36 ตอน ภูเขามรณะ(2)
โดย นกเป็ดน้ำ
ในที่สุดช่วงเย็นวันนั้นพวกเขาก็เดินทางมาถึงเกาะระกาตา พวกเขาอ้อมไปจอดเรือที่ท่าเรือเมืองงาวี ในสายตาของกัณหา เมืองงาวีเป็นเมืองที่สวยมาก มีตึกรูปทรงแปลกตา มีผู้คนในเมืองแต่งตัวสวยงามแบบเดียวกับที่เมืองปาเล็ม แต่สิ่งเดียวที่ทำให้กัณหาไม่มีอารมณ์ชื่นชมความงามของเมืองนี้คือ ภาพภูเขาไฟที่มีลาวาสีส้มแดงไหลออกมาจากยอดที่อยู่อีกฟากของเกาะ อากาศภายในเมืองงาวีเองก็ดูร้อนกว่าที่อื่น ท้องฟ้าในเมืองมีสิ่งที่กัณหาไม่แน่ใจว่าเมฆหรือควันลอยปกคลุมอยู่จนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย เมื่อเรือเข้ามาใกล้เมืองนี้จู่ๆสร้อยอัญมณีสีฟ้าที่เจ้างูให้เริ่มร้อนขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อกัณหาเห็นมันก็พอรู้ได้ว่ามันคงเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะพวกเขาเข้ามาใกล้ภูเขาไฟลูกนี้มากเกินไป
“ฉันก็ไม่อยากมาเมืองนี้เลยนะ แต่บางทีก็เลี่ยงไม่ได้” กัณหาพึมพำกับสร้อยเส้นนั้น
“เราจะอยู่ที่นี่ถึงพรุ่งนี้เที่ยง แล้วค่อยออกเดินเรือ” แอเรียนแจ้งแก่ทุกคนบนเรือ “ข้าและลูกเรือจะเอาสินค้าส่วนหนึ่งไปส่งกับลูกค้า อีกส่วนจะไปซื้อหาอาหารมาตุนไว้เพิ่มเติม ส่วนพวกท่าน แขกของเรา เชิญไปเดินเล่นชื่นชมเมืองได้เต็มที่ คืนนี้อยากจะนอนพักในเมืองก็ได้ หรือจะกลับขึ้นมานอนพักบนเรือก็ได้ แต่ต้องกลับมาเรือให้ทันก่อนเที่ยง เราจะได้ออกเดินทางกัน”
ช่วงพยักหน้าให้ แหวนแอบกระซิบกับกัณหาว่า “ข้าไม่ลงหรอก ต่อให้จ้างก็เถอะ”
คืนนั้นกัณหานอนไม่หลับ แหวนนอนกรนอยู่ที่เตียงข้างๆ กัณหาพลิกตัวไปมา พยายามข่มตาหลับอยู่บนเตียงเป็นเวลานานก็ไม่เป็นผล
“นอนไม่หลับหรือ ท่าน” เจ้านกจี้ดถาม กัณหาเห็นว่านกน้อยไม่ได้หลับ มันกำลังเกาะที่หน้าต่างห้องพักมองออกไปนอกเรือ ไกลออกไปภูเขาไฟลูกใหญ่ยังพ่นควันและลาวาสีส้มแดงออกมาให้เห็นได้ชัดแม้ในความมืด
“ฉันรู้สึกร้อนพิกล” กัณหาบอก ลุกออกจากเตียงมายืนที่หน้าต่างข้างเจ้านกน้อย “แล้วเธอล่ะ ทำไมไม่นอน”
“ข้าสังหรณ์ใจ” เจ้านกตอบ ยังคงเพ่งมองภูเขาไฟ
“สังหรณ์ใจว่า…?” กัณหาเกริ่น เพราะเธอเองก็เริ่มรู้สึกใจไม่ดีเหมือนกันตั้งแต่เห็นสร้อยที่เจ้างูให้กลายเป็นสีแดง เจ้านกถอนใจแล้วก็กล่าวว่า “นอนเถอะ พรุ่งนี้เราก็จะไปจากที่นี่แล้ว กังวลไปก็หามีประโยชน์อันใด”
กัณหาไม่ตอบรับว่าอะไร แต่คืนนั้นเธอยังคงนอนไม่หลับเหมือนเดิม
“ขอให้ถึงเที่ยงเร็วๆเถอะ เราจะได้ไปจากที่นี่สักที” แหวนพูดขึ้นในตอนเช้า เมื่อเธอกับกัณหาออกมาเดินที่ดาดฟ้าเรือ บนท้องฟ้ายังคงมืดมัวมองไม่เห็นพระอาทิตย์และปกคลุมด้วยกลุ่มควันสีดำเหมือนเดิม “ข้ากลัวจนนอนไม่หลับ”
“นอนไม่หลับ” เจ้านกน้อยทวนคำด้วยเสียงสูง “ข้าได้ยินเสียงเจ้ากรนทั้งคืน”
“ก็มีหลับบ้าง มันเพลียมาก” แหวนแก้ตัวทันควัน “หยุดบ่นน่าจี้ด”
เจ้านกมองอย่างไม่พอใจหน่อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “นั่นอาติกับช่วงนี่ ลงไปทำอะไรด้านล่างเรือ”
กัณหาและแหวนหันไปมองที่ถนนเบื้องล่าง เห็นอาติกับช่วงยืนคุยกับลูกเรือคนหนึ่ง ท่าทีเหมือนปรึกษาอะไรกันสักอย่างด้วยท่าทีกังวลใจ
“ท่าทางพวกเขามีปัญหาอะไรกันรึเปล่า” เจ้านกเพ่งมองไปเบื้องล่างอย่างไม่สบายใจ “ลงไปถามไหม”
กัณหา แหวน เดินลงจากเรือมาที่ท่าเรือเบื้องล่าง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” กัณหาถามเมื่อเดินเข้ามาใกล้อาติกับช่วง อาติกำลังจดอะไรขยุกขยิกบนกระดาษแผ่นหนึ่ง
“ฝากพวกท่านด้วยนะ” ลูกเรือคนนั้นค่อมศีรษะให้พวกเขาและจากไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” แหวนถามซ้ำ
“มีปัญหาเล็กน้อย” อาติบอก “เมื่อวานลูกเรือสองคนไปซื้อเสบียงที่ตลาด ปรากฏว่าตอนที่เรามาถึงร้านค้าในเมืองปิดไปเสียแล้ว เลยไม่ได้ซื้อเสบียงใดๆเลย ลูกเรือคนนั้นบอกว่าทุกทีเวลามาถึงร้านจะยังเปิดอยู่จนถึงค่ำจนถึงดึกก็เคยมี แต่ช่วงนี้ร้านปิดไว คงเป็นเพราะสภาพอากาศแบบนี้แน่”
“แล้วยังไงต่อ” แหวนชักหน้าเสีย
“เขาก็เลยมาไหว้วานให้เราไปช่วยซื้อเสบียงให้ไง เช้านี้เพื่อนอีกคนของเขาต้องไปช่วยขนสินค้าไปบ้านเศรษฐี ก็เลยเหลือเขาคนเดียวต้องไปหาเสบียงทั้งหมด เขาเกรงว่าทำคนเดียวจะไม่ทันเลยต้องมาขอเราช่วยลงไปซื้อเสบียงกับเขาด้วย เขาจะแยกไปซื้อเสบียงส่วนหนึ่ง และนี่รายการที่เขาบอกให้เราไปซื้อ” อาติชี้ไปที่กระดาษที่ถืออยู่ในมือ “ข้ากับท่านช่วงจะแยกกันไปซื้อ”
“ฉันจะไปช่วยด้วย” กัณหาบอกทันที “รีบแยกย้ายกันไปซื้อ จะได้เสร็จเร็วๆ เราจะได้ไปจากที่นี่เสียที”
“จริง” แหวนเห็นด้วย “ข้าจะไปช่วยด้วยอีกแรง เรื่องซื้อของในตลาดเนี่ย ข้าคล่อง”
“งั้นก็ดี” ช่วงฉีกกระดาษที่อาติจดรายชื่อของที่ต้องการออกเป็นสามส่วน “เจ้าไปกับคุณหนูซื้อนี่ ส่วนเจ้า อาติไปซื้อส่วนนี้ ส่วนข้าจะไปซื้อส่วนนี้” เขาแยกกระดาษแต่ละส่วนส่งให้ทุกคน “และนี่เงินตราของที่นี่ เหรียญใหญ่นี่ชื่อ มัต หนึ่งมัตเท่ากับสิบเหรียญเล็กนี่ เหรียญเล็กชื่อ สะมา ข้ารู้แค่นี้แหละ ที่เหลือถามแม่ค้าเอา รีบซื้อแล้วรีบกลับมาท่าเรือนะเราต้องเดินทางก่อนเที่ยง” ช่วงอธิบายแบบรวบรัด
“ท่านจะเข้าไปในตลาดจริงๆหรือ” เจ้านกจี้ดพูดขึ้นทันที “ดูไม่ปลอดภัย”
“ถ้าเราไม่ช่วยเขา เราจะออกจากที่นี่ช้ากว่าเดิม ฉะนั้นเราควรรีบไปช่วยซื้อของ เจ้ารอที่นี่” กัณหาสั่งทันที “ประเดี๋ยวพวกเรามา”
ทุกคนพยักหน้าแล้วก็รีบแยกย้ายกันไปในทันที
“ดีละ เราจะได้ลองใช้สร้อยภาษานี่เสียสักที” แหวนชี้ไปที่สร้อยที่ช่วงให้พวกเขาตอนขึ้นเรือแถมยังแจกแจงวิธีใช้เสียละเอียดยิบ “มาลองใช้กันเถอะ”
กัณหาหยิบสร้อยสองเส้นที่แขวนไว้ที่คอ เส้นหนึ่งเป็นเส้นที่เจ้างูให้ก่อนออกจากเขาริมอ่าวมันยังคงเป็นสีแดงสดใส แม้จะรู้ว่าอันตรายมากขึ้นถ้าเข้าไปบนเกาะ แต่เมื่อมีเหตุจำเป็นเช่นนี้ กัณหาก็ไม่รู้จะเลี่ยงอย่างไร อีกเส้นเป็นสร้อยสีเงินเส้นบางเฉียบที่ไม่มีเครื่องแขวนใดๆ กัณหาลูบสร้อยไปมาห้าครั้งจนสร้อยเปล่งสีแดงออกมา หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปในตลาดที่อยู่ข้างๆจากท่าเรือ พวกเขาจงใจเดินผ่านคนที่พูดคุยกันแถวนั้น เพื่อให้สร้อยได้ยินภาษาของคนแถวนั้นก่อนจะเริ่มพูดคุยกัน
ตลาดข้างๆท่าเรือในตอนเช้ามีผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของคึกคัก ร้านค้าภายในตลาดเปิดเกือบทุกร้าน แต่ละร้านมีข้าวของเครื่องใช้มากมายวางขายกัน กัณหากับแหวนสอบถามแม่ค้าในตลาดถึงที่ขายผัก พวกเขาพูดภาษาของตนเองตามปกติ และได้ยินแม่ค้าตอบกลับมาเป็นอีกภาษา แต่แปลกที่พวกเขากับเข้าใจทุกคำพูด
“อยู่ทางฝั่งนู้น” แม่ค้าพูดแล้วก็ชี้มือไป ทั้งสองบอกขอบคุณแม่ค้าแล้วรีบไปตามทางที่แม่ค้าชี้ เมื่อไปถึงก็เห็นแม่ค้าตั้งแผงขายผักเรียงรายกัน ทั้งคู่จึงพากันเข้าไปเลือกผักในร้านหนึ่งที่เห็นคนรุมกันซื้อผักอยู่
“ช่วงนี้ ตลาดเขาปิดไวหน่อยเพราะมันมืดเร็วจากฝุ่นควันภูเขาไฟ” หญิงคนหนึ่งเล่าให้คนที่มาด้วยกันฟัง
“เมื่อไหร่จะผ่านพ้นไปสักทีนะ” หญิงอีกคนถาม “ระเบิดเดือนที่แล้วทีหนึ่ง แล้วก็ปล่อยควันมาตลอดจนถึงเดือนนี้ รอบนี้ดูนานกว่าเมื่อสิบปีก่อนมากเลยนะ”
“อีกหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก็คงหายไปเองแหละจ้ะ” แม่ค้าปลอบลูกค้าทั้งสอง “อดทนเอาหน่อย”
กัณหากับแหวนช่วยกันเลือกผักหลายอย่างอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับว่าโชคดีมากสำหรับกัณหาเพราะแหวนทำกับข้าวเป็น เรื่องการเลือกซื้อผักและเนื้อสัตว์แหวนทำเป็นอยู่แล้ว หลังจากเลือกผักเสร็จส่งให้แม่ค้า จู่ๆสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มีเสียงคลื่นๆที่น่ากลัวดังมาแต่ไกล กัณหากับแหวนต่างก็ชะงักเขยิบออกไปนอกแนวกันสาดของร้าน ทั้งคู่รีบหันไปมองภูเขาไฟทันที พวกเขาทันได้เห็นกลุ่มควันจำนวนมากพวยพุ่งขึ้นมาจากปากปล่องที่สว่างด้วยลาวาสีส้มแดง ฝุ่นควันนั้นมากจนบดบังสีแดงของลาวาไปหมดสิ้น ระหว่างนั้นเองเศษฝุ่นและหินก้อนเล็กๆก็ตกลงมาใส่พวกเขาราวกับห่าฝน ทั้งคู่พากันมองอย่างตกใจและรีบหลบเข้ามาใต้ชายคาของร้านทันที มีเสียงหมาและเสียงสัตว์อื่นๆร้องโหวกเหวกประกอบ
“นี่มันอะไรกัน” แหวนหันไปถามแม่ค้า
“ฝุ่นจากภูเขาไฟ” แม่ค้าตอบ แหวนกับกัณหาหันมามองกันอย่างสยดสยอง แม่ค้าเห็นท่าทีของพวกเขาก็บอกว่า “ช่วงนี้มีแทบทุกวันแหละ เดือนก่อนก็เป็นแบบนี้ล่ะ เอาเข้าจริง เดือนก่อนภูเขาไฟระเบิดแรงกว่านี้อีก ตอนนั้นลาวาพวยพุ่งสูงกว่านี้อีก พื้นดินสั่นสะเทือนทั้งเมืองเลย ฝุ่นตกเต็มเมือง เป็นอยู่สักสี่ห้าวันมันก็จะหายไปเอง ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกังวล ภูเขาไฟนะอยู่อีกฟากของเกาะ มันมาไม่ถึงเราหรอก”
“ท่านแน่ใจหรือ” กัณหาถามแม่ค้าด้วยสีหน้าตกตะลึง สภาพบรรยากาศรอบตัวตอนนี้เริ่มมืดจนคล้ายตอนพลบค่ำ นกบนฟ้าบินหนีกันพัลวัน สัตว์เลี้ยงที่แม่ค้าจับมัดไว้วิ่งกันวุ่นอยู่ในบริเวณที่มัด “ฉันว่าหาทางหนีออกจากเกาะนี้ไปก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
“จะหนีไปไหนละ เราไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากพอจะหนีไปไหน” แม่ค้าตอบด้วยท่าทีเรียบเฉย “แล้วอีกอย่างรอประเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองแหละ บนเกาะนี้มีภูเขาไฟหลายลูก สักสิบปีอาจจะปะทุสักครั้ง ไม่ใช่เรื่องแปลกกระไรหรอก ส่วนใหญ่ภูเขาไฟจะปะทุหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก็หยุดเอง ไม่ค่อยรุนแรงหรอก การมีภูเขาไฟก็ดีนะ ดินตรงที่ภูเขาไฟพ่นออกมาเป็นดินดีมาก ปลูกพืชอะไรก็งดงาม ปลูกผักก็ผักจะสวยทุกต้น”
กัณหากับแหวนได้แต่มองหน้ากันไม่รู้จะพูดว่าอะไร ระหว่างที่แม่ค้าหันไปห่อผักที่พวกเขาซื้อ กัณหาเอ่ยถามกับแหวนขึ้นมาว่า “พวกเขาประมาท หรือว่าเราหวาดระแวงมากเกินไปละ”
“ข้าก็ไม่รู้” แหวนมองแม่ค้าอย่างเหลือเชื่อ “ข้าว่าเรารีบเอาซื้อรีบกลับเรือดีไหม”
“จ้ะ” กัณหาเห็นด้วยเป็นที่สุด
หลังได้ผักมาแล้ว กัณหากับแหวนไปซื้อเนื้อสัตว์ที่ร้านไม่ไกลนัก พวกเขาต้องหาแผ่นไม้ข้างทางมาบังศีรษะระหว่างที่ก้อนหินและฝุ่นยังคงหล่นมาจากท้องฟ้าเรื่อยๆราวกับสายฝน เมื่อพวกเขามาถึงร้านขายเนื้อสัตว์แล้วก็รีบเลือกเนื้อสัตว์อย่างรวดเร็วและบอกให้คนขายเนื้อสัตว์ห่อให้ด้วย
“ดูนั่น” กัณหาชี้ให้แหวนดู ก้อนหินเล็กๆที่หล่นลงมาจากฟ้าตกลงที่อ่างน้ำหน้าร้านขายเนื้อสัตว์ แทนที่พวกมันจะจมน้ำกับลอยอยู่บนผิวน้ำ
“แปลกมาก” แหวนหยิบก้อนหินนั้นมาดู กัณหาก็หยิบมาดูด้วยเช่นกัน
เสียงดังสนั่นคล้ายเสียงฟ้าร้องแต่ฟังดูเหมือนกับดังมาจากใต้ดินมากกว่าจะมาจากบนฟ้า กัณหากับแหวนมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ต่างฝ่ายต่างเห็นหน้าอีกฝ่ายซีดขาวไปหมด กัณหาและคนอื่นๆในตลาดพากันมองไปยังภูเขาไฟลูกยักษ์ที่ยังเห็นอยู่ไกลๆ ควันลอยออกมาจากภูเขาไฟลูกนั้นมากขึ้น ลาวาสีแดงสดเริ่มไหลทะลักออกมาจากปากปล่องนั้นอย่างรวดเร็ว เร็วจนกัณหารู้สึกว่าอีกไม่นานมันต้องไหลมาถึงที่นี่อย่างแน่นอน
“ไปเถอะ หนีเร็ว” กัณหาตะโกน ณ วินาทีนั้นเธอไม่คิดอะไรแล้ว มือหนึ่งคว้าข้อมือแหวน อีกมือโยนเงินกองหนึ่งให้พ่อค้าที่ยังยืนมองภูเขาไฟนั้นอยู่ดูราวกับว่าไม่รู้ว่าจะหนีดีหรือไม่ ก่อนรีบโกยเนื้อสัตว์เท่าที่พ่อค้าห่อไว้วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ระหว่างนั้นตามทางยังมีเศษหินภูเขาไฟตกใส่มาเป็นระยะ ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว กัณหารู้สึกเจ็บไปทั้งตัวตามที่หินตกใส่ แต่เธอไม่คิดอะไรแล้วขอแค่หนีไปให้พ้นจากที่นี่ก็พอ ใครจะว่าว่าเธอหวาดระแวงเกินไปก็ชั่งมันเถอะ กัณหากับแหวนวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เธอได้ยินเสียงดังลั่นดังตามมาตลอดทาง เมื่อหันไปมองอีกทีตรงตำแหน่งที่เคยเห็นลาวาไหลออกมานั้นมีควันสีเทาดำปกคลุมเต็มไปหมด ควันนั้นกำลังไล่หลังพวกเขามาติดๆ และดูเหมือนมันมาเร็วมาก จนบดบังบ้านเรือนที่อยู่บนแนวเชิงเขาไปจนหมดสิ้น และมันกำลังมาทางตลาดที่พวกเขาอยู่ เสียงดังคล้ายดินหรือหินถล่มยังมีมาตลอด พอๆกับหินภูเขาไฟที่ตกใส่พวกเขาเหมือนห่าฝน
“อย่าหันไปมองรีบวิ่งเร็ว ภูเขาไฟกำลังจะถล่มแล้ว” แหวนตะโกน “โน่นท่าเรืออยู่โน้น”
กัณหาหอบหายใจ เหงื่อไหลเป็นทาง น้ำหนักของเนื้อสัตว์และผักที่อยู่ในมือถ่วงพวกเขาไว้ ขณะวิ่งอยู่ดีๆก็เข่าอ่อนลง
“ไหวไหม คุณหนู” แหวนตะโกน “ลุกเร็ว มันกำลังจะมาแล้ว แข็งใจไว้”
กัณหาหันไปมอง เห็นกลุ่มควันสีเทาดำเข้าปกคลุมท้องฟ้าด้านหลังเธอเรียบร้อยแล้ว พวกเขามองไม่เห็นทางอีกฟากหนึ่งของเมืองแล้ว กลุ่มควันเหล่านั้นกำลังตามเธอมาที่ท่าเรือ เธอรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายออกวิ่งอีกครั้งทั้งๆที่ยังเจ็บเข่า พวกเขามองเห็นเรืออยู่ไกลๆ
“กัณหา แหวน” เสียงอาติตะโกนอยู่บนเรือ ที่เหมือนเตรียมตัวจะออกแล้ว “พวกเขามาแล้ว”
“ฉัน ฉันไม่ไหว” กัณหาทรุดนั่งที่หน้าตลาด เรืออยู่ห่างจากพวกเขาไปอีกไม่กี่ก้าว แต่กัณหาหมดแรงเสียแล้ว เธอไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน นี่เธออุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล เพื่อมาตายที่เกาะภูเขาไฟหรือนี่
“อาติ กัณหาไม่ไหว” แหวนตะโกนขึ้นไปบนเรือ
“ขึ้นไป เธอวิ่งไปเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว” กัณหาเอาผักและเนื้อที่เธอถือส่งให้แหวน
“ไม่ได้นะ เราต้องไปด้วยกัน” แหวนตะโกนแข่งกับเสียงดินถล่มและเสียงระเบิดของภูเขาไฟเบื้องหลัง
“ไปเถอะ เธอไปซะ แหวน” กัณหาไล่ “ฉันไม่ไหวจริงๆ ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”
แต่แหวนยังคงไม่ยอมไป หล่อนพยายามฉุดมือกัณหาให้ลุกขึ้น “ขึ้นหลังข้ามา ท่านทำได้ เร็ว”
กัณหาส่ายหน้า เธอเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรต่อ
“เร็ว” เสียงช่วงตะโกนมา “เกาะกำลังจะถล่มแล้ว”
แหวนพยายามดึงกัณหาขึ้นหลัง แต่กัณหารู้ดีว่าถ้าแหวนทำเช่นนั้นจะวิ่งขึ้นบนเรือไม่ไหว
“ไปเถอะ ตายหนึ่งดีกว่าตายสอง” กัณหาไล่ เธอหอบหายใจขณะพูด
“อีกนิดเดียวน่า เร็วสิ ท่านไหวแน่” แหวนยังคงไม่ยอมไปไหน หล่อนพายามฉุดตัวกัณหาขึ้นหลัง ในขณะที่เสียงดินถล่มเหมือนขยับเข้ามาใกล้ทุกทีทุกที
ทันใดนั้นสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น จู่ๆร่างของกัณหา แหวนและข้าวของที่พวกเขาถือมาก็ลอยขึ้นจากท่าเรือ ราวกับว่ามีแรงอะไรบางอย่างอุ้มพวกเขาขึ้นมา แล้วสักพักร่างของพวกเขาก็ค่อยๆตกลงบนดาดฟ้าเรือที่อาติ ช่วงและลูกเรือคนอื่นๆยืนอยู่
“ออกเรือเลย” ช่วงตะโกนบอกลูกเรือด้านบน สักพักใบเรือเริ่มหันและเรือสำเภาก็ค่อยๆแล่นออกจากท่าเรือ หินจากภูเขาไฟยังคงหล่นใส่พวกเขาเป็นระยะๆ แต่ปริมาณลดลงมากเมื่อออกห่างจากเมืองมากขึ้น
“โอ๊ย นึกว่าจะตายเสียแล้ว” แหวนหอบแฮกแล้วหันมาเอ็ดใส่อาติ ในขณะที่กัณหาที่นั่งหอบอยู่ข้างๆได้แต่แอบยิ้ม “เจ้าช่วยได้ ทำไมไม่รีบช่วยตั้งแต่แรกนะ”
“แหม ก็เห็นรำพึงรำพันกันอยู่” อาติว่า กลั้นขำแทบไม่ทัน “เอาจริงก็เพิ่งคิดออกว่าจะทำไงตอนที่นึกถึงกัณหาเสกอาคมให้ท่านชายฮารุนลอยนั่นแหละ”
“ดีนี่ หัวใจจะวาย” แหวนจับชายโครงของเธอแล้วก็ปาดเหงื่อออกจากตัว สภาพเธอตอนนี้เต็มไปด้วยฝุ่นปกคลุมทั้งตัว กํรหาคิดว่าตัวเธอเองก็คงไม่ต่างกันมากนัก
”ไม่เป็นไรใช่ไหม” แอเรียนเดินเข้ามาหาทุกคนที่นั่งหอบกันอยู่ที่ดาดฟ้า “ความผิดข้าเองแหละ ข้าประมาทเกินไป ไม่นึกว่าภูเขาไฟระเบิดมันจะรุนแรงขนาดนี้ ดีที่ทุกคนหนีมาทันขึ้นเรือ ข้าขอโทษจริงๆ ข้าเกือบพาทุกคนไปตาย”
“แล้วคนบนเกาะนั่นละ” กัณหาถามเมื่อหายใจช้าลงมาก เธอชี้ไปที่เกาะที่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันจนมองไม่เห็นทั้งเกาะและภูเขาไฟอีกแล้ว
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” แอเรียนตอบ เขาก็ดูกังวลใจมองไปทางเกาะที่พวกเขาแล่นเรือห่างออกมา
ตู้มมมมมมมมม
เสียงน่าสะพรึงกลัวราวกลับดังมาจากนรกก็ไม่ปานดังขึ้น ฟังดูแล้วคล้ายกับเสียงปืนใหญ่ ทุกคนบนเรือต่างหันไปมองที่เกาะระกาตา เปลวไฟสีแดงสดแลบออกมาจากหมู่ควันสีเทาที่ปกคลุมเกาะอยู่ ตามมาด้วยกลุ่มควันลูกใหญ่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้านับหลายร้อยวา กลุ่มควันที่อยู่โดยรอบเกาะระกาตาแผ่ขยายออกโดยรอบ เศษหินภูเขาไฟกระเด็นตกใส่พวกเขาอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดมิดไปหมดไม่เห็นแม้แสงตะวันทั้งที่เป็นตอนกลางวันก็ตาม