พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยลงหลังยอดเขา แสงอาทิตย์อ่อนลงเรื่อยๆ ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนสี กัณหานั่งร้องไห้อยู่ที่ริมลำธารเล็กๆ ระหว่างซอกเขาทั้งสองหลังจากลองสารพัดวิธีก็ยังไม่อาจเหาะขึ้นไปจากซอกเขานี้ได้

“ซิงอี” กัณหาร้องเรียก มองไปรอบๆ ทั้งน้ำตาหวังว่าจะมองเห็นซิงอีกลับมารับเธอ ซิงอีคงไม่ปล่อยให้เธออดข้าวตายใช่ไหม “ซิงอี”

แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แววของซิงอี

เธอหลอกฉันใช่ไหม จริงๆ เธอตั้งใจจะฆ่าฉันรึเปล่า นี่เป็นแผนการหลอกฉันมาฆ่างั้นหรือ หรือว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการฝึกแบบที่ซิงอีพูดจริงๆ

ฉันจะตายไหม กัณหาเริ่มหวาดกลัว นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ออกจากอยุธยาที่กัณหารู้สึกทั้งสิ้นหวังทั้งหวาดกลัวอย่างที่สุด เธอไม่เคยรู้สึกมากขนาดนี้มากก่อน

“ซิงอี กลับมาเถอะ ได้โปรด” เธอพึมพำแต่ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จะมีคนมาตามหาเธอไหม แหวน ช่วง ต้องรู้สิว่าเธอหายไป พวกเขาต้องออกติดตามหาเธอแน่นอน แต่กว่าพวกเขาจะพบเธอ เธออาจจะตายเพราะความหิวโหยไปซะก่อน

แต่พวกเขาไม่มีอาคม และซอกเขานี้อยู่ลึกเกินกว่าจะปีนลงมาหรือปีนขึ้นไป ก็อย่างที่ซิงอีบอกว่าทางเดียวที่จะออกจากที่นี่ได้คือเหาะขึ้นไป แต่เธอลองหลายสิบครั้งแล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

ซิงอีจะขังฉันไว้ที่นี่จนกว่าจะใช้วิชาตัวเบาได้อย่างนั้นหรือ แล้วถ้าฉันทำไม่ได้ล่ะ ฉันจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลงั้นหรือ ฉันจะต้องตายที่นี่หรือเปล่า

ไม่ได้ ฉันจะตายไม่ได้ ฉันยังไม่พบน้ำอมฤตเลย เธอรำพึง ฉันอุตส่าห์มาไกลขนาดนี้เพื่อตามหาน้ำอมฤต ฉันจะตายไม่ได้ เพราะแม่นมยังคงรอฉันอยู่ ฉันจะยอมแพ้ไม่ได้

หรือควรจะยอมตายเผื่อจะได้กลับไปพบแม่นม วิธีการที่ง่ายแสนง่ายไม่ต้องดิ้นรนอะไร แค่นั่งรอความตายง่ายๆ ที่ตรงนี้ รอเพียงไม่นาน เธอก็อาจจะได้พบกับแม่นม

คุณต้องอยู่ต่อให้ได้ อยู่ต่อไปเพื่อแม่นม

คำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของแม่นมยังคงดังก้องในใจ แล้วฉันจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรละ ฉันจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร ในเมื่อหนทางเดียวที่จะออกจากที่นี่ได้ คือ ต้องเหาะออกไป แต่ฉันเหาะไม่ได้ ทำยังไงก็เหาะไม่ได้

“ทำยังไง”

“ตั้งสมาธิรวบรวมลมปราณให้อยู่ที่แกนกลาง ควบคุมให้มันลอยขึ้น” ซิงอีบอก “ที่สำคัญเจ้าต้องมั่นใจว่าตัวเองจะลอยขึ้นไปได้ มันถึงจะลอยได้จริง”

“มั่นใจว่าจะลอยได้หรือ”

มั่นใจว่าจะลอยได้หรือ กัณหาครุ่นคิด สมองที่ร้อนรนเมื่อสักครู่เริ่มกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เธอพยายามนึกถึงภาพความรู้สึกที่ได้เหาะข้ามทะเลสาบเมื่อเช้า มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริง ความรู้สึกที่เป็นอิสระ โปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก

ฉันจะต้องเหาะให้ได้ จะต้องเหาะไปหาท่านให้ได้ ฉันจะเหาะข้ามทะเลสาบแห่งนี้ไปเพื่อพบท่าน แม่นม

กัณหากลับมานั่งขัดสมาธิอีกครั้งด้วยจิตมุ่งมั่น

 

“มีใครเห็นคุณหนูของข้ามั่งหรือเปล่า” แหวนถามขณะจัดวางอาหารบนโต๊ะ วันนี้ทั้งวันหล่อนยังไม่เห็นกัณหาเลย ทั้งที่ปกติมักจะเข้ามาช่วยยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วเข้าไปช่วยจัดวางบนโต๊ะให้

“นั่งฝึกอยู่ข้างนอกรึเปล่า” อาติค่อยๆ นั่งลงที่เก้าอี้ สภาพเขาตอนนี้ดูแข็งแรงขึ้นมาก ลุกเดินได้คล่องแล้วแต่ยังเดินได้ไม่ไกลนัก

“วันนี้ข้าก็ไม่เห็นคุณหนูทั้งวันเลย” ช่วงเออออด้วย เพราะถึงแม้กัณหาจะคร่ำเคร่งกับการฝึกอาคมของเธอ แต่ก็มักจะแวะมาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ วันนี้กลับหายหน้าหายตาไปเลย

ข้าก็ไม่เห็น” จี้ดเองก็แปลกใจ โดยปกติเขามักจะไปบินเล่นในป่าโดยรอบ เมื่อกลับมามักเห็นกัณหามายืนรอท่าคอยมองหาเขาอยู่เสมอ

“เมื่อเช้าข้าเห็นออกไปกับซิงอีนะ” บารัตบอกขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้องทานอาหารพร้อมกับหมอหยูและได้ยินทุกคนคุยกัน “ข้าเห็นนางอุ้มเหาะข้ามทะเลสาบไป”

“ไปกับซิงอีเหรอ” หมอหยูชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที

“ใช่ ข้าเห็นนางพาเหาะข้ามทะเลสาบไปก่อนเราจะออกไปหาสมุนไพรนิดเดียว”

“มีอะไรหรือ ท่านหมอ” แหวนเริ่มไม่สบายใจเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหมอหยู

หมอหยูไม่ตอบว่าอะไร เขารีบเดินออกไปนอกบ้านพักทันที ทิ้งให้คนอื่นๆ มองตามด้วยความงุนงงสงสัย

“เป็นบ้าอะไรของเขานะ เสียเวลาบอกเราสักหน่อยดอกพิกุลจะร่วงรึไงนะ!!!” แหวนบ่นอย่างหงุดหงิด กระแทกกระทั้นข้าวของเพื่อระบายอารมณ์ จี้ดสะดุ้งรีบโผบินจากโต๊ะอย่างไม่พอใจ

“ดอกพิกุลอะไร” บารัตตามไม่ทัน

 

“ซิงอี ซิงอี” หมอหยูตะโกนขณะเดินก้าวฉับๆ มาที่ลานหินที่ซิงอีนั่งทำสมาธิอยู่อย่างสงบที่กลางลาน “เด็กนั่นอยู่ไหม เจ้าเอานางไปไว้ไหน ข้ารู้นะว่าเจ้ารู้”

ซิงอีลืมตาขึ้น

“ไม่ใช่กงการอันใดของท่าน ข้ากำลังสอนนางให้เป็นวิชาลมปราณโดยเร็ว” ซิงอีตอบอย่างสุขุม “นางกำลังฝึกอยู่ ไม่ต้องการให้ใครไปรบกวน”

“ไอ้วิธีการนั่น มันใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนหรอกนะ เลิกซะ บอกข้ามาว่านางอยู่ไหน” หมอหยูตวาดเสียงดัง เขาเดินมาหยุดยืนไม่ไกลจากที่หล่อนนั่งนัก

“ไม่ใช่กงการอันใดของท่าน” ซิงอีตอบเรียบๆ ซ้ำอีกครั้ง ก่อนหลับตาลง โดยไม่สนใจหมอหยู

“ซิงอี” หมอหยูยังไม่ยอมแพ้ แต่ซิงอีก็ไม่สนใจเขา “นางอาจตายได้ เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนต้องใช้เวลานานแค่ไหนเพื่อฝึกวิชา เจ้าเร่งรัดให้นางเรียนไปก็อาจจะใช้ประโยชน์อันใดไม่ได้อยู่ดี”

“เหตุใดจึงว่าจะใช้ประโยชน์จากนางไม่ได้” ซิงอีตอบโดยไม่ลืมตา “นางมีพรสวรรค์ ถ้าได้รับการกระตุ้นเสียหน่อย ข้าเชื่อว่านางจะก้าวหน้าเร็วขึ้นและทันต่อแผนการของเราในวันฉลองสำนักโม่ฝ่าช่านแน่นอน ข้าต้องเร่งนาง นางต้องฝึกทุกอย่างให้ทันก่อนเวลาจะมาถึง”

“นี่คือเหตุผลที่เจ้าสอนนางใช่ไหม” หมอหยูกำมือแน่นด้วยความโกรธ “พอข้าไม่ร่วมมือกับเจ้า เจ้าก็เลยต้องหาสมัครพรรคพวก พยายามเร่งรัดนางทุกทางเพื่อฝึกพลังลมปราณให้ได้ เจ้าคิดจะใช้วิธีนี้บีบบังคับให้ข้าช่วยเจ้าสินะ”

“ท่านรู้ก็ดีนี่ ข้าต้องการคนช่วย ถ้าท่านไม่ช่วยข้า ก็ต้องเป็นนาง” ซิงอีตอบเรียบๆ ยังคงหลับตา “ของแบบนี้มันก็ต้องแลกเปลี่ยนกัน ศิษย์พี่ ในเมื่อท่านเพิกเฉยต่อข้า ก็อย่าหวังว่าข้าจะใส่ใจความปรารถนาของท่าน”

“ซิงอี!!!” น้ำเสียงหมอหยูเข้มขึ้น ซิงอียังคงหลับตาไม่สนใจ

“ไปให้พ้น ข้าจะฝึกลมปราณ” นางยังไล่เขาต่อ มุมปากแอบยิ้มเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่เป็นชั่วพริบตาเดียวที่หมอหยูจับสังเกตได้ทัน

หมอหยูนึกขุ่นเคืองคนตรงหน้ายิ่งนัก เพราะรู้ตัวว่าเขาตกหลุมพรางกับดักของนางเสียแล้ว ถ้าเขาไม่ตอบตกลงว่าจะช่วย ซิงอีก็จะคงทรมานเด็กนั่นด้วยการเร่งรัดให้นางฝึกพลังปราณต่อไป ทำให้เขากังวลว่าเด็กนั่นอาจจะไม่ปลอดภัยจากการรีบฝึกมากจนเกินไป

“ก็ได้ ข้าตกลง ข้าจะไปช่วยเจ้า พอใจรึยัง” หมอหยูเอ่ยอย่างหงุดหงิด ในที่สุดเขาก็ตกหลุมพรางของนางจนได้ เพราะความใจอ่อนของตนเอง “ไปรับเด็กนั่นกลับมาได้แล้ว”

“อะไรนะ” ซิงอีถามช้าๆ น้ำเสียงดูรื่นเริงแม้จะยังคงไม่ลืมตา

“ข้าจะช่วยเจ้า จะช่วยเจ้าเอง”

“ท่านรับปากแล้วนะ” ร่างบางยิ้มลืมตาขึ้นทันที “ห้ามกลับคำล่ะ”

หมอหยูทำหน้าขุ่นใจนิดๆ พยักหน้ารับโดยไม่ตอบว่ากระไร ห่างออกไป ช่วง แหวน จี้ด บารัต พากันซุ่มดูอยู่ในเงามืดบริเวณริมลานหิน

“สรุปว่าเรื่องที่พวกเขาพูดมันเกี่ยวอะไรกับคุณหนู” แหวนดูยังงุนงงหล่อนหันมาถามรอบข้าง แต่คนรอบข้างได้แต่ส่ายหน้า “แล้วตอนนี้คุณหนูอยู่ไหนเนี่ยะ”

“เจ้าไปพานางกลับมาได้แล้ว” หมอหยูยังคงมีน้ำเสียงหงุดหงิดอยู่ในที “ถ้าเจ้าช้า ข้าอาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมาได้”

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ซิงอีพูดกลับหลังหันไปเตรียมเหาะไปที่อีกฟากของทะเลสาบ

“ไม่ต้องแล้วล่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นในเงามืด ทุกคนหันไปมอง “ฉันกลับมาแล้ว”

“กัณหา” ซิงอีตื่นเต้นมากเมื่อหันมาพบว่า กัณหายืนที่อีกฟากของลานหิน ตัวเปียกปอนเล็กน้อย หน้าตาดูซีดเซียวกว่าปกติ แต่นอกนั้นเธอก็ดูสบายดี “เจ้าเหาะข้ามทะเลสาบมาได้แล้วรึ”

หมอหยูเองก็มองกัณหาอย่างแปลกใจเช่นกัน

“ใช่แล้ว” กัณหาตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ใช้เวลาพอตัว แต่ในที่สุดฉันก็ทำได้”

“เร็วมาก” หมอหยูทึ่งเล็กน้อย “เจ้าเหาะได้แล้วจริงๆ รึ”

“ใช่ ช่างเป็นวิธีการที่โหดเหี้ยมเสียจริงๆ ในการบีบบังคับให้ฉันเหาะ” น้ำเสียงของเด็กน้อยบ่งความขุ่นใจ “จนฉันชักสงสัยแล้วว่า ท่านมีเจตนาจะฆ่าฉันรึเปล่า”

“พูดอะไรเช่นนั้น กัณหา” ซิงอีขัดขึ้นทันที “ข้าไม่เคยมีเจตนาทำร้ายเจ้าเลย วิธีที่ข้าใช้ฝึกเจ้า ก็เป็นวิธีที่อาจารย์ของข้าใช้ฝึกข้ามาก่อน ด้วยวิธีการนี้ ข้าจึงเหาะเป็นก่อนใคร และเหาะได้เร็วกว่าใครในสำนักโม่ฝ่าช่านด้วย”

“ด้วยการทรมานฉันอย่างนั้นเหรอ ถึงจะทำให้เหาะได้ไว” กัณหามองดูซิงอีอย่างตกตะลึง

“ไม่ถึงขนาดนั้น ข้านึกว่าเจ้าจะเข้าใจแล้วเสียอีก ลูกนกจะบินได้ก็ต้องถูกแม่นกถีบออกจากรัง วิชาตัวเบาก็เช่นกัน หากไม่มีสิ่งกระตุ้น เจ้าก็ยังจะกลัว ไม่กล้าโผบิน ยังคงหมกมุ่นอยู่ในรังต่อไป”

“เช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงของเธออ่อนลง “แล้วถ้าฉันทำไม่สำเร็จล่ะ ฉันอาจอดตายอยู่กลางป่าก็ได้”

“ข้าประเมินแล้วสิ ว่าเจ้าพร้อมถึงจะเอาตัวเจ้าไปไว้ที่นั่น” ซิงอีตอบอย่างสงบ “ข้ารู้ว่าเจ้าพร้อมแล้ว สิ่งเดียวที่รั้งเจ้าไว้ไม่ให้โผบินคือใจของเจ้าเอง”

กัณหาได้แต่มองซิงอี ไม่รู้จะตอบว่าไง เท่าที่รู้ตอนนี้เธอแยกไม่ออกแล้วว่าใครหวังดีใครหวังร้ายกับเธอกันแน่

ในความปรารถนาดี ก็ยังมีการทำสิ่งเลวร้าย ในความปรารถนาร้ายก็ยังมีการทำสิ่งดีๆ

แล้วอย่างนี้เราจะเชื่อใจใครได้บ้างล่ะ