“โห ใบไม้หล่นหมดเลย” แหวนอุทานเมื่อเรือเหาะของพวกเขาค่อยๆ ร่อนลงที่เชิงเขาแห่งหนึ่งบนเกาะโอสึกิ พวกเขานึกประหลาดใจที่เห็นต้นไม้ทุกต้นบนเขาแห่งนี้พร้อมใจกันทิ้งใบลงทั้งหมด อากาศรอบตัวพวกเขาเย็นลงมากจนต้องหาผ้าหลายผืนมาคลุมตัว

“เมืองหนาวก็เป็นแบบนี้แหละ” บารัตบอก “พอถึงใกล้ฤดูหนาวต้นไม้จะทิ้งใบพร้อมกันหมดเลย แล้วจะผลิใบใหม่อีกครั้งเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป”

“หมายถึงเป็นเดือนๆ นะหรือ ท่าน” กัณหาตกใจ

“ใช่” บารัตยิ้มให้กัณหา

“น่าแปลกจริง” อาติเออออด้วย

ราวหนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากพวกเขาออกจากเมืองเถียนอันลอยผ่านทะเลและหมู่เกาะมากมาย จนมาถึงเกาะขนาดใหญ่ทางตะวันออก เกาะนี้ชื่อ โอสึกิ เกาะที่สามสหายแห่งการายาเคยมาเมื่อสามร้อยปีก่อน จากบันทึกของพวกเขา พวกเขาลงที่ท่าเมืองนางาสึกะ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดบนเกาะนี้ พวกเขาอาสาช่วยพวกพ่อค้าวาณิชขายของ เพื่อหวังว่าจะขอโดยสารเรือขากลับไปที่แผ่นดินใหญ่ด้วย หลังจากอ่านบันทึก กัณหาวางแผนว่าจะแวะไปตามสถานที่ที่ระบุไว้ในบันทึกเป็นเพียงบางแห่ง แล้วก็จะกลับเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามคงต้องแวะไปทักทายท่านฮิเทคาวะเล็กน้อยก่อนกลับ

“ลดระดับแล้วนะ” บารัตบอก แล้วสักพักเรือเหาะของพวกเขาก็ค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อยๆ จนลงจอดสนิทที่พื้น

“ดีจริง กำลังอยากออกไปเดินเล่น ยืดเส้นยืดสายพอดี” แหวนว่า รีบเก็บข้าวของ แต่งตัวให้รัดกุมมิดชิดและลงจากเรือเหาะทันที

“รีบขนาดนั้น” ช่วงบ่นตาม

“ข้ารอแถวนี้นะ” บารัตเอ่ย

“ท่านไม่เข้าไปในเมืองด้วยกันหรือ” อาติถามเขา คราวก่อนตอนที่พวกเขาเข้าไปพักในสำนักโม่ฝ่าช่านหลังจากจับเฉิงอี้ได้ บารัตก็ยังเอาเรือเหาะไปฝากที่อารามซิงเซิงและเข้าไปพักในสำนักโม่ฝ่าช่านกับพวกเขาด้วย แต่ทุกวันเขาต้องออกมาที่อารามซิงเซิงเพื่อตรวจดูว่าเรือเหาะยังปลอดภัย

“ไม่ล่ะ แถวนี้มีแต่ป่า ข้าอยู่เฝ้าดีกว่า พวกเจ้าออกไปท่องเที่ยวให้หนำใจ จะขึ้นเรือเหาะเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับมา” บารัตโบกมือไล่พวกเขา

“เดี๋ยวข้าอยู่เฝ้าบารัตเอง” จี้ดพูดทันที กัณหาเข้าใจดีว่า จี้ดเองก็ไม่ชอบที่จะเข้าไปป้วนเปี้ยนในเมืองมนุษย์มากนัก อยู่กับบารัตชมธรรมชาติน่าจะดีกว่า

“แล้วเราจะไปไหนก่อนดี” ช่วงแทรกขึ้นมา

“ไปหาท่านฮิเทคาวะก่อนดีไหม” อาติเสนอขึ้นมา “ข้าว่าไม่เสียหายหรอกนะ ที่จะทำความรู้จักชาวเมืองบางคนก่อนจะไปเพ่นพ่านในเมือง”

 

หลังจากสอบถามทางจากชาวบ้านในตลาดในย่านชานเมืองไม่ห่างจากจุดที่พวกเขาลงจอด และสอบถามชาวบ้านตามทางมาเรื่อยๆ ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยรั้วไม้สูงที่ย่านใจกลางเมืองนางาสึกะ ต้องขอบคุณที่พวกเขามีสร้อยภาษาไม่เช่นนั้นคงไม่รู้ว่าจะสื่อสารพูดคุยกับชาวเมืองอย่างไร ชาวเมืองทุกคนมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ เนื่องจากพวกเขาแต่งตัวแบบชาวเมืองเถียนอัน ทำให้ดูแตกต่างกับชุดเครื่องแต่งกายของชาวเมืองนี้

“เรามาหาท่านฮิเทคาวะ” ช่วงกล่าวกับชายสองคนที่เฝ้าประตู “เราได้รับคำสั่งมาจากท่านอาจารย์จางหมิ่นแห่งสำนักโม่ฝ่าช่านให้นำสารมาหาท่าน”

“กรุณารอที่นี่สักครู่” ชายเฝ้าประตูคนหนึ่งบอก ก่อนเปิดเข้าไปภายในบ้านหลังใหญ่ พวกเขายืนรออยู่หน้าบ้านสักพักชายคนนั้นก็กลับมาแจ้งแก่พวกเขาว่าท่านฮิเทคาวะเชิญให้เข้าไปพำนักภายในบ้านพักของท่านและจะให้เข้าพบท่านได้ในเวลาเย็น”

“สาวใช้ผู้นี้จะนำทางท่านไปยังที่พัก” ชายคนนั้นกล่าว

“เชิญเจ้าค่ะ” หญิงสาวเสื้อยาวถึงข้อเท้าเอ่ยกับพวกเขาพลางผายมือไปทางด้านในรั้วไม้ พวกเขาเดินตามเธอเข้ามาภายใน เบื้องหลังกำแพงรั้วไม้ที่สูงใหญ่เป็นสนามหญ้ากว้างขวาง มีสระน้ำขนาดใหญ่และเล็กจำนวนมาก มีอาคารรูปทรงแปลกตาหลายหลังอยู่ไกลออกไป อาคารเหล่านั้นมีทั้งเดียวและหลายชั้น ลักษณะคล้ายอาคารแบบต้าชิง แต่ยกพื้นสูง และมีทางเดินไม้อยู่โดยรอบ หญิงสาวพาพวกเขาไปที่อาคารอีกหลังที่แยกออกมา

“เชิญเจ้าค่ะ” หล่อนเลื่อนประตูบานเลื่อนแบบโปร่งแสงออกด้านข้าง ภายในเป็นทางเดินกว้าง มีเสื่อปูตลอดทางเดิน มีโต๊ะวางแจกันประดับอยู่สองข้างทาง หล่อนพาพวกเขาเข้าไปแนะนำห้องภายในที่เป็นห้องว่างๆ ไม่มีอะไรเลย “เครื่องนอนอยู่ในนี้เจ้าค่ะ” หล่อนผายมือไปในตู้ “พวกท่านเพิ่งมาต้องการจะนอนพักไหมเจ้าค่ะ จะได้ให้สาวใช้มาปูให้”

“ดีเลย” แหวนพูดทันที “พวกข้าเดินทางมาไกล ตอนนี้อยากพัก”

“เจ้าค่ะ โปรดรอสักครู่” สาวใช้คนนั้นบอก “ในเวลาเย็น ข้าจะมารับพวกท่านไปพบท่านฮิเทคาวะนะเจ้าค่ะ”

“อืมม” แหวนพยักหน้า วางท่าราวกับลูกผู้ดี ช่วงมองค้อนหล่อนเล็กน้อย

บ่ายวันนั้นพวกเขานอนรอในห้องของตนเอง หลังจากสาวใช้มาจัดการปูที่นอนและเอาข้าวของเครื่องใช้ที่เก็บในตู้ออกมาวางไว้ให้ คราวนี้เนื่องจากห้องมีมากพอ พวกเขาจึงนอนห้องละคน กัณหาที่รู้สึกหนาวมากมาตั้งแต่เข้ามาในเมืองนี้ เมื่อมีที่นอนปูไว้พร้อม เธอจึงล้มตัวลงนอนซุกอยู่ในผ้าห่มอย่างมีความสุข

จนกระทั่งตกเย็นสาวใช้มารอรับพวกเขาไปพบท่านฮิเทคาวะ พวกเขาแต่งตัวในชุดชาวต้าชิงเรียบร้อยและค่อยๆ เดินตามหล่อนไปตามทางเดินไม้ที่มีอยู่รอบทุกอาคาร ทางเดินไม้นี้เชื่อมกับอาคารอื่นๆ มีบางช่วงเดินผ่านสะพาน บางช่วงผ่านสวน จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงอาคารสูงสามชั้นที่ดูจะใหญ่ที่สุดในอาณาเขตบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ เมื่อมาถึงหน้าประตูโปร่งแสงอันหนึ่ง หญิงรับใช้นั่งลงพวกเขาเลยขยับนั่งตาม

“แขกมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงานด้วยเสียงดังกว่าคุยกับพวกเขาเล็กน้อย

“เข้ามา” เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากภายในห้อง น้ำเสียงนั้นทรงอำนาจและเต็มไปด้วยพลัง

“เชิญเจ้าค่ะ” สาวใช้เปิดประตูให้

พวกเขาเดินเข้ามาภายในห้อง ภายในเป็นห้องว่างๆ กว้างใหญ่ยิ่งกว่าห้องนอนของพวกเขามาก ภายในห้องมีพื้นยกสูงอยู่ที่สุดมุมห้อง ชายวัยกลางคนท่าทีเคร่งขรึมนั่งอยู่ที่นั่น เขาสวมชุดแบบเสื้อคลุมยาวสีม่วงสดใส รวบผมหางม้าแน่นไว้กลางศีรษะ ด้านหน้าเขามีโต๊ะเล็กๆ วางอยู่ตรงหน้า ด้านข้างไม่ห่างจากที่เขานั่งนัก มีหญิงสาวผมสีดำยาวรวบไว้กลางหลัง เธอในชุดยาวสีชมพูเข้ม ใบหน้าเธอสงบนิ่งไม่บ่งอารมณ์ใดๆ ด้านหน้าเธอมีโต๊ะเล็กๆ วางไว้เช่นกัน ถัดมาจากเธอมีโต๊ะเล็กๆ วางไว้จำนวนมาก ด้านหลังโต๊ะมีสิ่งที่เหมือนเบาะรองวางไว้ข้าง ที่รอบๆ ห้องมีหญิงรับใช้จำนวนมากนั่งอยู่

“เชิญนั่ง” ชายคนดังกล่าวพูด แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่จากท่าทางแล้ว เธอก็พอจะเดาได้ว่า ชายคนนี้คือท่านฮิเทคาวะแน่นอน กัณหา แหวน ช่วงและ อาตินั่งลงบนเบาะที่เตรียมไว้ให้คนละอัน หลังจากพวกเขานั่งลงเรียบร้อยแล้ว หญิงรับใช้ก็คลานเข้ามารินน้ำชาให้

“ชาสูตรพิเศษของเกาะโอสึกิ” ท่านฮิเทคาวะบอก ผายมือไปรอบๆ ในเชิงชวนดื่มน้ำชา

กัณหาลองจิบไปนิดหนึ่ง ชารสชาติแปลกประหลาดมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดมแล้วสบายใจ แต่รสชาติก็ยังคงขมเหมือนเดิม

“ข้าได้ยินว่า พวกท่านแจ้งว่านำสารมาจากท่านอาจารย์ เจ้าสำนักโม่ฝ่าช่านแห่งเถียนอันรึ” ท่านฮิเทคาวะกล่าว

“ใช่เจ้าค่ะ” กัณหาเพิ่งนึกได้ รีบเอาจดหมายของท่านอาจารย์จางหมิ่นออกมา เธอกำลังจะคลานเอาไปให้ แต่สาวใช้ที่นั่งไม่ไกลนักยื่นมือมารอรับจดหมายเสียก่อน เธอจึงส่งจดหมายให้สาวใช้คนนั้นคลานเอาไปให้ท่านฮิเทคาวะแทน ท่านฮิเทคาวะฉีกซองและอ่านข้อความในจดหมาย สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร เมื่ออ่านจบเขาพับจดหมายลงและส่งยิ้มให้พวกเขา “ท่านอาจารย์แห่งเถียนอันแจ้งมาว่า พวกเจ้ากำลังจะเริ่มต้นเดินทางไกล ในระหว่างนี้ที่ท่านอยู่ในเขตเกาะโอสึกิ เชิญพักอาศัยในบ้านพักของข้าได้ตามสบาย ช้าเองก็เคยเป็นศิษย์คนหนึ่งของท่านอาจารย์เช่นกัน ข้ายินดีอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับพวกท่าน หากขาดตกบกพร่องอันใดจงแจ้งแก่สาวใช้ของข้า อย่างได้เกรงใจเลย”

“ท่านกรุณาพวกเรามาก ขอรับ” ช่วงค่อมศีรษะให้เขา

“เอ๊า เอาอาหารมา” ท่านฮิเทคาวะหันไปสั่งสาวใช้

กัณหาไม่เคยกินอาหารแบบของชาวเกาะโอสึกิมาก่อน แต่ก็ต้องบอกว่า เธอชอบรสชาติของอาหารของที่นี่มากกว่าอาหารของต้าชิง เธอลองชิมอาหาทุกอย่าง อย่างละนิดอย่างละหน่อย เมื่ออาหารใดในจานเริ่มพร่อง สาวใช้ข้างกายก็จะตักมาเติมให้ต่อทันที ในระหว่างทานอาหารนั้นบรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย ท่านฮิเทคาวะสอบถามพวกเขาถึงเรื่องสุขภาพของท่านอาจารย์จางหมิ่น และจุดหมายปลายทางในการเดินทางของพวกเขา ท่านดูประทับใจมาก เมื่อทราบว่ากัณหาออกเดินทางตามหาทางเข้าสู่น้ำพุแห่งนาเทียร์ และถึงกับอวยพรให้เธอเข้าไปที่นั่นได้สำเร็จ

“จริงสิ พรุ่งนี้ลูกสาวของข้า อายาโกะ” ท่านผายมือไปทางหญิงสาวผู้นั่งด้านข้าง ที่ยังคงนั่งเงียบตั้งแต่ต้นงานจนถึงปัจจุบัน “จะเดินทางไปไหว้ศาลเจ้ามิยาชิตะ พวกท่านไปด้วยกันสิ นักเดินทางนิยมไปขอพรกันที่นั่น เพื่อให้สมปรารถนา อายาโกะ ฝากเจ้าดูแลแขกของพ่อด้วย”

“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” หญิงสาวรับคำ ค้อมศีรษะเล็กน้อย แม้จะเห็นใบหน้าแม้เพียงด้านข้างก็บอกได้ว่าหล่อนงดงามมากและดูสง่างามทุกท่วงท่าจริงๆ

“อ้อ ในระหว่างอยู่ในเมืองนางาสึกะ ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าแต่งตัวแบบชาวเมืองจะดีกว่านะ ช่วงนี้มีพวกขโมย แต่งตัวแบบพวกชาวต้าชิง เข้ามาเพ่นพ่านแถวนี้ ล่าสุดมีข่าวว่าฆาตกรรมยกครอบครัวไปแล้ว ชาวเมืองจึงหวาดกลัวมาก ขอให้พวกเจ้าระมัดระวังตัวให้ดี”

“พวกเขาเป็นใครหรือขอรับ”

“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก ทางการกำลังพยายามจับกุมตัวอยู่” ท่านฮิเทคาวะตอบสั้นๆ “ตอนนี้ดึกมาแล้ว เชิญกลับไปพักผ่อนตามสบายเถิด”

พวกเขากล่าวคำอำลาท่านฮิเทคาวะก่อนจะกลับมาที่เรือนพักรับรองของตน กัณหานึกถึงที่ท่านฮิเทคาวะพูดว่าตอนนี้มีขโมยแต่งตัวแบบชาวต้าชิงออกขโมยและฆ่าคน คำพูดนี้ทำให้กัณหานึกถึงคำเตือนของท่านอาจารย์จางหมิ่นว่าให้พวกเขาระวังตัวให้มากหลังจากที่พ่อฉิมและสหายนักขโมยอีกสองคนของเขาหายไปด้วย

คงเป็นเรื่องบังเอิญนะ คงไม่ใช่พวกเขาหรอกมั้ง เธอพยายามกล่อมตัวเองให้สบายใจ แต่ในใจลึกๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่า พวกนั้นจะมาตามล่าเอาคืนพวกเขาที่ขโมยต้นหยกมังกรมาจากเงื้อมมือพวกนั้นรึเปล่านะ