18 ตอน อาคม(2)
โดย นกเป็ดน้ำ
“อิฉัน เอ่อ ได้ยินจากหมื่นช่วงว่าท่านเป็นผู้รอบรู้สารพัด เลยคิดว่าท่านน่าจะรู้แน่ว่ามีน้ำอมฤตอยู่ที่ใด และอิฉันจะไปหามันมาได้อย่างไร เลยดั้นด้นมาที่นี่เพื่อขอความเมมตาจากท่านช่วยชี้ทางให้แก่อิฉันด้วยเถิด”
ท่านอาจารย์ทอดมองกัณหาอยู่นาน ราวกับคิดตรึกตรองอยู่ สักพักเขาก็เอ่ยช้าๆขึ้นมาว่า “อะไรทำให้เจ้าเชื่อว่าน้ำนั่นมีจริงเล่า”
“ก็เคยมีตำนานกล่าวถึงมัน” กัณหามองท่านอาจารย์อย่างไม่สบายใจกับคำถามนั้นที่ฟังดูคล้ายจะให้คำตอบกลายๆว่าไม่มีน้ำอมฤตอยู่จริง “ก่อนหน้านี้อิฉันก็ไม่เชื่อ อิฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มานาน คิดมาตลอดว่าเป็นนิทานหลอกเด็ก จนกระทั่งอิฉันเจอนกการเวกจากป่าหิมพานต์ ป่าที่มีแต่ในนิทานเท่านั้น ถ้าป่าหิมพานต์มีจริง เหตุใดน้ำอมฤตถึงจะไม่มีจริงเล่าเจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังพูดถึงสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน” เขาส่ายหน้า มองเธอด้วยสายตาเอ็นดู “การที่นิทานเรื่องป่าหิมพานต์มีจริง ไม่ได้แปลว่าน้ำอมฤตต้องมีจริงเหมือนในนิทานเสมอไป”
“แปลว่า ท่านจะบอกว่า น้ำอมฤตไม่มีจริง” กัณหาว่าอย่างเศร้าสร้อย เธอก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกน้ำตากำลังรื้นอยู่ในดวงตา เธอนึกถึงการเดินทางที่ผ่านมา ทุกอย่างเป็นอันสูญเปล่าหรือ
แล้วจู่ๆกัณหาก็นึกถึงผีพรายขึ้นมา จึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “แต่ท่านชุบชีวิตได้นี่นา จริงไหมเจ้าค่ะ ท่านชุบชีวิตผีพรายให้กับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากนางตายแล้ว”
“ข้าไม่ได้ชุบชีวิตนาง ข้าเพียงแต่เก็บร่องรอยบางส่วนของนางไว้” ท่านอาจารย์ส่ายหน้าให้กัณหา “นางตายไปแล้วจริงๆเมื่อนานมากแล้ว ส่วนร่างที่เจ้าเห็นเป็นเพียงสิ่งหลงเหลือไว้ของนาง”
“สิ่งที่หลงเหลือไว้” กัณหาทวน เธอไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลย “ท่านหมายถึงวิญญาณที่ออกจากร่างของนาง”
“น่าจะเรียกว่า ส่วนของวิญญาณที่หลงเหลือไว้มากกว่า เหมือนรอยเท้าที่เจ้าทิ้งไว้ เมื่อเจ้าเดินขึ้นมาข้างบนหน้าผา ส่วนของวิญญาณเหล่านี้เป็นเพียงร่องรอยที่เหลือไว้ ไม่ได้มีชีวิตจริงๆและรอการแตกดับไปตามครรลอง”
“หรือค่ะ” กัณหานิ่งเงียบไป เธอก้มหน้านิ่ง รู้สึกราวกับว่าแผ่นดินข้างใต้ยุบยวบลง
ช่างเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดีที่ออกตามหาน้ำอมฤตที่เป็นเพียงเรื่องในตำนาน กัณหานึกด่าในความโง่ของตัวเอง ที่หลงเชื่อคำพูดพร่อยๆของพี่สาวอย่างง่ายดาย เธอคงโง่จริงๆ เหมือนที่ศิริกัลยาว่าไว้
“แต่ก็ใช่ว่า ตำนานทุกอัน จะเป็นเรื่องหลอกเด็กเสมอไปหรอก” น้ำเสียงท่านอาจารย์ดูอ่อนลง “ข้าเพียงแต่กำลังจะบอกเจ้าว่า ด้วยความรู้ของข้า ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ก็ใช่ว่า จะแปลว่าน้ำนั่นไม่มีจริง”
“อิฉันไม่เข้าใจค่ะ” กัณหายกมือขึ้นแอบซับน้ำตาเงียบๆ เธอยังคงก้มหน้าไว้ ไม่ให้ท่านอาจารย์เห็น
“ตำนานเรื่องนี้ จริงๆมีมานานแล้ว ซึ่งว่ากันว่า คนที่เดินทางไปพบน้ำอมฤตนั่นแหละ เป็นคงบอกเล่าเรื่องราวนี้ไว้ เล่าต่อๆกันมาเรื่อยๆจนเป็นตำนาน” ท่านอาจารย์เริ่มเล่า ลุกขึ้นจากที่นั่ง และลงเดินรอบๆกัณหา “ตัวข้าเองไม่เคยไปเห็นที่นั่น จึงไม่อาจยืนยันกับเจ้าได้เต็มปาก แต่ข้าก็เชื่อว่าอาจจะมีจริงและมีทางเป็นไปได้เหมือนกันที่จะเข้าไปยังที่นั่น”
กัณหาชะงัก เงยหน้าขึ้น รีบปาดน้ำตาที่เหลือและเงยหน้ามองเขา
“ท่านเชื่อว่ามีจริงหรือเจ้าค่ะ” เธอแทบจะกระโดดลุกจากที่นั่ง มองเขาอย่างตื่นตะลึง
“ก็อาจจะ ข้าควรจะบอกว่า ข้าคาดว่าน่าจะมีอยู่จริง ก็อย่างที่ข้าบอกเจ้าว่าข้าไม่เคยเห็นเอง จึงไม่อาจยืนยันกับเจ้าได้เต็มปาก” ท่านอาจารย์บอก แล้วเริ่มต้นเดินไปเดินมาราวกับว่ากำลังขบคิดอีกรอบ “ตำนานเรื่องน้ำอมฤต น้ำทิพย์วิเศษ น้ำพุวิเศษมีการกล่าวขานมาเป็นร้อยๆกว่าปี โดยทุกตำนานกล่าวเหมือนกันหมดว่าน้ำดังกล่าวมาจากสระน้ำที่ผุดพุ่งออกมาจากใต้พิภพ เชื่อกันว่า น้ำนี้มีสรรพคุณวิเศษหลายอย่าง บางตำราบอกว่า รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้สารพัดชนิด บางตำราบอกว่าทำให้คนที่ดื่มเป็นอมตะไม่ตาย บางตำราบอกว่าสามารถชุบชีวิตคนที่ตายแล้วได้ บางตำราบอกว่าสามารถเปลี่ยนวัตถุต่างๆที่ตกลงไปให้กลายเป็นทองคำได้”
“ทำให้วัตถุกลายเป็นทองคำได้” กัณหาทวนคำอย่างตกตะลึง “อย่างนี้คนไม่แย่งน้ำนี้กันจนหมดบ่อไปแล้วหรือเจ้าค่ะ”
“ฮ่ะฮ่า หลายตำนานก็เคยกล่าวไว้เหมือนที่เจ้าว่านั่นแหละ เมื่อน้ำทิพย์นี้มีสรรพคุณวิเศษหลายอย่างมาก ก็ย่อมมีคนโลภพยายามต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อครอบครองบริเวณที่น้ำวิเศษนี้ผุดพุ่งออกมาจากโลก ทำให้เกิดสงครามไม่จบไม่สิ้น จนสุดท้ายคณะผู้มีอาคมกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกัน ปรึกษาหารือเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้ พวกเขาเห็นว่า ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ทำให้บริเวณที่สระน้ำแห่งนี้อยู่หายไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ที่คนทั่วไม่อาจเข้าถึงได้โดยง่าย มีเพียงผู้ที่มุ่งมั่นที่จะพบน้ำพุนี้อย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะเข้าไปยังบริเวณสระน้ำแห่งนี้ได้”
“หลายศตวรรษที่ผ่านมามีคนจำนวนมาก พยายามตามหาเส้นทางที่จะเข้าไปยังสระน้ำพุวิเศษ บางคนก็โชคดีได้พบมัน มันคนก็โชคร้ายเสียชีวิตระหว่างทางที่จะไป ตำนานต่างๆที่เราอ่านกัน ก็มาจากเหล่าผู้ค้นหาน้ำพุเนี่ยแหละเป็นคนนำเรื่องราวมาเล่าต่อ ซึ่งจากการศึกษาหลายๆเรื่องราว ข้าก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าสระน้ำพุนี้อยู่ที่ใด เข้าไปทางใด และต้องฝ่าฟันอุปสรรคใดบ้าง ไม่มีใครรู้ว่า ต้องเจออะไรบ้างก่อนจะไปถึงน้ำพุนั้น เพราะแต่ละคนก็จะพบเจอกับอุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน และใช้เวลาไม่เท่ากัน ราวกับว่าน้ำพุนั่นสามารถเข้าจากที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ แต่อย่างไรก็ตาม จากตำนานทั้งหมดข้าเชื่อว่า มีสระน้ำพุนี้อยู่จริงๆ เพียงแต่ว่าไม่อาจหาหนทางเข้าไปได้ง่ายนัก”
“ถ้าเช่นนั้นอิฉันต้องไปตามหาสถานที่ที่ไม่รู้ว่าต้องไปเข้าทางใดหรือเจ้าค่ะ” กัณหาสรุป
“ก็ทำนองนั้น” ท่านอาจารย์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจปัญหาของเรื่องนี้ ปัณหาที่ว่าเจ้ารู้ว่าสถานที่นั่นมีอยู่ แต่ไม่รู้ว่าหนทางจะเข้าสู่สถานที่นั้นเป็นอย่างไร”
“ถ้าเช่นนั้นอิฉันควรจะทำอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ” กัณหาเสียงหงอยลงเล็กน้อย “จะเดินทางโดยไม่รู้เส้นทางได้หรือเจ้าค่ะ”
“เคยมีคนถามพวกที่ออกเดินทางจนไปพบสระน้ำพุมาแล้วจริงๆว่าเขามีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้เจอทางเข้า ส่วนใหญ่ตอบเหมือนกันว่า ถ้าต้องการหาสระน้ำพุนั่นให้เจอ ให้เดินทางครบพันโยชน์ แล้วเจ้าจะได้เจอมันแน่นอน”
“เดินทางครบพันโยชน์” กัณหาอ้าปากค้าง
“ลองคิดดูนะ” ท่านอาจารย์ยิ้มน้อยๆก่อนเดินจากไป กัณหามองตามเขาไป ยังสงสัยว่าอันนี้พูดเล่นหรือพูดจริง
เย็นวันนั้นเจ้างูใบตองพากัณหาลงจากถ้ำมาที่ชายหาดอีกฟากของเขาริมน้ำ ที่ริมหาดนั้นมีพักที่บ้านพักเล็กๆที่ทำจากไม้ไผ่หลายหลัง หน้าบ้านพักเหล่านี้มีสวนเล็กๆน่ารักถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม มีสายลมเย็นจากทะเลพัดผ่านตลอดเวลา
“เจ้าพักที่นี่ละ” เจ้างูเลื้อยนำทางขึ้นมาบนบ้านพักหลังหนึ่ง “พอถึงเวลาอาหารก็ไปกินที่โรงอาหารนั่น” มันชี้ไปที่เรือนไม้ไผ่หลังยาวอีกหลังที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านที่กัณหาจะพักมากนัก
“แล้วคนอื่นๆละ” กัณหาถามเจ้างู ขณะก้าวเข้าไปในตัวบ้านที่เป็นห้องเล็กๆห้องเดียว ภายในมีเตียงนอนทำจากไม้ไผ่ และมีโต๊ะเก้าอี้ไม่ไผ่อีกหนึ่งชุดจัดไว้เข้ากัน
“อยู่ที่เรือนไม้ไผ่ยาวๆที่ชายป่า” เจ้างูเปิดหน้าต่างออก และกระดิกหางชี้ไปนอกหน้าต่างๆ “ถ้าเจ้าอยากไปเยี่ยมพวกเขา พรุ่งนี้เช้าค่อยไป เจ้าอำพัน คนที่ดูแลคนไข้นะไม่ชอบให้ไปเยี่ยมตอนเย็น เวลานี่เจ้าควรไปอาบน้ำอาบท่าแล้วนอนพักเถอะ อ้อเวลาอาบน้ำให้เดินไปตามทางเดินนั่น มีสระน้ำเล็กๆอยู่ในป่าไผ่ ไปอาบได้ตลอดเวลา”
“ค่ะ” กัณหารับคำ เธอนั่งลงบนเตียงอย่างครุ่นคิดระหว่างที่เจ้างูจัดการเปิดหน้าต่างบานอื่นต่อ “ท่านรู้ไหมว่า หนึ่งพันโยชน์ไกลแค่ไหน”
“หนึ่งพันโยชน์” เจ้างูใบตองชะงัก “ไกล ไกลมาก น่าจะสักครึ่งโลกได้กระมั้ง เจ้าถามทำไม”
“เป็นไปได้ไหมที่เราจะเดินทางให้ครบพันโยชน์” เด็กน้อยถามต่อ น้ำเสียงดูเศร้าสร้อยนัก “เดินไปได้เหรอ”
เจ้างูหัวเราะเบาๆในคออย่างขบขันก่อนเอ่ยว่า “ใครเขาเดินเท้ากัน ถ้าเจ้าจะเดินทางรอบโลก เจ้าก็ต้องไปทางเรือ นั่งเรือไป ไม่ก็บินไป เหาะไป ทางไหนแล้วแต่เจ้าจะสะดวก ว่าแต่เจ้าถามทำไม”
“เมื่อเช้าตอนที่ฉันไปเจอกับท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าหากฉันต้องการไปเอาน้ำอมฤตมาช่วยชีวิตแม่นมของฉันละก็ ฉันต้องเดินทางให้ครบพันโยชน์ ฉันถึงจะเจอทางเข้าสู่สระน้ำอมฤต” กัณหาเอนตัวนอนลงบนเตียงอย่างหมดแรง
“เดินทางพันโยชน์เหรอ” เจ้างูทวนคำ เลื้อยขึ้นมาบนเตียงข้างๆตัวเธอ “เพื่อตามหาน้ำอมฤตงั้นหรือ แล้วท่านอาจารย์บอกเจ้าหรือว่าน้ำนั่นมีอยู่จริงๆ”
“ท่านเชื่อว่ามีจริง แต่หาทางเข้ายากมาก ต้องเดินทางให้ครบพันโยชน์เสียก่อนจึงจะเจอ”
“แล้วเจ้าว่าไง” เจ้างูถาม “จะออกเดินทางพันโยชน์จริงๆรึ”
“ใช่ ฉันตั้งใจแล้วตั้งแต่ตอนออกจากบ้านว่าจะมาหาน้ำอมฤตให้เจอ ไม่ว่าจะต้องเดินทางไกลแค่ไหนก็ตาม” เธอหันมามองเจ้างูอย่างมุ่งมั่น
“เจ้าคงรักแม่นมของเจ้ามากจริงๆ” เจ้างูนิ่งไป “มันไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆเลยนะ จะไปยังไง เรือลำที่พาเจ้ามานะ ไม่ใหญ่พอที่จะพาเจ้าไปได้ครบพันโยชน์หรอก ถ้าเจ้าจะออกเดินทางไปไกลขนาดนั้น เจ้าน่าจะขึ้นเรือเหาะ”
“เรือเหาะ” เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งมองเจ้างูตาโต “ขึ้นยังไงที่ไหนหรือ”
“ข้าเคยได้ยินว่าที่เกาะทางใต้มีเรือเหาะ” เจ้างูครุ่นคิด “คนที่เกาะนั้นมีฝีมือ พายเรือก็เก่ง ออกทะเลก็เก่ง ทำเรือเหาะก็ได้ ได้ยินว่าเรือเหาะของพวกเขา เหาะได้นานมาก แถมเงียบ เหาะไปไม่มีใครรู้ ถ้าเจ้าอยากออกเดินทางรอบโลก การไปหาพาหนะที่ดีแบบนี้ไปด้วยก็น่าจะมีประโยชน์”
“เกาะทางใต้หรือ” กัณหาทวน เธอไม่เคยไปเกาะทางใต้เลยสักครั้ง เคยได้ยินแต่คนเล่าลือว่าเกาะทางใต้น่ากลัวนัก และยังมี… “มีคนที่กินเนื้อคนด้วยนิ” เด็กน้อยเอ่ยอย่างหวาดหวั่น
“ข้าเคยได้ยินว่ามี แต่ไม่ใช่ทุกเกาะหรอก เกาะทางใต้มีเป็นร้อยๆเกาะ เกาะที่มีเรือเหาะชื่อเกาะสุลาวารี เท่าที่ข้าเคยได้ยิน ไม่มีเผ่ากินคนหรอกนะ” เจ้างูยิ้มให้ “ข้าว่าตอนนี้เจ้าควรพักก่อนเถิด รอให้พรรคพวกของเจ้าหายเมื่อไหร่ ค่อยปรึกษากับพวกเขาอีกที เรื่องการวางแผนเดินทางเนี่ยะ คิดคนเดียวก็คิดไม่ตกหรอก”
Comments (0)