รุ่งเช้าวันถัดมา กัณหายังคงทำกิจวัตรเดิมๆ คือไปช่วยเตรียมและปรุงยาสมุนไพรให้กับอาติ หมอหยูยังคงเงียบเช่นเดิม ไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย กัณหาแอบลอบชำเลืองมองเขา แต่เขายังคงรักษาสีหน้านิ่ง กัณหานึกอยากถามจับใจว่าเขาตัดสินใจจะช่วยซิงอีหรือยัง หลังจากปรุงยารอบเช้าเสร็จหมอหยูกับบารัตก็เตรียมตะกร้าและข้าวของสำหรับออกไปหาสมุนไพรมาเพิ่มเติม กัณหาที่ว่างงานแล้วจึงเดินออกมานั่งเล่นที่ริมน้ำ เธอยังเห็นซิงอีนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ลานหินเมื่อคืน ณ ที่เดิม

“ท่านคิดหาวิธีการเกลี้ยกล่อมหมอหยูได้หรือยัง” กัณหาถามเมื่อเดินเข้าไปใกล้ซิงอี และนั่งลงข้างๆ เธอ

“ยัง” ซิงอีตอบทันทีโดยไม่ลืมตา

“แล้วท่านทำอะไรอยู่”

“ฝึกพลังลมปราณ” ซิงอีตอบ เธอยกมือขึ้นมาข้างหน้าไปทางทะเลสาบ สักพักกัณหารู้สึกเหมือนมีลมอะไรบางอย่างพัดผ่านไปสู่ทะเลสาบ เสียงเหมือนมีของตกลงในทะเลสาบและตามด้วยเสียงน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้าง กัณหามองมันอย่างสนใจสักพักก่อนที่ซิงอีจะลืมตาขึ้นมามองเธอ “ข้ากำลังคิดว่าหากเจ้าคิดจะช่วยข้าจับเฉิงอี้ละก็ เจ้าควรฝึกมันไว้บ้าง”

“ฝึกอะไร” อีกฝ่ายย้อนถามอย่างตกใจ “ท่านจะให้ฉันฝึกพลังลมปราณงั้นหรือ”

“ใช่” ซิงอีตอบทันที “เราไม่รู้ว่าจะเจออันตรายอะไรเบื้องหน้าบ้าง และอย่างน้อยเจ้าก็ควรมีความรู้สำหรับเอาตัวรอด”

“ท่านพูดเหมือนมันฝึกได้ง่ายๆ” กัณหาแย้งขึ้นมา “แล้วอีกอย่างต่อให้ฝึกได้จริง พวกเขาฝึกมานานกว่าฉัน ย่อมเก่งกว่าฉันอยู่แล้ว”

“เราไม่ได้ฝึกเพื่อเอาชนะนี่ เราต้องการแค่เอาตัวรอด อย่างน้อยหนีออกมาได้ด้วยตนเอง” ซิงอีเล่าต่อไม่มีติดขัด “ช่วงบอกว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่มีอาคม น่าจะฝึกพลังลมปราณได้ไม่ยาก”

“แล้วสองคนนั้นล่ะ” กัณหาถามถึงช่วงกับแหวน

“คนที่ฝึกอาคมไม่ได้ ยังมีโอกาสฝึกพลังลมปราณได้ แต่ยากกว่ามาก ส่วนใหญ่มักใช้เวลาหลายปี บางคนฝึกตลอดทั้งชีวิตก็ยังไม่ได้เลย ในทางกลับกันคนที่มีพื้นฐานฝึกอาคมอยู่แล้ว จะฝึกพลังลมปราณได้ง่ายกว่า เพราะใช้ฐานพลังคล้ายๆ กัน ข้าเลยไม่ได้แนะนำให้เพื่อนของเจ้าลองฝึกเหมือนอย่างเจ้า เมื่อคืนนี้ ข้ามาคิดดูว่าอย่างน้อยถ้าเจ้าฝึก ถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อย่างน้อยเจ้าก็หนีเองได้ ส่วนสองคนนั้นข้ากับหมอหยูอาจช่วยได้คนละคน ดีกว่าสองคนช่วยสามคน ยุ่งยากลำบากมากกว่า”

“ท่านพูดเหมือนมั่นใจแล้วว่าหมอหยูจะช่วย”

“ข้ากลับไปนอนคิดแผนไว้แล้ว และมั่นใจว่าน่าจะได้ผล” ซิงอีตอบแบบมีลับลมคมใน กัณหามองเธออย่างสงสัย “เอาล่ะ ข้ายื่นเสนอให้เจ้าแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่เจ้านั่นแหละ อยากจะฝึกไหมล่ะ”

“เอ่อ…” ลังเลใจอยู่สักพัก “อ้าว ตกลงก็ตกลง”

“ดี” ซิงอีพูดทันที “งั้นเรามาเริ่มกันเลย วันนี้ตอนนี้เลย”

“ห๊า” คนที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจตกใจเล็กน้อย

“ใช่ บ่ายนี้เลย”

กัณหารู้สึกงุนงงเป็นอันมากที่อยู่ดีๆ เธอก็ได้รับโอกาสให้เรียนวิชาพลังลมปราณจากซิงอี ซิงอีเริ่มสอนเธอในบ่ายวันนั้นที่ลานหินริมทะเลสาบ มีแหวน จี้ดและบารัตมาสังเกตการณ์อยู่ที่ริมลานหิน

“ทำไมจู่ๆ นางถึงจะสอนอาคมให้คุณหนูของเจ้าล่ะ” บารัตถามอย่างสงสัย

“คุณหนูบอกว่า นางสอนให้ก่อนที่จะให้เราไปช่วยจับศัตรู” แหวนยักไหล่ “ก็ไม่น่าแปลกนะ”

“มันเรียนกันได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ” จี้ดยังไม่หายข้องใจ นึกสงสัยว่าสอนกันตอนนี้จะไปสู้กับคนที่เรียนมานานได้อย่างไร แค่ฟังคร่าวๆ ก็พอรู้ว่าน่าจะแพ้แน่ๆ

“ข้าจะไปรู้เรอะ ข้าไม่มีอาคม” แหวนทำท่าเล่นหูเล่นตาใส่เจ้านก เจ้านกมองหล่อนอย่างไม่ค่อยพอใจ

“นั่น พวกเขาอยู่นั่น” เสียงช่วงดังมาจากข้างหลัง ทั้งสามหันไปมองเห็นช่วงประคองอาติออกมานั่งที่ลานหิน

“หายดีแล้วรึ ถึงได้ออกมา” บารัตมองอาติอย่างกังวล

“ข้าห้ามแล้วก็ไม่ฟัง” ช่วงบ่นอุบเมื่ออาตินั่งลงที่ม้านั่งริมลานหิน

“เอาน่า ข้าอยากเห็นการฝึกลมปราณ” อาติยิ้มตอบใบหน้าของเขาตอนนี้ดูดีกว่าแต่ก่อนมาก มันไม่ซีดเซียวอีกต่อไป แต่เขาก็ยังไม่ค่อยมีแรงมากนัก ช่วงนั่งลงข้างๆ อาติคอยชำเลืองดูเขาเผื่อเป็นลมล้มพับไป ไกลออกไปด้านหลังพวกเขาหมอหยูลอบสังเกตการณ์จากภายในบ้านพักของเขา

“เจ้ากำลังจะทำอะไรนะ ซิงอี”

“กฎหลักของการฝึกพลังลมปราณคือ เจ้าต้องกำหนดจิตไปที่ลมปราณภายในกาย และควบคุมให้มันเคลื่อนที่ไปตามที่ต้องการ เจ้าต้องกำหนดจิตให้มั่นตามให้ทันว่าลมปราณของเจ้าไปที่แห่งใด” ซิงอีพูดช้าๆ ขณะเดินรอบกัณหาที่นั่งฝึกขัดสมาธิอยู่ที่กลางลาน “วันนี้ที่เราจะลองฝึกขั้นแรกคือ กำหนดจิตตามลมปราณไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นลืมตาขึ้นผลักพลังลมปราณออกมาทางฝ่ามือ ลองดูนะ”

ซิงอีแบมือออกไปทางต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมทะเลสาบแล้วทันใดนั้นต้นไม้เหล่านั้นก็เริ่มสั่นไหวราวกับต้องลมอะไรที่มองไม่เห็น ตอนแรกมันสั่นไหวเพียงเล็กน้อย ต่อมาการสั่นไหวก็ค่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ จนต้นไม้เริ่มโยกคลอน”

“หู๊ยยยย เท่มาก” แหวนตื่นตาตื่นใจมาก ช่วงกับเจ้านกน้อยหันมามองหน้าหล่อนด้วยสีหน้าเอือมระอาพร้อมกัน

“ไม่น่าเชื่อว่าลมปราณจะทำอะไรได้เยอะมาก” กัณหาเองก็ทึ่งไม่น้อย

“ได้สิ เราใช้มันเป็นอาวุธได้ ใช้ทำให้ตัวเหาะลอยได้ ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยจากภายในได้” ซิงอียิ้มให้กัณหา “ถ้าเจ้าควบคุมมันได้เก่งพอ มันจะเป็นอาวุธป้องกันตัวที่ดีที่สุดโดยเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธใดๆ เลย เอา ลองดูสิ” ซิงอีพยักพเยิดให้กัณหาลองทำ

กัณหาลองทำตามที่ซิงอีพูดแต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

“นั่นแปลว่าเจ้ายังกำหนดจิตไว้ที่ลมปราณได้ไม่ดีพอ ลองอีกที”

หลังจากวันนั้นมา กัณหาเริ่มต้นฝึกกับซิงอีทุกวันตอนเช้ารอบหนึ่งตอนบ่ายอีกรอบหนึ่ง หลังจากเสร็จจากการช่วยปรุงยาตอนเช้าแล้ว ส่วนใหญ่กัณหาก็จะนั่งฝึกเกือบตลอดทั้งวัน หมอหยูมองดูการฝึกของเธออย่างไม่ค่อยสายใจนัก แต่ไม่พูดว่าอะไร พอตกเย็นพวกเขาก็มาสุมหัวกันคิดแผนการหลอกล่อและจับเฉิงอี้ให้อยู่หมัด โดยคราวนี้มีบารัตมาร่วมวงด้วย หลังจากทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จตอนกลางคืนเธอก็มักจะขึ้นไปนั่งที่ดาดฟ้าเรือเพื่อฝึกสมาธิตามที่ซิงอีแนะนำว่าจะช่วยให้เข้าถึงการฝึกพลังลมปราณได้ง่ายขึ้น แต่การฝึกกลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควรนัก เหตุเพราะแม้กัณหาจะเริ่มสามารถใช้พลังลมปราณทำให้วัตถุต่างๆ เคลื่อนไหวได้บ้าง แต่พลังที่ออกมันน้อยมาก จนแทบไม่มีประโยชน์อันใดเลย จนทำให้กัณหานึกหงุดหงิดตัวเองเล็กน้อยที่การฝึกดูจะไม่ก้าวหน้านัก

“กว่าจะฝึกได้ขนาดที่เจ้าว่าต้องใช้เวลา” ซิงอีปลอบใจเมื่อเห็นเธอมีสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าเองก็ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสามารถควบคุมพลังลมปราณได้ขนาดนั้น เจ้าทำได้ขนาดนี้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้ว”

“ฉันนึกว่าฉันจะสามารถใช้พลังลมปราณแบบผลักคู่ต่อสู้ให้ล้มไปได้เลยอะไรประมาณนี้” กัณหานึกถึงครั้งที่พวกเขาต่อสู้กับพ่อฉิม

“ทำได้สิ แต่ต้องใช้เวลา ต้องผ่านการฝึกอีกนานปี และต้องเข้าใจการต่อสู้ด้วย” ซิงอียิ้ม “แต่ข้าไม่ได้คาดหวังให้เจ้าฝึกได้ถึงขนาดนั้นหรอกนะ ข้าให้เจ้าฝึกแค่พื้นฐาน แค่อยากให้เจ้าฝึกควบคุมลมปราณอย่างง่ายได้เท่านั้นเอง สิ่งที่ข้าคาดหวังว่ามากกว่าคือ เจ้าก็จะสามารถเหาะหนีพวกเขาได้ ถ้าภัยอันตรายมาถึง”

“เหาะเหรอ แค่ต้นไม้ต้นนั้นฉันยังไม่สามารถทำให้ล้มได้เลย จะทำให้ตัวเองเหาะได้อย่างไร” กัณหาบ่นอุบ มองไปที่ต้นไม้ริมทะเลสาบที่ยืนต้นนิ่งไม่ไหวติงอยู่เบื้องหน้า

“การเหาะจะตรงข้ามกับการปล่อยพลังลมปราณไปเบื้องหน้า ให้เจ้ารวบรวมพลังลมปราณเข้าในตัว ใช้ลมปราณภายในตัวทำให้กายลอยขึ้น”

“ทำให้ร่างกายลอยขึ้น” กัณหาชะงัก

“ใช่ มันจะยากกว่าการปล่อยพลังลมปราณออกมาข้างนอกหน่อย จึงจำเป็นต้องหัดปล่อยพลังลมปราณออกข้างนอกก่อน แล้วค่อยฝึกเอาเข้าไปข้างใน”

“ทำยังไง”

“ตั้งสมาธิรวบรวมลมปราณให้อยู่ที่แกนกลาง ควบคุมให้มันลอยขึ้น” ซิงอีบอก “ที่สำคัญเจ้าต้องมั่นใจว่าตัวเองจะลอยขึ้นไปได้ มันถึงจะลอยได้จริง”

“มั่นใจว่าจะลอยได้หรือ” กัณหาพึมพำอย่างงุนงง

“เอ้า เริ่มเลย”

กัณหาเริ่มตั้งสมาธิควบคุมลมปราณให้มาอยู่ที่แกนกลางเหมือนอย่างที่ซิงอีบอก มันไม่ยากนัก ความยากอยู่ที่ทำอย่างไรก็ไม่ลอย แม้ว่าจะควบคุมลมปราณมาที่แกนกลางแล้วก็ตาม กัณหานึกสงสัยว่าตัวเธอจะหนักเกินกว่าลมปราณจะพยุงให้ลอยรึเปล่า เท้าเธอดูเหมือนจะอยากติดกับพื้นดินมากกว่า กัณหาลองทำอยู่หลายวันก็ยังไม่เกิดความคืบหน้าใดๆ จนเช้าวันหนึ่งซิงอีเลยชวนกัณหาให้เหาะไปด้วยกัน

“ทำอย่างไรเหรอ”

“ประเดี๋ยวข้าอุ้มเจ้าไปด้วย ลองสัมผัสความรู้สึกของการเหาะก่อน มาสิ” ซิงอีเอามือโอบรอบเอวของกัณหาไว้ “ข้าจะพาเจ้าเหาะไปแล้วนะ”

ซิงอีพาร่างของกัณหาลอยสูงขึ้น สูงขึ้น และข้ามไปอีกฟากของทะเลสาบ

เป็นแบบนี้เองเหรอ ความรู้สึกของการเหาะได้ กัณหารำพึงขณะมองเงาตนเองในผิวหน้าที่เรียบใสของทะเลสาบสอง กระแสลมเย็นค่อยๆ พัดผ่านไรผมของเธอไป อากาศรอบตัวเย็นสบาย ร่างที่ลอยเหนือน้ำไม่กี่วาดูโปร่งโล่งสบายอย่างประหลาด

วิชาตัวเบามันดีอย่างนี้เอง

ซิงอีร่อนลงที่ไหล่เขาเตี้ยๆ ที่อีกฟากของทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบเบื้องล่างใสราวกระจก ใสจนมองทะลุลงไปเห็นก้นสระได้เลย ลำต้นของต้นไม้ที่หักตกลงไปในทะเลสาบส่วนที่จมน้ำก็ยังเห็นอยู่ชัดเจน

“เป็นไงบ้าง การเหาะสนุกไหม” ซิงอีถามเธอ

“สนุกจ้า ฉันอยากเหาะได้เลย” กัณหายิ้ม อดนึกอิจฉาจี้ดไม่ได้เลย การเดินทางบนเรือเหาะนั้นแม้ดูสวยงามก็จริงแต่เทียบไม่ได้กับความรู้สึกโปร่งโล่งสบายอย่างวิชาตัวเบาแห่งเถียนอัน วิชาที่ทำให้มนุษย์สามารถโบยบินได้เหมือนนกก็ไม่ปาน

“ถ้างั้นก็…” ก่อนที่กัณหาจะได้ทันตั้งตัว ซิงอีผลักกัณหาลงไปตามไหล่เขา

“ซิงอี” กัณหาตกใจ เธอยังไม่ทันได้ตั้งหลักจึงไม่ทันคว้าอะไรตามทาง เธอกลิ้งหลุนๆ ลงมาอยู่ในซอกเขาแคบๆ เบื้องล่างระหว่างเขาสองลูกในระยะเวลาอันรวดเร็ว บริเวณที่เธออยู่มีเพียงลำธารเส้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างขุนเขาทั้งสองไหลผ่าน ซิงอีเหาะมายืนอยู่ที่บนต้นไม้ต้นใหญ่ไม่ไกลจากเธอมากนัก

“ท่านทำอะไรนะ” กัณหาเอ็ดใส่เธอ “พาฉันกลับไปประเดี๋ยวนี้นะ”

“เจ้าต้องหาทางกลับไปเอง” ซิงอียืนยิ้มอยู่บนต้นไม้อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “เหาะขึ้นมาสิ ทางเดียวที่จะทำให้เจ้าขึ้นมาจากซอกเขานี้ได้ เหาะขึ้นมา”

“ไม่ตลกนะ ฉันยังเหาะไม่ได้เลยแม้แต่นิ้วเดียว ท่านจะมาใช้วิธีการนี้ไม่ได้” กัณหาประท้วงเสียงดัง เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจมาก อะไรทำให้ซิงอีคิดใช้วิธีนี้ “พาฉันกลับไปนะ”

“ถ้างั้น เจ้าก็อาจจะต้องอยู่ที่นี่คนเดียว” ซิงอียิ้มก่อนเหาะจากไป กัณหาใจหายวาบ รู้สึกราวกับพื้นดินข้างใต้กำลังยุบยวบ

“ซิงอี!!!”