12 ตอน ความลับของความวุ่นวาย
โดย ลิลิธ
แสนดีไม่เคยประหม่าขนาดนี้มาก่อน เขาเช็กความพร้อมบนร่างกายของตัวเอง ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ครอบครัวของอนาธิป เป็นครอบครัวตระกูลใหญ่ ถ้าหากเขาใส่ชุดไม่ดีหรือไม่มีแบรนด์จะเป็นการลดเครดิตหรือเปล่า? แสนดีคิดอยู่นานมากนัก แต่ทว่าก็มีบางความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาเป็นชุดสูทที่เขาใช้สมัครงานหลังเรียนจบ ราคาไม่แพงมากนัก เหมาะกับฐานะการเงินที่บ้านที่มีไม่มาก...
“เอาวะ ถ้าหากจะสู้กับคนนี้ ก็ต้องเอาความจริงใจเข้าสู้เนี่ยแหละ”
หัวใจของแสนดีเต้นตึกตักจนแทบจะหลุดออกมา เพราะหลังจากได้เจอนิสัยเพียงคร่าว ๆ ก็พอได้รู้ว่าเป็นคนที่เจ้าระเบียบมากแค่ไหน ทั้งสายตา คำพูด...มันแอบทำให้แสนดีรู้สึกหวั่น ๆ อย่างบอกไม่ถูก หลังจากเช็กตัวเองเรียบร้อยแล้ว เสียงมือถือของแสนดีก็ดังขึ้น...ปลายสายเป็นอนาธิป แสนดีก็เข้าใจได้ว่า เขาน่าจะมาถึงหน้าคอนโดของเขาแล้ว เขารีบรับสายแล้วบอกผู้ชายที่อยู่ด้านล่างว่ากำลังจะลงไป
แสนดีรีบลงมาจากคอนโด...แล้วเจออนาธิปยืนพิงบนรถคันหรู ชายผู้เป็นเจ้าหนี้ทักทายเข้าด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
“พร้อมหรือยังครับ”
“ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทำได้ไหม ผมแอบกลัว”
“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่ข้าง ๆ คุณเอง”
มือของอนาธิปเอื้อมเข้ามากุมมือของแสนดีเอาไว้แนบแน่น แสนดีก็กุมมือของอนาธิปเช่นเดียวกัน สื่อสายตาว่าเขาเองก็จะพยายามให้ถึงที่สุด
ภายในหัวของแสนดีได้แต่คิดว่า การมีแฟนเป็นคนรวยมันไม่ได้ง่ายเลยจริง ๆ
ทั้งสองคนขึ้นรถยนต์คันหรูก่อนจะมุ่งหน้าที่ร้านอาหารชื่อดังเป็นตึกอาคารสีขาวสไตล์ฝรั่งเศส...แสนดีเคยเห็นผ่าน ๆ เวลาที่เขาต้องใช้ถนนผ่านเส้นทางนี่แล้วมักมองผ่านร้านนี้ตลอด เขามีความฝันหวังเอาไว้ว่าอยากจะเข้าไปลองทานสักครั้งในชีวิตโดยที่ไม่ต้องห่วงเงินในบัญชี...และตอนนี้เขาก็มาแล้ว แต่การมาครั้งนี้มันทำให้เขายิ้มทั้งน้ำตา เพราะครั้งแรกของเขาก็เป็นการมาพบเจอครอบครัวแฟนกำมะลอ แถมยังต้องมาเจอกับคนคุยเก่าของเขาอีก...แสนดีต้องตายเป็นแน่ ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะต้องวุ่นวายมากแค่ไหน
ร้านอาหารที่นี่มีสองชั้น อนาธิปและแสนดีเลือกที่จะขึ้นไปบนชั้นสอง ซึ่งต่างจากชั้นแรกที่ดูเหมือนจะมีความเป็นส่วนตัวกว่ามาก อนาธิปและแสนดีถูกเชิญด้วยพนักงานจากทางร้าน เดินนำไปที่ห้องของแขกระดับVVIP ภายในห้องตกแต่งอย่างหรูหรา และโต๊ะอาหารก็ดูเหมือนจะเป็นโต๊ะใหญ่ครอบครัว นั่งกันได้หลายคน...และดูเหมือนพวกเขาจะมานั่งรอแล้ว คนบนหัวโต๊ะคือคุณหญิงสุริวงศ์เขาจำได้ แต่ชายหญิงวัยกลางคนสองคนและผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มคนนั้นคงจะเป็นอีกฝ่ายนั้นสินะ
“ดูสิ นั่นใครมา นั้นคือหลานชายของฉันเอง”
คุณย่าสริวงศ์ผู้นำของตระกูลแนะนำหลานชายให้กับแขกสามท่าน ที่เป็นทางฝ่ายผู้ใหญ่ของว่าที่หลานสะใภ้ของตัวท่านเอง
“สวัสดีครับ”
อนาธิปไหว้ตามมารยาทก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งซ้ายที่ตรงข้ามกับครอบครัวของคนคุยเก่าตน แสนดีรก็เขยิบตามมานั่งติด ๆ เช่นเดียวกัน
“แล้วพ่อกับแม่ ไม่มากันเหรอครับคุณย่า”
อนาธิปหมายถึงทั้งพ่อและแม่ของตัวเอง
“เหอะ พ่อแม่ของเธอ เคยคิดแยแสเรื่องแบบนี้ที่ไหน ฉันไม่อยากมาพร่ำเสียเวลาไปบอกอะไรกับเจ้าพวกนั้นหรอก สิ่งเดียวที่ฉันสนใจก็คือเธอแล้วก็...ใครที่แกพามาด้วยต่างหากเหล่า”
แสนดีเสียวสันหลังเมื่อได้ยินน้ำเสียงนั้น แล้วก็ยกมือไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีครับ คุณหญิงสุริวงศ์”
“ย่ะ”
คุณหญิงสุริวงศ์รับไปทั้งอย่างนั้นแล้วเบือนหน้าหนี แสนดียิ้มเจื่อน ๆ แล้วสังเกตคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม การ่าผู้ชายร่างบางหน้าใสไร้สิว ผิวขาวยิ่งกว่าผงซักฟอก หน้าตาน่ารักจนน่าหยิกแก้ม อีกฝ่ายดูเหมือนจะยิ้มจนปากจะฉีกให้กับอนาธิปอยู่แล้ว นั้นทำให้แสนดีรู้สึกไม่สบอารมณ์เลยสักนิด ก่อนที่แสนดีจะหันหน้ามามองอนาธิปที่ยิ้มไปให้เช่นเดียวกัน
อยากจะฉีกหน้าให้ยิ้มหุบไม่ลงเลยจริง ๆ
“เอาล่ะ ทานข้าว ๆ”
หลังสิ้นเสียงประกาศิต ทุกคนก็ลงมือทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียงแล้วคุยสัพเพเหระตามประสาคนรู้จัก...แสนดีแทบจะไม่สนใจอาหารราคาแพงวัตถุดิบดีที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองด้วยซ้ำ เขาสนใจแต่การ่าที่แทบจะประเคนอาหารให้กับอนาธิปเหมือนพระสงฆ์อยู่แล้ว อาหารอบวงโต๊ะอยู่บนจานอนาธิป ไม่สนใจคนที่เป็นแฟนกำมะลออย่างเขาเลยด้วยซ้ำ ส่วนอนาธิปก็ได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ รับอาหารตามมารยาทและแอบสังเกตสีหน้าของแสนดีอยู่ตลอด
“กินนี่สิ พี่ธิป อร่อยน้า อยากลองให้พี่ได้กินจริง ๆ”
“ครับ...”
อนาธิปส่งสัญญาณทางซ้ายตาให้กับแสนดี...ถึงเวลาแสนดีได้ทำหน้าที่ของแฟนสักที
“บูบูครับ มากินนี่ของผมดีกว่า ดูเหมือนว่าคนที่เอาอาหารใส่จานพี่คงไม่รู้นะ ว่าพี่บูบูของบีบีเนี่ยเป็นคนแพ้กุ้งแล้วไม่ชอบเนื้อสัมผัสของผักและกลิ่นด้วย น่าสงสารจริง ๆ ที่บูบูของเขาต้องมาเจอคนแบบนี้”
แสนดีเล่นสมบทบาท เขาทำเป็นหยิกแก้มของอนาธิปที่กำลังมองหน้าแสนดีแล้วยิ้ม ๆ อยู่ ก่อนจะตักอาหารที่อนาธิปไม่ชอบและแพ้อยู่บนจานของเขาเข้าปากของตัวเองแล้วเคี่ยวจนแก้มตุ่ย พลางยิ้มเชือดเฉือนอย่างผู้ชนะ
“ขอบคุณครับบีบีของผม”
อนาธิปพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วแอบทำให้คนที่กำลังแสดงละครอยู่ใจสั่นตึกตักกับเสียงกระซิบแผ่วเบานั้น
“ถ้าอย่างนั้น...กินเนื้อหมูหวาน ๆ ของเขาดีกว่า”
“ไม่ ๆ พี่มากินเส้นดีกว่า การ่าจำได้ว่าพี่ธิปชอบทานมาก สมัยตอนที่เรายังคบกันอยู่ ถ้าหากลองมารื้อฟื้นความทรงจำโดยการให้การ่าป้อนดีกว่านะ”
การ่าที่กำลังจะยื่นป้อนอนาธิปแต่เพียงนิดเดียวก็จะถึงเขาอยู่แล้ว ทว่ากลับโดนแสนดีขัดขวางยื่นหน้ารับช้อนเขาปากแทน สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ของการ่าเริ่มรู้สึกอึดอัดแล้วกลัวลูกของตัวเองทำอะไรแผลง ๆ อีก ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันไปเหลือบมองผู้อาวุโสที่นั่งรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างใจเย็น เหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
“บางคนก็สะเหล่อเนอะ เห็นว่าเขากำลังจะป้อนกันอยู่ก็สลอนหน้ามารับ”
แสนดีรู้ได้ทันทีว่าโดนด่าเข้าให้แล้ว จะถอยหลังกลับก็ไม่ได้ เขาเลยเลือกที่จะพุ่งเข้าสู้เลยดีกว่า
“แต่ว่าบางคนก็แปลกเนอะ แฟนของเขานั่งอยู่ตรงนี้อยู่ ก็ยังสะลอนหน้ามาป้อนอีก”
“แกแล้วว่าใครฮะ!”
เมื่อเริ่มมีการขึ้นเสียงกัน คุณหญิงสุริวงศ์ก็เอ่ยห้ามปรามทันที
“เดี๋ยวเถอะ...ทานอาหารกันดี ๆ สิ จะมาโวยวายกันทำไม รู้จักมารยาทกันด้วยนะ”
เมื่อเสียงนั้นสิ้นสุดลง ทุกคนก็เงียบลงทันที แต่ทว่าสายตาของการ่ายังคงหาเรื่องกับแสนดีอยู่...สำหรับการ่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับผู้ชายที่เคยเป็นคนของตนให้ได้ ไม่ใช่เพราะความรัก...แต่ด้วยเหตุผลเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดบนหน้าตาสังคม...และด้วยอีกเหตุผลประการหนึ่ง
“นี่...เธอคนนั้น ชื่อแสนดีใช่ไหม”
คุณหญิงสุริวงศ์ทักคนที่ตัวเองพึ่งเมินไป แสนดีรีบรับขานรับทันที
“ทำไมถึงคิดมาคบกับหลานชายของฉัน”
“ครับ...” จะให้ตอบว่าหล่อรวย อยากได้เป็นผัวก็ไม่ได้อีก “ก็...ความรักครับ”
“ความรัก? ตอบง่ายดีนิ ไม่ใช่มาจับหลานชายของฉันหรอกนะ”
“ไม่ครับ ไม่แน่นอน”
“แล้วไม่คิดว่าฐานะของตัวเองจะเหมาะสมกันกับหลานชายฉันเหรอ แล้วเป็นคนที่หลานชายของฉันฟ้องเรื่องหมิ่นประมาทด้วย...ไม่คิดว่าตัวเองด้อยเกินกว่าจะมาคบกับคนในตระกูลนี้หน่อยเหรอ”
“แล้วมันยังไงครับ ผมคิดว่าถ้าหากคนเราจะคบกัน จะเอาฐานะเข้ามาเกี่ยวข้องกันทำไม...คนเราไม่มีอะไรที่ด้อยกว่ากันเลยนะครับ ใช่ที่ฐานะความร่ำรวยมันต่างกัน ฐานะทางสังคมก็ไม่มี แต่ผมคิดว่านั้นไม่น่าเกี่ยวกันเลยสักนิด มันอยู่ที่หัวใจของเราต่างหากที่จะสัมผัสถึงกันได้ไหมต่างหาก”
แสนดีก็แทบจะอ้วกเมื่อเจอคำถามแล้วตัวเองต้องตอบแบบนี้โดยเฉพาะประโยคหลังที่ตัวเองเลือกที่จะพูดมันออกไป ส่วนอนาธิปก็ดูเหมือนจะมีความสุขกับคำพูดนั้นจนยิ้มไม่หุบแล้วมองหน้าว่าที่แฟนของตัวจริงที่เขาเลือกตอบแบบนี้
“หัวใจสัมผัสกัน...น่ารักจังเลยแฮะ”
“แล้วถ้าหากพ่อกับแม่หรือว่าย่าเขาไม่ชอบขึ้นมาล่ะ คิดจะแก้ปัญหาตรงนี้ยังไง”
“ผมคิดว่าปัญญานี้ มันเป็นปัญหาโลกแตกครับ...ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ผมคิดว่าทั้งพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดไม่ควรจะยุ่งกับตรงจุดนี้ หรือถ้าหากจะมีการเข้ามายุ่งอย่างเช่นการหาคู่โดยที่ลูกไม่เต็มใจนี่ก็ไม่ควรครับ...สุดท้ายแล้ว ผมก็คงต้องแล้วแต่คนกลางที่ว่าจะต้องจัดการยังไงมากกว่า...เพราะผมเป็นคนรักเขา ผมเลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของเขาอยู่แล้ว”
อนาธิปจับมือของแสนดีเอาไว้แน่น...ไม่ว่าเรื่องราว ณ ตรงนี้มันจะจบลงอย่างไร อนาธิปก็ไม่มีทางที่จะปล่อยมือของแสนดีแน่นอน ขณะที่คุณย่าสุริวงศ์จะถามอะไรต่อนั้น ก็ถูกขัดจังหวะของใครสักคนที่พรวดเข้ามาไม่บอกกล่าวกันเสียก่อน
“บุพเพมาแล้วค่ะ คุณย่า”
เสียงหวานเหมือนแก้วบาดหู บุพเพมาด้วยชุดสีขาว กางเกงสีดำหรูหราตามราคาที่จ่าย และทรงผมสีน้ำตาล แว่นตาสีดำมาพร้อมกับรอยยิ้มเอกลักษณ์...ถึงเวลาที่ตัวแม่ต้องตัดการเสียแล้ว
“บุพเพ?”
แสนดีทวนชื่อด้วยความงุนงง เมื่อเห็นผู้ชายตัวเล็กมาพร้อมกับรอยยิ้มเช่นเคย เหมือนกับลูปที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขารีบหันไปมองอนาธิปที่ได้แต่ยิ้มก่อนที่สายตานั้นจะหลุดโฟกัส เมื่อบุพเพเดินอ้อมมานั่งกับพี่สะใภ้คนใหม่ของตระกูล...แล้วยกมือไหว้อย่างเหมาะสม
“สวัสดีค่ะพี่สะใภ้ หนูเนี่ย ชื่อบุพเพนะคะ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่ธิปนะคะ”
“ครับ ผมชื่อแสนดีนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
แสนดีรับไมตรีอย่างเป็นมิตรเมื่อเห็นเป็นญาติฝ่ายแฟน แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ บุพเพก็หันเหความสนใจไปกับแขกสามท่านที่ดูเหมือนจะตกใจเมื่อเห็นบุพเพที่มานั่งหัวโด่โดยไม่รู้ว่ามาก้อนว่าเขาคนนี้จะโผล่มาที่นี่ ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร บุพเพก็เปิดศึกทางวาจาทันที
“สวัสดีการ่า เป็นอย่างไรบ้างเพื่อนรัก ดอกทอง...บนหัวของเธอก็เหมาะกับเธอดีนิ”
แม้สีดอกไม้บนกิ๊ฟนั้นจะสีขาวก็เถอะ
“นี่ มาว่าลูกฉันได้ยังไง มีมารยาทหน่อยนะ คุณหญิงสุริวงศ์ค่ะ อบอรมสั่งสอนลูกหลานหน่อยนะคะ ทำไมทำตัวไม่มีมารยาทขนาดนี้”
หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแขกอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะหันหน้าไปฟ้องผู้อาวุโสที่นั่งรับประทานและจดจ่อกับอาหารตรงหน้าไม่สนใจคำขอพูดของใครทั้งนั้น...ปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปแบบนี้แหละ
“นี่...อีแก่ ไม่ต้องฟ้องคุณย่าฉันหรอก พูดเสียงดังไป อายเขานะ”
“อีบ้า อีบุพเพ มึงมาว่าแม่กูได้ยังไง”
การ่าที่เห็นว่าบุพเพใช้คำพูดน่าโมโห ตนก็ลุกขึ้นตวาดไม่สนใจใครพอดี
“นี่ อีพวกที่หวังจะเป็นเห็บเกาะคุณย่าอย่างพวกแกนี่มันยังไงกันนะ หวังให้คุณย่าช่วยเรื่องที่พวกแกโกงเขามาเหรอ นังโง่”
“นี่ อย่ามาพูดอะไรมั่ว ๆ นะ”
การ่าทนไม่ไหวแทบจะปรี๊ดแตกอยู่รอมร่อ อาการเกรงใจผู้หลับผู้ใหญ่เริ่มหายไป ชายวัยกลางคนที่เห็นสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี เขาก็รีบปรามทั้งผู้เป็นทั้งแม่และลูกให้อยู่ในอาการสงบหน่อย เกรงใจ...คุณหญิงสุริวงศ์ ถึงแม้ว่าท่านจะเฉยกับสิ่งตรงหน้าก็ตาม...แต่ถ้าหากจะพึงท่านก็ต้องใจเย็นกันเสีย
“ฉันบอกเลย ว่าแกเล่นผิดคนแล้ว เรื่องที่โกงค่าอัลบั้มของแฟนคลับนี่ได้ไปเท่าไหร่แล้วนะ”
บุพเพเปิดประเด็นขึ้นมาอย่างเผ็ดร้อน เรื่องที่บริษัทของการ่าที่รับพรีออเดอร์อัลบั้มจากต่างประเทศ...เป็นบริษัทที่โกงลูกค้าหลายเจ้า หลายกลุ่มแฟนคลับ ทำให้มีการแจ้งตำรวจกันหลากระนาว รวมถึงมีการฟ้องกันเสียด้วย...เมื่อครอบครัวของการ่าเห็นท่าไม่ดี กลุ่มคนพวกนี้ก็เลือกที่จะมาขอความหวังจากคุณย่า...ถ้าหากการ่าได้กลายเป็นสะใภ้แล้วของตระกูลปภามหัทธนโชติ อาจจะเป็นติดต่อหรือคุยให้กับนายตำรวจใหญ่เพื่อช่วยลูกของตัวเองให้รอดพ้นจากข้อกล่าวหาที่ทำลงไปเป็นแน่
เรื่องนี้บุพเพว่าเลวระยำแล้ว แต่การ่ากล้ามากที่โกงค่าอัลบั้มของบุพเพไปด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเงินพันกว่า ๆ สำหรับบุพเพมันจะเป็นเงินไม่มาก แต่สำหรับคนอื่นที่อุตส่าห์เก็บเงินซื้ออัลบั้มมาตั้งนานต้องเสียความรู้สึกมากแค่ไหนกัน...อยู่ในแฟนด้อมเดียวกัน ถ้าหากมีโอกาสช่วยบุพเพช่วยเต็มที
มึงนี่นะ กล้าโกงอัลบั้มกู กูอุตส่าห์รออัลบั้มพี่จุนตั้งนาน กูเนี่ยแหละจะเป็นพระลงโทษอีเหี้ยนี้อย่างหนัก
“ไม่จริงนะคะ คุณหญิงสุริวงศ์ นี่แก อย่ามาพูดแบบนี้นะ ถอนคำพูดออกมา ถ้าแกพูดอีก ฉันจะฟ้องให้แกล้มละลายจริงไหมคุณ”
ผู้เป็นหญิงวัยกลางคนหันไปมองทางด้านสามีที่กำลังกุมขมับตัวเองด้วยความเครียด
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ คนที่ไม่ต้องพูดเยอะน่าจะเป็นพวกแกมากกว่า คิดจะมาขอให้คุณย่าช่วย ฝันไปเถอะ เก็บปากเอาไว้อมเหรียญหรือไม่ก็คุยกับตำรวจเถอะค่ะ”
ไม่นานนัก กลุ่มผู้ชายที่อยู่ในชุดเครื่องแบบทางการก็เดินกรูเข้ามาเกือบสิบนาย เพื่อจับตัวสามพ่อแม่และลูกเพื่อนำตัวไปคุยสอบปากคำกับทางโรงพักและคู่กรณีที่โดนบริษัทของการ่าโกงไปอีกหลายคน
“อีบุพเพ อีนี่ มึงเจอกู”
การ่าพูดอย่างไม่ยอมแม้จะโดนคุมตัวอยู่
“โอ้ย อีดอก เอาปากไว้แดกข้าวแกงในคุกไม่ก็ในเมรุนะ”
“พอแล้ว บุพเพ เจ้าตัวป่วนคนนี้”
คุณหญิงสุริวงศ์พูดปรามผู้เป็นหลานหลังจากเงียบปากมานานเพื่อดูสถานการณ์ว่าจะจบลงเช่นไร และก็จบลงตามความคาดเดาของตัวเองทั้งหมด จนกระทั่งเรื่องวุ่นวายจบลงแล้ว พ่อแมลูกสามคนที่ทำบริษัทฉ้อโกงก็ปล่อยให้ตำรวจจัดการกันต่อ
“คุณย่า...ขอโทษนะที่เข้ามป่วนงาน แต่บุพเพยอมไม่ได้จริง ๆ”
“แล้วทำไมไม่บอกกันดี ๆ”
“ก็บุพเพกลัวคุณย่าไม่ฟัง อีกอย่างถ้าจะตบหน้าคนแบบนี้ก็ต้องจัดการแบบนี้แหละ”
“นี่ คิดยังไงว่าฉันจะไม่ฟัง”
“โอ้ย ถ้าคุณย่าฟังคุณย่าจะจัดหาคู่ให้พี่ธิปทำไม”
“อย่ามาพูดเลย ถ้าแกบอกก่อน ฉันอาจจะจัดให้เล่นใหญ่กว่านี้นะ...แต่ก็ช่างเถอะ ความจริงเรื่องของพวกนี้ ฉันก็รู้มาก่อนอยู่เมื่อไม่นานก่อนมาที่นี่ไม่นานเอง...การที่แกทำแบบนี้ ก็ไม่แย่สักเท่าไหร่นะ แต่ครั้งหน้าเรื่องคำพูดและมารยาทควรจะดีกว่านี้นะบุพเพ”
หลังจากจบปัญหาที่ก่อ เกิดแล้วจบอย่างรวดเร็ว สองคนทั้งอนาธิปและแสนดีที่เหมือนนั่งงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าจนกลายเป็นอากาศธาตุไปเสียแล้ว ก่อนที่จะได้ทำอะไร คุณหญิงสุริวงศ์ก็ขอตัวกลับคฤหาสน์ของตัวเองก่อนเมื่อเห็นว่าใช้เวลามากเกินสมควร ถึงเวลาพักผ่อนของท่านเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อน...จะทานต่อก็เชิญ ฉันไม่ว่า ตามสบาย”
“คุณย่า บุพเพกลับด้วย”
หลังจากคุณหญิงสุริวงศ์และบุพเพขอตัวกลับออกไปแล้ว แสนดีก็หันมามองหน้าอนาธิป...แล้วพูดในใจกับตัวเอง
“ครอบครัวคุณอนาธิป มีแต่คนแบบนี้เหรอครับ”
การเข้าหาครอบครัวของแฟนคนรวย...ใครว่าง่ายกันเล่า?
________________________________________________________________________________________________
อย่าลืมคอมเมนต์เป็นกำลังให้ผมด้วยนะครับ ขอคนละเมนต์เกินสามคนเดี๋ยวรีบอัพตอนใหม่ให้ได้อ่านกันเลย
Comments (0)