สมุนไพรนับสิบชนิดถูกเรียงรายบนตะกร้าใบใหญ่สามใบ ข้างกันนั้นมีหม้อใบใหญ่ที่มีควันฉุยออกมา น้ำในหม้อกำลังเดือดปุดๆ และส่งควันปริมาณมากออกมาด้วย

“ข้าไม่เห็นด้วยเลย” หมอหยูพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมานับสิบเที่ยวแล้ว ตอนนี้เขากำลังนั่งมองยาในหม้ออย่างไม่สบายใจนัก

“ใช่ว่าท่านมีทางเลือกนักหรอกนะ” แหวนยิ้มขันระหว่างช่วยกวนยาในหม้ออย่างแข็งขัน หล่อนมองดูน้ำยาในหม้อที่ส่งประกายระยิบระยับอย่างสวยงาม “น้ำยาใกล้เสร็จแล้วท่านหมอ”

หมอหยูถอนใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งเดินไปดูน้ำยาในหม้อ สักพักก็ถอนใจอีกหลายครา

ท่าจะอาการหนัก แหวนรำพึงในใจ

ข้างนอกบ้านพักของเขา กัณหา ช่วง บารัต กำลังช่วยซิงอีเตรียมตาข่ายอันใหญ่ที่ทั้งหนาแน่นและทนทานที่สุดเท่าที่พวกเขาหาได้ไว้ โดยมีอาติและจี้ดนั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

“ข้าจะร่ายมนต์ลงไปด้วย เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะใช้ได้ดี” ซิงอีบอกพวกเขา ระหว่างตรวจตาข่ายของพวกเขาเป็นหนสุดท้าย “ข้าวของอย่างอื่นพร้อมแล้วใช่ไหม”

“ครบแล้ว” บารัตไล่รายชื่อของที่พวกเขาจะต้องเอาไป

“ดีล่ะ พรุ่งนี้เราไปตกเบ็ดกัน” ซิงอียิ้ม

รุ่งเช้าที่ตลาดในเมืองเถียนอันนั้นมีผู้คนบางตา เจ้าของร้านหลายร้านกำลังทยอยกันเปิดร้านเพื่อรอต้อนรับลูกค้าในเช้าวันใหม่ บารัตเดินฉับๆ เข้ามาในบริเวณใจกลางตลาดและชำเลืองมองไปรอบๆ ตัว ก่อนเลือกนั่งที่หน้าร้านที่ยังไม่เปิดแห่งหนึ่ง

“ยาสมุนไพรจ้า ยาโหวจวน ยาสมุนไพรบำรุงสายตาจากเมืองโจวเยิน ทำจากสมุนไพรนับสิบชนิด บำรุงสายตา ลดอาการปวดตาหลังจากทำงานหนัก รักษาโรคได้สารพัด ใครสนใจเชิญทางนี้เลยจ้า”

“ของจริงรึเปล่า” คนที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันมอง

บารัตยังคงตะโกนแหกปากไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็มีชาวบ้านเริ่มมามุงดู

“ได้มาจากไหนรึ” ชายคนหนึ่งถามอย่างสนใจ

“จากเมืองโจวเยิน ปรุงจากสูตรลับของหมอหลี่ ทำจากสมุนไพรหลายชนิด เอามาแจกให้ไปกินก่อน ช่วยบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี แก้ตามัวตาฟางได้”

“ยาโหวจวน ยาจากตำรับยาที่มีชื่อมากของเมืองโจวเยินนะหรือ” ชายร่างสูงคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมากลางหมู่ชาวบ้าน ชาวบ้านหลายคนสนใจมามุงเพิ่มขึ้น “ข้าเคยได้ยินชื่อของหมอคนนี้ตอนไปโจวเยิน ได้ยินว่าเป็นหมอที่เก่งมาก สามารถรักษาคนที่ตาบอดให้หายได้”

“จริงเหรอ” ชาวบ้านรอบตัวพากันฮือฮา หลายคนเอื้อมมือมารับยาถุงยาสมุนไพรจากบารัตอย่างตื่นเต้น

“เอาถุงนี้ใส่ลงในน้ำเดือด ต้มกินเช้าเย็นติดกันสองวัน ก็เห็นผล” บารัตยังโฆษณาไม่หยุด

“แจกเหรอ ไม่ได้ขายเหรอ” ชาวบ้านบางคนสงสัย

“แจกเฉพาะวันนี้ ถ้าหมดวันนี้ก็หมดสิทธิ์” บารัตส่งยิ้มไปรอบๆ “ท่านอาจารย์ข้าเป็นผู้ปรุงยานี้ ท่านตั้งใจเดินทางจากโจวเยินมาที่นี่เพื่อหาทำเลตั้งโรงหมอใหม่ ท่านเชี่ยวชาญการรักษาโรคหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับตา ใครมีปัญหา เจ็บป่วยไม่สบายอะไรเชิญที่อารามซิงเซิง อาจารย์ข้าพักที่นั่น คิดค่ารักษาไม่แพง”

มีเสียงฮือฮาจากชาวเมืองอย่างตื่นเต้น

หลังจากวันนั้น อารามซิงเซิง อารามเล็กๆ ในเขตชนบทของเมืองเถียนอันโดยปกติเงียบสงบ มีเพียงหลวงจีนสามสี่รูปกวาดลานวัดและสวดมนต์เป็นประจำ แต่ภายในเวลาสองสามวันมานี้กลับมีคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนไปที่นั่น ทุกคนต่างมีจุดหมายเดียวกันคือต้องการพบหมอจากเมืองโจวเยิน

“ข้าตาฟางมาหลายปีแล้วท่านหมอ เคยไปหาหมอในเมืองเถียนอันบอกต้องกินยาสิบกว่าตัว แต่ข้าไม่มีเงินซื้อยา เลยจำต้องอยู่ไปแบบนี้” ชายหลังค่อมคนหนึ่งเล่าอาการอย่างหดหู่ใจให้ท่านหมอฟัง

“อาการของเจ้าเป็นไม่มาก ข้าว่าฝังเข็มน่าจะหาย” หมอหยูบอกกับเขา “ขึ้นนอนเตียงเลยเดี๋ยวข้าฝังเข็มให้”

“แล้วค่าฝังเข็มเท่าไหร่หรือท่านหมอ คือ…ข้าไม่ค่อยมีเงินมากนัก” ชายหลังค่อมดูกังวลใจ ยังไม่กล้าขึ้นเตียง

“ข้าคิดสองอีแปะ” หมอหยูบอก

สองอีแปะ ชายคนนั้นมองอย่างตกตะลึง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะถูกขนาดนี้ ถูกยิ่งกว่าร้านหมอไหนๆ

“ขอบคุณท่านหมอ ขอบคุณท่านหมอ” เขารีบโค้งให้เสียหลายที

ภายในเวลาวันแรกวันเดียวก็มีชาวบ้านจำนวนมากมาหาหมอหยูแล้วเกือบสี่สิบคน เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เอาสมุนไพรมามาก จึงแจกเฉพาะสมุนไพรเท่าที่มี ส่วนตัวที่ขาดก็ให้หมอหยูเขียนใบสั่งยาให้คนไข้ไปหาซื้อเอง

“วันแรกสมุนไพรก็จวนหมดล่ะ” ช่วงบอก “แต่เรายังไม่เห็นเป้าหมายของเราเลย ท่านคาดว่าอีกกี่วันเนี่ยกว่าเขาจะมา”

“ขึ้นอยู่กับว่าอาการที่ตาของเขาจะแรงแค่ไหน” ซิงอีบอกขณะช่วยกันเก็บสมุนไพรที่เหลือเข้าไปในเรือนที่พักของพวกเขาในเขตของอารามซิงเซิง เรือนที่พักที่พวกเขามาขอเจ้าอาวาสแห่งอารามซิงเซิงพักอาศัยชั่วคราว “แต่ถ้าดูจากค่าความนิยมของหมอหยูแล้ว ข้าว่าไม่น่าจะเกินพรุ่งนี้”

 

ดูเหมือนซิงอีจะทำนายได้แม่นยำนัก รุ่งเช้าวันถัดมากัณหาก็สังเกตเห็นชายสามคน หนึ่งในนั้นคือพ่อฉิม ศิษย์เอกของท่านอาจารย์มายืนต่อแถวรอเข้ารับการรักษาด้วย กัณหารีบหลบหน้า และเข้าไปแจ้งซิงอีกับหมอหยูไว้

“ฉันว่าพวกเขามาแล้วล่ะ” กัณหากระซิบที่ข้างหูซิงอี พลางพยักพเยิดไปที่ฉิม

“ดีมาก แสดงว่าแผนของเราได้ผล” ซิงอียิ้มอย่างมีเล่ศนัย

ฉิมมากับชายสองคน คนหนึ่งน่าจะมองไม่เห็นเหมือนกับฉิม อีกคนกัณหาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาเป็นชายร่างสูงขาว หน้าตาจัดว่าหล่อเหลาทีเดียว แต่เดาได้ว่าคือคนที่เข้าร่วมขโมยในคืนนั้นด้วย ชายคนนี้ยังมองเห็นได้ดี ทันทีที่พวกเขาเข้ามาใกล้ กัณหาและซิงอีรีบหลบหน้าหลบตาอยู่ด้านหลังบริเวณที่หมอหยูใช้ตรวจ เพราะกลัวว่าชายคนนั้นจะจำพวกเขาได้

“เป็นอะไรมา” หมอหยูเอ่ยขึ้น เมื่อพบหน้าฉิมและชายอีกคน

“พวกเราต้องอาคมทำให้สายตามัว” ฉิมพูดเป็นภาษาต้าชิง “ได้ยินมาว่าท่านหมอเชี่ยวชาญในการรักษาโรคตาจากโจวเยิน จึงอยากขอท่านมาช่วยดูอาการของพวกเราหน่อย”

“นั่งลงเลย” บารัตช่วยขยับเลื่อนเก้าอี้ให้ชายทั้งสองคนที่ตามองไม่เห็น หมอหยูเดินเข้าไปใกล้และพิจารณา

“มองเห็นอย่างไร เลือนราง หรือว่าไม่เห็นเลย”

“ไม่เห็นเลย” ชายอีกคนพูดอย่างหงุดหงิด “ทุกอย่างมืดดำไปหมด พวกข้าลองสารพัดวิธีแล้วก็ไม่ดีขึ้น”

“เจ้าคงต้องค้างที่นี่อย่างน้อยหนึ่งคืน” หมอหยูบอก “ข้าจะให้พวกเจ้าแช่น้ำสมุนไพรขับพิษมนต์นั้นออกมา”

” ต้องค้างคืนเหรอ” ฉิมชะงัก ชายอีกสองคนก็มีสีหน้าไม่สบายใจขึ้นมา

“ใช่ต้องค้างคืน ต้องเปลี่ยนน้ำสมุนไพรที่แช่ทุกๆ หนึ่งชั่วยาม ใช้ยาหลายชนิดในการรักษา ไปทำเองที่บ้านไม่ได้”

“พวกเราขอเอากลับไปแช่เองได้ไหม คือพวกเรามีธุระ” ชายที่ตาปกติเอ่ยขึ้น “ไม่อาจอยู่ข้ามคืนเพื่อรักษาได้”

“ยานี้อันตรายมาก หากทำผิด อาจทำให้ตาบอดตลอดชีวิตได้ ข้าไม่ไว้ใจให้กลับไปทำเอง” หมอหยูยืนยัน “หากไม่ว่างวันนี้ พรุ่งนี้เจ้ามาใหม่ก็ได้ แต่อย่านานนัก ถ้าเจ้าใจเย็นเกินไป การรักษาอาจไม่ได้ผลดีนัก”

“นี่เจ้า!!!” ชายตาบอดอีกคนหงุดหงิดขึ้นมา แต่ถูกชายตาดีคนนั้นยกมือแตะไหล่ปรามเขาเสียก่อน

“ถ้าเช่นนั้นก็ได้ท่านหมอ” เขาตอบรับอย่างสุภาพ “เราจะทำตามที่ท่านบอก และหวังว่ามันจะได้ผลดีนะ หากไม่ได้ผลดี ท่าคงจะรู้นะว่าจะเจอกับอะไร” เขาลูบด้ามดาบที่เสียบอยู่ที่เอว หมอหยูมองไปที่ด้ามดาบนั้นแต่ไม่ได้ว่าอะไร

“ถ้าท่านตกลงจะรักษาก็จงตามผู้ช่วยของข้าไป” หมอหยูค่อมหัวให้เขาอย่างนอบน้อม แล้วผายมือไปทางบารัตที่ยืนรออยู่แล้ว

“เชิญทางนี้ นายท่าน” บารัตรีบมานำทางชายทั้งสามคนทันที

“ท่านรู้จักชายสามคนนั้นเหรอ” กัณหาถามเมื่อเห็นว่าซิงอีก็พยายามหลบหน้าสามคนนั้นเช่นเดียวกับเธอ

“ใช่ สองคนนั้นเป็นชาวเสียนหลัวที่เพิ่งมาขอสมัครเป็นศิษย์ใหม่ ชื่อ ขาวกับก้าน อีกคนเป็นศิษย์น้องในสำนักของข้าเองที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ชื่อ ซีห่าว”

“ขาวกับก้านงั้นหรือ” กัณหาทวนคำ เพราะเธอรู้จักหนึ่งในนั้นและมั่นใจว่าเขาไม่ได้ชื่อขาวหรือก้านแน่นอน แต่อย่างว่า ฉิมหลบหนีออกมาจากเขาริมอ่าว เขารู้ว่าท่านอาจารย์กับอาจารย์จางหมิ่นเป็นเพื่อนกัน คงไม่โง่ถึงขั้นใช้ชื่อเดิมมาสมัครเป็นลูกศิษย์อาจารย์จางหมิ่นหรอก

“นั่นมันพ่อแสนนี่” จู่ๆ เสียงช่วงก็ดังขึ้นข้างตัวคนทั้งคู่ เขากำลังหอบหิ้วสมุนไพรจำนวนมากออกมาให้หมอหยูแจกคนไข้เพิ่มเติม “แล้วนั่นก็พ่อฉิม”

“พ่อแสน” กัณหาทวนคำ รู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน

“เจ้ารู้จักพวกเขาเช่นกันหรือ” ซิงอีชะงัก

“แค่เคยรู้จัก แต่ไม่ได้สนิทสนมกันหรอก พ่อแสนเป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์ของข้า เขาน่าจะเป็นศิษย์คนแรกๆ ของท่าน เขาคอยตามปรนิบัติรับใช้ท่านมาตลอด เป็นคนที่ท่านหมายมั่นให้เป็นอาจารย์ต่อจากท่าน จนกระทั่งได้ยินว่ามีปัญหาไม่ลงรอยกันกับท่านอาจารย์ เขาจึงหนีจากเขาริมอ่าว”

“เขาคือคนที่พ่อฉิมตั้งใจจะขโมยคัมภีร์ไปให้ใช่ไหม” กัณหาพยายามคิดทบทวน คุ้นๆ ว่าเหมือนเคยได้ยินเจ้างูเล่าให้ฟังเกี่ยวกับคนที่ชื่อแสน

“ข้าว่าน่าจะใช่ ข้าไม่รู้หรอกว่าเขามีปัญหาอะไรกับท่านอาจารย์ รู้แค่ว่าเขาไม่พอใจท่านอาจารย์ก็เลยทิ้งเขาริมอ่าวไป”

“ไปเถอะ ถึงเวลาทำตามแผนแล้ว” ซิงอีตัดบท “หากท่านรู้จักกับเขา ท่านก็ควรเก็บตัว อย่าไปให้เขาเห็นหน้าเด็ดขาด” หล่อนเสริมก่อนจะชักชวนกัณหาให้อ้อมไปด้านหลังเรือนที่บารัตพาชายทั้งสามคนไปพัก เรือนดังกล่าวเป็นเรือนว่างบริเวณหลังอารามซิงเซิง เดิมเคยเป็นที่พำนักของพระภิกษุที่ธุดงค์มาจากต่างเมืองหรือชาวบ้านที่มาขออาศัยพักที่อารามก่อนออกเดินทางไปเมืองอื่นต่อ แต่เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีคนมาที่อารามซิงเซิงมากนัก พวกเขาจึงไปขอร้องเจ้าอาวาสว่าจะขอใช้เรือนว่างสักสองถึงสามเรือน หนึ่งในนั้นถูกดัดแปลงเป็นเรือนที่พักสำหรับคนไข้ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ดัดแปลงเป็นเรือนที่พักไว้ล่อขโมยสามคนนี้ต่างหาก เมื่อบารัตพาพวกเขามาถึงที่เรือนว่างหลังนี้ ชายที่ตาปกติมองไปรอบๆ อย่างสงสัย

“อาจารย์ของเจ้ามาพักที่นี่ไม่นานไม่ใช่หรือ มีเรือนพักของคนไข้ดีขนาดนี้เลยเทียว”

“ท่านประสงค์จะมาตั้งหลักแหล่งในเมืองนี้ แต่ยังหาสถานที่ไม่ได้ เลยขอยืมเรือนร้างของเจ้าอาวาสมาดัดแปลงทำเป็นที่พักคนไข้ช่วยคราวก่อน หากได้ทำเลที่ตั้งบ้านพักและโรงหมอแล้ว ก็คงจะย้ายออก ตอนนี้ก็มีพวกท่านเป็นคนไข้กลุ่มแรก ถ้าเรือนที่พักไม่เรียบร้อย ต้องขออภัย” บารัตโค้งให้อย่างนอบน้อม

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเองก็ชอบอยู่เงียบๆ ไม่ต้องมากพิธี” ชายคนนั้นตอบ

“แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง” ฉิมถามขณะยกมือคลำหาเก้าอี้ บารัตค่อยๆ ขยับเก้าอี้ให้เขานั่ง “ขอบใจท่านมาก”

“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมอ่างมาให้ท่านลงแช่ เชิญรอสักครู่ก่อน” บารัตโค้งให้เขาอีกครั้งแล้วเดินออกมา

บารัตกับแหวนช่วยกันขนอ่างน้ำที่ทำจากไม้สองอันเข้าไปภายในเรือนนั้น สักพักหมอหยูช่วยยกน้ำสมุนไพรเข้าไปเทใส่ลงในอ่าง

“ลงแช่ทั้งตัวคราวละ ครึ่งชั่วยาม แล้วขึ้นมาพักเปลี่ยนเสื้อผ้า ช่วงก่อนนอนข้าจะเอามาให้แช่อีกที ข้าวปลาอาหารเตรียมกันมาเองหรือไม่ หรือจะให้ศิษย์ข้าไปหามาให้ เพราะพวกเขากำลังจะไปซื้อหามาพอดี”

“ลำบากท่านแล้ว เดี๋ยวข้าจะออกไปซื้อหามาเองดีกว่า” ชายที่ตาปกติแจ้งแก่หมอหยู

“ต้องออกไปตลาดใหม่อีกเหรอ” หมอหยูทวนคำ “ลูกศิษย์ข้าจะไปซื้อให้อยู่แล้ว ฝากพวกเขาไปดีกว่า เจ้าเองก็จะได้ช่วยดูแลเพื่อนทั้งสองของเจ้าด้วย เพราะพวกเขามองไม่ค่อยเห็นนัก”

“นั่นสิเจ้าค่ะ” แหวนโค้งให้ทั้งสาม “ข้าจะไปซื้อหาอาหารอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้าค่ะ”

“ข้าว่าให้พวกเขาไปซื้อให้เถอะ เราจะได้ไม่ต้องไปตลาด เจอคนพลุกพล่าน” ซีห่าวเอ่ย “ยิ่งช่วงนี้ด้วย…”

ชายตาปกติลังเลใจ แต่เมื่อได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้งซีห่าว ฉิมและหมอหยูเข้าก็เลยตอบตกลง

ปลาว่ายเข้าอวนแล้ว หวานหมูชัดๆ