6 ตอน ฉากที่ 6 ความสัมพันธ์หมุนในเเกลียวคลื่น
โดย swaggirlleb
ฉากที่ 6
ความสัมพันธ์หมุนในเเกลียวคลื่น
"อีกเดือนเดียวจะเปิดกล้องแล้วพี่จะมาแก้บทอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะครับ แล้วนี่พี่รู้ไหมว่านักแสดงหลักเขาไม่ถูกกันเป็นแฟนเก่ากันจบกันไม่สวย แถมนี่อีก ซีนที่สิบกับสิบห้ามันโลเคชันเดียวกันแยกถ่ายคนละวันทำไมครับ ถ้าพี่จะบอกว่ามันต้องปั้นให้ดีงี้เวลาก็ไม่มีทางพอหรอกนะครับ เนี่ยมันย้ายโลไปย้ายโลมาด้วย ซีนสิบกับสิบห้าพี่จะเอายังไง"
เจย์เลนสวมบทบาทผู้ช่วยผู้กำกับเต็มตัวหลังออกจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงวัน ตอนนี้กำลังเฉ่งผู้กำกับตัวดีอยู่เล่นเอากียุลได้แต่นิ่งเงียบเพราะเจย์เลนดูเอาจริงและจริงจังมาก ซึ่งเขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้เพราะแฟนเก่าเขาเป็นคนเต็มที่กับงานมากละเอียดมากด้วย เป็นตัวพ่อเรื่องความเป๊ะและปัง
"ซีนสิบห้ามันซีนอารมณ์ต้องปั้นเยอะมันรับหน้าเยอะด้วยพี่เลยแยกวันถ่าย นักแสดงจะได้มีเวลาทำอารมณ์"
"ผมเข้าใจครับ แต่พี่เล่นยกมาถ่ายแยกทั้งที่ต่อจากนี้จะไม่ใช้สถานที่นี้อีกแล้ว มันเปลืองงบ และพี่ดูเราต้องย้ายไปถ่ายอีกโลไกลมาก วันนั้นก็เลยจะถ่ายได้แค่สี่ซีนพี่ว่ามันใช่ปะ ถ้าเรารวบซีนไปไว้วันนี้นะครับเราจะถ่ายได้อีกสามซีนเลย แล้วซีนอารมณ์ร้องไห้พี่เอามาไว้เช้าเลยเหรอครับ นักแสดงที่ไหนจะร้องไห้ให้พี่ได้ครับ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ซีคจะเป็นคนทำเบรกดาวน์นี้"
"พี่บอกให้มันทำแบบนั้นเองแหละ" นั่นไงเจย์เลนว่าไว้อยู่แล้ว
"พี่เขาตามใจพี่มากเกินไป... ผมขออนุญาตนะครับแต่ผมขอทำเอกสาร Breakdown
, call sheets ใหม่ทั้งหมดได้ไหม ผมขอเวลาสามวันทีมงานเตรียมงานตามเดิมได้เลยผมจะดูแค่เรื่องเวลาใหม่" เจย์เลนไม่ได้ถามกียุลแต่หันไปถาม จินกูที่นั่งฟังอยู่นานแล้วและเขาเห็นด้วยกับเจย์เลน ความผิดเขาเองที่พึ่งมาตรวจสอบตารางการถ่ายทำโดยละเอียดเอาป่านนี้เพราะไว้ใจทีม"ได้ ที่เจย์เลนพูดถูกหมดเลย โดยเฉพาะเรื่องนักแสดงทำไมต้องสองคนนี้วะกียุล เมื่อเช้าเวิร์คช็อปต่อบทกันนายรู้ไหมเขาทะเลาะกันเป็นบ้าเป็นหลังห้องแทบแตก"
"ฝีมือเขาดีพี่ หนังเราเหมาะกับเขาสองคน ไม่มีใครเหมาะกว่านี้อีกแล้ว อีกอย่างดีกว่าคนที่นายทุนจับยัดมาให้แน่ ๆ"
"ถ้าเอาคนจากทางนั้น นายก็จะได้เงินเยอะขึ้น"
"แต่คุณภาพมันจะแย่ ผมไม่ชอบพวกเด็กเส้นด้วย อยากประสบความสำเร็จก็พยายามเอาสิไม่ใช่มาใช้ทางลัด" เจย์เลนพยักหน้าเห็นด้วยกับกียุลในใจ แต่วงการนี้มันก็แบบนี้แหละ ใครมีบันไดติดตัวมาก็จะได้เปรียบหน่อยใครไม่มีก็อย่างที่เห็นกันถมไปมันเกิดยาก
"งั้นตามนี้เลย กียุลนายเลิกแก้บทได้แล้ว เจย์เลนแก้เบรกดาวน์กับคอลชีทได้เลย เรื่องนักแสดงพี่จะดูแลเอง บางทีเราอาจจะต้องหาผู้ช่วยผู้กำกับสองมาด้วยกองเราใหญ่และเจย์เลนก็ท้องอยู่"
"ไม่ใช่ปัญหาครับ ผมไม่ได้ป่วยทำงานได้ ผมเอาอยู่ จ้างคนมาเพิ่มค่าใช้จ่ายก็เพิ่ม"
"มีผู้ช่วยสองไว้ก็ดีพี่ เอามาช่วยวางนักแสดงประกอบและคอยจัดการเรื่องฝูงชน ให้เจย์เลนวิ่งทำคนเดียวไม่ไหวหรอก"
"ผมบอกว่าผมไหวไงครับ แค่ท้องก็คิดว่าความสามารถในการทำงานของผมจะลดลงเลยเหรอ?"
"พี่แค่เป็นห่วงนายเจย์เลน งานกองถ่ายมันหนัก มันอันตรายด้วยแล้วผู้ช่วยผู้กำกับต้องวิ่งวุ่นทั้งกอง วิ่งที่ว่าคือวิ่งจริง ๆ นายก็รู้ นายต้องประสานงานกับทุกทีม ต้องทำเวลา นายท้องอยู่จะใช้กำลังทำขนาดนั้นได้ไง มันต้องมีคนวิ่งช่วย นึกถึงลูกเราบ้างสิ ถึงพี่อยากให้นายมาทำด้วยกันมากแค่ไหนแต่ถ้าให้พี่เลือก พี่เลือกความปลอดภัยของลูกกับนายก่อนนะ พี่ไม่สนอย่างอื่นหรอก"
นี่ไงแววของสองคนนี้ยังไม่ทันได้เริ่มทำงานเท่าไหร่เลยก็เริ่มทะเลาะกันแล้ว
“จะไม่ให้ผมทำงานนี้เหรอ?”
“ใช่ ถ้านายดื้อ”
“พี่เป็นบ้าอะไรวะ” เจย์เลนเริ่มฉุนขึ้นมา
“ไม่ได้เป็นบ้าแต่เป็นห่วงนายกับลูก”
“พี่ล้ำเส้นผม พี่มีสิทธิ์อะไรมาจัดแจงชีวิตผมไม่ทราบ”
“สิทธิ์ที่เป็นพ่อของลูกไง”
“ใครให้เป็นวะฮะ!”
“เอาล่ะ ๆ พี่จะให้นายสองคนคุยเรื่องส่วนตัวกันนะ คุยกันดี ๆ” จินกูเก็บเอกสารการประชุมกับแล็ปท็อปแล้วเดินออกไป เจย์เลนก็กำลังจะลุกตามเพราะความหงุดหงิดบอกไม่ให้อยู่คุยต่อมันเหม็นหน้าพ่อของลูก
“นายจะไปไหน เราต้องคุยกัน นายหนีไม่ได้ตลอดหรอก”
“ผมไม่ได้หนีแต่ผมก็พูดชัดเจนแล้วตั้งแต่เมื่อวานว่าเราจะทำหน้าที่ผู้ปกครองด้วยกัน พี่ต้องการอะไรอีก? อยากได้หน้าที่สามีด้วยเหรอ? ผมว่าผมก็พูดชัดแล้วนะเรื่องระหว่างเรา” ใบหน้าหวานถามเสียงเรียบเพราะเขาบอกความต้องการ บอกข้อตกลงไปหมดแล้วตอนที่อยู่โรงพยาบาลมีแต่กียุลนั่นแหละไม่ยอมรับแล้วทำให้เป็นปัญหาอยู่คนเดียว
“...”
เล่นเอากียุลพูดไม่ออกได้แต่ถอนสายตาไปทางอื่นแทน
คงต้องเล่าย้อนไปเมื่อวานสักนิดในตอนที่กียุลกำลังดีใจเนื้อเต้น เจย์เลนก็ทะลุออกมากลางปล้อง ไม่มีใครตั้งรับถูกเลยสักคนเพราะเจย์เลนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาก
“พี่ไม่ต้องมารับผิดชอบผมกับลูกก็ได้นะ เพราะมันเกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ ผมก็ผิดเองที่รู้ว่าตัวเองท้องได้แล้วไม่ระวัง ตอนนั้นพี่เมาไม่มีสติ ผมผิดเองทั้งหมด” บรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนคังจุนกับจินกูเริ่มหน้าเจื่อนส่วนกียุลก็เหมือนถูกไฟดูดไปชั่วขณะหนึ่งวิญญาณล่องลอยไปไกลเขาอ้าปากแล้วหุบลงอีกครั้งก่อนเริ่มพูดใหม่
“อย่าพูดแบบนั้นสิเจย์ พี่ดีใจมาก พี่ต้องรับผิดชอบนายกับลูกอยู่แล้ว”
“พี่สองคนไปข้างนอกดีกว่าพวกนายจะได้คุยกันนะ” จินกูเอ่ยพร้อมก้าวเดินแต่เจย์เลนรั้งไว้ด้วยคำพูด
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงพี่สองคนก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ผมก็อยากถามความเห็นหน่อยครับ ผมกับพี่กียุลเราเคยเป็นแฟนกันแต่เลิกกันมาหลายปีแล้ว เรากลับมาเจอกันเพราะผมเป็นโฮสอยู่ที่โฮสคลับเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราพี่รู้กันแล้ว” รู้สิเพราะตรงนี้จินกูเป็นคนเล่าเองว่าคนที่กียุลมีอะไรด้วยคนนั้นคือเจย์เลนหลังจากที่คังจุนเกริ่นนำจินกูจำได้ถึงเหตุการณ์วันนั้นพอดี
“แล้วผมก็ท้อง แบบนี้เราควรทำยังไงล่ะครับ ในเมื่อตอนนี้ผมกับพี่กียุลไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเหมือนคนแปลกหน้ากันด้วยซ้ำ จะมาอยู่เป็นครอบครัวกันยังไง อยู่ ๆ จะให้แต่งงานอยุ่กินกันเลยเพราะมีลูกด้วยกันเหรอครับ” เจย์เลนพูดถูกจนคนฟังไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรมันอับจนถ้อยคำ
“เอ่อ...มันก็ไม่ใช่ไม่มีทางนะเจย์เลน เรื่องนี้เรายังตัดสินใจทำอะไรปุบปับไม่ได้หรอก พี่ขอแนะนำว่าให้ค่อย ๆ คิดกันว่าจะเอายังไง ยังมีเวลานะ” จินกูเสนอทางออกที่เป็นกลางแม้จะรู้ว่ากียุลรู้สึกยังไงและปรารถนาสิ่งใด
“ใช่เจย์เลน พี่จินกูพูดถูก แต่ก่อนอื่นนายต้องเลิกต่อต้านกียุลด้วย ยังไงหมอนี่ก็เป็นพ่อของลูกนายและมันเลิกเป็นไม่ได้” คังจุนกล่าว
“ครับ ผมรู้ ผมก็จะไม่ทำแบบนั้นเพราะยังไงพี่ก็คือพ่อของลูกผม” ประโยคหลังเจย์เลนหันไปพูดกับกียุลทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อใจดีเกิดขึ้นอย่างมีความหวังก่อนจะหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“เราจะทำหน้าที่ผู้ปกครองของลูกร่วมกัน แต่ว่าเราสองคนจะไม่ได้เป็นอะไรกันและห้ามบอกกับคนอื่นว่าเรามีลูกด้วยกันเราจะรู้กันแค่นี้ ผมขอนะครับให้มันเป็นไปตามนี้”
เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจก็ไม่ปานจนถึงตอนนี้ในปัจจุบันกียุลยังปฏิเสธความต้องการนั้นของเจย์เลนไม่ได้เลยแม้จะไม่พอใจขนาดไหนก็ตามราวกับมีเส้นด้ายล่องหนมัดตัวเขาเอาไว้
“ถ้าจะหวังให้เราเป็นครอบครัวสุขสันต์มีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันแบบนั้น พี่ไม่ต้องคิดหรอกนะครับ เราทำแบบนั้นกันไม่ได้หรอกและถึงเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ได้เป็นครอบครัว ลูกของเราก็จะไม่รู้สึกขาดหายแน่นอน ผมเชื่อว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบและมีความสุข” จบถ้วยคำเย็นชาดุจน้ำแข็งร่างเล็กผุดลุกเต็มความสูงหมุนตัวมุ่งไปที่ประตูแต่ต้องชะงักกับคำพูดของกียุลขาไม่อาจก้าวเดินต่อได้
“ทำไม? ในเมื่อพี่รักนายอยู่ พี่ดีใจที่เราจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ดีใจที่เรามีลูกด้วยกัน” กียุลบอกไปแล้วตั้งแต่
เมื่อวานเช่นกันว่าอยากรับผิดชอบทั้งลูกและอยากขอโอกาสแก้ตัวจากเจย์เลนแต่คนท้องไม่เห็นด้วยแล้วเงียบใส่ทำให้ตกลงกันไม่จบ ร่างเล็กได้ยินดังนั้นจึงหันไปหาสีหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึกก่อนจะจงใจพูดแทงใจดำ
“แล้วพี่ได้ถามผมหรือเปล่าว่าผมดีใจไหม? ผมมีอะไรในชีวิตที่ยังไม่ได้ทำตั้งเยอะ พี่ประสบความสำเร็จแล้วนี่แต่ผมไม่ และผมก็ดันมามีลูกทุกอย่างในชีวิตผมหยุดชะงัก มีอะไรให้น่าดีใจ?”
เจย์เลนใช้คำพูดตัดความสัมพันธ์เหมือนกับตอนนั้นที่ถูกกียุลขอแต่งงานคนท้องกำลังนึกถึงวันนั้นอีกครั้งความเสียใจยิ่งถาโถมเข้ามาราวระลอกคลื่น เขาไม่อยากพูดแบบนี้หรอกแค่พูดเพื่อให้กียุลหยุดเท่านั้น สุดท้ายเขาจะเป็นคนเห็นแก่ตัวคนเดิมแบบเมื่อเจ็ดปีก่อนก็ช่างมันขอแค่กียุลเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีเขาได้ก็พอ
“อ๋อ นายคิดแบบนี้นี่เอง...” กียุลพ่นลมขำเมื่อนึกขึ้นได้ เจย์เลนทำใจแข็งปั้นหน้าเรียบเฉยทั้งที่จะร้องไห้อยู่แล้ว
“ตัวถ่วง พี่กับลูกเป็นตัวถ่วงของนาย ตอนพี่ขอนายแต่งงานที่ทิ้งพี่ไปก็เพราะคิดแบบนี้ใช่ไหม เพราะพี่ไม่เคยอยู่ในแผนของนายไม่เคยอยู่ในอนาคตของนาย พอพี่พยายามจะเข้าไปอยู่ในชีวิตนายมันถึงทำให้ผิดแผน ก็เลยเขี่ยพี่ทิ้งเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้” มันเป็นแบบนั้นเลยล่ะ เจย์เลนถึงได้รู้สึกผิดแล้วพาตัวเองหนีออกมาแบบนั้นและบอกกับตัวเองว่าจะไม่กลับไปทำให้กียุลเสียใจอีกแล้วจนถึงปัจจุบัน
“ใช่”
ตอนนี้กียุลเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าที่ผ่านมาเขาโดนทิ้งเพราะอะไร จริง ๆ เขาพอจะรู้นะเขาคิดมาตลอดแหละว่าเป็นเพราะอะไรถึงโดนทิ้ง มันจะมีสักกี่เหตุผลที่คนคบกันอยู่จะปฏิเสธคำขอแต่งงานถ้าไม่รักกันแล้วก็คงเพราะอีกคนไม่ดีพอจะเป็นคู่ชีวิตไง แล้วนี่มันเหมือนโดนตอกย้ำว่าใช่อีก กียุลห่วยแตกจนเจย์เลนไม่คิดร่วมชีวิตในอนาคตนี่คือสิ่งที่ฮิปนอสเข้าใจซึ่งเขาติดอยู่กับความคิดนี้มาหลายปี ความตึงเครียดเข้าปกคลุมโดยรอบราวเมฆดำที่คืบคลานเข้ามาไม่หยุด ระหว่างพวกเขาเริ่มเลือนรางกำแพงหมอกกำลังกันพวกเขาออกจากกัน
“ทำไมถึงคิดได้สุดโต่งแบบนั้น ทำไมเราไม่มาคนละครึ่งทางแล้วคุยกันเพื่อหาทางจับมือไปด้วยกัน แทนที่จะทิ้งกันไปแบบนั้น นี่นายก็กำลังจะทิ้งพี่อีกแล้วรู้ตัวไหม ต้องให้พี่เจ็บขนาดไหนกันถึงจะพอใจ พี่ไม่เคยลืมนายเลย ไม่เคยรักใครได้เลยเพราะพี่เชื่อว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง เราจะเจอกันอีกครั้ง และนายก็มาอยู่ตรงนี้ต่อหน้าพี่และมีลูกของเราด้วย พี่ถือว่ามันคือโอกาสแต่นายกำลังดับฝันพี่อีกแล้ว พี่ขอไม่ได้เหรอเริ่มกันใหม่ได้ไหม พี่อยากดูแลนายกับลูกอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าพี่โตมากพอจะดูแลนายกับลูกได้แล้ว ตอนนั้นพี่อาจทำอะไรวู่วามเกินไป พี่ยอมรับ พี่ยังเด็ก พี่ยังไม่มีอะไรเลยแต่ไปขอนายแต่งงาน ไม่ถามนายก่อนไปขอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ พี่พร้อมทุกอย่างที่จะมีนายและลูกอยู่ในชีวิต” มันคือคำพูดที่จริงใจที่สุดกียุลกลั่นมันออกมาจากใจทุกคำและเขากำลังสื่อสารทุกอย่างผ่านดวงตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลที่มีเกลียวคลื่นหมุนวนอยู่อย่างแปรปรวนคล้ายเจ้าของกำลังสับสน
“ผมรู้ แต่ว่าพี่แน่ใจเหรอว่ามันคือความรักไม่ใช่ความผูกพัน พี่หลอกตัวเองอยู่หรือเปล่าว่ารักผมอยู่ พี่แน่ใจความรู้สึกตัวเองแค่ไหน” เขาสองคนรู้จักกันมาเกือบครึ่งชีวิตของกันและกันนอกจากความรักที่มากล้นก็มีความผูกพันมากมายอยู่เช่นกัน เจย์เลนเลยถามออกไปแบบนั้นเพราะเขาก็นึกสงสัย
“อันนี้พี่ควรถามนายมากกว่าไหม ว่านายมั่นใจในความรู้สึกตัวเองแค่ไหนถึงได้ตัดสินใจแบบนี้”
“ผมมั่นใจ”
“งั้นตอบมาสิว่านายรักพี่อยู่หรือเปล่า ถ้าไม่...พี่จะยอมรับข้อตกลงของนาย พี่จะไม่บังคับนาย ไม่รักก็คือไม่รัก คนไม่รักกันมันอยู่ด้วยกันรับผิดชอบลูกด้วยกันโดยอยู่เป็นครอบครัวไม่ได้หรอกพี่เข้าใจ แต่ถ้าเรายังรักกันอยู่ก็มาคุยกันดี ๆ ให้มีเหตุผลมากกว่านี้” เจย์เลนพ่นลมหายใจอย่างหมดความอดทนเมื่อถูกกล่าวหาว่าไม่มีเหตุผลทั้งคู่เริ่มอารมณ์คุกรุ่นมากขึ้นเถียงกันอย่างดุเดือดเสียงดังในเวลาต่อมา
"ผมไม่ใช่พี่ที่อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด เราไม่เหมือนกัน" เสียงหวานของอีโบนีบอกหนักแน่น
"เมื่อไหร่นายจะเลิกเป็นแบบนี้ ทำไมต้องทำให้ยากล่ะ ต้องการอะไรก็บอกสิ รู้สึกอะไรก็พูด มันง่าย ๆ แค่นี้เอง"
"ใครจะไปคิดง่าย ๆ แบบพี่ล่ะครับ เคยวางแผนอะไรในชีวิตบ้างไหม หรือทำตามใจตัวเองจนเคยชิน ทำอะไรนาทีต่อนาทีไม่มีการวางแผนมันดีเหรอครับ ช่วงเวลาที่เราเลิกกัน เยอะกว่าช่วงเวลาที่เราคบกันซะอีก แล้วพี่จะหวังให้เราเป็นครอบครัวกันได้ยังไง พี่เคยคิดถึงอนาคตไหมว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง!"
"พี่ถามว่านายรักพี่อยู่ไหม แต่นายก็เฉไฉนายไม่ตอบคำถามพี่เพราะยังรักพี่อยู่สินะ" ใช่เลยเจย์เลนถึงไม่ตอบปฏิเสธจนถึงตอนนี้ก็ยังเงียบเลือกที่จะไม่พูดเพราะไม่อยากโกหกหัวใจตัวเองไปมากกว่านี้ กียุลเลยต้องงัดไม้เด็ดออกมา
"งั้นนายต้องมาอยู่กับพี่โดยไม่มีข้อแม้ นายต้องให้พี่ดูแลต้องอยู่ใกล้พี่ตลอดเวลา"
"พี่บังคับผมไม่ได้" มือเรียววางเอกสารลงบนโต๊ะเสียงดังจากอารมณ์เดือดดาล อย่านะอย่ามาเล่นกับคนท้องเชียวโดนวีนเอาง่าย ๆ
"งั้นนายก็ต้องเลิกทำงานนี้ อย่างที่บอกถึงพี่อยากให้นายมาทำหนังเรื่องนี้ด้วยกันมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องให้พี่เลือกระหว่างความฝันกับนายและลูก พี่เลือกนายกับลูกอยู่แล้ว ผู้ช่วยผู้กำกับถ้าหามือดีไม่ได้จริง ๆ พี่ทำเองก็ได้ พี่นอนหลับไม่ได้อยู่แล้วพี่ทำงานได้ทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยตายพี่ก็ยอมเพื่อที่นายกับลูกจะได้ไม่ต้องมาทำงานหนัก"
"พี่กำลังหวังจะมัดมือชกผม เหมือนตอนขอผมแต่งงาน" ความปากแจ๋วนี้ถึงไม่ท้องเจย์เลนก็มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดแต่พอท้องมันก็โมโหง่ายขึ้นทีนี้มันก็เลยทวีคูณ ร่างเล็กเดินอ้อมโต๊ะประชุมเข้าไปหากียุลอย่างเอาเรื่อง
"ถ้าพี่ทำแบบนั้นจริง ๆ นายจะได้ทิ้งพี่ไปเหรอ? ตอนนั้นเราคงแต่งงานกันได้มีชีวิตอีกแบบไปแล้วไม่ใช่อยู่ทรมานเหมือนตอนนี้ ถามจริง ๆ ไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ พี่คิดถึงนายแทบขาดใจเลยเจย์เลน หวังอยากจะหลับเพื่อให้พี่หยุดคิดเรื่องนายบ้างพี่ก็ทำไม่ได้พี่คิดถึงนายมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง คิดถึงมาตลอดเจ็ดปี นายว่าพี่ทรมานไหมที่ต้องอยู่แบบนี้ ความผิดพลาดคำว่าคนไม่เอาไหนมันตามหลอกหลอนพี่มาตลอด เหมือนเรื่องของเราพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทุกวัน" ดวงตาดุจเหยี่ยวคลอไปด้วยน้ำใส ๆ ความทรมานของกียุลกำลังเอ่อล้น และนั่นทำให้เจย์เลนพลอยจะร้องไห้ตามไปด้วย
“พี่คิดถึงนายจริง ๆ นะเจย์ พี่รักนายเสมอ ให้พี่ดูแลนายกับลูกเถอะนะ มาอยู่กับพี่ นายทำงานได้แต่ต้องอย่าหักโหมต้องอยู่ใกล้ ๆ พี่ ได้ไหมเจย์ ฮึ่ก นะ พี่ขอร้อง ฮือออ” มือหนาคว้ามือเล็กกว่ามากุมไว้หยดน้ำตาใสไหลลงบนหลังมือให้ยิ่งสะเทือนใจพลันตอนนั้นเจย์เลนก็ไม่สามารถกดความรู้สึกได้อีกต่อไป
“ฮือออ ฮือออ พี่จะเสียใจเพราะผมอีกนะ ฮึ่ก ไม่เอาหรอกให้ผมอยู่ของผมเถอะ ผมดูแลตัวเองได้ ผมจะดูแลลูกให้ดีแต่เราอย่ามาใกล้กันเลย ฮืออออ” น้ำเสียงขึ้นจมูกบอกขณะพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เห็นดังนั้นกียุลจึงคว้าร่างเล็กมากอดแล้วลูบหลังปลอบขึ้นลงอย่างแผ่วเบาทั้งสองร่างร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
“อย่าร้องนะเจย์เลน ฮึ่ก อย่าปฏิเสธพี่อีกเลยด้วยให้พี่ได้ดูแลนายเถอะ ให้โอกาสพี่อีกครั้งนะให้พี่ได้ทำหน้าที่พ่อ ได้ทำหน้าที่คนรัก พี่จะทำให้ดีที่สุดไม่ให้นายกับลูกผิดหวัง” เจย์เลนร้องไห้หนักกว่าเดิมจากความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเดเข้ามาและหนึ่งในความรู้สึกนั้นคือความใจอ่อนเจย์เลนลังเลทว่าใจแข็งกว่าที่คิด
“ฮึ่ก ผมให้พี่ทำหน้าที่พ่อได้ แต่อย่างอื่นผมขอเวลาก่อน อย่าพึ่งให้ใครรู้เรื่องของเราด้วย พี่ต้องให้เวลาผมนะเราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฮือออ เราค่อยเป็นค่อยไปกันได้ไหม อย่าพึ่งเร่งรัดผมให้พื้นที่ผมได้ไหม พี่รู้จักผมมากกว่าใครนี่พี่น่าจะเข้าใจว่าผมต้องการอะไร” ร่างเล็กผละออกจากกอดมองใบหน้าหล่อที่น้ำตายังเอ่อนองแต่ไม่มีเสียงสะอื้น
“พี่เป็นห่วง นายแพ้ท้องหนักนะ จะอยู่คนเดียวได้ยังไง”
“ผมอยู่ได้ให้เวลาผมหน่อยเถอะ ผมขอร้อง ส่วนเรื่องงานพี่ก็ไม่ต้องห่วง ผมทำได้ ผมอยากทำงานนี้” ต่างคนต่างเช็ดน้ำตาให้กันแล้วขบคิดหาทางให้อีกฝ่ายรับข้อเสนอของตัวเอง เหตุผลที่เจย์เลนจะไม่ไปอยู่กับกียุลเด็ดขาดเพราะมันจะทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันจนวันเก่า ๆ กลับมาแล้วเจย์เลนก็อาจทำให้กียุลเสียใจเหมือนตอนนั้นอีก ส่วนกียุลก็ไม่มีทางปล่อยให้เจย์เลนอยู่คนเดียวเช่นกันเพราะคนท้องต้องมีคนดูแลเกิดเป็นอะไรขึ้นมากียุลคงขาดใจตาย
“ถ้าพี่ไม่ยอมผมจะพาลูกหนีจริง ๆ ด้วย ฮือออ”
“ไม่เอาสิไม่ร้องแล้ว โอ๋ ๆ โอเค ๆ ไม่ต้องมาอยู่บ้านพี่ แต่ต้องให้พี่ไปหาที่บ้านนะ ตอนทำงานก็ต้องอยู่ในสายตาพี่ตลอดเวลานะเข้าใจไหม” เจย์เลนก้มหน้าคางชิดอกปากอวบอิ่มบึนขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกขัดใจ แต่ก็คงต้องยอมรับข้อเสนอนี้ไปก่อนเพราะไม่งั้นวันนี้คงคุยกันไม่จบ
“ก็ได้ พี่ก็ต้องเว้นระยะห่างกับผมด้วย ผมยังไม่ชิน เว้นคือเว้น ถ้าผมบอกว่าไม่คือไม่”
“พี่จะพยายามนะ ไม่ร้องแล้วนะคนดี เงยหน้ามองพี่หน่อยครับ” เสียงหล่ออ้อนให้เจ้าของดวงตากลมใสเงยขึ้นมองสบตากับร่างสูงจังหวะนั้นราวกับมีแรงดึงดูดระหว่างพวกเขา เมื่อสายตาสบกันร่างกายเหมือนมีประจุไฟฟ้าไหลผ่านพวกเขาแผ่วเบาให้หวั่นไหวมือหนาจับท้ายทอยนุ่มนวลพลางลากลงมาลำคอระหงด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น ลมหายใจของทั้งสองคนเริ่มผิดจังหวะ
“ขอได้ไหม... พี่ทำลูกร้องไห้พี่อยากปลอบลูก” เสียงทุ้มพูดพลางหลุบตามองริมฝีปากอวบอิ่มเขายิ้มเจ้าเล่ห์และเจ้าของดวงตาเชื่อมหวานก็ไม่ยอมเปิดปากตอบ
“...”
ตักบาตรอย่าถามพระไปก่อนแล้วกัน กียุลทึกทักเอาเองก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปที่อวัยวะเดียวกันมอบจูบหวานละมุนให้แม่ของลูก มือข้างที่ว่างก็ลูบไล้หน้าท้องที่ตอนนี้ยังแบนราบอยู่ราวจะสื่อสารกับคนที่นอนอยู่ข้างใน ชวนให้ เจย์เลนเสียววูบที่ท้องน้อยขึ้นมาจากมวลจูบหวานและอารมณ์ที่ถูกปลุกได้ง่ายอีกทั้งยังรู้สึกอบอุ่นสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ทีมศิลป์เข้ามาประชุมห้องนี้เลยครับบบบบ ผมจองห้องประชุมไว้แล้ว ทีมกำกับคงประชุมเสร็จแล้-”
ʕ⊙ᴥ⊙ʔ
นี่คือสีหน้าของทีมงานที่เข้ามาเห็นฉากเลิฟซีนของผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับ ภาพชวนอีโรติกเกินจะบรรยายพานเอาทีมงานขาตายกันหมดโดยเฉพาะแทมินผู้นำทีมทะเล่อทะล่าเปิดบานประตูเข้ามา
“อื้อ อื้อ! ปึ่ก ปึ่ก อื้อ!” เจย์เลนทุบอกกียุลแล้วพยายามดันคนตัวใหญ่ให้ออกไปเมื่อรับรู้ได้ถึงบุคคลอื่น แต่ดูเหมือนกียุลจะไม่ได้สนใจหรือนึกอยากจะถอนจูบออกเลยเขาโอบกอดร่างเล็กแน่นขึ้นจูบเร่าร้อนขึ้นดึงดูดความสนใจให้แม่ของลูกเคลิบเคลิ้ม
“ขอโทษครับ ขอโทษครับพี่ พวกเราไปสิวะประชุมห้องข้าง ๆ แทน” นี่แหละที่กียุลต้องการ เห็นกันเยอะสิดีจะได้รู้ว่าเขาสองคนเป็นอะไรกัน ถึงเจย์เลนจะท้องอยู่เขาก็หึงหวงเพราะเจย์เลนเป็นคนที่มีเสน่ห์มากไม่ว่ากับเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน
“แฮ่ก แฮ่ก ไอ้บ้า!” เมื่อผละออกได้คนท้องอ่อนก็เขินหน้าแดงใบจนถึงใบหูก่อนจะนึกขึ้นได้เลยทุบอกแกร่งไปอีกทีทำหงุดหงิดกลบเกลื่อนความเก้อเขินแล้วรีบเดินออกไปจากห้องเดี๋ยวนั้น
“หึหึหึ นายจะต้องตกหลุมรักพี่อีกครั้งเจย์เลน นายหนีใจตัวเองไม่ได้หรอกพี่รู้” ผู้กำกับหนุ่มขำในลำคอและบ่นพึมพำอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข เขาก็แค่ยอมให้คนน้องก่อนเท่านั้นเพราะเดี๋ยวเขาจะตื๊อให้เจย์เลนกลับมารักเขาให้ได้เลย เขามั่นใจว่าเขาทำได้เพราะเจย์เลนยังรักเขาอยู่ รายนั้นเป็นคนที่แข็งนอกอ่อนในทั้งสองคนรู้จักกันมานานมันทำให้รู้ว่าจะต้องปราบพยศอีกฝ่ายแบบไหน
ตกค่ำวันนั้นที่ร้านอาหารริมทางของคุณป้าร้านประจำอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัทของกียุลเท่าไหร่นัก ห้าหนุ่มกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติพร้อมกับดื่มและกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเจย์เลนและกียุล คังจุน เรียวตะ แทมิน จินกู ได้ความกระจ่างว่าทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้วเริ่มคบกันตอนกียุลเข้าปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยโซล คบกันได้ห้าปีเจย์เลนเรียนจบกียุลขอแต่งงานแล้วโดนปฏิเสธจากนั้นก็เลิกกันไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว เพราะจู่ ๆ เจย์เลนก็หายไปจากชีวิตกียุลเลย ตัดขาดกันราวกับอยู่คนละโลก
จากนั้นหลังผ่านไปเกือบเจ็ดปีทั้งสองก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งด้วยฝีมือของจินกูโดยบังเอิญ เกิดมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันจนมีเจ้าตัวเล็กอยู่ในท้องเจย์เลน และบังเอิญไปกว่านั้นคือคังจุนรู้จักกับเจย์เลนด้วยเพราะเมื่อหกปีก่อนพวกเขาเจอกันที่คลับคุยกันถูกคอก็เลยคบกันมาจนถึงตอนนี้ และเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้คบกันมานานและสนิทกันแบบนี้ก็เพราะคังจุนอยู่กับเจย์เลนในช่วงเวลาที่ยากลำบากมาและนั่นเป็นช่วงหลังจากเลิกกับกียุลไปหนึ่งปีพ่อแม่ของเจย์เลนก็เสียชีวิต ตอนนั้นเจย์เลนเสียศูนย์ไปเลยก็ได้คังจุนนี่แหละช่วยเจย์เลนขึ้นมาจากเหวลึกแห่งความสูญเสีย
“ขอบใจนายที่ดูแลเจย์เลนแทนฉันมาตลอดนะคังจุน ไม่ได้นายเจย์เลนคงแย่”
“ไม่เป็นไร ฉันเห็นเจย์เลนเป็นน้องชายคนหนึ่ง เพื่อน้องชายฉันทำได้อยู่แล้ว” คังจุนมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงน้องชายแต่ก็ปรับสีหน้ามาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
“น้องเขาเป็นคนเข้าใจยากนะ” จินกูเอ่ยพลางกระดกโซจูเข้าปาก
“ก็ไม่นะจากที่ฉันรู้จักเจย์เลนมา แค่น้องมันชอบคิดมากชอบคิดอะไรที่พวกเราไม่คิด มองการณ์ไกลอะไรแบบนั้นอะ” คังจุนแย้งแล้วงับถั่วในมือกิน
“เจย์เลนเป็นคนละเอียด รอบคอบ มองอะไรอย่างลึกซึ้งไม่แปลกหรอกที่เราจะไม่ค่อยเข้าใจ พวกเรามันไม่ละเอียดอ่อน” กียุลเสริมสีหน้าเริ่มเครียดเพราะความคิดในหัว เขาอยากไปอยู่กับเจย์เลนแต่ดันโดนไล่มาก็เลยมาจบอยู่ที่นี่กับสี่หนุ่มนี่แหละใจเลยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
“แล้วพี่จะทำยังไงล่ะครับ พี่เจย์เลนเขาดื้อมากเลยนะเนี่ย ปล่อยให้อยู่แบบนั้นก็อันตรายด้วยอยู่คนเดียวเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะแย่นะครับ” เรียวตะแสดงความเป็นห่วงเมื่อคิดทบทวนช่วยรุ่นพี่
“พี่ก็หอบข้าวของไปอยู่กับพี่เจย์เลนเลยสิครับ” แทมินโพล่งออกมาแม้ตาจะจดจ่ออยู่กับเกมที่เล่นอยู่
“พี่ทำแล้วเมื่อเย็นเลยโดนไล่ออกมานี่ไง ต้องให้เวลาอีกสักพักถึงจะใจอ่อน ต้องรู้ให้ได้ว่าเจย์เลนคิดอะไรอยู่ทำไมถึงต่อต้านพี่ขนาดนี้ ไม่งั้นพี่คงทำอะไรไม่ได้ เจย์เลนชัดเจนและแม่นยำในสิ่งที่ตัดสินใจถ้าเขาตัดสินใจทำอะไรไปแล้วก็ยากที่จะไปเปลี่ยนใจเขา” อีกสี่คนถึงกับกุมขมับไม่รู้จะช่วยกียุลยังไงมืดแปดด้านหันไปทางไหนก็มีทางตัน แต่อย่างที่ว่าต้องใช้เวลาสักหน่อยกียุลเลยต้องทำใจรอ เขามีความหวังนะไม่ได้มืดมนหนทางขนาดนั้น
“เอาน่าพี่สู้ ๆ ยังไงก็มีเจ้าตัวเล็กในท้องพี่เจย์เลนเป็นโซ่ทองคล้องใจ ยังไง๊ ยังไง ก็จบแฮปปี้น่ะพี่ ผมเดาตอนจบได้เลย พี่เป็นผู้กำกับเองแท้ ๆ ทำไมเดาไม่ออก นี่เข้าพล็อตละครเย็นช่องเอ็มบีอีเลยนะ ฮ่า ๆ ๆ” เรียวตะคนอายุน้อยสุดว่าพลางหัวเราะร่วน
“กียุลมันดูช่องเอ็มบีอีที่ไหนล่ะ จำไม่ได้เหรอปีที่แล้วโดนกองเซนเซอร์ช่องนั้นแบนตั้งเยอะ กียุลนี่หัวหมุนถ่ายใหม่แทบตาย พูดแล้วยังสยองไม่หาย จำได้ว่าไม่ได้นอนสี่วันเต็ม ๆ อัดกาแฟใจสั่นเกือบช็อก” จินกูบ่นกระปอดกระแปดและเมื่อทุกคนนึกได้ก็ทำหน้าสยองขวัญกันหมดเพราะเป็นความทรงจำที่โหดร้ายไม่น้อย
“แล้วพี่ซีคเป็นไงบ้างอะพี่ วิดิโอคอลหาเขาหน่อยไหม”
“พึ่งคุยกับมันเรื่องเจย์เลนเมื่อเย็นนี่เอง ปล่อยมันพักผ่อนเถอะ”
“พี่สามคนนี่เก่งนะครับเข้ามหาลัยฯ โซลได้ ผมนี่สอบไม่ติดเลยต้องไปเรียนอยู่แดกู” เสียงทุ้มของแทมินดังขึ้นและสายตายังคงจ้องอยู่ที่เกมเหมือนเคย
“พี่กับเจย์เลนตั้งใจเข้าที่นี่ด้วยกัน พี่เข้าไปเจอไอ้ซีคก่อน แล้วก็สนิทกันอยู่สามคนแม้จะเรียนกันคนละชั้นปี พวกพี่มันเป็นพวกบ้าพลังทำงานกองไหนก็เวลาแหกหมดทำคนอื่นไม่ได้หลับได้นอน คนในคณะเลยขยาดพวกพี่ ฮ่า ๆ” กียุลมีความสุขเมื่อนึกถึงวันเก่า ๆ มันสนุกและมีความสุขที่สุดในชีวิตเขาเลย
“โลกกลมเหมือนกันนะ คนมันจะเจอกันยังไงก็เจอจริง ๆ ว่ะ หนีไม่พ้น” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับจินกูเหมือนพวกเขามีสายใยที่มองไม่เห็นติดตัวอยู่และรอคอยวันที่คนอยู่เบื้องหลังจะชักใยเหล่านั้นให้พวกเขามาเจอกันสักวันไม่ช้าก็เร็ว
“ทะเลหม้อไฟกับโซจูมาเพิ่มแล้วจ้ะหนุ่ม ๆ โทษทีนะจ๊ะวันนี้คนเยอะไปหน่อย แล้วเจ้าซีคไปไหนล่ะลูก ทำไมมากันห้าคน” คุณป้าหน้าตาใจดียิ้มขอโทษขอโพยก่อนจะชวนคุยพลางเก็บจานที่พวกเขากินกันจนเกลี้ยงแล้วไปก่อนเติมของใหม่ให้
“ไม่เป็นอะไรครับป้า ส่วนพี่ซีคเขาเกิดอุบัติเหตุเลยอยู่ที่โรงพยาบาลครับ คงไม่ได้มาหาป้าสักพักใหญ่ แต่ป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับพี่ซีคเขาตายยากครับ ฮ่า ๆ ผมขอซุนแดอีกที่ด้วยนะครับ”
“ได้เลยจ้ะเรียวตะหนุ่มน้อยของป้า ขอให้เจ้าซีคหายเร็ว ๆ นะ ยังไงถ้าเจ้าซีคหายดีแล้วต้องพามาหาป้าเลยนะ ป้าคิดถึง”
“ได้เลยครับป้า”
“ผมขอไก่ทอดซอสเผ็ดกับแนงมยอนด้วยครับป้า ขอบคุณนะครับ”
“ได้จ้าป้าจัดพิเศษให้เลยนะ แทมินสุดหล่อ”
จินกู คังจุน กียุล นั่งมองสองมักเน่น้องเล็กของกลุ่มจีบคุณป้าพร้อมสั่งอาหารอย่างนึกสงสัยมาร้านอาหารข้างทางที่มีแต่พนักงานออฟฟิศมาดื่มหลังเลิกงานเป็นหลักแต่สองคนนี้สั่งอาหารกินอย่างกับร้านอาหารเย็นจัดเต็ม
“ไปหิวมาจากไหนกัน”
“ข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องเลยพี่ผมอะ ก่อนมาหาพวกพี่ผมอยู่แทจอนนะมีถ่ายงานที่นั่น”
“ผมเหมือนกัน กองเดียวกับมันครับ”
“จะเปิดกล้องหนังเราอยู่แล้วนายสองคนยังไม่เลิกรับงานนอกอีกนะ”
“ไม่รับเอาไรผ่อนบ้านล่ะพี่ อพาร์ตเมนท์ในคังนัมแพงหูฉี่ ไหนจะค่ายา Anti-VGL อีก ผมจัดการเวลาได้น่า เปิดกองพี่ปุ๊บผมว่างปั๊บ”
“ให้มันจริงนะ” กียุลคาดโทษรุ่นน้องก่อนจะรินโซจูให้
ช่วงเวลานี้ในย่านคังนัมเป็นช่วงเวลาที่ครึกครื้นมากเป็นพิเศษเพราะเป็นแหล่งใจกลางเมืองโซล บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คนและหุ่นยนต์ที่เดินขวักไขว่บ้างรีบกลับบ้าน บ้างก็รีบไปสังสรรค์ หรือไปทำงาน ห้าหนุ่มผู้หน้าตาดีโดดเด่นอย่างกับคนในวงการบันเทิงก็ยังคงดื่มและกินอาหารกันต่อไปเคล้าเสียงหัวเราะที่ปกติเสียงหัวเราะจะดังกว่านี้ถ้าซีคมาด้วยกันเป็นหกหนุ่มขาประจำร้านคุณป้า
“นายไปคุยยังไงนะคังจุน เจย์เลนถึงยอมมาทำหนังเรื่องนี้ด้วย”
“โห่ ฉันขอร้องแทบตายกว่าจะยอม ฉันไปพูดสะกิดใจน้องมัน ฉันบอกว่าหนังเรื่องนี้มันมากกว่าหนังมันคือความฝันของทุกคนที่มาทำ เจย์เลนก็เงียบไปเลยก่อนจะตัดสินใจทำน่าจะโดนจุด ตอนฉันรู้ว่าน้องมันท้องฉันบอกให้เลิกทำยังไม่ยอมเลยยืนยันจะทำต่อทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมทำเด็ดขาด” กียุลพอจะนึกออกแล้วว่าทำไมเจย์เลนถึงคิดจะทำงานต่อทั้งที่ก่อนหน้าไม่อยากทำ คงเพราะเรื่องที่พวกเขาเคยคิดจะทำร่วมกันเมื่อตอนยังเด็ก....
“เออฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอก พึ่งนึกได้ เราจะได้ช่วยกันดูแล เจย์เลนมีอาการหูแว่วนะ ชอบได้ยินเสียงคนเรียก”
“ยังไง?”
“ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่ออะ เป็นมาตั้งแต่ฉันเจอเจย์เลนเลย เสียงจะชอบเรียกให้เจย์เลนไปอยู่ในที่อันตราย”
“อันนี้ป่วยหรือผีหลอกอะพี่” เรียวตะถามใบหน้าเริ่มเสียเพราะกลัวผีที่สุดในกลุ่ม
“ไม่รู้ว่ะ พี่เคยพาไปหาหมอ หมอหลายที่วินิจฉัยไม่เหมือนกันเลย ให้ยามากินก็ไม่หาย ล่าสุดบอกว่าเป็นโรคลมหลับ นี่พาไปหายันหมอผีเลยนะแล้วก็ไม่ได้ความ จิตแพทย์ก็ไปหามาแล้ว จนไปอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตว่ามันคือแฝดปีศาจ”
“ไม่น่าใช่ชื่อโรค” จินกูเอ่ยใบหน้าเริ่มแดงจากอาการเมาเพราะเอาแต่ดื่มไม่ค่อยคุยเหมือนคนอื่น
“อ๋อ ๆ ไอ้นี่ปะพี่ ด็อพเพิลเก็งเงอร์ ผมเคยดูข่าวนะครับ เมื่อปีสองปีที่แล้วที่เกิดคดีฆาตกรรมฝาแฝดแต่ครอบครัวของคนที่ถูกฆ่ายืนยันว่าลูกเขาไม่มีฝาแฝดเป็นลูกคนเดียว” แทมินเล่าเรื่องราวให้ฟังถึงขั้นปิดเกมที่เล่นอยู่ทุกคนจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“แล้วยังไงต่อ” กียุลสนใจมากและเริ่มห่วงเจย์เลนมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“มันมีหลักฐานหมดเลยนะครับว่าคนที่ถูกฆ่า ตายด้วยฝีมือของคนที่หน้าเหมือนกันเลยถูกเรียกว่าคดีฆาตกรรมฝาแฝด คลิปหลุดออกมาเต็มเลยมันชัดเจนมาก แต่สุดท้ายข่าวนี้ก็เงียบไป แล้วตำรวจไซเบอร์ก็ออกมาบอกว่าจับคนร้ายได้แล้วซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงไหมนะครับ ชาวเน็ตออกมาตั้งข้อสันนิษฐานกันเต็มเลย บางคนบอกว่าอาจเป็นฝีมือ AI หรือร่างโคลนนิ่ง หรือพวกฆาตกรต่อเนื่องที่ใช้อุปกรณ์พิเศษพรางตัวมาก่อเหตุ”
“ฉันจำได้แล้วเหมือนว่าจะมีช่องไหนเอาเรื่องนี้ไปทำเป็นซีรีส์ด้วยนะ ใกล้ออนแอร์แล้วด้วย” เรียวตะว่าแล้วหันข้างนำมือป้องปากดื่มโซจูก่อนจะพูดต่อ
“แต่มันถูกปัดตกไปนะไอ้เรื่อง AI หรือร่างโคลน ส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่าเป็นด็อพเพิลเก็งเงอร์ข้ามมิติมาฆ่าฝาแฝดจริง ๆ เพราะมีข่าวลือออกมาว่ารัฐบาลเราเปิดประตูมิติไปโลกอื่นได้มันก็คงจะเข้ามาทางนี้ เขาก็เดากันไปต่าง ๆ นานา นะครับ แต่ผมบอกเลยว่าแฮ็กเกอร์ที่เอาข่าวรัฐบาลมาปล่อยอะน่าเชื่ออยู่ ทุกครั้งที่มีข่าวหลุดพอเวลาผ่านไปพักใหญ่มันจะเกิดขึ้นจริงตามข่าวลือเลย แล้วถ้ารัฐบาลยิ่งออกมาปฏิเสธก็คือเรื่องจริงแน่นอน ยิ่งบอกไม่ให้เราตื่นตระหนกยิ่งต้องตื่นตระหนกเลยครับ โคตรไว้ใจไม่ได้”
“รายละเอียดการฆ่าเป็นยังไง ก่อนลงมือ ฆาตกรทำยังไงบ้าง” กียุลถาม
“ผมจำไม่ได้แล้ว เดี๋ยวผมเสิร์ชก่อน อะเจอแล้ว ผู้ตายมีอาการหูแว่วได้ยินเสียงเรียกอยู่ในหัวบ่อยครั้งมาก แล้วจะถูกควบคุมร่างกายด้วยเสียงนั้นเพื่อให้ไปทำสิ่งอันตรายถึงชีวิต ให้ไปฆ่าตัวตาย ครอบครัวพาไปพบจิตแพทย์แต่อาการไม่ดีขึ้น เป็นหนักขึ้นกระทั่งผู้ตายเห็นภาพหลอนเป็นตัวเขาอีกคนที่พยายามทำร้ายตัวเขา”
“อาการมันคล้ายกันมากเลยว่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันพาเจย์เลนไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำฮัน เจย์เลนก็เดินหลับเหมือนคนละเมอเข้าไปหาแม่น้ำจะเดินลงน้ำให้ได้ ฉันต้องรีบไปช่วยไว้แต่ก็เอาไม่อยู่ มันแปลกไหมล่ะฉันตัวใหญ่กว่าเจย์เลนตั้งเยอะแต่ไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้จนต้องลงน้ำด้วยกันไปทั้งคู่ เกือบตายทั้งฉันทั้งน้องมันเลย ดีคนแถวนั้นเข้ามาช่วยไว้ คนห้าคนช่วยฉันสองคน บ้าไหมล่ะ” เหตุการณ์คล้ายกับตอนที่กียุลไปช่วยเจย์เลนที่กำลังเดินไปกลางถนนเลย ตอนนั้นที่เห็นอาการเจย์เลนก็ดูเป็นไปตามที่คังจุนบอกจะผิดกันแค่ตรงที่ของคังจุนดูร้ายแรงกว่านิดหน่อย ดวงตาผู้กำกับหนุ่มมีแต่ความหวั่นวิตกแบบนี้ยิ่งปล่อยให้เจย์เลนอยู่คนเดียวไม่ได้
“ขนลุกว่ะ”
“แล้วที่ผ่านมาทำไงอะพี่จุน อยู่คนเดียวไม่ได้เลยนะครับแบบนี้”
“ก็ไม่ได้เป็นบ่อยนะ จะเป็นตอนที่ร่างกายอ่อนแอ เสียงเรียกจะมาถ้าร่างกายอ่อนแอมาก เจย์เลนบอกว่าจะได้ยินเสียงดังชัดแล้วก็เหมือนไม่มีสติไปช่วงหนึ่งเลย ถ้าร่างกายไม่ได้อ่อนแอมากมันก็จะมาเป็นเสียงแว่วแล้วก็พอจะมีสติ แต่เจย์เลนแข็งแรงไม่ต้องห่วงหรอก” คังจุนนี่แหละตัวเป็นห่วงถึงได้ไปนอนค้างด้วยบ่อย ๆ ล่าสุดยิ่งรู้ว่าน้องท้องยิ่งขอไปนอนด้วยแต่ก็โดนไล่มาเหมือนกียุลนั่นแหละ ตอนนี้ทุกคนกำลังพยายามวิเคราะห์สิ่งที่คังจุนและแทมินพูดเพราะมันเหลือเชื่อจนยากที่จะเชื่อได้เลยหลังจากฟังจบ
“แต่เจย์เลนท้องร่างกายก็อ่อนแอลงปะวะ” กียุลว่าขึ้นเมื่อพึ่งจะคิดได้แล้วรีบพรวดพราดลุกออกไปก่อนจะวิ่ง
และในขณะเดียวกันนั้นเองที่อพาร์ตเมนท์สุดหรูชั้นบนสุด ชายร่างเล็กกำลังนอนดูหนังกินป๊อปคอร์นอยู่ที่โซฟาก็เกิดได้ยินเสียงนั้นอีกแล้ว จะมีใครมาช่วยเจย์เลนได้ไหมนะ...
‘เดินไปที่ระเบียงสิเจย์เลน...’
‘เดินไปดูด้านล่างแล้วกระโดดลงไปซะ...’
ร่างเล็กเดินเหม่อลอยตรงไปที่ระเบียงกว้างท่ามกลางทิวทัศน์งดงามในยามค่ำคืนของกรุงโซลจากตรงนี้ที่เพนต์เฮาส์ชั้นบนสุดของอพาร์ตเมนท์หรูหากตกลงไปคงไม่ต้องหวังว่าจะมีชีวิตรอด
.
.
.
.
.
.
●—————◦◉◦—————●
โปรดติดตามตอนต่อไป...
พี่กียุลไปช่วยน้องด่วนเลยยยยยยย แงงงงง น้องอย่าเป็นอะไรนะคะ ฮืออออ เสียงเรียกนั้นน่ากลัวมากแกจะมาทำน้องทำไม
พี่กียุลวิ่งค่ะวิ่งงงงงง
มาคุยเล่นเม้านิยาย หวีดพี่กียุลกับน้องเจย์เลน ได้ที่แฮชแท็กในทวิตเตอร์ #อรุณสวัสดิ์ความรักของผม
รอคุยกับทุกคนอยู่นะคะ เหงาฝุด ๆ
ฝากกดติดตาม กดหัวใจ เก็บเข้าชั้น คอมเมนต์ เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะที่รัก
1 คอมเมนต์ = 1 กำลังใจ
จะตั้งใจเขียนออกมาให้ดีที่สุด เพื่อให้ทุกคนสนุกกับนิยายเรื่องนี้นะคะ
ปกติจะลงทุกวัน ศุกร์-เสาร์ นะคะ สายฟรีรอ 2 วันนี้เลยนะคะ
วันอาทิตย์จะลงเป็นตอนล่วงหน้าให้อ่านกันค่ะ (อันนี้ติดเหรียญน้าา)
ลงจบเรื่องแล้วจะติดเหรียญนะคะ มาอ่านไปพร้อม ๆ กันก่อนติดเหรียญนะคะ (เขียนจบแน่นอนค่ะเรื่องนี้เขียนตุนไว้เกือบจบแล้วค้าบ)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เล่นแท็ก คอมเมนต์ไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ รักนะคับ!
สแว็กเกิร์ล หัวใจ คุณนักอ่าน