15 ตอน สู่เขาริมอ่าว(3)
โดย นกเป็ดน้ำ
“เขตอาคม” เสียงกระซิบเบาๆจากนกที่นอนอยู่ในกรง มันลืมตาขึ้นมองเธอแววตาของมันบ่งว่ามันยังมีสติอยู่ แม้จะมีท่าทีอ่อนเพลียมากก็ตาม “ทั้งหมดที่เห็น ไม่ใช่ของจริง จงว่ายน้ำต่อไป”
“แล้วพวกเขาละ” กัณหาว่า ใบหน้าของเธอเริ่มซีดเซียว เธอรู้สึกว่าร่างของพวกเขาดูค่อยๆจมลง
“พวกเขาติดอยู่ในเขตอาคม” นกน้อยบอก น้ำเสียงดูใกล้หมดแรง “จึงไม่อาจออกจากที่นี่ได้”
“ไม่นะ” กัณหาร้อง ถ้าพวกเขาต้องมาเป็นอะไรละก็ เธอจะทำยังไง เพราะเธอเป็นคนต้นเรื่องที่อยากจะมาที่นี่เอง
“ว่ายน้ำต่อไป” นกน้อยบอกแล้วก็หลับตาลง
“นกน้อยๆ” กัณหาร้องเรียกมัน แต่มันยังคงหลับตา
กัณหาคิดอะไรไม่ออกนอกจากเอาผ้าที่พันรอบเอวของแต่ละคน มาผูกยึดกันไว้ แล้วเอามาผูกกับตัวเธอ จากนั้นเธอก็พยายามว่ายน้ำไป เธอว่ายไปได้ช้ามากเพราะน้ำทะเลรอบตัวเหนียวขึ้นเรื่อยๆจนดูเหมือนโคลนตม สีของมันบัดนี้แดงฉานแถมมีกลิ่นเหมือนเลือดลอยมา กัณหาไม่สนใจ เธอนึกถึงคำพูดของเจ้านกน้อยที่ว่าให้ยังคงว่ายน้ำต่อไป คำพูดนี้ทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่คล้ายกัน ตอนที่เธอหนีออกจากวังภายใต้เสียงร้องเพลงที่ทำให้หลับใหลของเจ้านกน้อย ก่อนที่จะร้องมันพูดย้ำเตือนเธอว่า สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ ตั้งจิตมุ่งมั่นถึงสิ่งที่จะทำ คือไปให้ถึงท่าเรือ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอยังคงมีใจจดจ่ออยู่ที่ชายฝั่งที่เธอเห็นเขาตั้งอยู่และยังคงว่ายน้ำต่อไป สิ่งที่แปลกคือกัณหาไม่ได้รู้สึกหนัก แม้จะมีคนสี่คนถ่วงอยู่ด้านหลังก็ตามที กัณหายังคงเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เธอยังคงเห็นฝั่งอยู่ไม่ไกลนัก มือข้างหนึ่งของเธอก็ยังดันกรงของเจ้านกน้อยไปข้างหน้าด้วยเรื่อยๆ สักพักหนึ่ง เธอรู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่เธอทำสำเร็จแล้วเมื่อน้ำทะเลเริ่มหนืดลดลง และสีเริ่มใสขึ้น อีกทั้งเท้าของเธอเริ่มสัมผัสได้ถึงพื้นทรายที่ใต้ทะเล
กัณหาเริ่มเปลี่ยนจากการว่ายน้ำมาเป็นการเดิน และคลานมาจนถึงหาดทรายสีเหลืองทอง เธอค่อยๆลากร่างของทุกคนขึ้นฝั่งทีละคน ทุกคนยังลืมตาแต่มีแววตาเหม่อลอย ไม่ได้สติ เมื่อลากทั้งสี่คนขึ้นมาถึงบนหาดทรายแล้ว กัณหามองกลับลงไปในทะเล เห็นทะเลมีสีฟ้าครามสดใสตัดกับสีฟ้าอ่อนของท้องฟ้าที่ไกลออกไป ไม่มีเมฆ ไม่มีลมพายุ มีเพียงคลื่นเบาๆซัดเข้าฝั่ง
“ทั้งหมดเป็นแค่สิ่งหลอกลวง” เด็กน้อยพึมพำกับตัวเอง “แค่ภาพลวงตา”
กัณหามองเพื่อนร่วมทางทั้งสี่คนของเธอที่ยังคงนอนลืมตามองท้องฟ้าอย่างไร้สติ เธอพยายามเขย่าร่างปลุกพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ผล กัณหาเอามืออังดูที่จมูกว่าพวกเขายังหายใจอยู่รึเปล่า ก็พบว่าพวกเขายังหายใจอยู่ เธอค่อยสบายใจขึ้นบ้าง กัณหาลากร่างของพวกเขามานอนอยู่ใต้ต้นไม้ที่ริมหาดอย่างยากลำบาก เธอรับรู้ได้ถึงน้ำหนักตัวของพวกเขามากกว่าตอนที่ว่ายผ่านทะเลมาเสียอีก
“เราต้องไปหาคนช่วย” กัณหาพึมพำ พยายามควบคุมสติไม่ให้ตกใจกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า “ต้องไปหาอาจารย์ของช่วง แล้วขอเขามาแก้อาคมพวกนี้ให้”
หวังว่าช่วงจะเป็นศิษย์รักของอาจารย์นะ กัณหาคิดในใจ เธอมองไปรอบๆชายหาดเพื่อหาทางเดิน บ้านคน หรืออะไรสักอย่างที่แสดงว่ามีคนอยู่ที่นี่ แล้วเธอก็เห็นทางเดินเล็กๆที่เหมือนมีคนเดินผ่านอยู่ในบริเวณที่ต้นไม้บางตา กัณหาขยับผ้าผูกเอวให้แน่น ก่อนหิ้วกรงของเจ้านกน้อยขึ้นมาและเดินไปตามทางเดินเล็กๆนั้น
กัณหาเดินไปตามทางเดินเล็กๆที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ เดินลึกเข้าไปในแผ่นดินอยู่นาน รอบตัวมืดลง เพราะถูกปกคลุมด้วยต้นไม้แน่นหนา มีเพียงเสียงใบไม้ไหวเมื่อต้องลม เธอคาดว่าน่าจะเจออะไรอีกก่อนจะได้พบอาจารย์ของช่วง จึงมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง เพราะดูท่าทางแล้วอาจารย์ผู้นี้อาจจะไม่ค่อยอยากต้อนรับแขกสักเท่าไรนัก เมื่อเธอเดินมาได้สักพัก ก็รู้สึกถึงเงาตะคุ่มตามหลังมา เมื่อกัณหาหันหลังไปมอง ก็ไม่เห็นว่ามีอะไร
“ฉันมาขอเยี่ยมท่านอาจารย์ของหมื่นช่วง” กัณหาตะโกน มองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง “ฉันมาดีนะ จะมาขอคำชี้แนะจากท่าน”
เสียงขู่ฟ่อๆดังขึ้นที่ด้านหลัง กัณหาหันไปมอง ทันได้เห็นอะไรบางอย่างลอยเคลื่อนตัวมาทางเธออย่างรวดเร็ว กัณหารีบก้มหลบได้ทัน เงาตะคุ่มนั้นจึงตกลงไปบนพื้น และยืดชูคอขึ้น กัณหาจึงทันได้เห็นว่ามันเป็นงูยักษ์สีเขียวสด นัยน์ตาสีเหลืองทอง ขนาดลำตัวของมันน่าจะขนาดพอๆกับตัวเธอ
“กลับไปซะ” งูขู่ๆฟ่อๆเป็นคำพูด “ท่านอาจารย์ไม่อยากต้อนรับใคร และข้าก็ไม่อยากทำร้ายลูกมนุษย์”
“ไม่อยากต้อนรับใคร” กัณหาทวน “ท่านไม่ติดป้ายบอกไว้ ใครจะไปรู้ละ ฉันจะได้ไม่ต้องเข้ามาหา แต่ตอนนี้ฉันหลงเข้ามาแล้ว และเพื่อนฉันก็ได้รับภัยจากเขตอาคมของท่าน ท่านอาจารย์ควรจะแก้อาคมให้ฉันก่อนที่ไล่ฉันกลับ”
“ลูกมนุษย์” งูตัวเขียวขู่ฟ่อๆต่อ “ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นเจ้า ที่ข้าไม่ทำร้ายเจ้า เพราะเห็นว่าเจ้ายังเยาว์จึงให้โอกาสกลับไป ถ้าเจ้าเป็นตัวเต็มวัย เจ้าไม่ได้ยืนเถียงข้าเช่นนี้แน่”
“ตัวเต็มวัย” กัณหาทวนวลีที่แสนแปลก “ถ้าท่านหมายความว่าท่านโตแล้วและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าข้า ท่านไม่คิดว่าท่านออกจะไม่มีมารยาทกับแขกสักหน่อยเหรอ โดยเฉพาะกับแขกที่มามือเปล่า ไม่มีอาวุธใด อย่างน้อยสุดก็ควรต้อนรับ หาน้ำหาท่าให้สักนิด ก่อนจะไล่เขากลับ”
เจ้างูชะงัก ดูท่าทางจะโมโหมากกว่าเดิม
พูดมากไปละ กัณหาคิดในใจ มองไปรอบๆเพื่อหาที่หลบ เผื่อเจ้างูเกิดอยากจะฉกเธอขึ้นมา
“ถ้าเจ้าพูดไม่ฟัง ข้าก็คงต้องจัดการตามสมควรละ” เสียงขู่ฟ่อๆเป็นคำๆออกมาอย่างโกรธจัด ก่อนเจ้างูตั้งท่าเหมือนเตรียมจะฉก กัณหาเตรียมตัวไว้พร้อม เมื่อเจ้างูฉกมา เธอก็กระโดดหลบไปอีกทาง
ทำอย่างนี้ มีสิทธิ์ตายก่อนได้เจออาจารย์ กัณหาคิด มองไปรอบๆเพื่อหาหนทางหนี เจ้างูหดตัวกลับไปตั้งหลักอีกครั้ง เพื่อเตรียมฉกอีกรอบ คราวหนี้กัณหาเล็งไว้แล้วว่าเธอจะต้องทำอะไร เมื่อเจ้างูฉกมาเธอก็รีบวิ่งสวนไปด้านข้างทันที เธอกระโดดขึ้นไปบนตัวงู และกระโดดลงไปที่ทางเดินอีกข้าง เจ้างูหันหลังกลับมาอย่างโกรธจัด มันตวัดหางมาชนกัณหาล้มฟาดลงไปกับพื้น ก่อนจะเอาหางรัดตัวเธอไว้แน่น
ตายแน่ หัวสมองที่เคยแจ่มใสเริ่มตื้อเมื่อถูกงูรัดจนเริ่มหายใจไม่ออก
“เอาเปรียบเด็ก” กัณหาละล่ำละลักออกมา
“ข้ารึ” เจ้างูตวาด ตวัดหางยกตัวกัณหาขึ้นสูง “ข้าบอกเจ้าแล้วว่า อย่าเข้ามาที่นี่ เจ้าไม่เชื่อข้าเองนะ ลูกมนุษย์”
“ใจร้าย” กัณหาเถียงได้เป็นคำๆ รู้สึกเหนื่อยมาก “ลูกเล็กเด็กแดงก็ไม่เว้น”
“เจ้านี่มัน” เจ้างูส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
เสียงหัวเราะใสๆดังมาจากอีกทาง เจ้างูชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังกล่าว มันขู่ฟ่อๆอย่างไม่พอใจเมื่อร่างโปร่งแสงของหญิงสาวก็ปรากฏกายขึ้น อีกด้านหนึ่งของทางเดิน
หล่อนเป็นสตรีที่งดงามมาก แม้จะเห็นโปร่งแสงมองทะลุได้ก็ตาม หล่อนนุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลและห่มสไบสีฟ้า ผมสีดำสนิทถูกมัดไว้เป็นมวยผมบนศีรษะ เท้าของหล่อนลอยจากพื้นอยู่เกือบวา นัยน์ตากลมโตที่มองทะลุได้ของหล่อนมองมาที่คู่ต่อสู้ทั้งสองที่กลางทางเดิน
“ขำกระไรรึ แม่” เจ้างูส่งเสียงฟ่อๆอย่างหงุดหงิด
“เห็นเจ้าเถียงกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างไร” ร่างโปร่งแสงนั้นบอก เสียงของหล่อนฟังเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ กัณหามองเธออย่างตกตะลึง หล่อนเป็นผีหรือเปล่านะ “สนุกหรือไม่เล่าแม่ยอดงู ลูกมนุษย์นี่ฝีปากใช้ได้ทีเดียว”
“ย่ะ หล่อนจะเอาไว้เลี้ยงหรือไม่ละ ข้าจะได้ฆ่าให้ตายเสียให้แล้วเรื่อง”
“ว่าไงเล่าเด็กน้อย สนใจมาอยู่กับข้าหรือไม่”
“ท่านเป็นผี…หรือ” กัณหาถาม ลืมไปเลยว่าเจ้างูรัดเธออยู่
ร่างโปร่งแสงนั้นหัวเราะ “ใช่ ข้าคือผีพราย รู้จักไหม” หล่อนว่า ส่งยิ้มให้ “น่าเอ็นดูเสียจริง ปากนิดจมูกหน่อย ลูกใครกัน ทำไมพ่อแม่ปล่อยให้มาที่นี่คนเดียว”
“พ่อแม่มันน่าจะโดนอาคมอยู่หน้าหาด” เจ้างูหัวเราะฟ่อๆ “นอนตาเหลือกเชียว”
“นั่นเพื่อนๆของฉัน” กัณหาแก้ให้ “พวกท่านทำร้ายพวกเขาใช่ไหม ทำทำไม พวกเราแค่จะมาขอคำแนะนำของท่านอาจารย์เท่านั้นเอง ไม่ได้มุ่งร้ายใครเลย”
“ข้าก็บอกแล้ว ว่าท่านอาจารย์ไม่ประสงค์จะพบใคร” เจ้างูขู่ฟ่อๆดูหัวเสีย
“ก็ถ้าท่านไม่ประสงค์จะพบใคร ทำไมไม่ติดป้ายบอกไว้ หรือให้คนออกมาบอกพวกเราดีๆก็ได้ ทำไมต้องมาทำร้ายคนที่อุตส่าห์ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลอย่างยากลำบากมานานนับสัปดาห์เพียงเพื่อจะมาขอพบท่านแม้สักชั่วยามก็ยังดี ช่างเป็นการต้อนรับที่ซาบซึ้งใจเหลือเกิน”
“เจ้ามีเรื่องใดจะคุยกับท่านอาจารย์หรือ” ผีพรายถามอย่างสงสัย เจ้างูเองก็ท่าทีท่าสงสัยเช่นกัน
“ฉันจะมาขอคำแนะนำจากท่านเพื่อให้การช่วยเหลือหญิงผู้ที่เปรียบเสมือนแม่ของฉัน” กัณหาบอกอย่างเศร้าสร้อย “ฉันได้ยินมาว่าท่านเป็นคนเดียวที่ช่วยฉันได้ จึงดั้นด้นมาหาท่าน ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ไม่คิดว่าการดั้นด้นมาที่นี่จะชักนำอันตรายมาสู่เพื่อนๆที่ตามมาส่งฉัน”
เจ้างูและผีพรายได้แต่มองหน้ากัน เป็นครั้งแรกที่กัณหาสัมผัสได้ว่าภายใต้ความน่ากลัวของพวกเขานั้น มีความเห็นอกเห็นใจซ่อนอยู่
“เอาไงดีละ” เจ้างูถาม “ท่าทางเขามีเรื่องสำคัญมากถึงได้ถ่อมาไกลขนาดนี้ แถมต้องฝ่าอาคมทะเลเลือดเข้ามาด้วย”
“ข้าว่าพาเขาเข้าไปหาท่านอาจารย์ก่อนดีไหม” ผีพรายเสนอ “ถ้าท่านไม่เห็นด้วยจริงๆ ค่อยไล่ออกไปก็ไม่สาย”
“แต่จะปลุกท่านขึ้นมายังไงละ” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ผีพรายมองมาที่กัณหาก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์กำลังเข้าฌานอยู่ พวกเราจะพาเจ้าไปพบท่านอาจารย์ก็ได้ แต่เจ้าต้องปลุกท่านขึ้นมาเองนะ ส่วนปลุกขึ้นมาแล้ว ท่านจะโมโหโทโสอย่างไร จะลงโทษเจ้าอย่างไร เจ้ารับได้ใช่ไหม ข้าขอบอกก่อนนะว่า ท่านไม่ค่อยชอบเวลาถูกขัดจังหวะระหว่างเข้าฌาน”
“ถ้าท่านทำเช่นนั้นจะถือเป็นพระคุณอย่างสูง” กัณหาตอบค้อมหัวให้ทั้งสอง
Comments (0)