“ข้าไม่อยู่ประเดี๋ยวเดียว กลับมาเจ้าก็ใช้อาคมได้คล่องแล้วเชียว” เสียงแสดงความชื่นชมจากเจ้างูเขียว เมื่อกัณหาแสดงอาคมให้เขาดู “เยี่ยมมาก”

            เจ้างูเขียวใบตองที่หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ๆกลับมาแล้ว เมื่อมาถึงวันแรก เขาก็พบกับกัณหานั่งฝึกซ้อมอาคมอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สระน้ำชายป่าอย่างคล่องแคล่ว เขาจึงขอให้เธอแสดงให้เขาดู

            ตอนนี้กัณหาสามารถเสกให้กล่องไม้ลอยไปมาได้ ขยับ หมุน ตีลังกา หรือเปลี่ยนสีได้อย่างคล่องแคล่ว นอกจากกล่องไม้แล้ว กัณหาได้ลองฝึกกับสิ่งของอื่นที่ใหญ่ขึ้น เช่น เก้าอี้ โต๊ะ ก็พอขยับได้บ้าง แต่ไม่คล่องแคล่วเท่าวัตถุเล็กๆ

            “ถ้าตอนที่ทำงานที่เรือนพยาบาล ฉันมีอาคมนะ ฉันจะเสกให้ไม้กวาดกวาดพื้นเอง ให้เสื้อผ้า ซักเอง พับเองและ…” 

            เจ้างูหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินสิ่งที่กัณหาพูด “ข้าไม่แนะนำให้เจ้าไปลองฝึกที่เรือนพยาบาลหรอกนะ โดยปกติ เรือนพยาบาล มักเป็นที่ถูกกันไว้ให้ปลอดอาคม แล้วอีกอย่างโดยทั่วไปการใช้อาคมทำงานละเอียด เช่น กวาดพื้น ซักผ้า พับผ้า    ค่อนข้างยากกว่าขยับกล่องไม้นี่มากนัก เจ้าต้องฝึกอีกพักใหญ่จึงจะทำได้ แล้วถึงตอนนั้นเจ้าจะพบเองว่า ใช้มือทำง่ายกว่าและสะอาดกว่าใช้อาคมมาก”

            ”ทำไมเรือนพยาบาลถึงต้องกันไว้ให้ปลอดอาคมละ” กัณหาแปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้น

            “ข้าไม่รู้เหตุผลเชิงลึกหรอกนะ เคยได้ยินเขาพูดกันว่า ถ้ามีคนที่ป่วยจากอาคมรักษาอยู่ เราไม่รู้ว่าเขาโดนอาคมอะไร เลยทำให้พวกที่ดูแลคนป่วยกลัวว่า ถ้าใช้เสื้อผ้า อาหารที่ปนเปื้อนอาคม อาคมจากสิ่งเหล่านี้อาจจะไปทำปฏิกิริยากับอาคมที่คนไข้ได้รับมาอะไรทำนองนี้ แล้วอาการของพวกที่ป่วยอาจจะแย่ลงได้ จึงต้องทำให้เรือนพยาบาลปลอดจากอาคม”

            “ท่านพูดราวกับว่า อาคมเป็นสิ่งที่เหลือทิ้งสิ่งตกค้างไว้ได้เลย” 

            “ได้สิ ทุกอาคมที่เจ้าแสดง จะทิ้งร่องรอยไว้เสมอ” เจ้างูบอก “เจ้าจะสามารถสัมผัสและรู้สึกถึงมันได้เช่นกัน ถ้าเจ้าฝึกอาคมไปนานๆ”

            “แต่ฉันก็เคยเห็นอำพันใช้อาคมยกตัวคนไข้ขึ้นนะ” เด็กน้อยรีบแย้งขึ้นมา 

            “ก็ถ้าจำเป็นก็ใช้ได้ เขาไม่ถึงกับห้ามใช้เลย แต่อยากให้ใช้น้อยที่สุดอะไรทำนองนี้ แต่อย่างที่ข้าบอกไง ว่าข้าไม่ได้รู้เหตุผลลึกซึ้งขนาดนั้น ถ้าเจ้าอยากรู้ว่าอาคมไหนใช้ได้ ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้เพราะอะไร ต้องลองถามอำพันดู”

            “อย่างนี้นี่เอง” กัณหารับคำ แล้วก็ไพล่ถามไปอีกเรื่อง “ว่าแต่ช่วงนี้ท่านไปไหนมารึ ไม่ค่อยได้พบท่านเลย”

            “ข้ามีธุระนิดหน่อย” เจ้างูตอบทันที “กลับไปเยี่ยมบ้านของข้า” 

            “บ้านของท่านอยู่ที่ใดหรือ”

            “ไกลจากที่นี่มาก บอกไปเจ้าก็ไม่รู้จักหรอก” เจ้างูบอกปัดทันที ก่อนขยับยืดตัวขึ้น “ใกล้เที่ยงแล้ว ข้าต้องเอาอาหารไปให้พ่อฉิมนั่นก่อน”

            “พ่อฉิม ใครกันรึ” กัณหาถาม “ฉันรู้จักรึไม่”

            “อ้อ ข้าลืมเล่าไป” เจ้างูว่า ยกหางมาตบหัวตนเอง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ฉิมก็คนที่ปลอมตัวเป็นค่อมอย่างไรละ หลังจากจับตัวมาได้ ท่านอาจารย์ใช้อาคมบังคับให้เขาเผยตัว เราถึงรู้ว่าคือ พ่อฉิม พ่อฉิมนี่ก็เป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์เหมือนอำพัน เมื่อไม่นานนี้เขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับท่านอาจารย์เลยหนีไปอยู่กับแสน ศิษย์เอกของท่านอาจารย์อีกคน พวกเขารวมหัวกันเพราะอยากได้คัมภีร์มหาเวท ข้าได้ยินว่าแสนนั่นใช้ให้ฉิมมาขโมยคัมภีร์ไป แต่เสียดายที่ครั้งนี้ไม่สำเร็จ”

            “แล้วเขาเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ปลอมตัวเป็นค่อมตั้งแต่เมื่อไหร่” กัณหาซักต่อ

            “ข้าไม่แน่ใจว่าเขาปลอมตัวเป็นค่อมตั้งแต่เมื่อไหร่และค่อมตัวจริงอยู่ไหน แต่เท่าที่ข้ารู้คือ ค่อมลาท่านอาจารย์ขอกลับไปเยี่ยมบ้านและกลับเข้ามาที่นี่ก่อนท่านอาจารย์จะเสกอาคมทะเลเลือดขึ้นมา ข้าคิดว่าฉิมน่าจะไปดักทำร้ายค่อมที่บ้านของเขา และปลอมตัวเป็นค่อมเข้ามาที่นี่ตั้งแต่นั้นมา แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เราคงได้คำตอบเมื่อได้เจอค่อมตัวจริง แต่ตอนนี้ยังหาเขาไม่เจอ ที่บ้านก็ยังไม่รู้ว่าเขาหายไป ข้าได้แต่หวังว่าเขาจะยังปลอดภัย”

            “แล้วท่านอาจารย์จะทำอย่างไรกับพ่อฉิมต่อ” กัณหานึกเป็นห่วงพ่อฉิมอะไรนี่ขึ้นมาแม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายเลยก็ตามเพราะเขาอยู่ในรูปลักษณ์ของค่อม แต่ตลอดเวลาที่เธอทำงานในเรือนพยาบาลนั่น เขาก็ดูใจดีและเอาใจใส่เธอไม่น้อย 

            “ข้าว่าท่านก็ไม่รู้จะทำไงกับฉิมเหมือนกัน ท่านเอ็นดูเขามาก เพราะเดิมเขาเป็นคนอัธยาศัยดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น มีน้ำใจมาก ท่านอาจารย์ก็ไม่อยากทำร้ายเขา แต่จะปล่อยไปก็ไม่ได้ เกรงว่าจะกลับไปรวมหัวกับพ่อแสนตัวดีนั่นเป็นแน่ และคงหาเรื่องกลับมาทำความเดือดร้อนที่เขาริมอ่าวอีกครา ตอนนี้ท่านก็เลยให้กักตัวไว้เฉยๆ”

            “ถ้างั้นท่านก็รีบไปเถิด ประเดี๋ยวเขาจะหิวเสียก่อน” กัณหาแนะ และหันกลับฝึกอาคมต่อ 

 

 

            กัณหานั่งฝึกอาคมอยู่ต่อจนเที่ยงแล้วจึงไปทานอาหารที่โรงอาหารตามปกติ ก่อนจะเตรียมตัวขึ้นไปพบท่านอาจารย์ตอนบ่าย กัณหาเดินขึ้นไปทางเดิมที่เคยขึ้นไป ไปนั่งคอยที่ภายในถ้ำสักพัก ท่านอาจารย์ก็ออกมาหา

            “วันนี้เราจะเรียนเรื่องการจุดไฟ เป็นเรื่องไม่ยาก แต่ต้องใช้พลังงานมากพอสมควร” ท่านอาจารย์เกริ่น “เจ้าต้องเพ่งสมาธิของเจ้าไปที่วัตถุ วัตถุหนึ่ง ให้มันมากพอที่จะทำให้มันร้อนและจุดติดไฟขึ้นมาเองได้”

            “ก่อนหน้านี้ อิฉันเคยทำให้ผ้าไหม้ไฟขึ้นมาเองครั้งหนึ่ง แต่อิฉันไม่รู้ว่าทำให้มันเกิดได้อย่างไรเจ้าค่ะ” กัณหานึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เธอหลบหนีจากบ้านเศรษฐีทองใบ 

            “เด็กก่อนฝึกหัดสามารถใช้อาคมได้โดยไม่ตั้งใจอยู่บ่อยๆ” ท่านอาจารย์ตอบ “แต่มันไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะเราไม่ต้องการให้มีอาคมใดอยู่นอกเหนือการควบคุม เอาล่ะ เริ่มฝึกกันได้ละ”

            หลังจากนั้นกัณหาก็นั่งทำสมาธิอยู่นานตรงหน้าเทียนไขอันใหญ่ที่ท่านอาจารย์สั่งให้จุดมันให้ติด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ประสบความสำเร็จ หลังเรียนเสร็จท่านอาจารย์ให้กัณหาก็ถือเทียนไขลงมาจากถ้ำด้วยเพื่อให้เธอเอาไปฝึกต่อ เมื่อกัณหาออกจากปากถ้ำ เธอก็พบว่าตอนนี้พลบค่ำแล้ว 

            “วันนี้ลงมาช้าไป” กัณหานึกด่าตัวเอง เมื่อเห็นพระอาทิตย์กำลังจะตกดินที่เขาอีกฟากหนึ่ง ใกล้มืดเต็มทีแล้ว เธอจำได้ว่าเจ้างูใบตองกำชับนักหนาว่าให้ลงจากถ้ำก่อนพระอาทิตย์ตกดินเพราะแถวนี้ค่อนข้างอันตราย กัณหามองไปรอบๆ นึกสงสัยว่าแถวนี้มีเสือบ้างไหมนะ แต่ก็ไม่เห็นมีใครหรืออะไรขยับอยู่ใกล้ๆ เธอพยายามรีบเดินลงเขาให้เร็วที่สุด แต่เวลาที่คนเรารีบเกินไปก็มักจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เสมอ

            “โอ๊ย” เท้าของเธอไปเกี่ยวกับเถาวัลย์ที่อยู่ริมทางเดิน เธอล้มลง เข่าและแขนฟาดพื้นอย่างแรง เทียนอันใหญ่ที่ท่านอาจารย์ให้มาฝึกกระเด็นหลุดจากมือกลิ้งลงไปข้างทาง

            “แย่แล้ว ทำเช่นไรดี” กัณหายืดคอชำเลืองมองเพื่อหาที่เทียนไขอันนั้น เธอพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็เจ็บตรงข้อเท้ามาก ต้องใช้เวลาสักพักกว่าเธอจะลุกขึ้นยืนแบบกะเผลก กัณหาลุกเดินไปถึงตรงขอบทางเดินที่ไหล่เขา เห็นเทียนไขไปติดอยู่โคนต้นไม้ที่ไหล่เขาซึ่งอยู่ต่ำกว่าทางเดินที่เธออยู่ลงไปมาก เธอพยายามใช้อาคมให้มันลอยขึ้นมา แต่อาจเป็นเพราะมันอยู่ไกลเกินไปจึงทำให้อาคมของเธอดูไม่ได้ผลนัก

            “เอาไงดีเนี่ย” เธอชำเลืองมองไปที่ไหล่เขา มันชันกว่าทางเดินตรงนี้เล็กน้อย แต่ในเมื่อใช้อาคมไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องลงไปเก็บ ไม่เช่นนั้นคืนนี้จะเอาอะไรฝึก 

            กัณหากลั้นใจแล้วค่อยๆหย่อนตัวลงไปตามแนวต้นไม้ มือจับโคนต้นไม้ไปด้วย เธอพยายามระมัดระวังไม่ให้สะดุด ขาข้างที่บาดเจ็บทำให้เคลื่อนไหวได้ช้ากว่าปกติ ตอนนี้รอบตัวเริ่มมืดลงแต่ยังพอมองเห็นได้ลางๆ ในที่สุดกัณหาก็ไต่ลงไปถึงโคนต้นที่เทียนไขนอนอยู่ กัณหาแก้ผ้าผูกเอว เอามาพันรอบเทียนไขอันใหญ่ไว้ ก่อนเอาผ้ามาพันรอบเอวของเธออีกที ก่อนที่เธอจะค่อยๆไต่ขึ้นมาตามทางเดิม ซึ่งใช้เวลามากกว่าขาที่ไต่ลงไป เพราะมีเทียนไขอันใหญ่ผูกติดอยู่กับเอว กัณหาเห็นแสงไฟสว่างที่ทางเดินที่อยู่ด้านบน เธอดีใจมาก รีบยืดคอขึ้น กำลังจะร้องตะโกนเรียกเจ้าของแสงไฟนั้นให้มาช่วยเธอ

            ชายคนหนึ่งอยู่บนทางเดินที่เดินขึ้นเขา เขานุ่งขาวห่มขาวเช่นเดียวกับผู้คนในเขาริมอ่าว แต่สิ่งที่ผิดแปลกออกไปคือท่าทีลับๆล่อๆของเขา เขาชำเลืองซ้ายขวาหน้าหลังตลอดเวลา จนดูหวาดระแวงมากกว่าหวาดกลัวเส้นทางรอบตัวที่เริ่มมืดมิด ทีแรกกัณหาเห็นเขา เธอจำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อเขาหยุดเดินมองไปรอบๆอีกครา แสงไฟจากตะเกียงที่เขาถือมาด้วยส่องต้องใบหน้าของเขาโดยตรงกัณหาจึงจำได้

            “คนที่ดูแลรถม้านี่นา” กัณหาพึมพำ “ขึ้นมาทำอะไรบนนี้”

            กัณหากำลังชั่งใจดีว่าจะตะโกนเรียกชายคนนั้นมาช่วยเธอดีหรือไม่ แต่ชายคนนั้นหันหลังกลับไปเดินขึ้นเขาต่อและไฟจากตะเกียงที่เขาถือมาก็ค่อยๆห่างออกไป เมื่อเขาไต่ขึ้นไปตามทางเดิน กัณหารอสักพักจึงไต่ขึ้นมาบนทางเดินสำเร็จ และรีบเดินลงเขาไปตามทางเดิน ในใจก็ยังคิดถึงท่าทีลับๆล่อๆของอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เธอคิดถึงตอนที่เธอหนีออกจากวัง เธอก็ต้องคอยชำเลืองมองรอบๆแบบนี้

            เขาขึ้นไปบนเขาริมอ่าวตอนพลบค่ำทำไมกันนะ

 

 

            กว่ากัณหาจะลงมาถึงหมู่บ้านริมเขาก็มืดสนิทพอดี เธอไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นอีก เพราะต้องรีบเดินกะเผลกโดยเร็วที่สุดไปที่โรงอาหารให้ทันก่อนโรงอาหารจะปิด ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีสำหรับกัณหาเพราะเมื่อเธอมาถึงแม่ครัวกำลังจะยกถาดอาหารกลับไปพอดี หลังจากกินอาหารเสร็จเธอก็รีบไปอาบน้ำ เพื่อจะกลับมาฝึกจุดไฟต่อ 

            สัปดาห์ต่อมากัณหาไม่ได้ขึ้นไปที่เขาริมอ่าวอีกเลย เพราะเธอยังไม่สามารถจุดไฟที่เทียนไขได้สำเร็จ เธอยังคงมานั่งฝึกที่เดิมทุกๆวัน หลังฝึกเสร็จตอนเย็นกัณหามักจะแวะเข้าไปที่เรือนพยาบาล เพื่อสอบถามอาการของเพื่อนๆของเธอ ช่วงกับนางนิ่มอาการดีขึ้นมาก เริ่มตื่นมากขึ้น และลุกเดินรอบเตียงได้ระยะสั้นๆ ส่วนเที่ยงยังได้แค่ลุกขึ้นนั่งข้างเตียง อาการของทับก็ดีขึ้นมากเช่นกัน ตอนนี้เขาเริ่มลุกเดินได้ แต่ยังไม่คล่อง ส่วนแหวนนั้นอาการดีที่สุดกว่าทุกคน ตอนนี้เธอดูกระฉับกระเฉงเหมือนแต่ก่อน และเริ่มเดินได้คล่อง อำพันให้แหวนช่วยงานเล็กๆน้อยๆ เช่น ทำความสะอาดเรือนพยาบาล และช่วยยกยาและอาหารไปแจกให้คนอื่นๆ 

            “ถ้าข้าเสร็จงานแล้ว แม่หมออำพันนั่นอนุญาตให้ข้าไปชมทะเลได้” แหวนเล่าให้กัณหาฟังด้วยความปลาบปลื้มใจ หลังจากยกอาหารออกมาแจกทุกคน “เราไปนั่งเล่นริมทะเลด้วยกันอีกไหม” 

            “ได้สิ ฉันเองก็อยากไป” กัณหารับคำ

            “เจ้าแดงไม่อยู่อีกแล้วรึ” เสียงอำพันบ่นดังมาจากหลังเรือนพยาบาล “หายหัวไปไหน” 

            “เกิดอะไรขึ้นหรือ” แหวนสอดส่ายสายตามองหาอำพัน “ใครทำให้แม่หมอนั่นปะทุได้อีก” ว่าแล้วไม่พอ หล่อนเดินไปทางด้านหลังเรือนพยาบาล คงจะไปแอบฟังอำพันคุยเป็นแน่ กัณหารีบตามไปห้าม เกรงว่าแหวนจะโดนอำพันดุ แต่ไม่ทันความเร็วและว่องไวของแหวนที่เริ่มกลับมาเหมือนเดิม

            อำพันยืนอยู่ที่ประตูด้านหลังเรือนพยาบาล ดูหงุดหงิดใจอย่างมาก ข้างๆหล่อนมีหญิงอีกคนที่กัณหาเห็นเป็นบางครั้งเวลามาเยี่ยมเพื่อนๆที่เรือนพยาบาล หล่อนมาคอยช่วยดูแลคนไข้

            “ข้าไปถึงก็เห็นมันเก็บม้าเข้าคอกหมดแล้ว ไม่รู้รีบไปที่ใดกัน” หญิงที่มาช่วยดูแลคนไข้เล่าให้อำพันฟัง สีหน้านางเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น 

            “ช่วงนี้มันรีบไปไหนแต่หัววัน” อำพันมีท่าทีครุ่นคิด “เริ่มทำตัวแปลกๆ”

            “ข้าก็ไม่รู้”

            “ช่างเถอะ หญ้านางนอน ยังเหลืออีกหน่อย เย็นพรุ่งนี้ค่อยไปเก็บ” อำพันว่า โบกมือไล่หญิงสาวคนนั้นให้เข้าไปในเรือนเก็บสมุนไพร 

            อำพันหันหลังและรีบเดินมาจนเกือบชนกับแหวนที่แอบฟังอยู่

            “มาทำกระไรตรงนี้” อำพันดุแหวนทันที “เสร็จงานแล้วไม่ใช่รึ ไม่ไปทะเลเล่า รบเร้าข้าอยู่ทุกคืนวัน”

            “ท่านมีอะไรให้ข้าช่วยไหม” แหวนยิ้มแหยๆแล้วเสนอตัวทันที 

            “ไม่ต้องหรอก” อำพันบอกปัด “แค่เจ้าอยู่นิ่งๆเหมือนคนอื่นๆ ไม่สร้างปัญหาใหม่ให้ข้า ข้าก็พอใจแล้ว”

            แหวนทำท่างอนเล็กน้อยเมื่อได้ยิน

            “เจ้าแดงที่ท่านพูดถึง ใช่คนที่ดูแลรถม้าหรือไม่จ้ะ” กัณหาถามขึ้นทันที เธอนึกถึงชายคนที่ดูแลรถม้าที่เธอเห็นเขาทำท่าลับๆล่อขึ้นไปบนเขา

            “ใช่” อำพันตอบ สีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาทันใดที่ได้ยินชื่อนี้ “ข้าจะขอเอารถม้าออกไปเก็บสมุนไพรในป่าตอนกลางคืน เพราะหญ้านางนอน สมุนไพรอีกตัวที่เราใช้ปรุงยาต้องเก็บกลางคืนเท่านั้น และหญ้านี้ขึ้นได้ในป่าลึกเท่านั้น เดินไปเก็บจะเสียเวลา ไอ้แดงนั่นกลับหายหัวไปไหนไม่รู้”

            “วันก่อนฉันเห็นเขา…” กัณหาลดเสียงลง และเล่าเรื่องที่เธอเห็นชายที่ดูแลรถม้าทำท่าลับๆล่อๆตอนขึ้นไปบนภูเขา

            “ขึ้นไปบนภูเขาตอนพลบค่ำงั้นรึ” อำพันทวนคำ และทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ แล้วเธอก็ส่ายหน้า “พวกเจ้าเสร็จงานแล้ว จะไปไหนก็ไป เรื่องหมอนี่ข้าจัดการเอง”

            “จ้ะ” แหวนรับคำ ยกมือไหว้อำพันแล้วรีบลากกัณหาออกไป

 

 

            หลังจากฝึกอย่างหนักหน่วงในที่สุดกัณหาก็สามารถจุดไฟที่เทียนไขได้สำเร็จในคืนหนึ่ง เธอตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ เช้าวันต่อมาเธอรีบขึ้นไปพบท่านอาจารย์ทันที คาดว่าน่าจะได้รับคำชม แต่ท่านอาจารย์กลับไม่พูดว่าอะไร และให้กัณหาหัดดับไฟแทน 

            “การดับไฟจะยากกว่าจุดไฟหลายเท่าตัว เจ้าอาจจุดไฟกองเล็กๆแล้วปล่อยให้มันลุกไหม้ขยายวงกว้างเองได้ แต่การดับไฟ ยิ่งไฟมากลุกไหม้นาน ยิ่งดับยาก”

            แล้วท่านอาจารย์ก็สาธิตวิธีการดับไฟให้กัณหาดู กัณหาพยายามลองตามหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ เธอรู้สึกว่าเอามือโบกพัดเพื่อดับไฟยังจะง่ายกว่า ในการฝึกครั้งนี้ยากกว่าครั้งก่อน เพราะเธอต้องเริ่มจากจุดไฟโดยใช้อาคมก่อน รอไฟติดสักพักเธอจึงเริ่มฝึกดับไฟ ซึ่งก็เหมือนต้องใช้พลังงานสองเท่าในการฝึกแต่ละรอบ 

            “เลิกเย็นอีกแล้ว” กัณหานึกด่าตนเองเหมือนเมื่อครั้งก่อนที่มัวแต่ฝึกจนเลยเวลา กว่าจะขออนุญาตอาจารย์ออกจากถ้ำมาก็เย็นแล้ว รอบนี้เธอเอาเทียนไขอันใหญ่มัดติดกับเอวตั้งแต่เริ่มออกเดินทางเพราะกลัวมันหล่นอีก เธอพยายามรีบเดินแต่ก็ระมัดระวังทุกฝีก้าว ไม่ให้ก้าวพลาดอย่างคราวที่แล้ว

            หวังว่าจะไม่เจอหมอนั่นอีกนะ จู่ๆเธอก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาในฉับพลัน เพราะสถานการณ์ตอนที่เจอชายคนนั้นมาเดินทำตัวลับๆล่อๆก็เป็นช่วงที่เธอกลับออกมาจากถ้ำตอนเย็นแบบนี้เหมือนกัน

            แต่ทว่าความปรารถนาของกัณหาจะไม่เป็นจริงเสียแล้ว เพราะหลังจากเธอเดินออกจากปากถ้ำได้ไม่นานนัก เมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อยหลังลงที่เขาฝั่งตรงข้าม กัณหาก็เห็นชายคนนั้นอีกครั้ง เขาถือตะเกียงเดินขึ้นมาตามทางเดินขึ้นสู่เขา ท่าทีลับๆล่อๆของเขาทำให้กัณหามั่นใจว่าสิ่งที่เขาจะทำไม่ใช่เรื่องดีแน่ เธอยืนอยู่บนทางเดินอย่างลังเลใจว่าควรจะหลบดีหรือควรจะเข้าไปแสร้งทักทายดี แต่ก่อนที่กัณหาจะได้ทันตัดสินใจ อะไรบางอย่างเขียวนุ่มๆรัดร่างของเธอและอุดปากได้แน่นก่อนลากลงจากทางเดินมาหลบในพุ่มไม้ข้างทาง

            “ท่าน!!” กัณหาอุทานเมื่อเจ้างูเขียวปล่อยตัวเธอ 

            “มัวทำอะไรชักช้า โอ้เอ้” เสียงตำหนิจากเจ้างูที่ฟังคล้ายเสียงขู่ฟ่อมากกว่า “เย็นป่านนี้แล้วยังไม่กลับลงไปอีก”

            “ฉันเลิกช้า เพิ่งได้ขอท่านอาจารย์ออกมา”

            “คราหลัง บ่ายแก่ๆก็ขอท่านออกมาได้แล้ว” เจ้างูเขียวบ่นต่อ “เจ้าก็รู้ตัวนิว่าต้องใช้เวลาเท่าใดถึงจะกลับถึงที่พัก ควรกะเวลาหน่อย!!!”

            “แล้วท่านมาทำอะไรลับๆล่อๆที่นี่” กัณหารีบไพล่พูดไปอีกเรื่อง “ท่านมาตามชายคนนั้นหรือ”

            “ใช่” เจ้างูว่า “แอบยืดคอชำเลืองมองชายคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พวกเขาเต็มที “หลบเร็ว”

            กัณหาหมอบใต้พุ่มไม้ พยายามไม่ให้แขนขาเกินขอบเขตพุ่มไม้ออกไปมากนัก เจ้างูขดรัดตัวจนเล็กมาก ทั้งคู่เห็นแสงไฟสว่างส่องอยู่เหนือศีรษะไม่ไกลนัก สักพักแสงไฟค่อยๆห่างออกไป

            “เขาแอบขึ้นเขาไปทำอะไรตอนกลางคืน” กัณหาว่า หลังจากแหวกพุ่มไม้ออกมาชำเลืองดูอีกฝ่ายที่ค่อยๆเดินห่างออกไป

            เจ้างูเลื้อยขึ้นไปตามต้นไม้ กัณหาแน่ใจว่าเขาเลื้อยขึ้นไปส่องดูอีกฝ่ายสักพักเจ้างูก็เลื้อยกลับลงมา สีหน้าเคร่งเครียดจัด

            “ท่านแอบซ่อนอะไรบนภูเขาลูกนี้หรือ” กัณหาถามทันทีที่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย “ท่านรู้ว่าเขาขึ้นมาที่นี่ทำไม จึงตามมาแอบดูใช่ไหม”

            เจ้างูมองเธอด้วยนัยน์ตาสีเหลืองทองที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

            “เจ้าต้องลงไป ไปให้ถึงหมู่บ้านให้เร็วที่สุด ที่นี่อันตราย”

            “ท่านไม่คิดว่าฉันลงไปคนเดียวจะอันตรายกว่าหรือ”กัณหาถาม เธอชี้ไปที่ทางเดินที่เริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว “ถ้ามีพวกนั้นอยู่ที่เชิงเขาอีกคนหรือหลายคนละ”

            “มีคนมา” เจ้างูรีบเอาหางกดไหล่กัณหาให้หน้าซุกลงไปใต้พุ่มไม้ “หลบเร็ว”

            กัณหารู้สึกหนักมาก เมื่อเจ้างูเอาหางกดหัวเธอไว้ให้หมอบต่ำหน้าแทบติดพื้น แต่แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงเจ้างูพูดอยู่บนศีรษะว่า “อำพัน!!!”

            “ร้องทำไม” เสียงอำพันเอ็ดอยู่บนศีรษะของเธอ “ประเดี๋ยวหมอนั่นได้รู้ตัวหรอก แล้วเจ้าทำอะไรนะ”

            “อ้อ” เจ้างูว่า เอาหางรัดตัวกัณหาและยกมาไว้ที่ทางเดิน “แม่กัณหา เลิกเรียนช้าเกินไป มาเจอตอนข้ากำลังตามพ่อแดงนั่นมาพอดี”

            อำพันชะงัก มองมาที่กัณหาที่ยิ้มแหยๆให้ หล่อนดูไม่พอใจนักที่เห็นกัณหา

            “เจ้านี้ไม่รู้เวล่ำเวลาเลยจริงๆ” อำพันส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “แล้วจะเอาไงกับนางดีละเนี่ย”

            “คงต้องเอาไปด้วย” เจ้างูว่า มองไปรอบๆอย่างไม่สบายใจ “จะปล่อยให้ลงไปคนเดียวก็อันตรายอยู่”

            อำพันได้แต่ส่ายหน้า ดูเหมือนหล่อนกับเจ้างูใบตองน่าจะนัดกันมาตามสืบพฤติกรรมของชายที่ชื่อแดง แต่โชคไม่ดีสำหรับพวกเขาที่ต้องมาพกเด็กติดไปด้วยอีกคน

            “งั้นก็ไป” อำพันสรุป ก่อนหันมามองกัณหาและเตือนเธอเสียงเขียวว่า “เจ้ารีบตามเรามา อย่าส่งเสียงแม้แต่แอะเดียวเชียว ที่สำคัญต้องเชื่อฟังเราทุกเรื่องเข้าใจไหม”

            “จ้า” กัณหาแอบยิ้ม