8 ตอน Special Episode : In the past
โดย DarkchocolatE
Special Episode 1 : In the past
ณ ทวีปอันกว้างใหญ่ประกอบด้วยอาณาจักรมากมายและหนึ่งในนั้นคือ อาณาจักรอาโพโลเนีย ตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปซึ่งปกครองโดยราชวงศ์ ‘คิวรินุส’ แห่งจักรวรรดิมาเนินนานและสืบทอดมาจนถึง องค์จักรพรรดิแห่งอาโพโลเนียที่ 8 อพอลโล ดิ คิวรินุส ลาเบนซิส หรือองค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ภายในอาณาจักรถูกแบ่งเป็นห้าเขตด้วยกัน โดยมีเขตรอบนอกคือเขตบลูคลินมีชายแดนติดอาณาจักรริโอเนีย เขตคิงส์ลีย์ติดกับอาณาจักรเนฟฟอร์ต เขตอาซิลิโนมีชายแดนติดทะเลและติดกับเขตโอซิเนีย ซึ่งเขตโอซิเนียนั้นเป็นเขตปิดของอาณาจักรไม่อนุญาติให้ประชาชนเข้าไปในเขตนั้นได้ถึงแม้จะเป็นเขตที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติแต่เนื่องด้วยเหตุผลบางประการจึงมีกฎห้ามประชาชนเข้าใกล้เขตโอซิเนีย ซึ่งมีการเฝ้าระวังที่ค่อนข้างแน่นหนาและเข้มงวด ส่วนเขตสุดท้ายคือเขตอาโพเลียซึ่งเป็นเขตที่ประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเขตตัวเมืองของอาณาจักรเนื่องจากมีความเจริญที่ค่อนข้างมาก และภายในเขตอาโพเลียเองก็เป็นเขตที่ผู้มีอำนาจสูงสุดหรือองค์จักรพรรดิอาศัยอยู่ในราชวังซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองและมีหอคอยสูงเพื่อสอดส่องดูความปลอดภัยของประชาชนและอาณาจักร
ณ ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มตัว ท้องฟ้าปลอดโปร่งเต็มไปด้วยกองเมฆสีขาวปุกปุยจนอดเผลอจินตนาการว่าเป็นเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ไม่ได้ บรรยากาศที่ไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป กลิ่นอายจางๆ ของดอกไม้ในสวนดอกไม้ของเขตราชวังให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านพร้อมกับใบไม้สีส้มพริ้วไหวตามแรงลม ภายในอาคารขนาดใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่า ราชวังอาโพเลีย เสียงฝีเท้าก้าวรัวๆ บนทางเดินโถงยาวที่ถูกประดับด้วยภาพเสมือนของจักรพรรดิองค์ก่อนๆ และสิ่งของมีค่าถูกนำมาประดับตกแต่งมากมาย ร่างของเด็กชายวัยเจ็ดขวบผู้มีเรือนผมสีคราม นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกายงดงามต่อผู้พบเห็นและมันคืออีกสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเขาคือองค์ชายแห่งอาณาจักรอาโพโลเนียแห่งนี้ เขายืนหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่ก่อนที่ประตูนั้นจะถูกเปิดโดยอัศวินองค์ครักษ์ที่ประจำการอยู่บริเวณนั้น เด็กชายไม่รอช้าจึงรีบก้าวเท้าเข้าไปทันที
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะส่งเรื่องไปยังลูซิโอเนีย...” ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ใบหน้าที่เคร่งเครียดของทั้งสองจ้องมองเอกสารตรงหน้าและไล่อ่านอย่างถี่ถ้วน ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แต่องค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีกลับยังคงนั่งทรงงานอยู่ภายในห้องทำงานส่วนพระองค์พร้อมกับเอกสารมากมายกองอยู่ตรงหน้าพวกเขา ทว่าเมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนเข้ามาในห้อง เอกสารที่อยู่ในมือนั้นก็ถูกวางลงทันทีก่อนที่ผู้เป็นพ่อของเด็กชายตรงหน้านั้นจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัย “มีอะไรรึ อาชูร่า?”
ทว่าสีหน้าของเด็กชายตรงหน้านั้นกลับไม่สดใสอย่างเช่นทุกวัน แม้ว่าโดยปกติเขามักจะไม่แสดงรอยยิ้มออกมามากนักแต่ครั้งนี้มันกลับผิดปกติต่างจากทุกครั้ง “คือว่า...” นัยน์ตาของเขาหลุบลงต่ำราวกับกำลังคิดบางอย่าง “ไม่เอาดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าเด็กชายตั้งท่าจะเดินกลับ ผู้เป็นพ่อจึงลุกขึ้นและเดินเข้าไปอุ้มร่างนั้นมาไว้ในอ้อมกอดก่อนที่จะเดินกลับมานั่งที่โซฟาอีกครั้งซึ่งมีผู้เป็นแม่นั่งอยู่ข้างๆ “กำลังกังวลอะไรอยู่งั้นหรอ?” อพอลโล่เอ่ยถามเด็กชายที่นั่งอยู่บนตักของตน เขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกันที่เห็นบุตรชายของตนเป็นเช่นนี้ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็พร้อมที่จะรับฟังทุกอย่างและไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็จะอยู่ข้างเด็กชายผู้นี้เสมอ “เจ้าว่ามาเถอะ”
“ข้ากำลังรู้สึกหนักใจพ่ะย่ะค่ะ” อาชูร่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความลำบากใจ คิ้วเล็กได้รูปของเขาขมวดเป็นปมเล็กๆ ราวกับลูกสุนัขหูตกบ่งบอกได้ชัดว่ากำลังวิตกกังวลกับเรื่องบางอย่างเป็นแน่
“หนักใจ? เรื่องอะไรกัน?”
“ก็สตาร์ลิ่งน่ะสิ”
“หืม?” คำตอบของเขาทำเอาผู้เป็นพ่อและแม่เลิกคิ้ว ทั้งที่โดยปกติแล้วเด็กชายตรงหน้ามักจะดูมีความสุขทุกครั้งเวลาที่เพื่อนที่สนิทมากที่สุดหรือเด็กสาวผู้มีนามว่า สตาร์ลิ่ง บลูคลิน นั้นมาเล่นด้วยกันที่ราชวังแห่งนี้ คงจะทะเลาะกันอย่างเช่นทุกทีรึเปล่านะ? แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นทว่าทุกครั้งที่เด็กตัวน้อยทั้งสองคนทะเลาะกัน อาชูร่าไม่เคยหนักใจถึงขนาดนี้มาก่อน “เจ้าไม่อยากเล่นกับสตาร์ลิ่งแล้วงั้นหรอ?”
“ไม่ ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่แบบนั้น” อาชูร่ารีบตอบทันควันพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ “คือ...ไม่รู้สิ เวลาที่มีสตาร์ลิ่งอยู่ด้วยข้ามีความสุขมากๆ แต่หลังจากสตาร์ลิ่งกลับไปข้าก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา ในใจก็รู้สึกโหว่งเหวงอย่างบอกไม่ถูกและมันก็เป็นเช่นนี้มานานมากขึ้นทุกวันเสียจนข้ารู้สึกรำคาญตัวเองที่เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ทุกเช้าที่ตื่นก็มีแต่เฝ้ารอการมาเยือนของเธอเสียจนข้าอยากให้เธอมาอยู่ที่วังด้วยกันจะได้ไม่ต้องไปมาอย่างทุกวัน” เด็กชายไหล่ตก “...ข้าไม่อยากให้เธอไป”
“คงจะเหงาสินะ” อพอลโลวางมือลงบนศีรษะของบุตรชายของตนและโยกมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ตลอดสองปีที่ผ่านมาเพราะภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับและปฏิเสธไม่ได้จึงไม่อาจไปเล่นหรืออยู่เป็นเพื่อนเขาได้เลย มีเพียงสตาร์ลิ่งที่มักจะมาเล่นที่นี่เป็นประจำเพื่อเป็นเพื่อนให้กับเขาเท่านั้น แต่พอเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้เธอไม่ได้มาเล่นด้วยกันก็คงอดรู้สึกเหงาไม่ได้ เห็นเช่นนี้เขาก็คงต้องรีบจัดการงานที่ค้างคานี่เสียแล้ว
“มันคือความเหงางั้นหรือพะยะค่ะ?” อาชูร่าเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อ
ทว่าก่อนที่อพอลโลจะได้เอ่ยต่อ เดียร์อาน่าหรือผู้เป็นแม่นั้นเขยิบตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้ฝ่ามือตีต้นแขนของสามีเบาๆ และจิ๊ปากเอ่ย เจ้านี่ไม่รู้เรื่องจริงๆ ก่อนที่จะอุ้มร่างของเด็กชายให้มานั่งบนโซฟาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เธอส่งยิ้มให้เด็กชาย “เจ้าอยากอยู่กับสตาร์ลิ่งตลอดไปเลยงั้นหรอ?”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ถึงบางครั้งเธอจะขี้แยจนน่าแกล้งไปสักหน่อยก็เถอะแต่ทุกครั้งที่เธอยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สดใสและงดงามที่สุดโดยเฉพาะเวลาที่เธอมีความสุขไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยเสียจนข้าอยากจะปกป้องไม่อยากให้รอยยิ้มนั้นหายไป...” สายตาของเดียร์อาน่าและอพอลโลจ้องมองบุตรชายของพวกเขาก่อนที่สายตาจะมองกันและกันราวกับพูดคุยบางอย่างผ่านทางสายตาพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างอดไม่ได้เพราะใบหน้าของอาชูร่าในขณะนี้นั้นกำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับพวงแก้มที่ออกสีแดงระรื่อเล็กน้อยราวกับในหัวกำลังนึกถึงบุคคลที่เขากำลังเอ่ยถึง
“เจ้าเด็กน้อย” อพอลโลเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับวางมือบนศีรษะของบุตรชาย “รอเจ้าโตกว่านี้อีกสักนิดแล้วเจ้าจะเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้มากกว่านี้เองนะ” อาชูร่าพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ สายตาที่หลุบลงต่ำราวกับลูกสุนัขตัวน้อยหูตกหางตก
“เจ้าชอบสตาร์ลิ่งงั้นหรอ?”
“เปล่าสักหน่อย” ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นจากผู้เป็นแม่ เด็กชายเอ่ยปฏิเสธทันควัน ทั้งศีรษะที่ส่ายไปมาและฝ่ามือน้อยๆ ที่โบกไปมาเพื่อยืนยันคำตอบจากที่เขาเอ่ย พวงแก้มที่ออกสีแดงระรื่ออยู่แล้วนั้นก็เริ่มมีสีเข้มมากขึ้นราวกับมะเขือเทศก็มิปาน “เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของข้าเท่านั้น มะ ไม่ได้ชอบเลยสักนิด ไม่เลยสักนิดเดียว แม้แต่นิดเดียวก็ไม่”
เพราะท่าทีของเขาที่พยายามปฏิเสธทำเอาผู้เป็นบิดามารดานั้นมองหน้ากันก่อนที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง เด็กชายที่นั่งอยู่จึงกอดอกพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึงทันที พวกเขารู้ว่าบุตรชายของตนนั้นกำลังรู้สึกอะไร ความรู้สึกเหล่านั้นราวกับเป็นกระจกสะท้อนภาพของพวกเขาทั้งสองคนในอดีต อดีตที่มีเพียงพวกเขาสองคนที่รู้ นัยน์ตาสีมรกตของชายหนุ่มสื่อให้เห็นถึงความหวานชื่นมองไปยังบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา เรือนผมยาวหยักศกอ่อนในช่วงปลายสีดอกลาเวนเดอร์และนัยน์ตาที่มีสีเข้มกว่าเล็กน้อยนั้นไม่ว่าจะมองลึกเข้าไปสักกี่ครั้งก็ทำให้เขารู้สึกราวกับต้องด้วยมนต์สะกตที่ไม่อาจลบล้าง ริมฝีปากหยักขยับเอ่ยกับเธอ “ปากแข็งเหมือนเจ้าเลยนะเดียร์อาน่า”
“ข้าไม่ได้ปากแข็งสักหน่อย”
“แต่ข้าเป็นคนบอกรักเจ้าก่อนนะ”
“ก็ตอนนั้นเจ้าแค่ฉวยโอกาสพูดก่อนเท่านั้น” นัยน์ตาสีดอกลาเวนเดอร์มองประสานกลับไปยังคู่สนทนาราวกับกำลังประชันสายตา “ที่จริงแล้วข้ารู้สึกก่อนเจ้าเสียอีก”
“งั้นหรอ แต่ข้า...”
“นี่ท่านพ่อ ท่านแม่! อย่าพึ่งมาจู๋จี๋กันได้ไหม? ข้ากำลังกังวลนะพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนที่การประชันความทรงจำแรกเริ่มอันหวานชื่นจะเริ่มขึ้น อาชูร่าที่ได้แต่เงยหน้าฟังบทสนทนาของพ่อแม่เหนือศีรษะของตนราวกับว่าทั้งคู่ได้ลืมไปแล้วว่ายังมีเขาที่นั่งอยู่จึงเอ่ยขึ้น
ริมฝีปากบางอมชมพูขยับอย่างไร้เสียงให้กับสามี ‘เพราะเจ้าคนเดียวเลย อพอลโล’ ด้วยใบหน้าที่แสดงถึงว่ากำลังดุคนตรงหน้าอยู่ อพอลโลจึงได้แต่หัวเราะออกมาพร้อมกับมือหนาที่เคลื่อนไปสัมผัสท้ายทอยของตนแก้เขิน “โทษทีนะ” เขาเอ่ย “แต่เธอคงจะมาอยู่ที่วังด้วยกันไม่ได้หรอกนะ สตาร์ลิ่งเองก็มีครอบครัวจะมาอยู่กับพวกเราไม่ได้หรอก เว้นแต่ว่า...”
“ว่า?”
“รอเจ้าโต...”
อาชูร่าเลิกคิ้ว “ทำไมต้องรอข้าโตอยู่เรื่อยเลยล่ะ? บอกตอนนี้เลยไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
อพอลโลมองกลับไปยังภรรยาก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ และเอ่ยกับเด็กชาย “เว้นแต่ว่า ในอนาคตพวกเจ้าสองคนจะรักกันจริงๆ น่ะนะ”
“มะ ไม่มีทาง” สิ้นประโยคที่ผู้เป็นพ่อเอ่ย นัยน์ตาสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับคนที่โตกว่าก็เบิกขึ้นด้วยความตกใจ ความร้อนเริ่มก่อตัวที่กรอบหน้าจนต้องก้มใบหน้าลงมองพื้นเพราะไม่อยากให้ใครเห็น จักรพรรดิเอ่ย ‘สักวันเจ้าจะเข้าใจเอง อาชูร่า’ เบาๆ พร้อมกับฝ่ามือที่เคลื่อนไปสัมผัสศีรษะของเด็กชายอีกครั้ง ทว่าอาชูร่ากลับลุกขึ้นทั้งๆ ที่ใบหน้านั้นยังคงก้มมองพื้นก่อนที่จะเอ่ย “ข้าไปอ่านหนังสือก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” และออกจากห้องนี้ไปทันที
เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นพรมรัวๆ บนทางโถงมุ่งหน้าไปยังจุดหมายคือห้องที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากห้องเมื่อครู่นัก เมื่อมาถึงที่หมายประตูก็ถูกเปิดออกก่อนที่จะล็อกกลอนจากด้านใน เสียงลมหายใจเหนื่อยหอบไม่เป็นจังหวะเกิดจากการวิ่งเมื่อครู่พร้อมกับภายในอกข้างซ้ายที่เต้นระรัวซึ่งไม่รู้ว่าเกิดจากการวิ่งหรือเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันเมื่อครู่กันแน่ ฝีเท้าก้าวเดินไปยังเตียงนอนที่มีผ้าห่มที่ไม่ถูกพับให้เรียบร้อยก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอน สายตามองเหม่อไปยังเพดานสีขาวสะอาดพร้อมกับความคิดมากมายที่เริ่มก่อตัวขึ้น
“ไม่มีทาง!” เขาเอ่ยออกมาเสียงดังขัดกับความรู้สึกที่มีอยู่ในใจดวงน้อยๆ นั่นพร้อมกับนำหมอนใบใหญ่มาปิดที่ใบหน้าของตน “เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ทว่าอีกฝั่งหลังประตูบานใหญ่ที่ถูกล็อกจากด้านในนั้น มีชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งในชุดเครื่องแบบเต็มยศนั้นกำลังเอาหูแนบกับประตูทำเอาเหล่าสาวใช้และอัศวินองค์รักษ์ที่คอยคุ้มกันอยู่นั้นถึงกับแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามล่องลอยในหัว แต่แล้วก็ต้องถูกสั่งให้ออกไปจากบริเวณนี้ เพราะเสียงตะโกนของเด็กชายจากด้านในที่คิดว่ากำแพงอันหนาทึบของห้องไม่มีทางที่เสียงของเขาจะเล็ดลอดออกไปแน่ ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นเบาๆ เสียงหวานใสของเดียร์อาน่าเอ่ย “ช่างเป็นความรักวัยเด็กอันแสนสดใสจริงๆ เลยนะ”
“เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นนี้ แต่ข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกพบเลยล่ะ” สายตาขององค์จักรพรรดิมองไปยังคนตรงหน้าและมุมปากยกที่ขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ในครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันจะอายุมากกว่าอาชูร่าสักหน่อยแต่ในช่วงเวลานั้นเขาเป็นเช่นเดียวกับเด็กชายไม่มีผิด เข้าใจความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดแต่ไม่กล้าและไม่อยากที่จะยอมรับมันแต่ถึงอย่างนั้นในท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมพ่ายแพ้มันอยู่ดี
“งั้นหรอ? แต่รู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงมาหลงรักเด็กกำพร้าที่ไม่มีอะไรเลยอย่างข้าได้” เพราะทั้งคู่ได้พบกันที่สถาบันศึกษาในเขตพื้นที่ชานเมืองของอาณาจักรเนื่องจากในช่วงเวลานั้นอพอลโลมีเหตุจำเป็นและความสงสัยในสถานการณ์บางอย่างจึงต้องการไปศึกษาที่สถาบันแห่งนั้นก็ได้พบกับเดียร์อาน่าซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้อง เธอเป็นเพียงเด็กกำพร้า พ่อและแม่ของเธอได้จากไปเนื่องจากโรคร้ายตั้งแต่เธอยังเด็กจึงเหลือเพียงเธอที่อยู่ตัวคนเดียว ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นก็ถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวของเพื่อนสนิทผู้มีนามว่า ลูเซีย คอร์ดิเลีย
“โชคชะตาละมั้ง”
“ผิด” ปลายนิ้วเรียวสัมผัสลงบนริมฝีปากหยักของคนตรงหน้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนที่ริมฝีปากบางได้รูปนั้นจะเอ่ยต่อ “เพราะข้าร่ายมนต์ให้เจ้าหลงรักข้าตลอดไปเลยต่างหาก”
ดวงตาคู่สวยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์หามองลึกเข้าไปยังนัยน์ตาของคนที่ตัวเล็กกว่า ริมฝีปากยกยิ้มราวกับกำลังพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าก็ยอมตกอยู่ในมนต์สะกดนี้ตราบชั่วชีวิตข้าจะหาไม่”
ท้องฟ้าแจ่มใส เหล่าสัตว์ปีกตัวเล็กโบยบินบนฟากฟ้า แสงแดดที่ไม่มากจนเกินไปมาพร้อมกับก้อนเมฆปุกปุยที่เคลื่อนตัวตามสายลมอ่อนๆ และกลิ่นดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ร่างของเด็กหญิงวัยหกขวบกำลังเดินเข้ามาในเขตราชวังด้วยความร่าเริง เรือนผมสีน้ำตาลเข้มเหลือบดำพริ้วไหวตามลมและนัยน์ตากลมโตสีแดงดั่งโลหิตฉายแววความสดใส ใบหน้าที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้ม เด็กหญิงก้าวเท้าเข้าไปในสวนโอรอยด์และนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวที่ถูกจัดเตรียมไว้อยู่แล้วเพื่อรอบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทอย่างเช่นทุกครั้งที่เธอมักจะมาเยือนที่นี่
เวลาผ่านไปได้ไม่นานนักเสียงฝีเท้าราวกับมีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงเรียก “สตาร์ลิ่ง” เด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มทันที ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่เธอรอคอย เด็กหญิงก็มีทีท่าหงอยลงในทันที เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยต่อ “มาแล้วหรอ?”
“เพคะ ฝ่าบาท” สตาร์ลิ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนที่จะทำความเคารพคนที่ยืนอยู่ทันที ใบหน้าหวานเอียงศีรษะแสดงความสงสัยพร้อมกับสายตาที่มองหาบุคคลที่เธอกำลังรอ “พี่อิชไปไหนหรือเพคะ?”
“อิช?” ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจักรพรรดิทวนคำ “เจ้าหมายถึงอาชูร่างั้นหรอ?”
“พี่อิชต่างหากล่ะ” สตาร์ลิ่งยู่ปากทันที เพราะคำว่า อิช สำหรับเด็กหญิงแล้วมันน่ารักกว่าการที่จะเรียกเขาว่า อาชูร่า เป็นไหนๆ ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นชื่อจริงๆ ของเขาก็ตาม
“เมื่อตอนทานมื้อเช้า เขาไม่ระวังซุปหกใส่นิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะ”
“เข้าใจแล้วเพคะ”
“สตาร์ลิ่ง” เด็กหญิงที่กลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าเธอ “ข้ามีความลับของอาชูร่า...ข้าหมายถึงอิชน่ะ จะเล่าให้เจ้าฟัง เจ้าอยากฟังรึเปล่า?”
“ความลับงั้นหรือ?”
“เป็นความที่เขาไม่อยากบอกเจ้าน่ะ”
“ไม่อยากบอกงั้นหรือ?” สตาร์ลิ่งเอียงศีรษะ นัยน์ตาสีโลหิตเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ถึงแม้เธอจะสงสัยนั้น... “ถ้าเป็นเรื่องที่พี่อิชไม่อยากบอก พระองค์ไม่จำเป็นต้องเล่าให้หม่อมฉันฟังก็ได้เพคะ”
“ทำไมล่ะ?” เพราะสิ่งที่เธอเอ่ย ทำเอาผู้ใหญ่อย่างเขาต้องชะงักไปเล็กน้อย
“ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่พี่อิชไม่อยากให้หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันก็จะไม่รู้”
“งั้นหรอ”
“แต่ข้าอยากเล่าให้เจ้าฟังน่ะสิ”
“จักรพรรดินิสัยไม่ดี!” เด็กหญิงพูดเสียงดัง ริมฝีปากเล็กนั้นโค้งคว่ำลงทันที ทำเอาชายหนุ่มตรงหน้าเผลออุทาน หา? และชะงักไปอีกครั้งพร้อมกับดวงตาสีเขียวมรกตเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสงแดดนั้นกระพริบปริบๆ ด้วยความงุนงง สตาร์ลิ่งยู่ปากและเอ่ยต่อ “จะเอาความลับของพี่อิชมาเล่าให้หม่อมฉันฟัง นิสัยไม่ดีเลยนะเพคะ”
“แต่มันเป็นความลับที่เจ้าต้องรู้นะ”
“เช่นนั้นสักวันพี่อิชก็คงจะมาเล่าให้หม่อมฉันฟังเองเพคะ”
“ช่างเป็นเด็กที่ยึดมั่นเสียจริงนะ” การพูดคุยกับเด็กหญิงตรงหน้าช่างเหนื่อยเสียจนเขาต้องกุมขมับ อพอลโลเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม “แต่อิชไม่เล่าให้เจ้าฟังง่ายๆ หรอกนะ” พระองค์ตรัสต่อ “ความลับของอิชน่ะ...”
“หม่อมฉันไม่ฟัง” เพราะพระองค์มีท่าทีที่จะเอ่ยต่อ สตาร์ลิ่งจึงใช้มือเล็กๆ ของเธอทั้งสองข้างปิดหูของตนเอง “ไม่ฟังหรอกนะ”
“อิชแอบรักเจ้าอยู่น่ะ”
“เอ๋? แอบรัก?” ถึงจะบอกว่าไม่ฟังแต่พอได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มจะเล่าให้ฟัง แต่เมื่อได้ยินสิ่งนั้น ดวงตาสีแดงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ทว่าถ้าหากเป็นคำว่า ‘รัก’ เธอก็คงจะเข้าใจ แต่คำที่เขาเอ่ยนั้นคือคำว่า ‘แอบรัก’ สตาร์ลิ่งเอียงคอสงสัยพร้อมกับคิ้วเล็กๆ ของเธอนั้นขมดเป็นปมไปเสียแล้ว
เห็นเช่นนั้นคนที่อยู่ตรงหน้าก็เผลอหลุดหัวเราะในลำคอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “ก็คือมีความรักให้เจ้ายังไงล่ะ ซึ่งเรียกง่ายๆ ก็คือ รักเจ้านั่นแหละนะ”
สตาร์ลิ่งพยักหน้าเข้าใจ “ไม่เห็นจะต้องเก็บเป็นความลับเลย” รอยยิ้มอันแสนสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน นัยน์ตาสีโลหิตหรี่ลงกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว “หม่อมฉันเองก็รักพี่อิชเหมือนกันเพคะ”
อพอลโลกล่าว งั้นหรอ สั้นๆ ก่อนที่จะเอ่ยต่อ “อย่าบอกเขาเชียวล่ะว่าเจ้ารู้แล้ว”
“เข้าใจแล้วเพคะ”
“ดาร์ลิ่ง” จู่ๆ เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลังของเด็กหญิง เมื่อหันไปพบกับคนที่เธอกำลังรออยู่นั้น ร่างเล็กก็กระโดดลงจากเก้าอี้และวิ่งเข้าไปหาทันที “ข้ามาแล้ว”
“ดาร์ลิ่งงั้นหรอ?”
“ทะ ท่านพ่อมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นตามเสียงทุ้มของใครบางคนที่ด้านหลังเด็กหญิตัวเล็ก ทว่าคนที่เดินตามหลังสตาร์ลิ่งมานั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่ดันเป็นบิดาของเขาเสียอย่างนั้น มิหนำซ้ำคำที่เขาเอ่ยเรียกเด็กหญิงเมื่อครู่นี้ยังเป็นคำที่ใช้เรียกเฉพาะพวกเขาสองคน เมื่อคิดได้เช่นนั้น พวงแก้มของเด็กชายก็เริ่มมีสีแดงระรื่อขึ้นมาทันที
“ข้าก็แค่เดินผ่านมาแถวนี้เท่านั้นเลยมาคุยกับ...ดาร์ลิ่งของเจ้านิดหน่อยน่ะ” อพอลโลอมยิ้มพลางเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่จะวางมือลงบนศีรษะของบุตรชายและโยกไปมาอย่างที่เขามักจะทำเป็นประจำ “ข้าต้องไปทำงานแล้ว อย่าซนกันล่ะ” อาชูร่าจึงเอ่ย พ่ะย่ะค่ะ สั้นๆ พร้อมกับใบหน้าที่ก้มลงเพราะไม่อยากให้ใครจับผิดสังเกตได้
“พี่อิช” สตาร์ลิ่งเขยิบเข้าไปใกล้ นัยน์ตาสีโลหิตจ้องมองไปยังคนตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่มักจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสเสมอ ริมฝีปากเล็กขยับ “ข้ารักพี่อิชนะ”
ทว่าคนตรงหน้านั้นกลับแข็งทื่อกลายเป็นหินไปชั่วขณะก่อนที่จะกลับมาได้สติอีกครั้งก็เห็นเด็กหญิงตรงหน้ากำลังจ้องมองมาด้วยท่าทีสงสัยพร้อมกับปลายนิ้วกำลังจิ้มลงบนแก้มของเขาซ้ำๆ นัยน์ตาสีมรกตเบี่ยงไปทางอื่นและเอ่ย “เอ่อ ขะ ข้าอยากไปตรงนู้น” อาชูร่าจับเข้าที่มือของเด็กหญิงก่อนที่ฝีเท้าจะเริ่มก้าวเดินไปยังบริเวณลานกว้างกลางสวนดอกไม้ที่พวกเขามักจะมาเล่นด้วยกัน
อีกทางฝั่งหนึ่งของสวนซึ่งไม่ห่างจากบริเวณลานกว้างที่มักจะมีเด็กชายและเด็กหญิงมาเล่นด้วยกันเป็นประจำนั้น มีชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งที่กำลังเฝ้ามองพวกเขาจากหลังต้นไม้ต้นใหญ่ด้วยความเอ็นดู นานมากแล้วที่ทั้งคู่ไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนบุตรชายเนื่องด้วยหน้าที่การงานและปัญหาที่ต้องจัดการนั้นมีมากขึ้นการปลีกตัวออกมาจึงค่อนข้างเป็นเรื่องยาก ทว่าวันนี้นั้นถือว่าเป็นวันดีเพราะทั้งคู่ต้องการเวลาพักผ่อนสักหน่อย งานและเอกสารที่ต้องจัดการนั้นจึงเป็นอันเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน
“เมื่อครู่เจ้าได้ยินเหมือนข้าใช่ไหม? เดียร์อาน่า”
“ดาร์ลิ่ง สินะ”
“อาชูร่าช่างเหมือนเจ้าจริงๆ”
“ใครบอกล่ะ นั่นมันเจ้าต่างหาก”
“เหมือนข้าแค่ภายนอกเท่านั้นแหละ ส่วนนิสัยถอดแบบเจ้ามาเป๊ะเลยล่ะ”
แต่ถึงแม้จะเอ่ยกับบุตรชายว่าไปทำงานทว่าตลอดทั้งวันนั้นทั้งคู่ก็ยังแอบเฝ้ามองบุตรชายของตนอยู่ห่างๆ และได้เก็บบันทึกภาพความทรงจำเหล่านี้เอาไว้ จนกระทั่งเด็กหญิงผู้เป็นเพื่อนสนิทของบุตรชายนั้นได้กลับไปจึงได้กลับมายังห้องทำงานและแสร้งทำราวกับว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวัน...
ภายในห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมจากด้านนอกพัดผ่าน ท้องฟ้าได้แปรเปลี่ยนเป็นสีครามบ่งบอกช่วงเวลาในตอนนี้นั้นเข้าสู่กลางคืนแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลากลางคืนผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรอาโพโลเนียยั่งคงนั่งประทับอยู่ในห้องทำงาน บนโต๊ะด้านหน้าเต็มไปด้วยเอกสารมากมาย นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนแต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้าจ้องมองรูปภาพในมือ น้ำสีใสไหลปริมขอบตาด้วยความโหยหา มันช่างเจ็บปวดราวกับภายในอกข้างซ้ายนั้นกำลังถูกบีบรัดให้แหลกเหลว ในหัวนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน
รูปภาพที่มีเด็กชายและเด็กหญิงผู้มีเรือนผมยาวกลางหลังกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งในสวนดอกไม้ในเขตราชวัง ทว่าเด็กชายในภาพนั้นกำลังจ้องมองมาทางกล้องหรือพวกเขาผู้เป็นบิดามารดาซึ่งเป็นคนถ่าย ถึงจะเป็นการแอบถ่ายภาพเหล่านั้นเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำแต่ก็ถูกจับได้อยู่ดี แม้ว่าภาพตรงหน้านี้จะเป็นเพียงภาพขาวดำไร้ซึ่งสีสันแต่ในความทรงจำนั้นยังคงสัมผัสได้ถึงความสดใสและบรรยากาศในช่วงเวลานั้นจนอดระลึกถึงและอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
“ข้าขอโทษ อาชูร่า” ริมฝีปากหยักขยับก่อนที่จะขบริมฝีปากของตนเพื่อข่มความรู้สึกภายในใจ น้ำตาแห่งความโศกไหลอาบแก้ม ดวงตาคู่งามฉายให้เห็นความเศร้าที่กัดกินลึกลงไปถึงจิตวิญญาณและไม่อาจลบล้าง เพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเมตตา’ เขาจึงต้องตกมาอยู่ในห้วงแห่งนรกเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเขา ทุกอย่างล้วนเกิดเพราะเขา แต่ก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้แม้เวลาจะผ่านมาถึงสิบสี่ปีนับจากวันนั้น ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมามันทำให้เขาช่างรู้สึกทรมาณ โดดเดี่ยว ไร้จุดหมาย ไร้ซึ่งความหวัง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ความฝันทั้งหมดถูกพังทลายลงมาไม่เป็นชิ้นดี มันเป็นตราบาปที่ไม่อาจลบล้างเสียจนอยากจะปลิดชีพตนเอง
ทว่า...เขาไม่สามารถทำได้เลย
ราวกับได้สูญสิ้นไปแล้วทั้งที่มีชีวิตอยู่
…ข้าเพียงหวังให้เจ้ายังคงมีชิวิตอยู่ที่ใดสักที่อย่างปลอดภัยและอย่ากลับมาที่แห่งนี้อีก
และจงมีความสุขกับชีวิตที่มีอยู่ของเจ้า ได้โปรด...
“อพอลโล” เสียงหวานของบุคคลปริศนาก้าวเท้าเข้ามาในห้องโดยที่ไม่ได้เคาะประตู รูปร่างเล็กราวกับหญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีดำสนิทปกปิดใบหน้าทุกส่วนแม้กระทั่งดวงตา เธอกำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา บรรยากาศในห้องเย็นวูบรู้สึกขนลุกขึ้นมา เธอเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงดุดันราวกับมีความโกรธแฝงอยู่ในนั้นก่อนที่จะเคลื่อนมือไปหยิบรูปภาพนั้นจากมือของชายหนุ่มวัยกลางคน “ข้ากำลังจะออกเดินทาง กะว่าจะแวะมาบอกลาเจ้าสักหน่อย...”
อพอลโลพยายามเอื้อมมือที่จะไปนำภาพนั้นกลับคืนมาแต่เพราะบางสิ่งบางอย่างทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงหน้าได้เลย เขาจ้องมองหญิงสาวในชุดผ้าคลุมด้วยสายตาอ้อนวอนขอร้องแต่สิ่งที่เขาทำมันไม่เป็นผลเลยสักนิด เปลวเพลิงเล็กเริ่มก่อตัวบนภาพใบนั้นก่อนที่จะปล่อยให้มันร่วงลงสู่พื้น เฝ้ามองเปลวเพลิงค่อยๆ แผดเผาอย่างช้าๆ ช่างทรมาณกับบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจักรพรรดิยิ่งนัก “ไม่! ไม่! ได้โปรด!” เพราะมันเป็นสิ่งสุดท้ายและสิ่งสำคัญที่ยังหลงเหลืออยู่ให้ระลึก ทว่าในตอนนี้มันกลับกลายเป็นเพียงผุยฝงเช่นเดียวกับในใจของเขาในตอนนี้ที่แหลกละเอียดไม่เป็นชิ้นดี ราวกับมีดนับพันพุ่งเข้าแทงในคราเดียว ไม่อาจขัดขืนหรือต่อต้านใดๆ ณ ตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
...มันช่างทรมาณ
“ฆ่าข้า อึก ฆ่าข้าที ได้โปรด...” อพอลโลวิงวอนขอร้องหญิงสาวตรงหน้า เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ยิ่งอยู่ก็มีแต่ต้องทรมาณมากขึ้นทุกวัน
หญิงสาวในชุดผ้าคลุมไม่แม้แต่สนใจคำร้องขอที่เขาเอ่ย “เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าเกลียดสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ช่างมันเถอะ...” มือเล็กในถุงมือสีดำโผล่พ้นจนผ้าคลุมเคลื่อนเข้ามาบีบเข้าที่กรอบหน้าของคนตรงหน้าให้เงยขึ้น รอยเส้นสีอำพันก็เกิดขึ้นบนใบหน้าก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าจู่ๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตประกายที่ฉายแววความเศร้าเมื่อครู่ก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งเรียบ น้ำตาที่เอ่อล้นจากขอบตาได้หยุดลง ใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ต่างกับเมื่อครู่โดยสิ้นเชิงราวกับชายคนเมื่อครู่นั้นได้ตายไปแล้ว
ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มอันน่าสะพรึงพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เกิดในลำคอ มือหนาเคลื่อนไปจับมือที่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือหนังของหญิงสาวก่อนที่จะเคลื่อนใบหน้าลงไปสัมผัสริมฝีปากลงบนหลังมือของเธอ เขาเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัย “เดินทางปลอดภัยนะ ...ของข้า”
แสงสว่างในอดีตได้ถูกดับลงและไม่อาจหวนคืน
“อาชูร่า เดียร์อาน่า ได้โปรดให้อภัยข้า...”
--------------------------------------
Comments (0)