วันถัดมากัณหาตื่นแต่เช้า คงเป็นเพราะเมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับ เธอหลับๆ ตื่นๆ ฝันว่า ถูกพ่อฉิมเอามีดมาจี้คอพร้อมเอ่ยคาถาสาปแช่ง เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอก็ควานเข้าไปในเสื้อคลำสร้อยสีฟ้าที่เจ้างูให้ มันยังดูปกติดี เมื่อเห็นเช่นนั้นเธอค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง หลังจากตื่นไม่นานแล้วสาวใช้เอาชุดเครื่องแต่งกายแบบชาวโอสึกิมาให้เธอใส่ แต่ชุดนี้ทั้งหนาทั้งหนักและมีหลายชั้น พวกสาวใช้เลยต้องช่วยแต่งตัวให้ด้วย ชุดแบบชาวโอสึกิเป็นชุดที่ยาวถึงข้อเท้านี้ แตกต่างจากชุดของต้าชิงตรงที่มีสีสันสวยงามและมีลายดอกไม้ ชุดของต้าชิงจะมีเพียงผ้าเป็นสีเรียบๆ มีผ้าคาดเอวผืนบางๆ เป็นสีเดียวกัน แต่ของชาวโอสึกิมีผ้าคาดเอวผืนใหญ่ยาวตั้งแต่ใต้อกถึงเอว มีสีสันฉูดฉาด สวยงามและหนากว่ามาก ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้เธอยังต้องใส่ถุงเท้าด้วย ซึ่งกัณหาไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ได้ใส่มัน เพราะอากาศตอนนี้ค่อนข้างเย็นมากเกินไปสำหรับเธอ

“อากาศข้างนอกหนาวเจ้าค่ะ” สาวใช้เตือนเธอก่อนช่วยเลื่อนเปิดประตูห้องให้เธอ เบื้องหน้าเธอนั้น สนามหญ้าที่เคยเป็นสีเขียว บัดนี้กลายเป็นสีขาวโพลน และมีก้อนสีขาวตกจากฟ้าลงมาเหมือนฝนตก มันตกลงสู่สนามหญ้าตลอดเวลา กัณหาเอื้อมมือออกไปรองรับก้อนขาวๆ ที่ตกลงมา มันเป็นเกล็ดขาวใสละเอียดและเย็น

“นี่คืออะไรหรือ ซายูริ” เธอหันไปถามหัวหน้าสาวใช้วัยกลางคนที่ดูแลเธอ

“หิมะ เจ้าค่ะ” หล่อนเอ่ยตอบอย่างๆ งง “ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว หิมะเริ่มตกเมื่อคืนเจ้าค่ะ”

“สวยเหลือเกิน” กัณหาอึ้งเล็กน้อย “งามมากจริง”

“เข้ามาเถอะเจ้าค่ะ อากาศเย็นเช่นนี้อาจทำให้ท่านไม่สบายได้” ซายูริเอ่ย กัณหาจึงหลบเข้ามาใต้ชายคา “หิมะตกหนักขนาดนี้คงต้องเลื่อนการเดินทางไปศาลเจ้าออกไปแน่ๆ เจ้าค่ะ ข้าจะไปสอบถามที่ตำหนักของท่านหญิงอายาโกะก่อนนะเจ้าค่ะ ว่าจะให้เลื่อนหรือไม่”

“ไปเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้” กัณหารับคำ ซายูริโค้งให้ก่อนคลานเข่าออกไป

“งามจริง” กัณหายังคงจ้องไปมองที่สนามเบื้องหน้าที่หิมะกำลังตก

 

 

กัณหา ช่วง แหวน และอาติมาจากดินแดนทางใต้ซึ่งไม่เคยมีหิมะตกให้เห็นมาก่อนเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องอัศจรรย์สำหรับพวกเขา แม้อากาศภายนอกเรือนพักรับรองจะหนาวเย็นมาก แต่พวกเขาก็พากันมานั่งชื่นชมหิมะตกที่ระเบียงทางเดินด้านนอก

“สาวใช้บอกว่าถ้าอากาศอุ่นขึ้น ไอ้เจ้าก้อนขาวๆ นี่จะละลายเป็นน้ำ” แหวนเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น “พวกเขาบอกว่าไอ้ก้อนขาวๆ นี่ พวกเขาจะเอามาปั้นเป็นตุ๊กตาแล้วเอาไฟประดับตกแต่งให้สวยงามในเทศกาลหิมะ”

“อยากเห็นจัง” อาติตื่นเต้น “จริงๆ แล้วหิมะก็คือน้ำฝนที่เจออากาศเย็นมาก จนกลายแข็งแบบนี้รึเปล่า”

“นั่นสิข้าก็สงสัย” ช่วงเห็นด้วย

“นั่นก็แสดงว่า การปั้นน้ำเป็นตัว ก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแล้วสินะ” กัณหาเอ่ยขึ้นมา ช่วงกับอาติได้ยินก็พากันหัวเราะขบขัน แหวนมองพวกเขาอย่างงุนงง

“น่าจะจริง ข้าได้ยินสาวใช้บอกว่า ช่วงที่อากาศเย็นมากๆ แม้แต่น้ำในสระก็จะแข็งตัวจนเราสามารถลงไปเดินกลางสระได้เลย”

“หูยยยยย” แหวนครางอย่างตื่นเต้น กัณหากับช่วงได้แต่หัวเราะตาม

ช่วงบ่ายวันนั้นหลังจากหิมะหยุดตกแล้ว พวกเขาก็ออกไปวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานที่สนามหญ้าเบื้องหน้าที่ตอนนี้ขาวโพลนไปด้วยหิมะ พวกเขาคว้าเอาหิมะมาปาใส่กันและหัวเราะกันเสียงดัง อาจเพราะความตื่นเต้นที่ได้เห็นหิมะ ทำให้พวกเขาลืมเรื่องอื่นไปเสียหมด เหล่าบรรดาสาวใช้ได้ยินเสียงพวกเขาเล่นปาหิมะกัน ก็พากันมายืนดูแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อย

 

รุ่งเช้าวันถัดมา สาวใช้มาแจ้งตั้งแต่เช้าว่าท่านหญิงอายาโกะจะไปศาลเจ้ามิยาชิตะในวันนี้ พวกเขารีบเร่งแต่งตัวกันแต่เช้า หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ คนงานก็หามเกี้ยวไม้มารอที่เรือนพักรับรองของพวกเขา

“ให้ข้านั่งเกี้ยวด้วยเหรอ” แหวนอุทานตาโตเท่าไข่ห่าน

แหวนตื่นเต้นมากที่จะได้ขึ้นเกี้ยว แล้วมีคนแบกหามไปยังศาลเจ้า เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยมีโอกาสเช่นนั้น ในขณะที่กัณหาเองกลับรู้สึกไม่อยากขึ้นเกี้ยวนัก เพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในวังเหมือนเดิม แม้พวกนางกำนัลในวังจะไม่เชิงยอมรับว่ากัณหาเป็นพระธิดาของพระอุปราช แต่เธอก็ถูกจำกัดด้วยธรรมเนียมเดียวกับพี่สาวต่างมารดา เวลาจะไปไหนต้องขึ้นเรือที่มีประทุนปิดม่าน เวลาจะออกนอกวังทางเท้าก็ต้องขึ้นเกี้ยวที่ปิดม่านให้มิดชิด กัณหาไม่ชอบการเดินทางด้วยวิธีนี้ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกขังในห้องมืดๆ ไม่มีโอกาสได้เห็นผู้คนและบ้านเรือนระหว่างทาง เธอจึงมักชอบแหวกม่านพวกนี้ออกบ่อยครั้งและแม่นมก็มักจะตำหนิเสียทุกครั้งด้วย

“ไม่ได้นะเจ้าค่ะ อีกหน่อยคุณก็จะเป็นสาวแล้ว จะให้ใครเห็นมิได้เป็นอันขาด”

“ฉันไม่ได้อยากให้ใครเห็นเสียหน่อย ฉันอยากเห็นคนอื่นๆ มากกว่า” กัณหามักจะเถียงแบบนี้ทุกครั้ง

ถ้าแม่นมฟื้นขึ้นมาตอนนี้มีหวังคงจะอกแตกตายเมื่อได้รู้ว่ากัณหาออกเดินทางไกลจากวังของพระบิดา ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามลำพังโดยไม่มีสาวสรรกำนัลตามมา แถมยังออกมาเดินเตร็ดเตร่ตามท้องตลาดเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ อีก กัณหานึกไปก็ยิ้มออกมา นึกอยากเล่าให้แม่นมฟังเสียเหลือเกินว่าเธอไปเจออะไรมาบ้าง

ช่วงกับอาติได้ขี่ม้าคนละตัว เนื่องจากอาติขี่ม้าไม่เป็น เลยได้ขึ้นม้าไปกับช่วง หลังจากที่ทุกคนพร้อมเดินทางขบวนของพวกเขาอันประกอบด้วยเกี้ยวสามหลัง ม้าสามตัว สาวใช้และคนงานอีกเป็นพรวนถือข้าวของเดินไปตามถนนในเมืองออกสู่ย่านชานเมือง

ตามคำบอกเล่าของซายูริ ศาลเจ้ามิยาชิตะเป็นศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองนางาสึกะ ช่วงสัปดาห์นี้เป็นช่วงที่คนในเมืองพากันนำอาหารของใช้มาถวายศาลเจ้าก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว ช่วงนี้จึงมีผู้คนคึกคักมากเป็นพิเศษ ขบวนของพวกเขาหยุดที่บันไดทางขึ้นศาลเจ้ามิยาชิตะ กัณหาและแหวนลงจากเกี้ยวออกมาชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ ก่อนเห็นผู้คนจำนวนมากกำลังทยอยเดินขึ้นบันไดสูงหลายสิบวาขึ้นไปสู่ยอดเขาลูกเตี้ยๆ ที่ชานเมือง

“เราต้องเดินขึ้นไปหรือ” แหวนหันไปถามซายูริ

“ใช่เจ้าค่ะ บันไดของศาลเจ้าค่อนข้างชันระวังด้วยนะเจ้าค่ะ”

“กว่าจะถึงข้างบนคงหอบเลยทีเดียว” อาติว่าเงยหน้ามองขึ้นไปตามบันได “สูงมาก”

“คนมาเยอะจริง” แหวนไม่สนใจอาติ มองไปรอบๆ ดูชาวเมืองนางาสึกะแต่งตัวสวยงามกำลังหอบหิ้วข้าวของจำนวนมากเดินขึ้นบันไดไป

“เอ๊า ช้าอยู่ไย ไป พากันเดิน” ช่วงเร่ง เมื่อเห็นบรรดาสาวใช้กำลังหอบหิ้วข้าวของตามหลังท่านหญิงอายาโกะขึ้นไปที่ศาลเจ้าด้านบน

พวกเขาเดินตามบรรดาสาวใช้ขึ้นบันไดหลายสิบขั้นไปยังศาลเจ้าที่อยู่ด้านบน กว่าจะเดินถึงก็ใช้เวลาสักพัก กัณหากับอาติหอบเล็กน้อย เมื่อมาถึงด้านบนพวกเขาก็พบเสาสีแดงคล้ายเสาชิงช้าที่อยุธยา ท่านหญิงอายาโกะและสาวใช้พากันโค้งให้เสาสีแดงนั่นก่อนจะเดินลอดเสาเข้าไป

“เสาโทริอิ เจ้าค่ะ” ซายูริบอกก่อนพวกเขาจะทันได้เอ่ยปากถามเสียอีก “เป็นประตูสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า กั้นแยกโลกมนุษย์ไว้เบื้องหลัง จะมีเสานี้ตั้งไว้หน้าศาลเจ้าทุกแห่ง เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”

พวกเขาโค้งให้เสาและเดินตามซายูริลอดเสา ไปสู่ลานแคบๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ อีกสิบขั้นขึ้นไปสู่ลานโล่งที่มีบ่อน้ำอยู่เบื้องหน้า ซายูริให้พวกเขาถือกระบวยตักน้ำมาล้างมือล้างปากให้สะอาดก่อนเดินเข้าไปภายในศาลเจ้า

ภายในศาลเจ้ามีผู้คนค่อนข้างจะคึกคัก พวกเขาเดินตามกลุ่มของสาวใช้เข้าไปในอาคารคล้ายเรือนที่ท่านฮิเทคาวะเลี้ยงอาหารเย็นต้อนรับพวกเขา หญิงสาวในชุดเสื้อสีขาวนุ่งผ้าคล้ายผ้าซิ่นพองๆ สีแดงๆ เชิญพวกเขาเข้าไปนั่งภายในอาคารนั้น ด้านในของอาคารค่อนข้างโล่งปูด้วยผ้าสีแดง ริมอีกด้านของห้องมีพื้นยกสูง และมีโต๊ะ โคมไฟและของตกแต่งจำนวนมากวางเรียงรายที่ริมสุดของห้อง สาวใช้เชิญให้พวกเขาเข้าไปนั่งข้างๆ ท่านหญิงอายาโกะที่นั่งลงตรงหน้าพื้นที่ยกสูง

“เชิญนั่งก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวจะมีพิธีสักการะเทพเจ้า” ท่านหญิงบอกกับกัณหา กัณหาพยักหน้ารับคำและชวนให้เพื่อนๆ ของเธอนั่งลงด้านข้างตาม หลังจากพวกเขาเข้ามาแล้ว ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามานั่งตามอย่างคึกคัก

“มาแต่เช้าเลยนะ อายาโกะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะพวกเขา กัณหาเงยหน้าขึ้นไปมองหญิงสาวผิวขาวคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดชาวโอสึกิที่งดงามและดูหรูหรา แค่มองปราดเดียวก็พอรู้ว่าเธอน่าจะเป็นลูกผู้ใหญ่ผู้โต “กลัวไม่ทันขอพรรึไง”

“ข้าไม่อยากเสียมารยาท” ท่านหญิงตอบกลับไปอย่างสุขุม “เจ้าเองก็ควรรีบนั่งเสียเถิด ใกล้จะเริ่มพิธีแล้ว ซานาเอะ”

หญิงสาวคนนั้นมองอย่างไม่พอใจนักแต่ก็นั่งลงอีกข้างของท่านหญิงอายาโกะ

“เจ้าพาใครมาด้วยนะ อายาโกะ” ซานาเอะซักเมื่อเห็นกัณหา “หน้าตาท่าทางไม่ใช่คนแถวนี้”

“ศิษย์ท่านอาจารย์จางหมิ่นแห่งเถียนอัน” ท่านหญิงอายาโกะตอบ ผายมือมาทางกัณหา “ท่านกัณหา นี่ซานาเอะ บุตรสาวท่านคามาคุจิ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าค่ะ” กัณหายิ้มให้ แต่อีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ

“โอ้ ศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่าน มาทำอะไรไกลถึงที่นี่เชียว”

“มิใช่กงการอันใดของเจ้า ซานาเอะ” ท่านหญิงปัดคำพูดนั้นทันที แล้วพยักพเยิดไปทางพื้นที่ยกสูงเบื้องหน้า “พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว เราควรจะเงียบ”

ชายคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดยาวสีสันสวยงามเดินขึ้นไปบนพื้นที่ยกสูง เขาเดินไปเบื้องหน้าตรงบริเวณมุมห้องที่มีโต๊ะและโคมไฟวางไว้มากมาย เขาเริ่มต้นพูดอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายการสวดมนต์ หลังจากนั้นก็มีหญิงสาวสองขึ้นไปร่ายรำ และหลังจากนั้นท่านหญิงอายาโกะและท่านหญิงซานาเอะก็ลุกขึ้น เอาของขึ้นไปถวายโดยวางไว้บนโต๊ะที่จัดไว้ให้ หลังจากเสร็จพิธีแล้วหญิงสาวในเสื้อขาวเอาน้ำใสๆ ใส่ถ้วยมาแจกให้ กัณหาลองดื่มก็ถึงกับสำลัก

“นี่คือ สาเกนะ” ท่านหญิงอายาโกะบอก “เป็นเหล้าประเภทหนึ่ง ทำมาจากข้าวเอามาหมักจนกลายเป็นเหล้า”

“กินเหล้าในศาลเจ้าได้หรือ” กัณหาชะงักไป แปลกใจกับประเพณีของที่นี่

“ได้สิ สาเกเป็นของที่นิยมนำมาถวายที่ศาลเจ้าด้วย ในศาลเจ้าก็จะเอามาแจกให้ดื่มกัน”

“เสร็จพิธีนี่แล้วเรากลับได้เลยไหม เจ้าค่ะ” กัณหาถาม

“ก็แล้วแต่ท่าน ท่านอยากจะขอพรเทพเจ้าบ้างไหมละ เทพเจ้าที่ศาลเจ้านี้ขึ้นชื่อเรื่องการคุ้มครองเด็ก ถ้าพาเด็กๆ มาขอพรด้วย ท่านจะให้พรเป็นพิเศษ”

“ฉันขอโทษเถิด ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่เห็นมีรูปเคารพอันใดอยู่บนโต๊ะนั่นเลย” กัณหาเอ่ย “ตอนนี้เราไหว้ใครอยู่หรือ”

ท่านหญิงซานาเอะหัวเราะและมองมาทางกัณหาด้วยสายตาดูถูก

“เทพเจ้าไม่มีตัวตน มองเห็นจับต้องไม่ได้ ไม่ต้องทำรูปเคารพหรอก แต่ท่านอยู่ที่นี่ สถิตในศาลเจ้าแห่งนี้” ท่านหญิงอายาโกะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ท่านต้องเดินทางอีกไกล สนใจให้ท่านมิโกะทำนายอนาคตให้ไหม ท่านมิโกะนายูกิทำนายแม่นมากเลยนะ ทำนายแม่นจนเป็นที่เลื่องลือกัน”

“มิโกะ คือ…”

“หญิงสาวที่ใส่เสื้อแขนปีกสีขาว ฮากามะสีแดงนั่นไง” ท่านหญิงอายาโกะ ผายมือไปทางหญิงที่เสื้อขาวที่เข้ามาช่วยทำพิธี “เป็นผู้ช่วยนักบวชในพิธีกรรมและช่วยดูแลศาลเจ้า นั่นท่านนายูกิ สักประเดี๋ยวเราเข้าไปพบท่านกัน”

“เออ…” กัณหาลังเลใจ ไม่นึกว่าจะถูกชวนให้ไปดูดวง โดยปกติเธอเองไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องนี้นัก อาจเป็นเพราะได้ยินแม่นมพูดถึงคนพวกนี้ในทำนองว่าเป็นพวกหลอกลวง คอยหาผลประโยชน์จากคนที่หลงเชื่ออยู่บ่อยๆ เลยทำให้เธอไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อท่านหญิงอายาโกะเสนอมาขนาดนี้จะปฏิเสธก็ดูจะไร้มารยาทเสียสักหน่อย ในเมื่อมันไม่ได้เสียหายอะไร เธอก็เลยตอบตกลงไป

หลังจากเสร็จพิธี พวกเขาค่อยๆ ทยอยกันออกจากอาคารที่ทำพิธีบูชาสักการะเทพเจ้า ออกมาสู่ลานภายนอก แหวนกับอาติขอไปเดินเที่ยวเล่นชมบริเวณรอบๆ ศาลเจ้า ส่วนกัณหาจำต้องคอยอยู่กับท่านหญิงอายาโกะภายนอกศาลาเพื่อรอขอพบมิโกะที่ชื่อ นายูกิ ช่วงรออยู่กับเธอด้วย พวกเขารอที่หน้าศาลาหลังเล็กๆ ไม่ไกลจากอาคารที่เข้าไปทำพิธีมากนัก สักพักหญิงสาวที่ขึ้นไปร่ายรำบูชาเทพเจ้าเมื่อสักครู่ก็เดินขึ้นไปบนศาลาโดยมีพวกเขารออยู่ด้านหน้า

“ท่านมิโกะ สหายของข้าเดินทางมาไกล อยากจะมาขอพรให้การเดินทางราบรื่นและขอให้ท่านช่วยทำนายให้หน่อยว่าการเดินทางครั้งนี้จะสมปรารถนาหรือไม่”

“เข้ามาสิ” มิโกะเอ่ยขึ้น ท่านหญิงพยักพเยิดให้กัณหาเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้านาง และทำท่าให้เธอค่อมตัว กัณหาทำตามค่อมตัวอยู่สักพักมิโกะท่านสั่นอะไรบางอย่างที่เสียงเหมือนกระดิ่งจำนวนมากก่อนบ่นพึมพำอะไรบางอย่างเหนือศีรษะของเธอ

“เงยหน้าขึ้นมาสิ” เสียงของมิโกะดังขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้ง กัณหาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหญิงสาว เมื่อได้เห็นหน้าของมิโกะใกล้ๆ บอกได้เลยว่าเธอเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉยราวกับรูปสลักก็ไม่ปาน

“การเดินทางครั้งนี้มีอัตรายมากนัก จงตั้งสติให้มาก ในเร็วๆ นี้อาจมีเพื่อนร่วมทางของเจ้าบาดเจ็บสาหัสปางตาย เจ้าอาจจะต้องพลัดพรากจากเพื่อนของเจ้าไปสู่ดินแดนที่รกร้างตามลำพัง” มิโกะเอ่ย กัณหาและช่วงสะดุ้งเฮือก

“แล้ว แล้ว อิฉันควรทำเช่นไร” กัณหารู้สึกว่าเสียงของเธอหายไป “มีวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายนี้ไหมเจ้าค่ะ”

“ยากนักที่จะป้องกัน เพราะเจ้ามีดาวของศัตรูคู่อาฆาตตามราวี หากเอาชนะดาวดวงนี้ได้ เจ้าจะได้สมปรารถนา เดินทางเข้าสู่ดินแดนที่ตามหา แต่หากพ่ายแพ้…” มิโกะเว้นช่วงไว้นานจนกัณหาชักเริ่มไม่สบายใจ “แต่ไม่ว่าจะพ่ายแพ้หรือชนะ เจ้าก็ไม่อาจได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ดี”

“หมายความว่าไงกันท่าน” ช่วงแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เมื่อสักครู่ท่านยังบอกอยู่ว่าจะได้เข้าสู่ดินแดนที่ต้องการอยู่เลย”

มิโกะยิ้ม ไม่พูดว่าอะไร

“แปลว่าการเดินทางครั้งนี้จะสูญเปล่าใช่ไหมเจ้าค่ะ” กัณหาทวนย้ำ น้ำเสียงอ่อนลง

“ไม่มีการเดินทางใดที่สูญเปล่า คนที่จะบอกว่าสูญเปล่าหรือไม่คือเจ้าไม่ใช่ข้า” มิโกะโบกมือให้เธอออกไป “คนต่อไป”

กัณหาเดินออกมาอย่างผิดหวังเล็กน้อย คำทำนายที่ดูกำกวมและสร้างความรู้สึกไม่สบายใจให้เธอ ช่วงเห็นเธอคอตกเลยรีบเข้ามากระซิบข้างหูทันที

“ท่านอย่าไปเชื่อนักเลย หมอดูคู่กับหมอเดานั่นแหละ” ช่วงส่ายหน้า “ที่อยุธยามีถมเถไป พวกต้มตุ๋นหลอกลวงทั้งนั้น”

“ท่านว่าฉันไม่ควรเชื่อถือเหรอ แต่ท่านหญิงอายาโกะบอกว่ามิโกะท่านนี้ทำนายแม่นนัก” กัณหาดูไม่สบายใจมาก

“ทำนายแม่นแล้วอย่างไร ท่านจะเลิกเดินทางเพราะคำทำนายของนางรึ” ช่วงตัดบททันที “ท่านเดินทางจากบ้านมาแสนไกล ฝ่าอันตรายสารพัดไม่ย่อท้อ แต่จะมาหยุดเดินทางเพียงเพราะได้ยินคำทำนายอย่างนั้นหรือ แล้วที่ผ่านมาล่ะคืออะไร ความยากลำบากทั้งปวงที่ท่านผ่านมา จะให้มาหยุดเพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรือ ท่านลองตรองดูเถิด”

กัณหายังไม่ทันตอบว่าอะไร จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง เธอรีบหันขวับตามเสียงกรีดร้องไป

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ” กัณหาถาม

“เราลองไปดูกันเถิด” ท่านหญิงอายาโกะมีสีหน้าไม่สบายใจมากนัก หล่อนเดินนำไปพร้อมสาวใช้ ยังมีเสียงกรีดร้องดังมาอีกเป็นระยะๆ

“อาติ” ช่วงอุทานเมื่อเห็นอาติรีบวิ่งมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เกิดอะไรขึ้น”

“แหวน” อาติพูดทันที เขาหอบหนักเอามือกุมชายโครงที่ไหวกระเพื่อมตามแรงหายใจ “แหวนถูกท่านหญิงคนนั้นจับ”

“หา” กัณหากับช่วงอุทาน