30 ตอน การหลบหนี(2)
โดย นกเป็ดน้ำ
กัณหาเดินตามอำพันไปตามทางเดินขึ้นเขาที่เธอเดินผ่านทุกวันเวลาขึ้นมาหาท่านอาจารย์ โดยมีเจ้างูใบตองเลื้อยตามมา พวกเขาตามแสงไฟของชายคนนั้นไปแบบเงียบ และหยุดหมอบลงทุกครั้งที่ชายคนนั้นหยุดหันมามองทางเดินด้านหลัง หลังจากตามชายคนนั้นมาสักระยะ เขาเริ่มเดินออกจากทางเดินขึ้นเขาที่จะไปสู่ปากถ้ำที่ท่านอาจารย์พัก แต่เดินไปอีกทางสู่ป่าลึก และต่อมาทางที่พวกเขาเดินเริ่มลาดลงเหมือนเป็นทางลงเขา สักพักทางที่พวกเขาเดินเริ่มเปลี่ยนเป็นทางราบ
ทางราบเบื้องหน้าพวกเขามีต้นไม้เบาบางกว่าบริเวณอื่น มีกระท่อมเล็กตั้งอยู่กลางป่าเพียงลำพัง ด้านหน้ากระท่อมมีบ่อน้ำเล็กๆและมีราวแขวนผ้าอยู่ไม่ไกลนัก รอบๆกระท่อมและบ่อน้ำนี้มีรั้วที่ทำจากไม้ไผ่ล้อมรอบอยู่ ชายที่ชื่อแดงมองไปรอบๆอีกครั้ง ก่อนเอ่ยปากร้องตะโกนเสียงดัง
“ฉิม ฉิม” แดงตะโกน
อำพัน กัณหาและเจ้างูใบตองแอบซุ่มอยู่ในบริเวณไหล่เขาที่มีต้นไม้มากกว่า และมองเห็นที่ราบนั้นได้ชัด ทั้งสามมองเห็นชายร่างสูงที่อาศัยอยู่ในกระท่อมออกมาจากกระท่อมมายืนอยู่ที่ริมรั้วไม้ไผ่ กัณหามีความรู้สึกว่าเขาไม่สามารถออกจากแนวรั้วไม้ไผ่ได้
“ข้าเตรียมพร้อมแล้ว” แดงตะโกนอีกทั้งที่อยู่ห่างจากฉิมแค่เพียงนิดเดียวและอยู่ในที่ที่เงียบสนิทแทบไม่มีเสียงใดๆ “ข้าวางยานอนหลับในอาหารในโรงอาหาร คืนนี้ทุกคนจะหลับและไม่มีใครมาขัดขวาง ท่านออกไปคืนนี้ได้ ท่านพร้อมหรือยัง”
ชายที่ออกมาจากกระท่อมพยักหน้า และนั่งลงทำสมาธิ
“เขากำลังจะช่วยให้ฉิมหนีไป” อำพันกระซิบกับเจ้างู “คิดวางยานอนหลับคนทั้งเขาริมอ่าวเพื่อช่วยเปิดทางให้ฉิมหลบหนีเรอะ โง่จริง”
“เขามั่นใจว่ารู้วิธีทำลายอาคมที่ท่านอาจารย์สร้างมากักตัวเขาไว้แล้วรึ” เจ้างูใบตองถามอย่างไม่สบายใจ “ข้าว่าฉิมเป็นคนที่มีความรู้ดี เขาคงต้องมั่นใจแล้วว่าทำลายได้ จึงจะเริ่มลงมือทำ”
“เราต้องถ่วงเวลาเขา” อำพันว่า “เจ้าควรจะส่งสัญญาณไปบอกท่านอาจารย์ก่อน”
“เจ้า” เจ้างูขวับหันมาที่กัณหา “ปีนขึ้นต้นไม้ไปเร็ว ขึ้นไปอยู่เงียบๆห้ามส่งเสียงเด็ดขาด ข้าสั่งให้ลงมาเมื่อไหร่ค่อยลงมา”
“แล้วพวกท่านละ” กัณหาตกใจ แต่ทั้งสองหันมามองเธอตาเขียว กัณหาจึงรีบลุกขึ้นและเดินกึ่งย่องไปที่ต้นไม้
“ช้าจริง” เจ้างูว่า หันมาหาอำพัน “ข้าว่านางปีนต้นไม้ไม่เก่งหรอก”
กัณหากำลังเดินย่องไปถึงโคนต้นไม้สูงใหญ่ อยู่ดีๆเธอก็รู้สึกว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาโอบร่างเธอไว้ และเอาร่างเธอไปวางไว้ที่คบไม้เล็กๆที่เธอพอยืนได้เหนือศีรษะอำพัน อำพันทำท่าจุ๊ปากให้เธอเงียบ สักพักกัณหาเห็นเจ้างูใบตองคายงูตัวเล็กๆสีเขียวเรืองแสงในความมืดออกจากปาก เจ้างูเรืองแสงนั้นลอยละล่องผ่านอากาศไปทางยอดเขาริมอ่าว กัณหามั่นใจว่ามันเป็นสัญญาณเตือนจากเจ้างู
ไกลออกไปชายที่ชื่อฉิม ลุกขึ้นและเดินมาที่รั้วไม้ไผ่ เขาเอามือแตะที่รั้วไม้ไผ่ ทันใดนั้นเกิดแสงสีแดงวาบออกมาจากรั้วไม้ไผ่ ตัวเขาเซถอยหลังไป
“คิดจะกักขังข้าที่นี่ตลอดไปรึ ไม่มีทาง” ฉิมตะโกนอย่างโมโห ก่อนเริ่มท่องพึมพำอะไรบางอย่างสักพักเขาลืมตาอีกครั้ง แล้วเอามือจับที่รั้วอย่างรุนแรง
แสงสีแดงวาบออกมาจากรั้วไม้ไผ่อีกครั้ง แต่คราวนี้ฉิมไม่ได้เซหรือถอยไปจากรั้วไมไผ่ เขายังคงจับรั้วไม้ไผ่อย่างแน่นหนาและท่องพึมพำอะไรบางอย่างต่อไป แสงสีแดงจากรั้วสว่างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้แสงสว่างจากรั้วไม้ไผ่นั้นเอง กัณหาจึงได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ เขาเป็นชายร่างสูง ผิวเข้ม สมส่วน ใบหน้าดูดุ มีหนวดขึ้นให้เห็นรำไร แล้วสักพักกัณหาก็ได้ยินเสียงที่น่ากลัวมาก มันเป็นเสียงบดขยี้เหมือนเสียงของแตก แล้วสักพักแนวรั้วไม้ไผ่ที่ล้อมรอบอยู่ก็ระเบิดออกพร้อมกับแสงสีแดงหายวับไป
“ไปเร็ว” ชายที่ชื่อฉิมตะโกน คว้าร่างของแดงซึ่งคุดคู้นั่งหมอบด้วยความกลัวอยู่ไม่ไกลจากรั้วไม้ไผ่มากนักตอนที่เขาระเบิดรั้ว แดงเงยหน้ามาขึ้นมองเขา
“จะรีบไปไหนละ” อำพันกล่าวขึ้น ขณะเดินออกจากต้นไม้ไปสู่ที่โล่ง
ฉิมละสายตาจากแดงและหันมาหาอำพันที่ยืนเตรียมพร้อมต่อสู้กับเขาอย่างสงบ ส่วนแดงนั้นพอเงยหน้ามาเจออำพันก็ถึงกับตัวสั่นงันงก รีบลุกยืนมีทีท่าเหมือนทำอะไรไม่ถูก
“ถอยไปซะ อำพัน” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า”
“ยังไม่ได้เริ่มต้น รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่คู่มือเจ้า” อำพันเถียง ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่แดงอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจเขารีบวิ่งหนีไป
“เจ้าหมกหมุ่นแต่ตำราสมุนไพร และดูแลรักษาคนไข้ เรื่องนั้นเจ้าเป็นหนึ่ง แต่เรื่องต่อสู้กับใครๆ เจ้ามันไม่เอาไหนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ฉิมว่า “ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กๆ หลีกไปซะ ข้ารู้ว่าเจ้าแค่มาถ่วงเวลาข้าไว้ระหว่างรอไอ้แก่นั่นมา”
“ไม่อยากทำร้าย แต่เจ้าก็ทำให้เจ้าทับเกือบตาย เช่นนี้จะให้พูดว่าไง อีกอย่างยังไม่ทันได้เริ่มต้นต่อสู้ อย่าเพิ่งอวดเก่งไป” อำพันตอบอย่างสงบ “ข้ามีดีกว่าที่เจ้าคิด”
“งั้นก็ได้” ฉิมพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าจะช่วยเป็นคู่มือให้เจ้าชั่วคราว ระหว่างรอไอ้แก่นั่นดีไหม แต่ข้าบอกไว้ก่อนว่า เจ้าอาจไม่รอดจากเงื้อมมือข้าได้เหมือนที่ไอ้ทับนั้นรอดหรอกนะ เพราะฝีมือเจ้า ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของมัน”
อำพันไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งท่าเตรียมรอรับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น กัณหาเห็นฉิมยิ้มอย่างขบขัน สักพักเขาก็เริ่มโบกมือ ประกายไฟอะไรบางอย่างออกมาจากมือของเขา และทำท่าจะฟาดอำพัน อำพันก้มหลบ ระหว่างนั้นเองเศษดินจำนวนมากก็ลอยจากบริเวณที่เธอหลบพุ่งไปทางฉิมอย่างรวดเร็ว เขารีบยกมือขึ้นมาปัดทำให้เศษดินนั้นหันเหออกไปอีกทางก่อนถึงตัวเขา ช่วงนั้นเจ้างูเขียวกระโจนเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมคายไฟสีแดงพุ่งใส่เขา ฉิมหันมาทันเห็นไฟสีแดงนั่น เขารีบโน้มตัวหลบอย่างรวดเร็ว ร่างเจ้างูตกลงบนพื้นและยืดชูคอขึ้นเตรียมตัวฉก
“คิดจะเล่นหมาหมู่รึ” เขาหัวเราะเย้ยหยัน “มา เข้ามาเลยพร้อมกันทั้งสองคน ข้าพร้อม!!!”
เจ้างูยกหางขึ้นและสั่นหางอย่างรวดเร็ว กัณหาได้ยินเสียงแสบแก้วหูจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดหูและหลับตาอยู่ในคบไม้นั่น จนไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่ต่อจากนั้น เสียงนั้นยังดังต่อเนื่องอยู่อีกระยะ แล้วจู่ๆเสียงนั้นก็เงียบไป
กัณหาลืมตาขึ้น หันไปมองที่ลานโล่งนั่นได้ยินเสียง พลั่ก เหมือนของที่มีน้ำหนักอะไรบางอย่างตกถึงพื้น เธอพยายามเพ่งมองว่ามันคืออะไร แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามันคือร่างอันใหญ่โตของเจ้างูนอนหงายอยู่กลางแจ้ง ไกลออกไปอำพันนั่งหอบหายใจอยู่ที่พื้น เอามือกุมหน้าอกไว้
“ท่านใบตอง” กัณหาอุทาน
“ถ้าเจ้าฟังที่ข้าเตือนตั้งแต่ต้น ก็คงไม่ต้องมีใครเจ็บ” ฉิมว่าเดินมายืนค้ำหัวอำพัน “ทีนี้ก็รู้ได้แล้วนะ ว่าใครเหนือกว่า”
“เจ้า” อำพันมองไปที่เขาอย่างโกรธจัด เธอหอบไปด้วยในขณะพูดแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก “เจ้ายังกล้าทำร้ายเขา ทั้งที่เห็นว่าเขาไม่มีเจตนาจะทำร้ายเจ้าแม้สักนิด”
กัณหามองไปที่ร่างใหญ่ยาวของเจ้างูที่นอนแผ่หลาอยู่ ท่าทางการนอนที่นิ่งไม่ไหวติงของมันทำให้กัณหาหวาดกลัว เด็กน้อยมองร่างนั้นอย่างตกตะลึง รู้สึกหัวใจหล่นวาบ ท่าทีของเขาทำให้กัณหานึกถึงเหตุการณ์ในวันสุดท้ายของแม่นม ภาพร่างของแม่นมที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงชัดขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของเธอ เธอนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งเขย่า ทั้งร้องไห้เสียงดัง แม่นมก็ยังคงไม่ตอบรับเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยเมินเฉยต่อเธอเลยสักครั้งเดียว
แม่นม แม่นม
แต่ไม่ว่าจะเขย่าสักเพียงใด ท่านก็ยังคงไม่ตอบรับเธอ ท่านจากเธอไปตลอดกาล ทิ้งไว้เพียงร่างที่ว่างเปล่าไร้การตอบสนอง…
“ก็แค่งูโง่ตัวหนึ่ง เอาไปแกงกินแบ่งกันทั้งหมู่บ้านก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องเสียของ”
ชายคนนั้นหัวเราะลั่น เตะของเจ้างูอย่างสะใจก่อนก้าวข้ามร่างนั้นมา เขาเดินจากลานโล่งนั้นเข้ามาในบริเวณป่าที่กัณหาแอบอยู่ กัณหายังคงตกใจมองร่างนั้นอย่างทอดอาลัย
ลมเริ่มพัดแรงขึ้นลำต้นของต้นไม้ในป่าเสียดสีกัน ลมที่ดูแรงผิดธรรมชาติ ลมที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบไม่มีแม้แต่เมฆสักก้อน ฉิมสะดุ้งหันหน้ามองไปรอบๆเพื่อหาตัวคู่ต่อสู้ที่ยังไม่ปรากฏขึ้น เพราะเขาแน่ใจว่าเจ้าสองคนที่สู้กับเขานั่น คงไม่มีแรงแม้แต่จะพูด ยิ่งมาเสกคาถาอาคมยิงเป็นไปไม่ได้ เมื่อเขามองไปบนคบไม้ ก็เห็นร่างเล็กๆของเด็กหญิงคนหนึ่งแอบอยู่บนนั้น
“อาคมกระจอกๆที่เพิ่งฝึกของเจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก กัณหา” เขาว่าขณะเดินเข้าในใต้ต้นไม้ที่เธอหลบอยู่ แล้วทันใดนั้นต้นไม้ที่เธอหลบอยู่ก็เขย่ารุนแรงมากจนเธอพลัดตกลงมา โชคดีที่เธอตั้งตัวได้ทัน จึงหล่นลงมาอยู่บนพื้นได้โดยไม่เจ็บมากนัก
“ข้าต้องโง่จริงๆ ถึงเคยเชื่อว่าเจ้าเคยฝึกคัมภีร์มหาเวทมาแล้ว” เขาหัวเราะอย่างสนุกสนาน “จริงๆแล้วอาคมของเจ้ามันก็แค่ขั้นฝึกหัด”
กัณหาไม่ตอบว่าอะไร เธอทั้งโกรธทั้งเสียใจที่เขาทำเช่นนั้นกับเจ้างู ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝุ่นฟุ้งปลิวว่อนไปทั่ว กิ่งไม้ขนาดใหญ่หักหล่นลงมาจากต้น
“จะเอากิ่งไม้ฟาดข้าให้ตายเรอะ” เขาหัวเราะเสียงดังแข่งกับเสียงลมที่พัดรอบๆ เมื่อกิ่งไม้ใหญ่หักจากต้นกำลังหล่นลงมาเหนือศีรษะของเขา เขาโบกมือเล็กน้อยกิ่งไม้ใหญ่ก็ตกลงข้างๆตัวอย่างง่ายได้
“อาคมของเจ้า ยังอ่อนนัก” เขาว่า แล้วเอามือปัดเศษก้อนใบไม้ที่ตกลงมาบนบ่าออกไปอย่างไม่สนใจ “ยังต้องเรียนอีกเยอะ”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ” กัณหาตอบ ฉิมนึกแปลกใจที่สีหน้าเธอดูปราศจากความหวาดกลัว
อำพันพยายามคืบคลานมาทางพวกเขาเท่าที่ร่างอันไร้เรี่ยวแรงของเธอจะทำได้
“อย่า ทำร้ายเด็ก” อำพันพูดอย่างอ่อนแรง “ปล่อยเธอไป”
“งั้นหรือ” เขายิ้มอย่างมีเล่ศนัย “แต่นางเพิ่งเป็นศิษย์ใหม่ของตาแก่นั่นไม่ใช่เหรอ ศิษย์ใหม่ไม่มีมารยาทกับรุ่นพี่แบบนี้ ข้าควรอบรมสั่งสอนนางด้วยหรือเปล่า”
“เจ้า” อำพันจะด่าต่อก็ไม่ค่อยมีแรง หล่อนพยายามสงบใจไม่ให้ความโกรธพลุ่งพล่านจนคิดไม่ออกว่าควรจะต้องทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายเด็กนั่น
“โอ๊ย” ฉิมสะดุ้ง รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ไหล่ในทันใด อำพันมองเขาอย่างประหลาดใจ “โอ๊ย” จู่ๆก็มาเจ็บจี๊ดที่กลางหลัง
ฉิมหันมามองเจ้าเด็กน้อยที่นั่งเฉยๆอยู่ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์
“เจ้าทำอะไรข้า” เขาหันมาถามเธอ “โอ๊ย” เขาเจ็บจี๊ดเพิ่มอีกหลายที จนต้องเอามือทั้งสองข้างมาเกาแทบทั้งตัว “โอ๊ย”
อำพันมองเขาแล้วมองไปที่กัณหาที่นั่งนิ่งๆมองอีกฝ่ายอย่างสะใจเล็กๆในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเกาทั่วตัวอย่างวุ่นวาย
เด็กนั่นทำอะไรเขา
“เจ้าทำอะไรข้า” เขาถามซ้ำหันไปมองที่เท้า ที่แขนก็เห็นต้นเหตุของความรู้สึกแปลกๆนี้
มดแดงตัวใหญ่จำนวนมากกำลังไต่ยั่วเยี้ยอยู่ที่ขาของเขาและแขนสองข้าง ชายหนุ่มพยายามปัดมันออกไป แต่ก็ไม่ทันกับกองทัพจำนวนมากของมันที่ไต่ไปตามลำตัว แขนขาของเขา เขาคันมากจนต้องเกาไม่หยุด พวกมันระดมกันออกมาจากก้อนใบไม้ที่เขาเพิ่งปัดให้พ้นตัว เขาหันไปมอง กิ่งไม้ใหญ่ที่หล่นลงมากองอยู่ด้านหลังของเขา เขาเห็นว่ามันมีก้อนใบไม้ที่เป็นรังของมันอีกจำนวนมาก ดูเหมือนมดในรังจะแตกตื่นที่กิ่งไม้ร่วงลงมา พวกมันจึงแห่กันออกมาจากรัง ตรงมาที่สิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้รังของมันมากที่สุด และกำลังพยายามไต่ขึ้นตามทุกส่วนของร่างกายเขาที่สัมผัสกับกิ่งที่ตกลงมา
“โอ๊ย ๆๆๆๆ” เขาร้อง คันยุ่บยั่บไปทั้งตัว ไม่มีเวลาแม้แต่จะเสกอาคมไล่เจ้าพวกมดทั้งหมดออกไป เพราะตอนนี้เขาถูกพวกมันโจมตีพร้อมกันหลายทาง ผิวที่ถูกกัดเริ่มบวมพองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “โอ๊ยๆๆๆ”
หากมีปัญญา ต่อให้กี่ราชา เจ้าก็เอาชนะได้หมด ถ้อยคำที่เคยได้ยินพระบิดาพูดกับขุนคราม เมื่อครั้งจะเสด็จไปออกศึกที่ต่างเมือง
ครานี้คงต้องเปลี่ยนเป็น หากมีปัญญา ต่อให้กี่คาถา ข้าก็เอาชนะเจ้าได้
อำพันมองเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เริ่มสงสัยแล้วว่าใครร้ายกาจกว่าใครกันแน่
ท่านอาจารย์ต้องประหลาดใจเมื่อท่านมาถึงพบลูกศิษย์เอกที่ท่านต้องขังด้วยอาคมชั้นครู จึงจะสามารถกักขังเขาได้ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เขาวิ่งไปวิ่งมาอย่างทุรนทุรายรอให้ท่านจับอย่างง่ายดายพร้อมใบหน้าและแขนขาที่บวมพอง โดยมีอำพันนั่งมองสภาพเขาอย่างสยดสยองอยู่ไม่ไกลนัก ท่านเสกอาคมให้เขาหลับไปและนำตัวกลับไปไว้ในบ้านพักที่ท่านขังเขาไว้เหมือนเดิม แล้วท่านก็เดินมาดูเจ้างูที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
“เขาตายแล้วหรือเจ้าค่ะ” กัณหาวิ่งตามมาดูเจ้างูเช่นกัน เธอทรุดตัวนั่งลงข้างเจ้างูอย่างโศกเศร้า
“ไม่หรอก แต่น่าจะเจ็บมาก” ท่านอาจารย์บอก “อาจต้องพักสักพัก เจ้าไม่ต้องห่วง ประเดี๋ยวเขาจะหายดีแน่นอน” ท่านปลอบเด็กน้อยให้สบายใจ แล้วเสกร่างของเจ้างูให้ลอยขึ้น เสกฟองอากาศสีทองคลุมร่างเขาไว้ให้ลอยตามท่านมา แล้วเดินไปหาอำพัน
“เจ้าเป็นไงบ้าง” ท่าอาจารย์ถามอำพันอย่างสงบ
“เจ็บอกนิดหน่อย ถ้าได้กินยาน่าจะดีขึ้น ท่านอาจารย์” อำพันตอบ เธอยังหายใจสั้นๆถี่ๆอยู่
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”
“ไอ้แดง คนที่มาขอท่านสอนอาคมแต่ไม่ได้ คนที่ทับให้ไปเฝ้ารถม้าแทนนะ มันลอบขึ้นมาที่นี่ ข้ากับใบตองเลยตามมันขึ้นมา เห็นมันมาบอกฉิมว่า เตรียมพร้อมแล้ว พ่อฉิมก็เลยทลายกำแพงอาคมของท่านออกมา” อำพันเล่า “พวกเราต่อสู้ขัดขวางเขาแต่สู้ไม่ได้”
“แล้วทำไมหน้าเขาถึงบวมเช่นนั้น” ท่านอาจารย์ถามอย่างสงสัย “แล้วทำท่าขยุกขยิกไม่หยุดด้วย เจ้าเสกอาคมใดใส่เขากัน”
“ท่านลองถามนางเถิด” อำพันบุ้ยใบ้มาที่กัณหาอย่างไม่รู้จะตอบอะไร “ศิษย์ใหม่ของท่านเป็นคนจัดการ”
ท่านหันมามองเจ้าตัวดีที่ยืนยิ้มอยู่อย่างประหลาดใจ
“ธรรมชาติลงโทษค่ะ” เธอตอบสั้นๆ
ทับนั่งหัวเราะจนตัวงออยู่บนเตียงคนไข้ในเรือนพยาบาล เมื่อได้ยินเรื่องที่อำพันผู้ซึ่งกลายมาเป็นคนไข้รายใหม่นั่งเล่าให้ฟังอยู่ที่เตียงข้างๆ
“เจ้าขำกระไรนักหนา” หล่อนตาเขียวใส่อีกฝ่าย
“โอ๊ย ตลกนี่นา ใครจะรู้ว่าอดีตยอดฝีมือแห่งเขาริมอ่าวจะพ่ายแพ้แก่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” ทับหัวเราะต่อเนื่อง “ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วยนะ แล้วสาเหตุที่แพ้แต่ละครั้งนี่มันก็…..ฮ่ะฮ่า”
อำพันได้แต่ถอนใจก่อนยกถ้วยยามาคนแล้วยกดื่ม ยาถ้วยนี้ท่านอาจารย์ต้องเป็นคนลงมาปรุงให้เอง เพราะตัวเธอล้มเจ็บลง ไม่ได้ปรุงยาทิ้งไว้เหมือนเช่นคราวไปวังมุก โดยรอบนี้มีเจ้าเด็กตัวดีนั่นคอยเป็นลูกมือให้ อำพันหันไปมองเตียงข้างๆที่เจ้างูใบตองนอนขดตัวอยู่ อาการเจ้างูใบตองก็หายดีขึ้นเร็วเหมือนกัน ต้องบอกว่าโชคดีที่ไข่มุกอันดามันยังเหลืออยู่พอปรุงยาให้เธอกับเจ้างูใบตองกินได้ อาการของเจ้างูจึงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และตอนนี้เขาเริ่มไม่อยากอยู่บนเตียงแล้ว
“แล้วท่านอาจารย์จะทำเช่นไรกับพ่อฉิมต่อ” ทับถาม “ถ้าเขาหาวิธีเอาชนะอาคมกักขังตัวไว้ได้แล้วแบบนี้ จะเสกให้เขาหลับตลอดไปก็คงไม่ได้หรอกนะ จะปล่อยไปก็คงต้องกับไปหาพรรคพวกเป็นแน่”
“เห็นท่านว่าต้องให้กินยารักษาอาการถูกมดคันไฟกัดให้หายเสียก่อน แล้วท่านจะส่งไปที่อื่น จะให้เจ้าคุมไปส่ง เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน”
“ที่ไหน” ทับแปลกใจ
“รอเจ้าหายค่อยไปคุยกับท่านอาจารย์เอง” อำพันขี้เกียจเล่ายาว
“แล้วไอ้แดงนั่นละ” ทับถามต่อ”รู้สึกหงุดหงิดไม่หายเมื่อได้ทราบว่า แดง คนดูแลรถม้าร่วมมือกับฉิมด้วย
“ยังหาตัวมันไม่เจอเลย แต่ไม่ยากหรอก คงหลบอยู่แถวๆนี้นี่ละ ประเดี๋ยวข้าหายเมื่อไหร่ จะไปจัดการมันเอง” อำพันวางถ้วยยาลงเสียงดัง ทับได้แต่ยิ้ม ไม่พูดว่าอะไร
หลังจากพักรักษาตัวมานานพอสมควรในที่สุดอาการของทุกคนก็หายดี กัณหาได้คุยกับช่วงเรื่องการเดินทางของเธอ ซึ่งเขาก็ตกลงที่จะออกเดินทางไปด้วยในทันที ส่วนนางนิ่มกับเที่ยงนั้นปฏิเสธ ซึ่งเหตุผลของเที่ยงก็คือ เขาต้องกลับไปหาลูกเมียเนื่องจากออกมาจากอยุธยาหลายเดือน เกรงว่าลูกเมียจะเป็นห่วง ส่วนนางนิ่มนั้นให้เหตุผลว่า
“แม่แก่เกินกว่าจะออกเดินทางไกลขนาดนั้นแล้ว” นางนิ่มบอกแหวนที่ทำสีหน้าอ้อนวอน “แม่ไปด้วย เกรงจะไปเป็นภาระเอ็งเปล่าๆ”
“โถ่ แม่ แม่ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย แม่ไปได้น่า” แหวนอ้อนวอน
“แม่รู้สังขารของแม่ดี” นางนิ่มส่ายหน้า “เอ็งไปเถิด เอ็งยังหนุ่ม ยังแน่น เอ็งไปช่วยคุณหนูได้แน่”
“แล้วแม่จะอยู่กับใครละ แล้วจะอยู่ยังไง” แหวนถามกลับ “จะกลับไปอยุธยารึ แม่ก็รู้ว่าป่านนี้ไอ้แก่ทองใบมันคงตามหาเราทั่วพระนครแล้ว”
“แม่ก็จะอยู่ที่นี่ จะรออยู่ที่นี่จนกว่าเอ็งจะกลับมา ระหว่างอยู่นี่แม่จะขอช่วยงานในเรือนพยาบาล แม่ได้ยินว่าเขาต้องการคนช่วยงานอยู่มาก แม่อำพันเขาก็ดีกับเรามาก ช่วยเหลือเราสารพัด เราควรช่วยเขาตอบแทน” นางนิ่มบอก
แหวนได้แต่มองแม่นิ่มอย่างงอนๆ
“เอาน่า แหวน เอ็งโตแล้ว เอ็งต้องออกเดินทาง ต้องมีเส้นทางของตัวเอง” นางนิ่มปลอบแหวน “แม่ให้เอ็งไป เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม่เชื่อว่าเอ็งดูแลตัวเองได้แน่ ที่สำคัญหมื่นช่วงก็ไปด้วย และแม่ก็แน่ใจว่าเขาดูแลเอ็งได้เช่นกัน” แหวนแอบแลบลิ้นเมื่อได้ยินชื่อช่วง “ส่วนแม่ แก่ตัวลงทุกที ยิ่งพอหลังจากโดนอาคมนั่น แม่ก็รู้ตัวแน่ว่าขืนไป อาจไม่ได้กลับมาตายที่แผ่นดินอยุธยาแน่”
“แม่ พูดอะไรแบบนั้น” แหวนเอ็ด
“เอ็งเชื่อแม่เถอะ” นางนิ่มลูบหลังแหวนที่ดูโมโห แหวนยังดูงอนแม่เลยไม่พูดอะไร
Comments (0)