16 ตอน สู่เขาริมอ่าว(4)
โดย นกเป็ดน้ำ
เจ้างูปล่อยตัวกัณหาลงเดิน เธอกลับไปเอากรงนกน้อยมาหิ้วไว้เหมือนเดิม ก่อนดินตามเจ้างูและผีพรายไปตามทางเดินที่เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆเหมือนขึ้นเขา
“พวกท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์หรือ” กัณหาชวนคุย อยากแสดงท่าทีเป็นมิตรกับพวกเขา
“พวกเราเป็นบ่าวรับใช้ท่านอาจารย์” ผีพรายส่งยิ้มให้กัณหา “เรามีหน้าที่ลาดตระเวนป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปในเขตที่ท่านอาจารย์เข้าฌานอยู่ ทางนี้” หล่อนชี้มือเข้าไปที่ปากถ้ำที่ดูมืดสนิท
พวกเขาเดินเข้าไปในถ้ำมืดๆที่สองข้างทางประดับประดาด้วยโคมไฟเป็นสีต่างๆที่ส่องให้ทางเดินในถ้ำนั้นกลายเป็นสีสันต่างๆอย่างสวยงาม กัณหามองมันอย่างชื่นชม เมื่อเดินไปสักพักทางเดินในถ้ำเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเปลี่ยนจากเดินเป็นค่อยๆไต่ขึ้นไปตามทาง ผีพรายกับเจ้างูดูไม่เดือดร้อนอะไรกับความชันของถ้ำ ทั้งคู่เฝ้ามองกัณหาค่อยๆปีนตามมาโดยไม่สนใจจะช่วยอะไรเธอ สักพักพวกเขาก็ปีนมาถึงห้องกว้างภายในถ้ำ มีแสงสว่างลอดลงมาจากด้านบน มีต้นไม้ขึ้นในบริเวณนั้นจนเหมือนเป็นสวนหย่อมเล็กๆในถ้ำ แถมยังมีสระน้ำอยู่อีกด้านหนึ่งของสวนต้นไม้เหล่านี้ด้วย รอบๆผนังถ้ำยังคงประดับประดาด้วยตะเกียงไฟหลากสีสันเหมือนเดิม
ชายคนหนึ่งนั่งบนก้อนหินที่สูงสุดในถ้ำนั้น เขาเป็นชายร่างผอม นุ่งขาวห่มขาวทั้งตัว มีสร้อยลูกประคำห้อยอยู่ที่คอทำให้เขาดูคล้ายพวกพราหมณ์ที่กัณหาเคยเห็นมาทำพิธีในวันสำคัญ เขานั่งหลับตานิ่ง และไม่สนใจผู้ที่เข้ามาหรือขยับตัวแม้สักนิด
“เจ้าต้องหาวิธีปลุกเขาเองแล้วละ” เจ้างูกระซิบเป็นเสียงฟ่อๆ
“ท่านอาจารย์” กัณหาตะโกน “รบกวนท่านด้วยเถิด”
เจ้างูเขียวกับผีพรายมองหน้ากันราวกับไม่คาดว่ากัณหาจะทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้ ผีพรายดูตลกขบขันกับเสียงตะโกนของกัณหาที่เริ่มก้องสะท้อนไปทั่วถ้ำ เจ้างูดูหัวเสียเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ไม่ได้ผลหรอก ต่อให้เจ้าตะโกนจนคอแตกก็เถอะ”
กัณหามองก้อนหินก้อนใหญ่สูงชะลูดที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ มันทั้งชันทั้งสูงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะปีนขึ้นไปนั่งบนนั้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่คิดว่าเธอจะปีนขึ้นไปได้เช่นกัน ดีไม่ดีจะตกลงมาตายเสียก่อน กัณหามองไปรอบๆบริเวณที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ เห็นมีก้อนหินเล็กๆมากมายอยู่เบื้องล่าง เธอคว้าก้อนหินขึ้นมาและปาขึ้นไปทางชายคนนั้น แล้วเธอก็พบว่าก้อนหินเหล่านั้นปาขึ้นไปได้สักพักก็ตกลงมาหมด กัณหาลองปามันเข้าใส่ฐานก้อนหินที่ชายคนนั้นนั่ง ก็ได้ผลไม่ต่างกัน คือ เมื่อก้อนหินกำลังจะเข้ากระทบกับก้อนหินใหญ่ มันก็ดีดกลับออกมาเสียงก่อน ตอนที่มันตกถึงพื้นดิน ก็ไม่มีแม้แต่เสียงหินกระทบพื้น
“หินพวกนั้น ไม่ได้ผลหรอก” ผีพรายกระซิบ
เอาไงดี ดูท่าจะไม่สามารถใช้อะไรปาไปปลุกให้ชายคนนั้นตื่นขึ้นมาได้ กัณหาได้แต่ทอดมองเขา นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรจึงจะปลุกเขาขึ้นมาได้
“ท่านอาจารย์จะทานอาหารอีกทีกี่โมงละ ท่าน” กัณหาถาม “ฉันค่อยมาหาตอนนั้นก็ได้”
“ขอโทษว่าไงนะ” เจ้างูว่า ในขณะที่ผีพรายตั้งต้นหัวเราะ
“เข้าฌานใครเขาทานอาหารกัน เด็กน้อย” ผีพรายหัวเราะชอบใจใหญ่ เสียงของหล่อนก้องไปทั้งถ้ำ แต่ท่านอาจารย์ก็ยังไม่ลืมตา
“อ้าว ท่านไม่กินอะไรเลยเหรอ” กัณหามองอย่างตกตะลึง “แม้แต่น้ำก็ไม่กินเลยเหรอ”
“ท่านอาจารย์ไม่กินอะไรมาเป็นเดือนๆแล้ว ท่านไม่กินอะไรเลยตอนเข้าฌาน เจ้ามนุษย์น้อย” เจ้างูส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในความไร้เดียงสาของเด็กน้อย “ผู้ที่เข้าฌานจะต้องทำสมาธิอย่างเดียว ไม่ขยับไปไหน”
“อ้าว แล้วท่านไม่หิวเหรอ” เด็กน้อยมองอย่างตกตะลึง “ถ้าท่านไม่กิน แล้วท่านถ่ายบ้างไหม หรือปัสสาวะบ้างรึเปล่า แล้วน้ำละ ก็ไม่ลงมาอาบบ้างเหรอ”
เจ้างูได้แต่ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆในขณะที่ผีพรายได้แต่หัวเราะชอบใจ
“ถ้าเจ้าปลุกเขาไม่ได้ ก็ควรกลับ” เจ้างูบอก กระดิกหางให้กัณหาเดินตามเขากลับไปตามเดิม
“ประเดี๋ยวก่อน ท่าน” กัณหาว่า และนั่งลงบนพื้นถ้ำ
“เจ้าจะทำอะไร” ทั้งสองถามพร้อมกัน มองเธออย่างสงสัย
กัณหาค่อยๆหลับตาลง ตั้งจิตระลึกถึงชายที่นั่งสมาธิอยู่เบื้องหน้า ถ้าปลุกเขาให้ตื่นด้วยวิธีปกติไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีนั่งสมาธิแล้วละ กัณหาระลึกถึงสาเหตุที่เธอเดินทางมาที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่านับพันๆรอบ โดยไม่ลืมตา พยายามส่งจิตไปให้ถึงบุรูษที่นั่งอยู่ด้านบนให้ได้
อิฉันเดินทางมาหาท่านเพื่อขอคำแนะนำเรื่องน้ำอมฤทธิ์เจ้าค่ะ ระหว่างทางเพื่อนๆของอิฉันได้รับบาดเจ็บจากการเดินทางยังไม่ฟื้นแทบทุกคน อิฉันจึงต้องดั้นด้นมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ กรุณาอิฉันและเพื่อนๆของอิฉันด้วยเจ้าค่ะ โปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ
“เจ้าว่าจะสำเร็จไหม” เจ้างูกระซิบถามผีข้างๆ
“ไม่รู้ รอดูกัน” ผีพรายยักคิ้วอย่างอารมณ์ดี
ว่าแล้วเจ้างูก็ฟุบตัวลงนอนขดอยู่ที่พื้น โดยมีผีพรายลอยอยู่ข้างๆ
พระอาทิตย์ค่อยๆคล้อยต่ำลงอีกฟากของเขาริมน้ำ แสงจากดวงอาทิตย์ค่อยๆหมดลงไป เช่นเดียวกับความสว่างของถ้ำเริ่มลดลง แสงจากโคมไฟหลากสีส่องชัดมากขึ้น ทำให้เห็นพื้นถ้ำเป็นสีต่างๆกัน ร่างผอมบางในชุดชาวยังคงนั่งทำสมาธิอยู่บนก้อนหินใหญ่โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่นเดียวกับเด็กน้อยที่ยังคงนั่งทำสมาธิอยู่ต่อหน้าเขา เจ้างูยังคงนอนขดอยู่ข้างตัวเธอ ดวงตาสีเหลืองของมันลุกวาวอยู่ในความสลัวของถ้ำ เจ้าผีพรายลอยอยู่ไม่ไกลนัก เจ้างูค่อยๆชูคอขึ้นมา นัยน์ตาตวัดไปมองร่างๆเล็กที่ทำสมาธิอยู่อย่างไม่สบายใจนัก
“ถ้าท่านอาจารย์ไม่ยอมออกจากฌาน ลูกมนุษย์นั่นจะไม่รอจนตายรึ” งูขู่ฟ่ออย่างหงุดหงิด
“ไม่ต้องห่วงหรอกน้า” ผีพรายยิ้มขัน เมื่อเห็นเจ้างูเขียวชำเลืองมองเด็ก “ท่านอาจารย์ไม่ทำเช่นนั้นหรอก”
“ใครห่วงมัน ข้าขี้เกียจเก็บศพมันต่างหาก เกิดตายในถ้ำ หนึ่งวันมันก็เหม็น” เจ้างูบ่น ทิ้งตัวลงนอนขดเหมือนเดิม แต่ตายังคงมองไปทาง”ลูกมนุษย์” นั่นอย่างไม่สบายใจ
ผีพรายสาวได้แต่หัวเราะในคอ เจ้างูเขียวที่แสร้งทำตัวโหดอยู่ประจำ
ฉับพลันร่างผอมบางที่นุ่งขาวห่มขาวก็ลืมตาขึ้นมา เขาชำเลืองมองไปที่ร่างเล็กๆที่ยังนั่งสมาธิอยู่เบื้องล่างตรงหน้าเขา เจ้างูผงกหัวขึ้นทันที แววตาดูดีใจไม่ต่างจากแววตาของผีพรายสาว
“ท่านอาจารย์” งูเขียวค้อมหัวให้ร่างนั้น ผีพรายยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
Comments (0)