sds

Chapter 1 : Part 1

ณ ราชวังที่ถูกย้อมไปด้วยสีเลือด เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาเป็นระยะพร้อมกับร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณของเหล่าอัศวินองครักษ์ ที่ค่อยๆ ล้มลงไปกองกับพื้นทีละคน ชายหนุ่มผมสีครามราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน นัยน์ตาสีเขียวมรกตประกายงดงาม ใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก ไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่ ชุดสีขาวพร้อมผ้าคลุมสีแดงพาดอยู่ที่บ่ากว้างนั้นเต็มไปด้วยคราบสีโลหิตและสัญลักษณ์ที่อยู่บนผ้าคลุมบ่งบอกว่าเขานั้นเป็นหนึ่งในอัศวินองครักษ์ประจำราชวังอาโพเลียแห่งนี้ สายตาเย็นชากวาดมองไปทั่วบริเวณราวกับกำลังตามหาใครบางคน ทว่าเมื่อมีเหล่าอัศวินเฉกเช่นเดียวกันกับเขาพยายามที่จะเข้ามาขัดขวาง ปลายดาบสีฟ้าอ่อนราวกับผลึกน้ำแข็งนั้นก็ตวัดกวัดแกว่งพร้อมกับร่างของผู้โชคร้ายเหล่านั้นแน่นิ่งไป

เพียงเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินด้วยความใจเย็นภายในทางเดินโถงทำเอาร่างของเหล่าอัศวินตรงหน้าที่ยกดาบขึ้นมานั้นสั่นเทาด้วยความกลัว ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับสายโลหิตที่ไหลออกมาจากร่าง ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเปิดประตูห้องมากมายและกวาดสายตาดูแต่กลับไม่พบร่องรอยของบุคคลที่เขาตามหาเลยสักนิด จนกระทั่งมาถึงห้องสุดท้ายที่ดูเหมือนว่าห้องนี้จะเป็นห้องที่มีการคุ้มกันหนาแน่นมากที่สุด แต่ต่อให้การคุ้มกันนั้นจะแน่นหนามากขนาดไหนเพียงแค่ปลายดาบผลึกน้ำแข็งนั้นตวัด เหล่าทหารและอัศวินมากมายก็กลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ

ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้าราวกับจะช่วยยืดเวลาชีวิตของบุคคลที่อยู่ในนั้น ชายหนุ่มไม่รอช้าก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่เงียบสงัด ทันทีที่เห็นบุคคลที่เป็นจุดหมายกำลังยืนแผ่นหลังชิดกำแพงพร้อมกับปลายดาบเงินวาวดูเรียบหรูจะชี้มาที่เขานั้น ริมฝีปากหยักได้รูปของชายหนุ่มก็เหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างน่าขนลุก ฝีเท้าค่อยๆ ก้าวไปยังคนตรงหน้าที่มีใบหน้าความคล้ายคลึงกันราวกับแกะ ผมสีครามราวกันท้องฟ้าในยามค่ำคืน เฉกเช่นเดียวกัน รวมถึงนัยน์ตาสีมรกตของทั้งคู่ที่กำลังจ้องประสานกัน

สภาพร่างกายที่สั่นเทาของบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มส่ายหัวพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอราวกับสมเพชเวทนา ถ้าหากใครมาเห็นละก็คงไม่อยากเชื่อว่าคนตรงหน้าเขาคือ องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรอาโพโลเนีย เป็นแน่ ฝีเท้าขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างกายนั้นชิดกับปลายดาบสีเงินนั้น “กระหม่อมน่ะ เคยตายไปแล้วต่อให้แทงมากี่ครั้งก็ไม่เป็นไรหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ” ร่างกายของชายหนุ่มกลับไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น ฝีเท้านั้นก้าวเดินต่อพร้อมกับปลายดาบค่อยๆ ทิ่มแทงลงบนร่าง จนกระทั่งปลายดาบทะลุไปถึงด้านหลัง ทว่าใบหน้าคมคายนั้นไม่ได้แสดงถึงความเจ็บปวดแต่กลับแสดงรอยยิ้มอันน่าขนลุกต่างจากคนตรงหน้าที่มีใบหน้าซีดเซียวและทรุดลงกับพื้น “ที่ตายก็เพราะท่านไม่ใช่รึ? องค์จักรพรรดิแห่งอาโพโลเนีย”

“ยะ อย่าเข้ามานะ!” สิ้นประโยคจากบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์จักรพรรดิ นัยน์ตาสีมรกตจากคนตรงหน้าก็ฉายแววกระหายเลือดและอำมหิตพร้อมกับรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกก่อนที่ปลายดาบน้ำแข็งนั้นจะสะบั้นเข้าที่ลำคอของคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร้ความปรานี

เขาเหยียดยิ้มอย่างได้รับชัยชนะ

การล้างแค้นสำเร็จและสิ้นสุดลงแล้ว

ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป

เขาหันหลังกลับเพื่อที่ออกจากราชวังที่ถูกย้อมไปด้วยโลหิตนี้โดยไม่ลืมที่จะดึงดาบสีเงินที่ยังคาอยู่ที่อกนั้นออก เสียงดาบที่ร่วงหล่นกระทบกับพื้นพร้อมกับสายตาเหลือบมองไปเห็นร่างบุคคลคนหนึ่งที่กำลังแอบมองเขาอยู่ห่างๆ จากเสาหินต้นใหญ่ภายในห้อง ชายหนุ่มหุบยิ้มทันที อย่างที่คิดเอาไว้ เขาไม่ควรปล่อยหญิงสาวผู้นี้มีชีวิตรอดและเห็นภาพนี้จึงเกิดเป็นความแค้น และความแค้นนั้นจะทำให้สักวันเธอต้องตามสังหารเขาแน่ ฉะนั้นการจำกัดเธอไปด้วยนั้นเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว

ฝีเท้าก้าวเดินอย่างอ้อยอิ่งตรงไปหาหญิงสาวที่หลบอยู่หลังเสา ร่างที่สั่นเทาเพราะความกลัวของเธอนั้นไม่อาจก้าวไปไหนได้เลยสักนิด นัยน์ตาสีโลหิตพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มเนียนนั้นจ้องมองมาที่เขาราวกับจะขอความเมตตา ทว่าคนตรงหน้าเธอนั้นไม่ใช่ชายหนุ่มที่เธอรู้จักอีกต่อไปแล้ว ริมฝีปากหยักของเขาขยับ “ลาก่อน ดาร์ลิ่ง” ก่อนที่ปลายดาบน้ำแข็งนั้นถูกยกขึ้นก่อนที่จะทิ่มแทงลงบนอกข้างซ้ายของเธอ...

 

เฮือก!

“พี่อิช! อย่านะ”

ฝัน...ฝันแบบนี้อีกแล้ว ความรู้สึกเจ็บที่อกข้างซ้ายราวกับโดนทิ่มแทงจริงๆ จนต้องกุมมันไว้แน่นพลางผ่อนคลายลมหายใจของตนเองที่เหนื่อยหอบ รอยยิ้มอันเยือกเย็นของชายในฝันนั้นยังคงติดอยู่ในหัวชวนให้รู้สึกกลัวและขนลุกทุกครั้งที่นึกถึง ทว่าฉันกลับจำใบหน้าของชายผู้นั้นไม่ได้เลยสักนิดและดูเหมือนว่าก่อนสะดุ้งตื่นฉันพูดชื่อของชายคนนั้นเสียด้วยแต่ฉันเองก็กลับจำไม่ได้เช่นกัน ราวกับความฝันนั้นถูกลบให้หายของไปจากความทรงจำ

เขาคือใครกันแน่นะ...?

ฉันฝันเช่นนี้มาตลอดหลังจากได้เข้ามาในราชวังอาโพเลียและได้รับตำแหน่งในฐานะ องค์หญิงแห่งอาณาจักรอาโพโลเนียเนื่องจากท่านแม่ของฉันได้อภิเษกสมรสกับองค์จักรพรรดิเมื่อ 9 ปีก่อน และได้รับตำแหน่งเป็น องค์จักรพรรดินีแห่งอาณาจักรอาโพโลเนีย เราทั้งสองจึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในราชวังแห่งนี้

ซึ่งในช่วงเวลาก่อนหน้านี้นั้นท่านแม่เป็นหนึ่งในเหล่าขุนนางหรือดัชเชสผู้มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ในเขตบลูคลิน ตั้งอยู่ทางเหนือของอาณาจักร จึงมักจะได้เข้ามาเพื่อส่งเอกสารรายงานให้แก่องค์จักรพรรดิเสมอ แต่กลับมีอยู่ครั้งหนึ่งฉันขอร้องที่จะมาด้วยจนได้และได้พบกับองค์จักรพรรดิและอดีตองค์จักรพรรดินีเป็นครั้งแรก ท่านทั้งสองดูเป็นคนที่อบอุ่นและใจดีมากกว่าที่ฉันคาดคิดเอาไว้และยังมีบุตรชายเพียงคนเดียวที่รักและหวงแหนมากกว่าสิ่งใด ฉันและบุตรชายผู้นั้นมีอายุไล่เลี่ยกัน เขามีอายุมากกว่าเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ทั้งคู่จึงอนุญาตให้ฉันมาเล่นที่ราชวังบ่อยๆ เพื่อเป็นเพื่อนให้กับบุตรชายของพวกเขา

เด็กชายวัยสี่ขวบผู้มีเรือนผมสีครามดั่งเช่นท้องฟ้าในยามวิกาล นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกาย ใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับองค์จักรพรรดิถึงแม้จะดูเคร่งขรึมกว่า แต่เพียงแรกพบก็อดที่จะจ้องมองไม่ได้ราวกับเป็นภาพวาดอันแสนงดงามและล้ำค่า “พี่อิช” นั่นเป็นชื่อที่ฉันเอ่ยในครั้งแรกที่เราพบกัน หลังจากนั้นฉันได้มาเล่นที่ราชวังแห่งนี้ทุกวัน ความสัมพันธ์ของเราสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น ได้เล่นด้วยกันตามประสาเด็กที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ถึงจะมีทะเลาะกันบ้าง แกล้งกันบ้าง รวมไปถึงการทำอะไรแผลงๆ อย่างเช่นแอบออกไปเล่นที่นอกวังบ่อยๆ จนทำให้องค์จักรพรรดิปวดหัวนับครั้งไม่ถ้วน แม้จะลงโทษสักกี่ครั้งก็ไม่เคยเข็ดหลาบ เขาได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตฉันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทว่าความทรงจำเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความสุขที่ไม่อาจลืมเลือนจนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่เขาอายุเจ็ดขวบ

ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นก็ได้หายไป...

...พร้อมกับทุกอย่างตรงหน้านั้นถูกย้อมไปด้วยสีโลหิตและเขาก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เหตุการณ์อันโหดร้ายได้เกิดขึ้น ณ ราชวังอาโพเลีย เสียงแห่งความทรมานและความกลัวกึกก้องไปทั่วราชวังพร้อมกับเหล่าอัศวินและทหารมากมายต่างกลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณล้มลงไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยโลหิตรวมถึงองค์จักรพรรดินีผู้อ่อนโยนนั้นก็ถูกสังหารในวันนั้นโดยกบฏ ซึ่งเป็นหนึ่งในอัศวินองครักษ์ส่วนพระองค์นั้น แต่เขาก็ถูกจับได้และถูกสั่งประหารทันทีหลังจากเหตุการณ์นั้นเพียงสองวัน

เพื่อเป็นการไม่ให้ประชาชนนั้นแตกตื่นข่าวการสังหารหมู่อันสะเทือนขวัญในราชวังอาโพเลียรวมถึงการหายตัวไปขององค์ชายผู้เป็นรัชทายาทเพียงคนเดียวนั้นก็ถูกปิดเป็นความลับ มีเพียงเหล่าทหารและอัศวินภายในที่ได้รับหน้าที่ในการตามหานั้นรับรู้ ข่าวที่ถูกเปิดเผยออกไปนั้นจึงมีเพียง องค์จักรพรรดินีสิ้นพระชนม์ด้วยโรคร้ายแรงที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้เท่านั้น

แม้จะตามหาบุตรชายผู้เป็นดั่งแก้วตาและดวงใจโดยทั่วอาณาจักรราวกับพลิกแผ่นดิน แต่กลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยของเขาเลยสักนิด จนกระทั่งหนึ่งเดือนหลังจากนั้นองค์จักรพรรดินั้นก็เริ่มถอดใจและล้มเลิกการค้นหาในที่สุด เวลาล่วงเลยไปหนึ่งปีหลังจากนั้น ท่านแม่ของฉันก็ได้อภิเษกสมรสกับองค์จักรพรรดิและขึ้นเป็นจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันนับตั้งแต่นั้นมา

ส่วนท่านพ่อของฉันนั้นท่านแม่เคยบอกว่าท่านพ่อได้สละชีวิตเพื่อรักษาสาส์นลับในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ส่งสาส์นลับระหว่างจักรพรรดิของสองอาณาจักรก่อนที่ฉันจะเกิดเพียงสองเดือนเท่านั้น ข้อมูลเกี่ยวกับท่านพ่อมีเพียงเท่านี้ที่ฉันรู้ เนื่องจากท่านแม่ไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านพ่อให้ฉันฟังเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเป็นคนแบบไหน มีใบหน้าเช่นไร แม้กระทั่งภาพถ่ายภายในคฤหาสน์บลูคลินก่อนที่จะย้ายเข้ามาในวังก็ไม่มีของท่านพ่อเลยสักนิด ฉันจึงคิดว่าท่านแม่คงจะเสียใจกับการจากไปของท่านพ่อมากแน่จึงไม่ต้องการที่จะเอาสิ่งที่เกี่ยวกับท่านพ่อออกมาให้เห็น มันคงจะเป็นเหมือนการรื้อฟื้นแผลเก่าอันแสนเจ็บปวดก็เป็นได้เพราะไม่อยากให้ท่านรู้สึกเจ็บปวด ฉันจึงไม่เอ่ยถามใดๆ เกี่ยวกับท่านพ่ออีกเลย

จนกระทั่งตัวฉันในตอนนี้ก็อายุ 16 ปีแล้ว ตลอดสิบปีที่ผ่านมาภายในใจยังคงนึกถึงบุคคลสำคัญที่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และหวังเพียงว่าเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างปลอดภัย หากเป็นไปได้ฉันเองก็อยากจะพบเขาอีกสักครั้ง เขาจะสบายดีไหมนะ?

“องค์หญิง วันนี้มีงานอาลิเบียนะเพคะ” เสียงเล็กดังขึ้นก่อนที่จะมีเสียงเคาะประตูห้องตามมาเรียกสติฉันที่กำลังอยู่ในห้วงภวังค์ ฉันตอบกลับไปว่าเข้าใจแล้วเพียงสั้นๆ ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กในชุดสาวใช้สีดำขาวเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดอาหารเช้าที่อยู่บนมือ บนใบหน้าหวานที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสเสมอ เธอคือ ลูซี่ หรือสาวรับใช้ในวังที่อยู่กับฉันมาตั้งแต่เข้าวังเลยก็ว่าได้และเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่ฉันสนิทมากที่สุดและเป็นคนสำคัญสำหรับฉันมากเช่นกัน

จะว่าไปวันนี้มีงานอาลิเบียนี่นา งานอาลิเบียหรืองานเลี้ยงซึ่งจะมีการจัดขึ้นเมื่อเชื้อพระวงศ์คนใดคนหนึ่งอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันคือการเฉลิมฉลองตามประเพณีของชาวอาโพโลเนียเพื่อต้อนรับเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่าการใช้ชีวิตที่แท้จริงนั่นเอง แม้ตัวฉันจะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ที่แท้จริงแต่งานเลี้ยงนี้ก็ถูกจัดขึ้นให้กับฉันในฐานะองค์หญิงหรือบุตรสาวบุญธรรมขององค์จักรพรรดิ ทว่าทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันเกิดของฉันและงานนี้ก็ถูกจัดขึ้นเพื่อฉันแต่ฉันกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นกับมันเลยแม้แต่น้อย

เพราะงานอาลิเบียเป็นงานที่ค่อนข้างสำคัญ หลังจากที่ทานมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวลาทั้งช่วงเช้าและบ่ายนั้นก็มัวยุ่งแต่กับการชโลมผิวพรรณและการแต่งตัวที่เลือกชุดไม่ได้สักที แต่สำหรับฉันไม่ว่าชุดไหนก็ใส่ได้ทั้งนั้น ทว่าลูซี่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวใช้คนสนิทของฉันนั้นต้องการให้ฉันมีภาพลักษณ์ที่ดูดีและโดดเด่นที่สุดในค่ำคืนนี้ ฉันจึงจำต้องลองสวมชุดมากมายนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยจนมาถึงช่วงพลบค่ำทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ฉันจึงก้าวเท้าเดินไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงซึ่งตั้งอยู่ ณ ห้องโถงทางทิศใต้ภายในราชวังแห่งนี้ งานเลี้ยงก็ได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลง เหล่าขุนนางมากมายซึ่งเป็นแขกที่ได้รับเชิญภายในงานนี้ต่างดื่มด่ำไปกับบรรยากาศพร้อมเครื่องดื่มในมือ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งบางส่วนก็เดินเข้ามาทักทายพร้อมกับของขวัญและคำอวยพรต่างๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกคนต่างรอคอยนั่นคือการเต้นรำ ผู้คนเริ่มจับคู่และเคลื่อนตัวไปยังลานกว้างกลางห้องโถงก่อนที่เสียงดนตรีนั้นจะเริ่มบรรเลงอีกครั้งในจังหวะที่เปลี่ยนไป ฉันจึงค่อยๆ ปลีกตัวออกมายืนรับลมเงียบๆ ที่ระเบียงแทนพร้อมกับจานขนมหวานในมือ

“ทำไมถึงออกมาตรงนี้คนเดียวล่ะ?” ทว่าเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นเรียกฉันขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็พบกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอมส้ม นัยน์ตาสีฟ้าสดใสมาพร้อมกับใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลานั้นกำลังเดินเข้ามาหาฉัน เขาคือริออน หรือบุตรชายเพียงคนเดียวของดยุกโทมม์และดัชเชสริออนน่า เนื่องจากองค์จักรพรรดิเกรงว่าตัวฉันที่จำเป็นต้องเรียนในวังนั้นคงจะเหงาแน่จึงมีราชโองการให้เขาเข้ามาเรียนในวังกับฉันตั้งแต่ฉันอายุเก้าขวบ ริออนจึงได้กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉันนับแต่นั้นมา

“ข้าไม่ชอบที่ที่มันวุ่นวาย” ฉันตอบพลางตักขนมหวานที่โปรดปรานในมือเข้าปาก

“ข้าเองก็เหมือนกัน” เขาตอบก่อนที่จะเอื้อมมือที่ถือส้อมอยู่นั้นมาตักมิลเฟยหรือขนมหวานที่ฉันโปรดปรานมากที่สุดเข้าปากต่อหน้าต่อตาแถมยังทำราวกับไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น ฉันยู่ปากไม่พอใจทันทีพลางขยับจานในมือตัวเองออกห่างจากเขาทันที ริออนมักกวนประสาทฉันทุกครั้งเวลาที่เจอกันเลยก็ว่าได้ ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันด้วยซ้ำ แต่ถึงริออนจะดูกวนประสาท ขี้โม้และกะล่อนมากขนาดไหน รอบข้างก็มักจะมีสาวๆ ต่อคิวรอยาวเหยียดซึ่งหนึ่งในนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากลูซี่หรือสาวใช้คนสนิทของฉันนั่นเอง

เสียงดนตรีในงานบรรเลงท่ามกลางร่างของผู้คนที่พลิ้วไหวไปตามทำนอง ฉันยืนมองท้องฟ้าสีครามในค่ำคืนนี้ที่มีแสงระยิบระยับเต็มไปหมดพร้อมกับดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่เป็นแสงสว่างให้กับฟากฟ้านั้น วันนี้เป็นวันที่ฉันอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์ซึ่งตามประเพณีของอาโพโลเนียนั้น อายุ 16 ปี คือการเปิดทางเข้าสู่การใช้ชีวิตที่แท้จริง ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีก็จะค่อยๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้น ทั้งความสุข ความทุกข์ แต่ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้กับมันให้จนถึงที่สุดถึงแม้ว่าจะต้องแตกสลายไปก็ตาม เพราะฉะนั้นประชาชนชาวอาโพโลเนียก็มักจะจัดงานวันเกิดให้ลูกหลานของตัวเองที่อายุย่างเข้า 16 ปีอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

ชีวิตที่แท้จริงของฉันจะเป็นเช่นไรกันนะ?

การเริ่มต้นชีวิตจริงของฉันหลังจากนี้ ขอให้ตัวฉันมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ไม่ว่าจะมีความทุกข์มากแค่ไหนฉันก็ขอให้ตัวเองก้าวข้ามและฝ่าฟันมันให้ได้ และสิ่งสุดท้ายถึงจะไม่ได้เป็นการขอให้ตัวเองก็ตาม...ฉันหวังว่าพี่อิชยังมีชีวิตอยู่และกำลังอาศัยอยู่สักที่อย่างมีความสุข

สายลมในค่ำคืนนี้มันค่อนข้างหนาวกว่าปกติเนื่องจากเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูที่ใบไม้ค่อยๆ ร่วงโรยจากต้นเพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับฤดูถัดไป บรรยากาศเช่นนี้ราวกับวันนั้นเมื่อสิบปีที่แล้วก่อนที่เขาคนนั้นจะหายตัวไปแต่กลับไม่เคยหายไปจากความทรงจำ...