บารัตยกน้ำชาใส่กาเอาไปให้ทั้งสามคน ซีห่าวและฉิมลงแช่น้ำสมุนไพรในอ่าง ดูสุขสำราญและเบิกบานใจมาก ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อาบน้ำอย่างสบายใจมานานมากแล้ว บารัตลอบสังเกตพวกเขาและเอามารายงานซิงอีกับกัณหาที่แอบซุ่มอยู่ที่เรือนด้านหลัง

“เราควรเริ่มลงมือเมื่อไหร่” กัณหาถามขึ้นระหว่างที่เธอช่วยซิงอียัดผงยาขาวๆ ลงไปในลำกล้องเล็กๆ

“ดึกๆ ดีกว่า” ซิงอีดูใจเย็นเป็นพิเศษในวันนี้ “น้ำเถาเถาที่พวกเขาแช่จะช่วยให้ผ่อนคลาย สบายใจ บวกกับน้ำชาเลิศรสจากดอกฟู่จื่อและอาหารดีๆ สำหรับคนที่อยู่อย่างหวาดระแวงหลบๆ ซ่อนๆ มาหลายวัน การระวังตัวของพวกเขาจะลดลง เราน่าจะจับพวกเขาได้ง่าย”

“ทำไมเราไม่ผสมยานอนหลับไปในน้ำชาของพวกเขาเลยล่ะ” เธอข้องใจว่าทำไมต้องวางแผนหลายขั้นนัก

“พวกเขาเคยใช้ยานอนหลับกับพวกเราอย่างแนบเนียน พวกเขาย่อมต้องระแวงว่าจะมีคนใช้วิธีนี้กับพวกเขาเหมือนกัน มันเป็นธรรมดาแหละ เราเคยทำอะไรกับใครไว้ ย่อมกลัวว่าสิ่งนั้นจะมาเกิดกับตัวเองเหมือนกัน ข้าว่าพวกเขาน่าจะมีวิธีตรวจสอบก่อนจะกินหรือดื่มอาหารและน้ำชา หากพบว่ามียาอื่นใดเจือปนแผนเราคงจะแตก” ซิงอียิ้ม “หากจะจับพวกเขาให้อยู่หมัดเราต้องใช้วิธีที่แตกต่างออกไป อย่ากังวลเลย ผงยาสลบของข้าไม่เคยพลาด ยิ่งใช้คู่กับการอาบหรือสูดกลิ่นควันจากสมุนไพรเถาเถาจะยิ่งทำให้ยาสลบของข้าออกฤทธิ์ได้เร็ว”

หลังจากอาบน้ำยาสมุนไพรรอบแรกเสร็จแล้ว บารัตกับแหวนยกอาหารเข้าไปให้พวกเขาทาน เป็นอย่างที่ซิงอีคาด ชายตาปกติตรวจสอบน้ำและอาหารก่อนทาน พอเขามั่นใจว่าไม่มียาอะไรผสมในน้ำชาและอาหารแล้วจึงเริ่มลงมือรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากพวกเขารับประทานเสร็จก็นอนเอกเขนกคุยกันด้วยท่าทีมีความสุข ซิงอีกับกัณหาจึงคิดว่าถึงเวลาลงมือแล้ว

ทั้งคู่ซุ่มอยู่ที่คนละด้านของเรือนคนไข้ที่ทั้งสามพัก กัณหาใช้มือเจาะรูเล็กที่กระดาษที่แปะที่หน้าต่างเรือนนั้น ก่อนสอดกล้องใส่ยาสมุนไพรเข้าไป กัณหาค่อยเป่าลมใส่กล้องให้ยาสมุนไพรนั้นค่อยๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ก่อนใช้พลังลมปราณช่วยดันลมผ่านช่องแคบๆ ของกล้องที่เป่าให้ช่วยดันยาสลบให้ฟุ้งกระจายเร็วขึ้นอีก

“อะไรนะ” จู่ๆ ชายตาปกติสะดุ้ง “ยา มียาสลบ”

แต่กว่าพวกเขาจะรู้ตัวก็ไม่ทันแล้ว ยาสลบฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ชายทั้งสามคนค่อยทรุดตัวลงและหลับไป กัณหายังคงเป่ายาสลบเพิ่มอีกหลายบ้อง จนกระทั่งเสียงในห้องเงียบไป

 

“ทำเช่นนี้เหมือนเราเป็นขโมยจะมาขโมยของของพวกเขาเลย” กัณหาเอ่ยขึ้นมาขณะซิงอีใช้อาคมมัดข้อมือคนทั้งสามที่สลบอยู่ไว้อย่างแน่นหนา ส่วนเธอกับแหวนช่วยกันรื้อค้นทรัพย์สินของคนทั้งสามเพื่อหาต้นหยกมังกร ในที่สุดพวกเขาก็พบต้นหยกมังกรถูกย่อขนาดเก็บไว้ในกระเป๋าภายในเสื้อคลุมของชายที่กัณหาคิดว่าเขาน่าจะชื่อแสน

“ก็ดีนะ ขโมยคืนบ้าง พวกนี้จะได้รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไรเวลาถูกขโมย” แหวนตอบหน้าตาเฉย “เราขโมยคืนบ้างถือว่าเสมอกัน ไม่ผิด”

“ก็แน่ละ ถ้าอยู่กับหัวขโมยอย่างเอ็ง อีแหวน” ช่วงขัดขึ้นทันที เขากับบารัตช่วยกันขนเอาตาข่ายที่เตรียมไว้มาวางไว้ใกล้ๆ และช่วยกันอุ้มร่างที่ซิงอีมัดข้อมือด้วยอาคมเรียบร้อยแล้วไปวางไว้บนตาข่าย

“นี่ไม่ใช่การขโมยหรอก” ซิงอีมองกัณหาอย่างเอ็นดู และปลอบเธอด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “เรามาเอาเฉพาะต้นหยกมังกรที่เป็นของของเรา ไม่ได้แตะทรัพย์สินอื่นนี่ เจ้าอุ้มต้นหยกมังกรข้ามน้ำข้ามทะเลมา ถ้าจะมีใครมีสิทธิ์ในต้นหยกมังกรละก็ เจ้าย่อมต้องได้สิทธิ์มากกว่าคนพวกนี้”

“แล้วเราจะทำอย่างไรกับพวกเขา” ช่วงถามหลังจากทั้งสามคนถูกย้ายขึ้นมาบนตาข่ายเรียบร้อยแล้ว เขากับบารัตช่วยกันเอาตาข่ายคลุมคนทั้งสามและมัดจนกลายเป็นถุงถุงใหญ่ที่ภายในใส่คนทั้งสามไว้ ซิงอีเดินมาเสกอาคมบนถุงตาข่ายอีกที

“คงต้องซ่อนพวกเขาไว้ที่นี่ก่อน หลังจากเราจับปลาใหญ่ได้เมื่อไหร่ ค่อยเอาไปให้คนในสำนักลงโทษ” ซิงอีปาดเหงื่อ “อีกสองวันจะถึงวันฉลองสำนักโม่ฝ่าช่าน มีเวลาให้เราพักหายใจหายคอหน่อย ในระหว่างนี้ เราต้องจุดธูปยาสลบทุกหนึ่งชั่วยามเพื่อไม่ให้พวกเขาตื่น”

“แล้วพวกเขาไม่กินอะไรกันตั้งหลายวันจะไม่เป็นไรเหรอ” กัณหาแอบเป็นห่วงคนทั้งสามที่จะต้องนอนสลบอยู่นี่ไม่ได้กินอะไรหลายวัน

“ไม่เป็นไรหรอก แค่สองวันเอง ก่อนจะสลบพวกเขาก็ได้กินอิ่มหนำสำราญแล้ว ข้าว่าเผลอๆ จะได้กินมากกว่าช่วงที่พวกเขาหลบหนีซะอีก เพราะดูท่าพวกเขาดูมีความสุขมาก” ซิงอียิ้มน้อยๆ

“ก่อนที่ท่านจะเป็นห่วงพวกเขา ห่วงพวกเรากันเองดีกว่าคุณหนู พวกนี้แค่ลูกกะจ๊อกนะ อีตาเฉิงอี้ต่างหากที่เราต้องไปเจอ ไม่รู้จะรอดชีวิตหรือเปล่า” แหวนยักไหล่

“แน่นอนว่าเราต้องรอด” ซิงอียืนยัน “ถ้าเราทำตามแผนการ ว่าแต่คาถาของเจ้ามั่นใจนะว่าใช้ได้จริง”

“ฉันเริ่มคล่องแล้ว มั่นใจว่าไม่น่าจะพลาด” กัณหายืนยัน เธอมั่นใจแล้วว่าฝึกอาคมนี้มาหลายครั้งแล้ว มั่นใจว่าน่าจะทำได้แน่นอน

“งั้นก็ดี อีกสองวันไปล่าปลาตัวใหญ่กัน”

 

 

กัณหากลับมาที่ห้องพักของตนเองกับแหวน เธอเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าย่ามของตนเองหยิบบันทึกของสามสหายแห่งการายาเพื่ออ่านซ้ำข้อความเดิมที่เคยอ่าน เธอเปิดไปถึงหน้าที่พวกเขาเดินข้ามเทือกเขาจิ๋วอู่หลาน เพื่อแวะไปถึงเมืองฮงหวง ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยากลำบากมาก เพราะพวกเขาเดินทางด้วยเท้าข้ามเทือกเขาหลายลูกที่สูงชันและสลับซับซ้อน

หิมะเริ่มโรยลงมา พวกเราหนาวจนตัวแข็ง อาหารของพวกเรากำลังจะหมดลง เรายังคงตามหาคณะเดินทางที่พลัดหลงกันไม่เจอ มีวันหนึ่งลูกหาบคนหนึ่งเสนอว่า ลองใช้วิธีนี้ไหม เขาลองร่ายอาคมให้เราดูแล้วทันใดนั้นก็ร้องตะโกนสุดเสียงตามมา แล้วอัศจรรย์ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น คณะเดินทางของเราที่อยู่อีกฟากของเขาสูง ได้ยินเสียงตะโกนของลูกหาบ ทั้งที่อยู่ห่างไกลกันหลายร้อยลี้ พวกเขาบอกว่าได้ยินเสียงนั้นมาตามสายลม พวกเขาเดินตามเสียงนั้นมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้พบกับพวกเรา พวกเราตื่นเต้นกันมาก ไม่น่าเชื่อว่าอาคมแปลกๆ ของพวกลูกหาบจะช่วยชีวิตพวกเราไว้ได้ เมื่อเดินทางถึงเมืองฮงหวง ดาหลังเริ่มศึกษาวิธีเสกอาคมประหลาดนี้อย่างจริงจัง พวกเราคิดว่าอาจจะมีประโยชน์ต่อพวกเราในอนาคต จนกระทั่งได้วิธีการเสกอาคมแบบใหม่นี้ขึ้นมา

กัณหาไม่รู้หรอกว่าอาคมนี้มีประโยชน์ต่อสามสหายแห่งการายาจริงๆ หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้มันมีประโยชน์กับกัณหามาก เธออ่านวิธีการเสกอาคมที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาแล้วโดยดาหลัง ดาหลังจดวิธีการเสกอาคมนี้ไว้ในหน้าถัดไป แม้จะอ่านวิธีการเสกอาคมนี้มาหลายรอบแล้ว รวมทั้งฝึกการใช้อาคมนี้ได้จนขึ้นใจ กัณหาก็ยังชอบกลับมาอ่านที่หน้านี้บ่อยครั้ง

“ขอให้อีกสองวัน เรายังเสกอาคมนี้ได้ด้วยเถิด” เธอพึมพำก่อนปิดบันทึกของสามสหาย แล้วกอดบันทึกไว้แนบอกบันทึกที่เธอรู้สึกว่ามันเป็นมากกว่าเพื่อร่วมทาง แต่เหมือนเป็นผู้ชี้แนะอาคมใหม่ๆ ที่เธอไม่เคยลองใช้มาก่อนให้เธอรู้จักด้วย ครั้งก่อนที่เธอกับอาติรอดชีวิตก็เพราะอาคมที่บันทึกไว้ในบันทึกเล่มนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกันอาคมเก่าแก่โบราณที่ได้รับการบันทึกโดยสามสหายจะช่วยให้พวกเขาจับตัวเฉิงอี้ได้ เธอมั่นใจเช่นนั้น

กัณหานั่งหลับตาลง และลองฝึกอาคมของดาหลังอีกครั้ง ก่อนจะทำใจให้ว่างและหลับไป

 

 

“มาแล้ว หนังสือจากเฉิงอี้มาแล้ว” ซิงอีพูดขึ้นในเช้าวันถัดมาระหว่างที่พวกเขานั่งรับประทานอาหารกันในที่พัก

“เป็นไงมั่ง” ทุกคนรีบเข้ามารุมซิงอี

“เขาตอบตกลง” ซิงอีตื่นเต้นและดูยินดีมาก “เขาจะมาพบเราที่โรงเตี๊ยมร้างที่ถนนชิงซือตามที่เราต้องการ”

“เยี่ยม งั้นวันนี้เราไปเตรียมสถานที่เลย” บารัตลุกขึ้นทันที

“ข้าจะไปแจ้งคณะเชิดสิงโตเดี๋ยวนี้เลย” แหวนลุกขึ้นเช่นกัน

“ดี” ซิงอีดีใจมาก “ข้ากับกัณหาจะไปซักซ้อมพูดคุยและหลบหนีเฉิงอี้กัน ท่านช่วง ฝากชายสามคนนั้นและพ่อหนุ่มอาติไว้กับท่านนะ”

“ได้แน่นอน” ช่วงรับคำ อาติที่นั่งข้างๆ เขาได้แต่ถอนใจเพราะเขาไม่อาจช่วยอะไรได้ในตอนนี้เนื่องจากยังถูกห้ามใช้อาคมอยู่

ก่อนที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันไปทำตามแผน จู่ๆ หมอหยูที่นิ่งเงียบมานานตลอดเวลาที่ทานอาหารเช้าก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปพบกับเฉิงอี้ด้วยตนเอง”

ทุกคนหันมามองหมอหยูเป็นตาเดียวกัน

“ไม่เป็นไรหรอก ท่านอยู่รักษาคนไข้ไปเถอะ” ซิงอีตอบทันควัน “ท่านกรุณาช่วยเรามามากพอละ ที่เหลือเราจัดการเองได้”

“เจ้ากับเฉิงอี้ยังห่างกันหลายชั้นนัก” หมอหยูขัดขึ้นมา “กัณหาก็เพิ่งหัดใช้พลังลมปราณได้ไม่นาน ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่ได้วางแผนต่อสู้กับเฉิงอี้ แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า หากเขาลงมือจริง มีเพียงข้าเท่านั้นที่สู้กับเฉิงอี้ได้”

“แต่…”

“ข้าต้องการล้างมลทินให้ตัวเองด้วย ถ้าข้าเจอกับเขา จะได้คุยกันให้แจ่มแจ้ง และล้างมลทินให้ตนเอง” หมอหยูเอ่ย “ได้โปรด ให้ข้าไปพบเขาด้วยตนเองเถิด”

ซิงอีกับกัณหาได้แต่มองหน้ากัน

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด” ซิงอีเองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

 

 

งานฉลองวันก่อตั้งสำนักโม่ฝ่าช่านจัดเป็นงานใหญ่ประจำปีของเมืองเถียนอันด้วยเช่นกัน เนื่องจากสำนักแห่งนี้มีประวัติการก่อตั้งอันยาวนาน และเป็นสถานที่ที่ทำให้หมู่บ้านเล็กๆ อย่างเถียนอันเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเมืองเถียนอันที่มีชื่อเสียงด้านอาคมในต้าชิง ในงานวันฉลองการก่อตั้งสำนักนี้ ในเมืองเถียนอันก็จะมีการจัดการเฉลิมฉลองด้วยเช่นกัน ร้านรวงต่างพากันประดับตกแต่งร้านของตนอย่างสวยงาม ภายในสำนักโม่ฝ่าช่านเองก็มีการประดับตกแต่งด้วยโคมสีแดงและป้ายสีแดงเต็มสำนัก ศิษย์ที่สำเร็จการศึกษาจากสำนักไปแล้วเดินทางมาจากทุกสารทิศเพื่อมาร่วมแสดงความยินดีกับสำนักตลอดทั้งวัน มีการเลี้ยงการแจกน้ำและอาหารให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกคนตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีการแสดงวรยุทธจากศิษย์ในสำนักในช่วงบ่าย ช่วงเย็นมีการแสดงเชิดสิงโตที่ลานกลางสำนักเพื่อความเป็นสิริมงคล

หลังจากหมอหยูตกลงจะไปรอพบเฉิงอี้แทนซิงอี พวกเขาปรับแผนกันใหม่ ให้ซิงอีไปร่วมงานฉลองตามปกติและควบคุมการแสดงเชิดสิงโตให้ตรงกับเวลาที่พวกเขาพบกับเฉิงอี้ กัณหากับบารัตไปตรวจสอบโรงเตี๊ยมร้างสถานที่ที่พวกเขานัดพบกับเฉิงอี้ เตรียมตัวรอร่ายคาถาที่นั่นและเป็นฝ่ายรอสนับสนุนเผื่อเกิดมีปัญหาอะไรระหว่างพบเฉิงอี้ แหวนเป็นคนไปติดต่อกับคณะเชิดสิงโตเหมือนเดิม ส่วนจี้ดมีหน้าที่ส่งข่าวระหว่างทั้งสองที่

เฉิงอี้แอบออกจากสำนักโม่ฝ่าช่านในช่วงเวลาเย็นช่วงที่ทุกคนในสำนักกำลังรับประทานอาหารอยู่ จี้ดที่ซุ่มดูอยู่ระหว่างทางเห็นว่ามีอีกสองคนที่เฉิงอี้ให้ตามมาอย่างลับๆ จึงบินมาส่งข่าวแก่พวกเขาล่วงหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องทำอะไร” หมอหยูดูไม่กังวล เมื่อจี้ดนำข่าวมาบอก “เราต้องการให้เขาเผยตัว ไม่ได้อยากต่อสู้กับเขา”

หลังจากรอสักพักในที่สุดเฉิงอี้ก็มาถึงยังโรงเตี๊ยมร้างที่พวกเขารออยู่