวาดกลัวให้กัน พวกเขาออกมาช่วยกันเก็บกวาดเศษซาก เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่” เขาชี้มือไปที่ชาวเมืองบางส่วนกำลังช่วยกันเก็บเศษซากไปกองรวมกัน
พวกเขาเดินตามกันไปจนถึงในเมืองบันจาร์การายา ภายในเมืองคึกคักมีผู้คนมากกว่าท่าเรือเสียอีก ผู้คนที่นี่แต่งตัวคล้ายๆกับคนที่เมืองงาวี ผู้คนในเมืองถืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไม้กวาด ถังน้ำ ค้อน มีด ทุกคนต่างมุ่งหน้าสู่ท่าเรือที่พวกเขาเพิ่งจากมา ระหว่างที่กำลังเดินกันนั่นเอง จู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงประกาศดังลั่นขึ้นมา
“ตอนนี้การค้นหาผู้เสียชีวิตที่ท่าเรือจบลงแล้ว เราค้นพบผู้สูญหายคนสุดท้ายเมื่อสักครู่ ตอนนี้คนที่จะเก็บกวาดที่ท่าเรือ เริ่มงานได้เลยนะครับ ส่วนคนที่มีฝีมือช่างขอมารวมตัวกันที่ปะรำด้านเหนือของท่าเรือครับ ส่วนอาหาร ของว่าง น้ำดื่มรับได้ตลอดที่ปะรำสีแดงครับ เราจะให้เด็กๆของเราเดินแจกน้ำดื่มให้ทุกคนด้วยครับ”
“พวกเขากำลังไปทำความสะอาดท่าเรือหรือนี่” อาติมองด้วยสายตาชื่นชม “ดูคนเมืองนี้สามัคคีกันมากเลยนะ”
“นั่นสิ ดูสิไปกันหลายคนเชียว” กัณหามองตาม ชาวเมืองที่เห็นยกโขยงกันไปเป็นกลุ่มๆ ทุกคนดูเหมือนจะถืออุปกรณ์ทำความสะอาดส่วนตัวไว้คนละอัน
“พวกเราจะแยกไปหาซื้อผ้าใบเรือและเสบียงอื่นๆก่อน ส่วนพวกท่านตามสบายเถิด ไปเดินเล่นรอบๆเมืองก็ได้ เจอกันตอนบ่ายที่เรือ” แอเรียนพูดจบแล้วก็พยักหน้าเรียกลูกเรือให้ตามเขาไปด้วย
“ข้าเกลียดประโยคนี้จริง” แหวนถอนใจ “ช่างเหมือนกลับไปเกาะระกาตาเลย”
“เราไปช่วยพวกเขากันไหม” อาติเสนอ มองไปทางกลุ่มผู้คนเหล่านั้นอย่างสนอกสนใจ
“ไปสิ” กัณหาเองก็อยากไปดูคนเหล่านั้นด้วย
“ข้าขอตัวนะ แค่ได้กลิ่นก็จะอ้วกแล้ว” แหวนส่ายหน้า
“งั้นให้เจ้านกเฝ้าแหวนแล้วกัน” ช่วงเสนอ “ข้าจะไปช่วยด้วยอีกคน”
“ทำไมต้องเป็นข้าอีกแล้ว” จี้ดประท้วงเสียงดัง กระพือปีกขึ้นจากไหล่ของกัณหาอย่างหงุดหงิด
“อย่าโวยวายสิ ประเดี๋ยวคนอื่นรู้หมดหรอกว่าเจ้าพูดได้” แหวนยิ้ม ดูอารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด หล่อนคว้าตัวเจ้านกการเวกมากอดไว้ “ข้ารักเจ้าจะตายจี้ด อยู่ด้วยกันนะ นกพูดได้”
เจ้านกการเวกทำหน้าเหมือนอยากตายเมื่อแหวนดึงตัวมากอด เขาทั้งดิ้นทั้งร้องแต่ก็หลุดไม่พ้นจากอ้อมกอดของแหวน แล้วสุดท้ายจี้ดถูกแหวนพาตัวไป โดยเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆไม่ช่วยเลย
“ข้าไปรอที่ปะรำสีแดงนั่นนะ” แหวนชี้มือไปที่ปะรำสีแดงไม่ไกลจากพวกเขา “มานะจี้ด มีอะไรอร่อยให้เรากินเยอะแยะเลย” เจ้านกยังร้องไม่หยุดไปตลอดทาง
“ไม่ช่วยงานเขา ยังจะไปกินของเขาอีก” ช่วงส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ไปเถอะ เดินไปดูกัน”
พวกเขาเดินย้อนกลับมาชายหาดอีกที ผู้คนเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มลงมือเก็บกวาดเศษซากอย่างขยันขันแข็ง บางคนกวาดพื้น บางคนเก็บชิ้นส่วนใหญ่ๆไปกองรวมกัน บางคนช่วยโกยขยะใส่ถัง ทุกคนดูกระตือรือร้นกันมากอย่างที่กัณหาไม่เคยเห็นมาก่อน
หากกรุงศรีอยุธยาเป็นเฉกเช่นนี้ก็ดีสินะ บ้านเมืองคงเจริญอีกมากทีเดียว
แต่กัณหาเชื่อว่าหากเรื่องนี้เกิดที่กรุงศรีอยุธยาจริงคงไม่เป็นแบบนี้ พวกขุนนางก็คงจะใช้ไพรทาสให้ทำงานพวกนี้ไป ส่วนตนเองก็นั่งสบายอยู่บนเรือนของตน เพราะงานพวกนี้ “ไม่ใช่งานที่ผู้ดีเขาทำกัน” อย่างที่แม่นมบอก
กัณหาไม่มีไม้กวาด เธอจึงก้มลงช่วยเก็บเศษซากชิ้นใหญ่มารวมกันไว้เป็นกอง ข้างกองเดิมที่มีคนจัดไว้ก่อน ระหว่างนั้นเองหญิงสาวร่างสูงผมยาวทั้งสองคนยืนหันหลังชนกัน และเริ่มพนมมือหลับตา พวกเธอขยับมือและแขนเป็นท่าทางต่างๆที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ระหว่างนั้นเศษซากต่างๆที่อยู่รอบตัวทั้งสองในระยะสองถึงสามวาเริ่มลอยขึ้นจากตำแหน่งที่มันอยู่และมาประกอบกันเป็นวัตถุเดิมที่มันเคยเป็นในสภาพที่ดูสกปรกเปื้อนดินโคลนอยู่ หลังจากทำบริเวณนี้แล้ว พวกเขาก็เดินไปยังบริเวณอื่นและทำแบบเดียวกันต่อ
“พวกเขาทำอะไรนะ” กัณหาสงสัย เดินตามไปดูการเสกอาคมของหญิงสาวทั้งสองอีก
“ข้าเคยได้ยินพ่อเล่าให้ฟังเหมือนกัน คาถาบางอย่างที่มีพลังน้อยมากๆ ถ้าทำพร้อมกันหลายๆคนจะมีฤทธิ์เพิ่มมากขึ้น ได้ยินว่าที่เมืองแถบเกาะการายานี่เชี่ยวชาญคาถาพวกนี้เป็นพิเศษ”
“ทำอย่างไรหรือ อาติเคยทำไหม”
“ไม่เคย เคยแต่ได้ยินพ่อเล่ามา ส่วนทำอย่างไรข้าไม่รู้” สายตาอาติกำลังมองหญิงสาวทั้งสองที่เสกอาคมด้วยเช่นกัน “ลองไปถามพวกเขาไหม”
“ไปซิ ฉันก็อยากรู้” กัณหาออกเดินนำไปทันที เธอเดินไปหาทั้งสองสาวที่กำลังยืนดูผลงานของตนเอง
“ขออภัยเถอะจ้ะ” กัณหาถือโอกาสที่ทั้งคู่เว้นการเสกอาคมพอดี “เมื่อสักครู่ฉันเห็นพวกท่านเสกอาคมพร้อมกัน แล้วเศษวัตถุเหล่านั้นก็เริ่มซ่อมแซมตนเอง ฉันรู้สึกแปลกใจ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
หญิงสาวทั้งสองทำหน้างงแล้วหันไปคุยกัน กัณหานึกขึ้นมาได้ว่าทั้งสองอาจฟังเธอไม่รู้เรื่อง เธอจึงควานหาสร้อยสีเงินที่คอลูบไปห้าทีจนกระทั่งสร้อยเปล่งแสงสีแดงออกมา เธอจึงพูดกับหญิงทั้งสองอีกครั้ง ทั้งสองพูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาของตนเอง และชี้ไปทางปะรำสีแดง กัณหายังคงไม่เข้าใจ หลังจากรอสักพักกัณหาลองพูดอีกครั้ง หญิงสาวทั้งสองก็ดูเข้าใจ
“สร้อยภาษาหรือนี่” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าว “หายากมาก ใช้งานดีจริงๆ”
“จริงด้วย ข้าเคยมีอยู่อันหนึ่ง ไม่น่าทำหายเลย” หญิงสาวอีกคนกล่าว
“พวกเจ้ามาจากไหน มาทำอะไรที่นี่หรือ” หญิงสาวคนแรกเอ่ยถาม “ที่นี่มีแต่ขยะ ถ้าจะหาที่พัก เดินเข้าไปในเมืองดีไหม” หล่อนชี้มือไปที่ทางเข้าเมือง
“พวกเรามาจากเมืองศรีวิชัย” กัณหาบอก “กำลังจะเดินทางไปเกาะสุลาวารี แต่ระหว่างทางพวกเราประสบเหตุภูเขาไฟระเบิด หินจากภูเขาไฟระเบิดกระจายออกมาทำลายใบเรือของพวกเราจนไม่สามารถเดินทางต่อได้ พวกเราจึงเข้ามาในเมืองนี้ เพื่อมาหาซื้อผ้าใบเรือจ้ะ”
“โอ้ มาช่วงนี้น่าจะหาซื้อยากนะ เพราะทุกคนในเมืองพากันมาช่วยกันเก็บกวาดบริเวณชายหาดและท่าเรือกันหมด” หญิงสาวคนที่สองกล่าว มีสีหน้ากังวลเล็กน้อย
“ลองติดต่อที่ปะรำกลางไหม ให้เขาช่วยตามเจ้าของร้านขายผ้าใบให้” หญิงสาวอีกคนเสนอ
“ขอบใจจ้ะ แต่ที่ฉันมาหาท่านทั้งสองนี่ ไม่ใช่เรื่องซื้อผ้าใบหรอก เมื่อสักครู่ฉันเห็นพวกท่านเสกอาคมให้เศษซากเหล่านี้กลับไปประกอบรวมกัน ฉันแค่อยากรู้ว่าท่านทำได้อย่างไร ฉันไม่เคยเห็นอาคมแบบนี้มาก่อนเลย”
“เจ้าเคยฝึกอาคมมาก่อนหรือ” หญิงสาวคนแรกถาม
“ใช่จ้ะ ฉันเคยฝึกแค่งูๆปลาๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นอาคมแบบเสกคนเดียว พอเห็นท่านเสกอาคมด้วยกัน ฉันเลยแปลกใจ”
“ได้ยินว่าที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องอาคมพวกนี้นี่นา” อาติผู้ที่ตามมาฟังเงียบๆอยู่นานเอ่ยขึ้น “จะขอท่านทั้งสองกรุณาช่วยชี้แนะพวกเราบ้างได้หรือไม่”
หญิงทั้งสองมองหน้ากันสักพักก่อนหญิงคนแรกจะเอ่ยขึ้นมาว่า “การเรียนไม่ว่าเรียนสิ่งใดต้องใช้เวลา พวกเจ้าแค่มาหาผ้าใบเรือวันสองวันแล้วกลับ เช่นนี้แล้วจะเรียนรู้ได้อย่างไรละ”
“เอ่อ…” กัณหานิ่งไปเพราะรู้ว่าสิ่งที่หญิงสาวคนนี้พูดนั้นก็เป็นความจริง
“หรือแนะแค่ทฤษฎีให้เราก็ได้ เราจะเอาไปฝึกเอง” อาติเสนอขึ้นมา
“ไม่มีประโยชน์หรอก การฝึกอาคมแบบนี้ต้องใช้เวลา เรียนแค่ทฤษฎีไม่เกิดผลใดๆ เพราะการใช้อาคมแบบนี้เจ้าต้องเข้าใจหัวใจของอาคมเสียก่อน พวกเจ้ากลับไปค้นหาผ้าใบเรือเถิด พวกข้าขอตัว” หญิงสาวทั้งสองโค้งให้พวกเขาแล้วก็จากไป
“เฮ้ย หวงวิชาจริง” อาติยักไหล่แล้วก็ถอนใจ
Comments (0)