สี่ปีต่อมา ณ ราชวังอาโพเลีย

นับตั้งแต่วันงานอาบิเลียหรือวันที่ฉันได้พบกับอัศวินที่มีนามว่า ไอนส์ ลูซิเฟอร์ เป็นครั้งแรกก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว ทว่าตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ฉันก็ไม่ได้พบกับไอนส์อีกเลย ฉันเองได้ยินมาจากริออนเหมือนกันว่า ในช่วงระยะการฝึกของกลุ่มอัศวินฝึกหัดนั้นต้องใช้เวลาถึงสองปีเพื่อให้ผ่านการประเมินรอบสุดท้ายเพื่อที่จะได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะอัศวินองครักษ์ ณ ราชวังแห่งนี้ ทว่าการประเมินอัศวินรอบสุดท้ายนั้นกลับยังไม่ถูกจัดขึ้นแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงสองปีแล้วก็ตาม นั่นก็เพราะอัศวินองครักษ์ที่อยู่ในตำแหน่งยังไม่ได้รับคำสั่งย้ายไปยังเขตบลูคลินอย่างที่เป็นข่าว

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฉันยังคงฝันถึงความฝันอันแสนโหดร้ายนั้นอยู่ แต่ที่เปลี่ยนไปนั่นคือ ใบหน้าของผู้ชายในฝันคนนั้นเริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกวัน ทั้งดวงตาสีมรกตเป็นประกายงดงาม เรือนผมสีครามราวกับท้องฟ้าในยามค่ำคืน ใบหน้านั้น รอยยิ้มนั้นรวมถึง...นาฬิกาทรายแห่งอายุขัยที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาที่กำลังจ้องมาที่ฉันพร้อมกับปลายดาบที่ชี้มา ไม่ผิดแน่ ผู้ชายในฝันคนนั้นคือ พี่อิช...

ฉันไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น พอรู้ตัวอีกทีก็เช้าเสียแล้ว

แต่ใบหน้านั้น...พี่อิชกับไอนส์? พอนึกถีงเรื่องนี้ทีไรอาการปวดหัวราวกับมีเข็มนับพันพุ่งเข้ามาในหัวก็เกิดขึ้นทันที ฉันจึงได้แต่พยายามไม่เก็บมันมาคิด แม้ว่าในใจนึกสงสัยอยู่ก็ตาม ได้แต่คิดว่ามันก็แค่ความฝันเท่านั้น

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันต้องมานั่งเรียนอยู่กับริออนอย่างทุกวัน ปีนี้ฉันก็อายุยี่สิบปีแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะเรียบจบในหลักสูตรที่ถูกกำหนดมา หลังจากนั้นฉันก็จะได้ไปช่วยงานตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิอย่างเต็มตัวในฐานะองค์หญิง ถึงไม่รู้ว่าจะช่วยงานได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเพียงแค่ในตอนนี้สมองน้อยๆ ของฉันก็ไม่ค่อยจะจำอะไรได้อยู่แล้วเลยต้องให้ริออนมาช่วยทบทวนให้ทุกครั้งหลังจบคาบเสียด้วยสิ

ว่าแต่เวลาป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มีใครมาอีกนะ? แม้กระทั่งริออนที่มักจะมาตรงเวลาเสมอกลับหายตัวไปเนี่ยสิ...

พอนึกถึง ริออนก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือที่ฉันกำลังรออาจารย์และตัวเขาอยู่ โดยปกติฉันกับริออนมักจะเรียนอยู่ในห้องหนังสือภายในวังอาโพเลียแห่งนี้ละ หนังสือวางเรียงรายเต็มชั้นวางมากมายจนรู้สึกว่าต่อให้อ่านมากแค่ไหนก็ไม่มีวันหมด กลิ่นอายของหนังสือมากมายของที่นี่มักทำให้ฉันอดนึกถึงอดีตไม่ได้ ในอดีตที่มีบุคคลสำคัญและเป็นบุคคลที่ฉันเฝ้ารอในตอนนี้ ห้องนี้เป็นห้องที่เขาชอบมาที่สุด โต๊ะประจำที่เขามักจะมานั่งอ่านหนังสืออยู่บ่อยๆ ก็คือ โต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ในตอนนี้ ภาพวาดในช่วงเวลาที่เราใช้ร่วมกันที่นี่ฉันก็ยังคงเก็บรักษามันเป็นอย่างดี เพราะอย่างน้อยมันก็สามารถช่วยฉันคลายความคิดถึงเขาได้บ้าง แต่แล้วก็มีเสียงที่สามารถเดาได้เลยว่าใครนั้นเอ่ยขึ้น ทำเอาฉันหลุดออกจากภวังค์ “เจ้านั่งเอื่อยอะไรอยู่ตรงนี้กันเนี่ย?”

“ก็นั่งรอเจ้ากับอาจารย์อยู่นี่ไง”

“วันนี้มีพิธีการแต่งตั้งอัศวินองครักษ์ใหม่” อัศวินองครักษ์ใหม่งั้นเหรอ? ทำไมฉันถึงไม่ได้ยินเรื่องนี้เลยนะ งั้นแสดงว่า...ไอนส์ ลูซิเฟอร์ คนนั้นจะได้เข้ามาทำงานในวังอาโพเลียแห่งนี้แล้วสินะ แต่พูดแบบนั้นก็คงจะไม่ถูกเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะผ่านการประเมินอัศวินครั้งสุดท้าย คนที่ไม่ผ่านก็กลับไปฝึกจนกว่าการประกาศการทดสอบอัศวินครั้งสุดท้ายจะเริ่มขึ้นอีกครั้งเพราะการทดสอบนี้ไม่ได้จัดขึ้นทุกปี แต่จะจัดขึ้นต่อเมื่ออัศวินองครักษ์ถูกส่งไปทำหน้าที่อื่นหรือถูกปลดเท่านั้น

ถ้าไอนส์ ลูซิเฟอร์ไม่ผ่านการทดสอบก็คงไม่ได้พบเขาอีกนานเป็นแน่ อาจจะห้าปีหรือสิบปี...ไม่แน่เขาอาจจะล้มเลิกไม่อยากเข้ามารับหน้าที่ในวังแล้วก็ได้

“หมายความว่ายังไงน่ะ?”

“อะไรกันเนี่ย? เป็นองค์หญิงแท้ๆ แต่กลับไม่รู้เรื่องเนี่ยนะ” ริออนบ่นอุบทันทีพร้อมกับใช้ปลายนิ้วจิ้มเข้าที่หน้าผากของฉันก่อนที่จะอธิบายต่อ “ก็อัศวินองครักษ์ชุดเก่าถูกสั่งให้ไปประจำที่เขตบรูคลินน่ะ เห็นว่าต้องการอัศวินที่มีฝีมือมาอยู่ที่เขต เพราะมีกองกำลังไม่พอน่ะนะ องค์จักรพรรดิจึงสั่งให้อัศวินที่เพิ่งผ่านการทดสอบเข้ามาแทน”

“อย่างนี้นี่เอง” ฉันเองก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าที่เขตบรูคลินมีชาวริโอเนียลักลอบเข้ามายังอาโพโลเนียอย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากปัญหาภายในอาณาจักรริโอเนีย ทั้งสองอาณาจักรที่มีพรมแดนติดกันจึงเป็นทางเลือกให้ชาวริโอเนียลักลอบเข้ามาและดูเหมือนว่าจำนวนคนที่ลักลอบเข้ามาจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนกองกำลังทหารและอัศวินประจำเขตบรูคลินไม่เพียงพอและต้องการกำลังเสริม องค์จักรพรรดิแห่งอาโพโลเนียเองก็เคยส่งเรื่องนี้ไปยังจักรพรรดิแห่งริโอเนียแล้ว แต่สถานการณ์ของริโอเนียนั้นมีปัญหาภายในมานานหลายปีจนส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงทำให้สถานการณ์ในตอนนี้นั้นไม่มีความคืบหน้า

“ยังนั่งเฉยอยู่อีก รีบไปได้แล้ว!” ไม่รอช้าริออนรีบคว้ามือฉันให้ลุกขึ้นและเดินนำไปทันที



 

ในห้องโถงภายในวังมีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน เนื่องจากวันนี้มีพิธีการแต่งตั้งอัศวินองครักษ์ใหม่ขององค์จักรพรรดิจึงทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายมารวมตัวกันเพื่อแสดงความยินดี ฉันที่เพิ่งมาถึงจึงจำเป็นต้องรีบเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ด้านขวาองค์จักรพรรดิซึ่งถูกจัดไว้ให้อยู่แล้ว โดยมีที่นั่งของท่านแม่อยู่ทางด้านซ้าย ทว่าท่านแม่กลับไม่ได้อยู่ที่นี่ ท่านเองก็ไม่ได้บอกอะไรไว้ด้วย คงจะมีราชกิจด่วนที่ต้องจัดการ ทำให้บริเวณที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้านหน้าห้องโถงกว้างมีเพียงองค์จักรพรรดิและฉัน ส่วนริออนยืนอยู่ด้านหลังราวกับเป็นอัศวินองครักษ์ของฉันชั่วคราว ซึ่งนั่นเป็นรับสั่งจากองค์จักรพรรดิที่ให้ริออนอยู่ข้างฉันทุกครั้งเมื่อไม่มีอัศวินองครักษ์อยู่ข้างๆ

หลังจากที่องค์จักรพรรดิได้อภิเษกสมรสกับท่านแม่ ไม่ว่าจะการดูแล การเรียน ความปลอดภัย หรืออะไรก็ตามเพียงแค่ฉันเอ่ย องค์จักรพรรดิก็ทรงจัดการทุกอย่างให้อย่างเสร็จสรรพ แม้ภายนอกเขาจะดูเย็นชาและไม่ค่อยพูดต่างจากช่วงเวลาที่พี่อิชยังอยู่อย่างสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคน 

เสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกับเหล่าอัศวินที่ได้รับการคัดเลือกสิบกว่านายก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถง ก่อนจะทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง เหล่าขุนนางยืนอยู่ด้านซ้ายขวาต่างจับจ้องไปยังเหล่าอัศวินที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับเสียงซุบซิบที่เกิดขึ้น เรือนผมสีเงินที่เห็นได้อย่างเด่นชัดทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าเขาคือใคร นัยน์ตาสองสีและใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์เฉกเช่นครั้งแรกที่เราพบกัน

...ไอนส์ เขาได้เป็นหนึ่งในอัศวินองครักษ์ที่จะเข้ามาทำงานในวังแห่งนี้ เพียงแค่ได้เห็นเขา อกข้างซ้ายของฉันก็เต้นรัวเพราะความตื่นเต้นที่ได้พบเจอกันอีกครั้งในรอบสี่ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้แต่เฝ้ารอวันที่เขาจะเข้ามาทำหน้าที่ในวังแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอัศวินองครักษ์ของฉัน แต่อย่างน้อยการที่ฉันได้เห็นเขา มันก็สามารถคลายความคิดถึงพี่อิชได้บ้าง เพราะเมื่อได้พบไอนส์ ฉันก็รู้สึกราวกับได้พบกับพี่อิชอีกครั้ง...

“เอ๋? ผู้ชายผมสีเงินคนนั้น” เสียงพูดคุยของดัชเชสผู้หนึ่งที่มีน้ำเสียงคุ้นเช่นนี้ เป็นคนเดียวกับที่พูดเรื่องฉันกับริออนไม่ผิดแน่ ถ้าจำไม่ผิดชื่อของเธอคือ เพลลิคต้า เธอยืนอยู่ไม่ห่างจากฉันมากนัก ดูเหมือนว่าวันนี้ไอนส์จะเป็นที่จับจ้องของผู้คนจริงๆ เพราะมีชื่อเสียงทางด้านฝีมือที่เหลือล้น เป็นธรรมดาที่จะตกเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง

“ไอนส์ ลูซิเฟอร์ ช่างเป็นอัศวินที่งดงามยิ่งนัก ได้ยินมาว่าเขาเป็นผู้ที่มีฝีมือมากที่สุดในกลุ่มนี้ด้วยละ” ดัชเชสที่ยืนอยู่ข้างๆ กันพูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปทางไอนส์ที่ยืนอยู่ในแถวอัศวินด้านหน้าของพวกเธอ ไม่ได้พบกันเพียงสี่ปี ทั้งกรอบหน้า ส่วนสูง และรูปร่างที่โตขึ้นดูเป็นผู้ใหญ่ ถ้าพูดให้ถูกคงต้องพูดว่าดูดีกว่าเดิมละมั้ง ทั้งการสวมชุดอัศวินเต็มยศ ดาบแนบอยู่ที่เอว ผ้าคลุมสีดำพาดที่ไหล่ขวาตัดกับผมสีเงินสว่างของเขา แม้แต่หน้ากากสีดำที่บดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งนั้นยังไม่สามารถลดความงดงามของเขาไปได้เลย

“แบบนี้แสดงว่าต้องคอยคุ้มกันองค์จักรพรรดิสินะ” ดัชเชสเพลลิคต้าพูดขึ้น

“แน่นอนละ มีคนที่มีฝีมืออยู่ข้างๆ องค์จักรพรรดิเช่นนี้ พวกเราก็หมดห่วง” ดัชเชสผู้เป็นคู่สนทนาเอ่ย เธอตอบกลับเบาๆ ว่า นั่นสินะ ก่อนเข้าสู่ความเงียบ เนื่องจากพิธีการแต่งตั้งอัศวินองครักษ์กำลังจะเริ่มขึ้น

“ข้าว่านะอัศวินที่มาคอยคุ้มกันเจ้า ฝีมือไม่ได้ครึ่งของข้าแน่นอน” ในขณะที่ดยุกเจเร็ตกำลังกล่าวเกี่ยวกับกฎเบื้องต้นในการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่เหล่าอัศวินฟังอยู่นั้น ริออนที่อยู่นิ่งไม่ได้ก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับยกยิ้ม คิ้วหนาได้รูปยกขึ้นข้างหนึ่งราวกับมั่นใจในฝีมือตัวเอง จะว่าไปริออนก็เคยเรียนเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้และใช้ดาบได้ค่อนข้างดีเลยด้วย ฉันเคยเห็นเขาซ้อมกับเหล่าอัศวินที่ลานกว้างของกรมอัศวิน ถ้าจะพูดให้ถูกละก็ ฉันไม่ได้จะไปดูริออนหรอก แค่บังเอิญแอบไปแล้วเห็นเขาพอดีน่ะนะ

ส่วนคนที่ฉันไปแอบดูนั้นกลับเป็นเวลาพักของเขาเนี่ยสิและหลังจากนั้นก็โดนจับได้โดยองค์จักรพรรดิที่ออกมาเดินเล่นแถวนั้นพอดี จึงถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปบริเวณกรมอัศวินนับแต่นั้นมาและยังโดนดุอีกว่า ‘เจ้าเป็นองค์หญิง ไม่ควรมาเดินเพ่นพ่านในสถานที่ที่มีแต่บุรุษ คามิเลียไม่ได้สอนรึ?’ ถึงจะเป็นน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ทำเอารู้สึกชาไปทั้งตัวเลยละ ฉันจึงได้แต่ก้มหัวสำนึกผิดและวิ่งกลับวังสุดฝีเท้าเท่านั้น

“ขี้โม้มากย่ะ” ฉันตอบริออนไป

“ข้าเป็นอัศวินองครักษ์ให้เจ้าได้นะ” ริออนว่า สีหน้าของเขาแสดงถึงความจริงจัง ทั้งๆ ที่เป็นการพูดเล่นกันปกติอย่างเช่นที่ผ่านมาแท้ๆ หรือว่าเขากำลังวางแผนแกล้งฉันอยู่งั้นหรือ?

“ไม่มีทาง ข้าไม่เอาด้วยหรอก” ฉันปฏิเสธทันที

“อย่ามาขอร้องทีหลังละกัน”

“ไม่มีวันนั้นแน่”

และแล้วพิธีการแต่งตั้งอัศวินองครักษ์ก็ได้เริ่มขึ้น อัศวินองครักษ์ที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในวังมีทั้งหมดสิบหกนาย โดยแบ่งเป็นอัศวินองครักษ์ส่วนองค์จักรพรรดิสี่นาย ส่วนองค์จักรพรรดินีหรือท่านแม่ของฉันสี่นาย อีกสองนายเป็นอัศวินองครักษ์ประจำตัวฉัน ส่วนที่เหลืออีกหกนายนั้นเป็นอัศวินองครักษ์ที่จะต้องเดินตรวจตราภายในวังทุกชั่วโมง แบ่งกันทำงานเป็นกลางวันและกลางคืนโดยผลัดเวรกัน สาเหตุที่จำนวนอัศวินองครักษ์ประจำการในวังค่อนข้างน้อย นั่นเป็นเพราะองค์จักรพรรดิไม่ชอบให้ในวังมีผู้คนเยอะแยะวุ่นวายจึงเพิ่มกองกำลังอัศวินหน่วยอื่นให้ประจำการบริเวณรอบนอกวังแทน

และแล้วการประกาศรายชื่ออัศวินองครักษ์ก็มาถึง โดยท่านดยุกท่านเดิมที่แจ้งกฎภายในวังให้แก่เหล่าอัศวินองครักษ์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปคือลำดับการประกาศรายชื่อว่าผู้ใดที่จะได้มาเป็นอัศวินองครักษ์ส่วนองค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดินี และองค์หญิงอย่างฉัน

รายชื่ออัศวินองครักษ์ส่วนองค์จักรพรรดิก็ได้ประกาศไปแล้ว แต่กลับไม่มีชื่อของไอนส์ ลูซิเฟอร์อยู่ในนั้น เหล่าดยุกและดัชเชสภายในห้องโถงต่างเริ่มแปลกใจ ฉันเองก็เช่นกัน ถ้าไอนส์ไม่ได้เป็นอัศวินองครักษ์ขององค์จักรพรรดิ อย่างน้อยก็ควรที่จะได้เป็นอัศวินองครักษ์ของท่านแม่ ทว่ารายชื่อที่ประกาศไปเมื่อครู่ของท่านแม่นั้นก็ไม่มีชื่อของเขาอยู่เช่นกัน หรือว่าไอนส์จะเป็นหนึ่งในหกอัศวินองครักษ์ตรวจตราภายในวังงั้นเหรอ?

ในที่สุดรายชื่ออัศวินองครักษ์ของฉันก็ถูกประกาศเสียที ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะมาเป็นอัศวินองครักษ์ของฉันบ้าง ภายในอกข้างซ้ายเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น “อัศวินองครักษ์ส่วนองค์หญิงสตาร์ลิ่ง บลูคลิน ได้แก่ แมนเวล พอลล์ และ...” ท่านดยุกที่กำลังกล่าวหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เขาหันไปหาองค์จักรพรรดิ ก่อนองค์จักรพรรดิจะทรงพยักหน้าราวกับสื่ออะไรบางอย่าง ฉันมองทั้งสองคนด้วยความมึนงง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? รายชื่ออัศวินของฉันมีความผิดพลาดงั้นเหรอ? ดยุกท่านนั้นเอ่ยต่อ “เอ่อ...ไอนส์ ลูซิเฟอร์”

สิ้นประโยคที่ท่านดยุกกล่าวนั้น แมนเวลและไอนส์ก็ก้าวเท้าออกมาด้านหน้าแถวของเหล่าอัศวินพร้อมเสียงซุบซิบของผู้คนในห้องโถงทันที

“อะไรนะ? ข้าฟังผิดรึเปล่า?”

“ไม่ใช่ว่าไอนส์ ลูซิเฟอร์ต้องไปเป็นอัศวินองครักษ์ส่วนจักรพรรดิหรือไงกัน?”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ไอนส์...เป็นอัศวินองครักษ์ของฉันงั้นหรือ? มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ แต่ถึงจะเป็นความผิดพลาด ฉันกลับรู้สึกยินดีกับมัน แม้จะสงสัย แต่ภายในอกข้างซ้ายของฉันเต้นแรงและรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นหยิบเข็มกลัดประจำตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้และก้าวเดินไปข้างหน้า ฉันกลัดเข็มกลัดให้กับอัศวินที่มีนามว่า แมนเวล พอลล์ ก่อนที่เขาจะทำความเคารพ ฉันเดินเข้าไปหาไอนส์ที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน

ฉึก! โอ๊ย! มือที่สั่นเทาเพราะความยินดีกำลังกลัดเข็มกลัดบนคอปกชุดของคนตรงหน้า แต่มันกลับทิ่มมือฉันจนได้ ไอนส์เองก็ชะงักไปเหมือนกัน ฉันส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นการสื่อว่าฉันไม่เป็นไร ถึงจะเจ็บแต่ก็ต้องอดทนไว้ก่อน ได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองแทน ถึงมันจะเป็นแค่เข็มกลัด แต่ถ้าใส่มันเต็มแรงก็ไม่ต่างกับอาวุธชนิดหนึ่ง สายตามากมายกำลังจ้องมาจึงต้องรักษาภาพพจน์ขององค์หญิงจนเสร็จเรียบร้อย ไอนส์ก็ทำความเคารพก่อนที่จะถอยหลังและเดินกลับเข้าไปในแถว ส่วนฉันก็ได้แต่กำมือข้างที่โดนเข็มกลัดทิ่มนั่นแน่นและรีบกลับเข้าที่นั่งทันที

และแล้วการประกาศรายชื่ออัศวินองครักษ์นั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี ฉันได้กลับมายังห้องหนังสือเพื่อที่จะได้เตรียมตัวเรียนต่อโดยไม่ลืมที่จะทำแผลที่เกิดจากอาวุธอันร้ายกาจที่ชื่อว่า เข็มกลัด ใครจะไปคิดว่าแค่เข็มเล็ก ๆ เพียงเล่มเดียวจะสามารถทำให้นิ้วฉันบวมและเจ็บปวดได้เพียงนี้ หลังสิ้นสุดการประกาศรายชื่อ อัศวินองครักษ์ทุกคนก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ในทันที แต่ดูเหมือนว่าไอนส์จะเป็นองครักษ์ให้กับฉันในช่วงกลางคืนเนื่องจากว่าในตอนนี้มีเพียงแมนเวลเท่านั้นที่กำลังยืนปฏิบัติหน้าที่คอยคุ้มกันอยู่ด้านนอกประตูห้องหนังสือ

“ทำไมไอนส์ถึงได้มาเป็นอัศวินองครักษ์เจ้ากันล่ะ?” ทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง ริออนก็เอ่ยปากถามข้อสงสัยในใจทันที “โดยปกติแล้วคนที่มากฝีมือขนาดนั้นต้องไปคุ้มกันองค์จักรพรรดิไม่ใช่หรือไงกัน?” ก็จริงอย่างที่ริออนพูด แต่ถ้ารายชื่อมีความผิดพลาดละก็จะต้องแก้ไขตั้งแต่ในพิธีแล้วสิ หรือว่าค่อยมาแก้ไขหลังจบพิธีโดยการสลับตัวอัศวินองครักษ์งั้นหรือ? ถึงแม้จะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นและอาจจะดูเอาแต่ใจ เพราะฉันเองก็อยากให้ไอนส์มาเป็นอัศวินองครักษ์ประจำตัว แต่ยังไงความผิดพลาดมันก็ต้องแก้ไขอยู่ดี

“ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน อีกเดี๋ยวข้าจะไปถามองค์จักรพรรดิทีหลัง” ฉันตอบริออน องค์จักรพรรดิตอนนี้คงทรงงานอยู่แน่ ๆ ฉันเองไม่อยากจะเข้าไปกวนตอนที่ท่านทรงงานสักเท่าไหร่ เข้าไปถามหลังเรียนเสร็จน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีกว่า จะว่าไปตอนอยู่ในพิธีเมื่อครู่ริออนโม้เอาไว้เยอะเลยนี่ ฉันเอ่ยต่อทันที “แต่ว่าถ้าไอนส์มาเป็นอัศวินองครักษ์ของข้าจริงๆ อย่างเจ้าน่ะชิดซ้ายไปเลย”

“เหอะ ยังไงฝีมือข้าก็เหนือกว่าหมอนั่นแน่” ริออนตอบทันทีพลางกอดอกแน่น ฉันอยากจะมอบรางวัลชนะเลิศการโม้ให้ริออนเสียตอนนี้ เวลาอยู่ต่อหน้าสาวๆ กลับดูถ่อมตนเป็นสุภาพบุรุษรูปงาม แต่ต่อหน้าฉันมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เอ่ยมาทั้งหมดเลยละ

“งั้นประลองฝีมือกับเขาดูสักหน่อยไหมล่ะ?”

“ไม่จำเป็น แค่ดูก็รู้แล้วว่าข้าชนะเห็นๆ”

“ขี้โม้สุดๆ ไปเลยเจ้าเนี่ย”

“ว่าแต่มือเจ้าน่ะไปโดนอะไรมา?” ว่าแล้วริออนก็คว้ามือฉันไปทันที สีหน้าแสดงถึงความเป็นห่วงเผยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“โดนอาวุธที่ร้ายกาจ” ฉันแสดงสีหน้าที่จริงจัง

“หา?”

“เข็มกลัดน่ะ มันทิ่ม” จบประโยค ริออนก็หัวเราะลั่นทันทีพร้อมกับพูดว่า ซุ่มซ่ามชะมัด และเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองหน้าตาเฉย คอยดูเถอะสักวันที่เขาโดนเหมือนฉันบ้าง ฉันจะหัวเราะให้ดังกว่านี้ คอยดูสิ!

 

กว่าการเรียนในวันนี้จะจบลงก็เป็นเวลาช่วงหัวค่ำแล้ว ป่านนี้องค์จักรพรรดิคงไม่ได้ทรงงานอยู่หรอกนะและเวลาเช่นนี้จะเข้าบรรทมก็คงไม่ใช่แน่ ถ้าไม่อยู่ในห้องทำงานก็คงจะอยู่ในห้องนั่งเล่นละ ว่าแล้วฝีเท้าของฉันก้าวเดินในโถงทางเดินที่กว้างขวางมุ่งหน้าตรงไปที่ห้องทำงานส่วนพระองค์พร้อมกับคำถามที่ยังคงคาอยู่ในใจ เมื่อถึงหน้าประตูเหล่าอัศวินองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูนั้นก็เปิดประตูทันที

แม้จะเป็นเวลาหัวค่ำ จักรพรรดิแห่งอาโพโลเนียก็ยังคงทรงงานอยู่แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ถ้าไม่ถามออกไปก็คงจะดูเป็นการเสียมารยาท “ท่านพ่อเพคะ” ฉันเอ่ยขึ้นทันทีพร้อมทำความเคารพก่อนจะเดินเข้าไปหา องค์จักรพรรดิที่กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ก็วางปากกาขนนกสีทองในมือลง นัยน์ตามรกตเป็นประกายสะท้อนกับแสงเทียนสลัวในห้องนั้นมองมาที่ฉัน ตลอดหลายปีมานี้ตั้งแต่พี่อิชหายตัวไป องค์จักรพรรดิก็ดูแปลกไปค่อนข้างมาก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนพระองค์มีรอยยิ้มและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นทุกครั้งที่พบ ทว่าตั้งแต่บุตรชายเพียงคนเดียวหายตัวไปก็เหมือนกับว่ารอยยิ้มและความสุขของพระองค์นั้นก็หายไปเช่นกัน แม้จะเคยเห็นเฉพาะตอนที่ฉันเรียกเขาว่าท่านพ่อเป็นครั้งแรกเพียงแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็ตาม “หม่อมฉันมีเรื่องอยากถามพระองค์คือว่า...เรื่องอัศวิน...”

“เรื่องนั้นเองหรือ? จริงอยู่ที่ไอนส์ ลูซิเฟอร์ มีฝีมือมาก เขาทำได้ดีมาตลอด แต่ดูเหมือนช่วงประเมินอัศวินครั้งสุดท้ายเขาจะพลาดนะ” ราวกับองค์จักรพรรดิรู้สื่งที่ฉันอยากจะถามออกไปจึงเอ่ยออกมา ถ้าจำไม่ผิดการประเมินอัศวินครั้งสุดท้ายนั้นมีการทดสอบอยู่สามประเภทด้วยกัน คือการทดสอบความสามารถทางด้านการต่อสู้ที่จะให้เหล่าอัศวินมาสู้กันเองโดยการสุ่มเลือกคู่ต่อสู้ การทดสอบวิชาการทางด้านอัศวินองครักษ์ และสุดท้ายคือการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย เขาพลาดตรงจุดไหนกันนะ?

“พลาด?”

“ใช่แล้วละ เขาทำแต้มในการทดสอบความสามารถทางด้านการต่อสู้ไม่ค่อยดีนัก แต่การทดสอบอีกสองอย่างที่เหลือนั้นกลับดีเกินคาด จึงทำให้ผลการประเมินโดยรวมของเขาก็ยังสูงกว่าอัศวินหลายคนอยู่น่ะ” การทดสอบความสามารถทางด้านการต่อสู้เนี่ยนะ? มันต้องเกิดอะไรขึ้นในช่วงการประเมินแน่ คนที่มีความสามารถขนาดที่ร่ำลือกันไปทั่ววังขนาดนั้นจะพลาดกับการทดสอบความสามารถแบบนี้ ไม่น่าเป็นไปได้เลยสักนิด “เขาเลยถูกจัดให้เป็นอัศวินองครักษ์ของเจ้ายังไงล่ะ”

“ทำแต้มได้ไม่ค่อยดีในการทดสอบความสามารถหมายความว่ายังไงเพคะ?” ฉันถามต่อในข้อที่สงสัยทันที

“เขาแพ้คู่ต่อสู้ในครั้งแรก แต่ครั้งที่สองและสามเขาชนะมาได้” องค์จักรพรรดิอธิบาย ในการทดสอบความสามารถในการต่อสู้จะแบ่งออกเป็นสามครั้งด้วยกัน โดยจะนับแต้มให้กับผู้ที่ล้มคู่ต่อสู้ได้หนึ่งครั้งเท่ากับหนึ่งแต้ม องค์จักรพรรดิเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ สายตาคู่นั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง “คนเรามันก็มีพลาดกันได้...เป็นเรื่องธรรมดา

 

 

สามารถพูดคุยกันได้ใน #อิชสตาร์ ทางทวิตเตอร์ได้นะคะ ^^

'

'

'

'

'

ท่านแม่ของน้องสตาร์ไปไหนนะ? และจักรพรรดิที่เห็นเมื่อครู่คือตัวจริงรึเปล่านะ?

'

'

'

'

'

เพิ่มเติมอีกนิด ^^ จริงๆ เขียนไว้ที่บทนำเพราะกลัวคุณนักอ่านอ่านไปเรื่อยๆแล้วจะงงตลค.แล้วก็กลัวคุณนักอ่านไม่เห็นเลยขออนุญาติมาแปะตรงนี้เป็นคำใบ้สักหน่อยนะงับ

- ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องค่อนข้างซับซ้อนนะคะ โดยเฉพาะจักรพรรดิอพอลโล่และจักรพรรดินีคามิเลียค่ะ ซึ่งอาจจะไม่เป็นอย่างที่เห็นและแน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับผลประโยชน์บางอย่างค่ะ ภาพเบื่องหน้าที่เห็นเป็นมุมมองของน้องสตาร์เพียงมุมเดียวอาจจะเป็นความจริงหรือความเท็จก็ไม่อาจทราบได้ ส่วนเรื่องเหตุการสังหารหมู่เมื่อ 14 ปีที่แล้วนั้น...รอติดตามชมเลยฮะ!) -

หมดคำตะปอยและคำใบ้แน้ว แหะๆ หลังจากตอนนี้ไม่มีตะปอยแล้วค่ะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามา!

Enjoy!

Have a nice weekend! see you next week!