sds

Chapter 4 : Part 2

“ขออภัยที่เสียมารยาท อากาศด้านนอกค่อนข้างหนาว องค์หญิงออกมาโดยไม่สวมเสื้อคลุมเช่นนี้จะไม่สบายเอาได้นะพะยะค่ะ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับสัมผัสของผ้าที่คลุมร่างของฉันไว้ ฉันรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่ทันทีก่อนจะหันไปหาต้นเสียงนั้นพร้อมรอยยิ้ม ไอนส์ทำความเคารพอย่างเช่นทุกครั้งที่พบกัน ผมสีเงินของเขาสะท้อนกับแสงแดดในยามเช้า ใบหน้าและสายตาของเขายังคงเรียบนิ่งและเย็นชาเช่นเดิม

“ไอนส์!” นับตั้งแต่วันที่ไอนส์ได้มาเป็นอัศวินองครักษ์ของฉันก็เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ในวันนั้นที่เขาเปิดเผยใบหน้าใต้หน้ากากสีดำนั่นเป็นวันแรกที่เขาเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะอัศวินองครักษ์ประจำตัวฉันและในวันนั้นเองฉันก็ขอให้เขาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าฉันจะหลับ แต่ที่น่าแปลกในคืนนั้นฉันกลับไม่ฝันถึงความฝันอันโหดร้ายที่ฉันมักจะฝันมาตลอดสิบสามปี ทีแรกฉันไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อความมั่นใจคืนต่อมาฉันจึงให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนฉันอีกครั้งและผลที่ได้คือ ฉันไม่ฝันถึงความฝันนั้นอีกหลังจากนั้นฉันจึงมั่นใจว่าเป็นเพราะเขาแน่ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไมต้องเป็นเขา ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ ฉันจึงให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนฉันทุกวันจนกว่าฉันจะหลับ ทว่าระหว่างฉันกับเขาก็ไม่ได้มีบทสนทนากันมากนัก ถึงแม้จะอยากคุยด้วยมากแค่ไหน บทสนทนาของเราก็มีเพียง ราตรีสวัสดิ์ เท่านั้น

จะว่าไปเวลาในตอนนี้มันเป็นเวลาที่เขาควรไปพักผ่อนไม่ใช่หรือ? ถ้าจะบอกว่ามาทำหน้าที่แทนแมนเวลก็ไม่น่าใช่ เพราะก่อนที่ฉันออกมา ฉันเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่ต้องตามมา แม้ว่าหน้าที่ขององครักษ์ต้องอยู่ข้างกายฉันตลอด แต่ก็ขัดคำสั่งฉันไม่ได้เช่นกัน ฉันแค่อยากออกมาพักผ่อนและต้องการเวลาส่วนตัวที่สวนเท่านั้นจึงไม่จำเป็นที่ต้องมีองครักษ์มาคุ้มกัน “เจ้ามาทำอะไรที่นี่? เวลานี้เจ้าควรไปพักผ่อนไม่ใช่หรือ?”

“กระหม่อมเพียงมาส่งสารแทนท่านหัวหน้าอัศวินหน่วยองครักษ์แล้วเดินผ่านมาเท่านั้น”

“งั้นหรือ...”

“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนนะพะยะค่ะ” เขากล่าวโดยไม่ลืมที่จะทำความเคารพอีกครั้ง

ก่อนที่จะเดินจากไป ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่เขาทำหน้าที่เป็นอัศวินองครักษ์ ถึงภายนอกเขาจะดูเย็นชา ไร้ความรู้สึก แต่ทว่าการปฏิบัติต่อฉันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด แม้ว่าจะไม่ค่อยพูดก็ตาม แต่เขากลับใส่ใจรายละเอียดกระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ ทั้งที่ถ้าเป็นอัศวินคนอื่นก็คงจะเดินผ่านไปแล้ว แต่เขากลับนำผ้าคลุมมาให้ฉัน ฉันเผลอยิ้มออกมา ภายในอกข้างซ้ายเริ่มเต้นระรัวอีกครั้ง 

ทว่าฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังลืมบางอย่าง...

เวลานี้ฉันควรจะเข้าเรียนได้แล้ว เพราะมัวยืนอยู่ใต้ต้นไม้จนลืมเวลา ฝีเท้าของฉันก้าวรัวๆ ตรงไปยังห้องหนังสือทันที เมื่อมาถึง เหมือนว่าทุกคนมากับครบแล้วเหลือเพียงแค่ฉันคนเดียวและการเรียนของวันนี้ก็เริ่มต้นขึ้น อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าการเรียนภายในวังก็จะจบลง ฉันจะต้องเข้ารับหน้าที่ช่วยงานต่างๆ ขององค์จักรพรรดิ แค่คิดก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้วสิ

ส่วนริออน หลังจากการเรียนที่หนักหนาสาหัสนี้จบลง เห็นว่าเขาจะไปเรียนเกี่ยวกับการทำน้ำหอมที่วาลเจียร์ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับน้ำหอมและอยู่ติดกับลูซิโอเนียตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปซึ่งห่างไกลจากอาโพโลเนียที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปเป็นอย่างมาก

การเดินทางอย่างเร็วที่สุดใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนและอย่างช้าที่สุดถึงสามเดือน เนื่องจากพาหนะที่ใช้สำหรับเดินทางนั้นมีเพียงรถม้าเท่านั้นจึงจำเป็นต้องจอดพักเป็นช่วง หากเป็นอย่างเร็วก็ต้องไปต่อรถม้าตามจุดต่างๆ แต่ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ประชาชนของวาลเจียร์ประกอบอาชีพเกี่ยวกับน้ำหอมเป็นส่วนใหญ่จนเป็นที่แพร่หลายและได้ส่งออกไปขายในอาณาจักรต่างๆ กลายเป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยรองจากอาโพโลเนีย ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทองคำเนื่องจากบริเวณรอบอาณาจักรนั้นเต็มไปด้วยเหมืองจำนวนมาก ริออนจึงอยากที่จะทำธุรกิจนำน้ำหอมที่เขาปรุงแต่งขึ้นมาด้วยตัวเองนั้นเข้ามาในอาณาจักรนั่นเอง

และแล้วช่วงเวลาอันแสนทรมานของฉันภายในวันนี้ก็หมดลงเสียที ตอนนี้เป็นเวลาในช่วงเย็น พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ฉันเอนตัวเองพิงเก้าอี้เพื่อผ่อนคลาย แต่อะไรบางอย่างหล่นลงจากไหล่ทั้งสองข้างของฉัน มันคือผ้าคลุมที่ไอนส์นำมาคลุมให้เมื่อเช้า ผ้าคลุมสีดำที่ปักสัญลักษณ์เฉพาะ บ่งบอกว่าผู้ที่สวมมันคืออัศวินองครักษ์แห่งราชวังอาโพเลีย ในหัวของฉันฉายภาพเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าที่เขานำมันมาคลุมไหล่ฉันไว้ ภายในอกข้างซ้ายก็เริ่มเต้นรัวอีกครั้ง ใบหน้าเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมา ความรู้สึกแบบนี้มันมักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ และทุกครั้งที่ฉันนึกถึงเขาในหัวไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่รู้ตัวอีกทีก็มากขึ้นทุกวันเสียแล้ว

ความรู้สึกแบบนี้...ฉันชอบไอนส์เข้าให้แล้วสินะ คงจะเป็นเพราะใบหน้าของเขาที่มีความคล้ายคลึงกับคนที่ฉันรักและวิธีที่เขาปฏิบัติต่อฉัน ฉันถึงรู้สึกชอบเขาได้ง่ายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งเข้ามาทำหน้าที่อัศวินองครักษ์ได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น อีกทั้งมันเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกเช่นนี้กับคนอื่นนอกจากพี่อิช 

“นี่ริออน” ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจและความไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเอง ฉันเอ่ยถามคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ สำหรับฉันแล้ว ริออนน่าจะเป็นคนที่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีแน่ ดูจากจำนวนหญิงสาว

ที่เข้าหาเขา มันต้องมีสักครั้งบ้างแหละที่เขาจะตกหลุมรักใครสักคนเข้า 

ริออนหันหน้ามาราวกับสื่อว่า มีอะไร? ฉันจึงรีบเอ่ยต่อทันที “เจ้าเคยแบบว่า...แบบ เอ่อ คือ” ใบหน้าของฉันร้อนวูบ คำถามที่ตั้งใจจะถามออกไปกลับติดอยู่ในลำคอ 

“พูดมาเถอะน่า แบบ เอ่อ คือ อยู่แบบนี้จะรู้เรื่องไหมเนี่ย?” 

“ก็ข้าไม่รู้จะพูดยังไงนี่นา” 

“ก็พูดตามที่เจ้ารู้สึกสิ” 

“แบบว่า...เจ้าเคยรู้สึกใจเต้นกับใครบ้างไหม?” ฉันถามออกไปในที่สุด ใบหน้าร้อนยิ่งกว่าเดิมเพราะคำถามที่ถามออกไป นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเล็กน้อย ริออนชะงักกับคำถามของฉันไปครู่หนึ่ง คงไม่คิดว่าฉันจะถามคำถามแบบนี้ออกไปแน่ เพราะตลอดเวลาเกือบสิบปีที่เป็นเพื่อนกันมา ฉันไม่เคยถามคำถามแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรก...

“ทะ ทำไมจู่ๆ ถามแบบนี้?” ใบหน้าของริออนแดงระเรื่อเล็กน้อย เขาเลี่ยงสายตาไปทางอื่นทันที จากท่าทีของริออน เป็นอย่างที่คิดฉันถามคนไม่ผิดจริงๆ เขาต้องมีประสบการณ์ทางด้านความรู้สึกมากแน่ เพียงแค่ไม่พูดเท่านั้น ถึงส่วนใหญ่จะโม้แต่ด้านความรู้ของตัวเองก็เถอะนะ

“ตอบมาเถอะน่า” 

“ก็ต้องเคยอยู่แล้วน่า” 

“ใจเต้นนี่มันหมายความว่าชอบรึเปล่า?” 

“มะ มันก็แล้วแต่สถานการณ์ ใจเต้นแบบตกใจหรือว่าตื่นเต้นก็มี” 

“แล้ว...ถ้าแบบสมมตินะ ถ้าเจ้าช่วยข้าแล้วข้ารู้สึกใจเต้นกับเจ้า แบบนี้หมายความว่าชอบหรือเปล่า?” ฉันถามต่อทันที คนตรงหน้าชะงักไปอีกครั้งราวกับในหัวกำลังประมวลผลคำตอบ “ก็...แบบว่าถ้าเจ้ามีหน้าที่ที่ต้องช่วยข้าอยู่แล้ว แต่ข้าใจเต้นกับเจ้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นหน้าที่ของเจ้า” 

“เจ้าชอบข้าเหรอ?” 

“ไม่ใช่เสียหน่อย ก็บอกว่าสมมติไง” ฉันปฏิเสธออกไปทันที “รีบตอบมาเหอะน่า” 

“อาจจะใช่มั้ง” ริออนก้มหน้าลงเล็กน้อยราวกับคนผิดหวัง เขาหยิบหนังสือที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่เมื่อครู่ขึ้นมาก่อนที่จะเอ่ยเสียงเรียบ ฟังดูแล้วมันค่อนข้างผิดปกติสำหรับฉัน ราวกับว่าประโยคที่เขาเอ่ยนั้นมีความหมายแฝงซ่อนอยู่ “ความชอบน่ะ คือความรู้สึกที่เจ้าพึงพอใจ ชอบเพียงเพราะว่าคนคนนั้นทำบางอย่างให้แล้วเจ้ามีความสุข ชอบในด้านดีของเขาที่ช่วยเหลือเจ้า มักจะหวังว่าเขาจะมาอยู่ข้างเจ้า แต่เมื่อไหร่ที่เจ้ามีความรู้สึกที่อยากปกป้องและเสียสละทุกอย่างเพื่อคนคนนั้น ยอมรับด้านเสียของเขา ไม่ได้หวังอะไรจากเขา นั่นละก็คือความรัก” 

“…” 

“และข้าก็ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อเจ้านะ” ริออนพึมพำออกมาเบาๆ มันเบามากเสียจน

ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังพูดว่าอะไร เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉัน แววตาของเขาฉายให้เห็นความจริงจัง “เจ้ายังรักอาชูร่าอยู่หรือเปล่า?” 

“แน่นอนอยู่แล้ว” ที่จริงแล้วริออนก็รู้จักพี่อิช เขาเคยมาเล่นที่วังด้วยกันในช่วงเวลานั้น ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน แต่เขาก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของพวกเรา สาเหตุที่ริออนมาเล่นกับพวกเราเพียงหนึ่งเดือนนั่นก็เพราะว่าในตอนนั้นครอบครัวของเขาต้องไปทำงานต่างอาณาจักร ถ้าอยู่ที่บ้านกับสาวใช้ก็คงจะเบื่อแย่ ดัชเชสริออนน่าซึ่งเป็นเพื่อนของท่านแม่จึงมาฝากริออนไว้ที่บ้านฉัน เวลาที่ไปเล่นที่วังในช่วงนั้นฉันจึงพาริออนไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำไมในตอนนั้นจู่ๆ พี่อิชบอกให้ริออนเข้าไปอยู่ในวังแทนจนกว่าดัชเชสริออนน่าจะกลับมาและริออนเองก็ตกลง หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ริออนก็กลับไปและไม่ได้กลับมาเล่นด้วยกันที่วังอีก จนกระทั่งหนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนั้น เขาจึงได้เข้าวังมาเพื่อเป็นเพื่อนเรียนให้กับฉันตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิ ริออนจึงรู้ว่า พี่อิชคือบุคคลที่สำคัญกับฉันมากแค่ไหน แม้ว่าเขาจะหายตัวไป แต่ฉันก็ยังคงเฝ้ารอการกลับมาของเขา

“เจ้ายังรอเขาอยู่สินะ” ริออนว่า สายตาที่สื่อถึงความจริงจังของเขามองมาที่ฉัน ฉันไม่ค่อยชินกับสายตาในตอนนี้ของเขาที่จ้องมองมาเลย โดยปกติแล้วริออนเป็นคนร่าเริง หัวเราะ ขี้บ่น และยังขี้โม้ ทว่าสายตาและสีหน้าที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ดูราวกับเป็นคนละคน “แล้วถ้าเขาไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ? เจ้าก็ยังจะรอเขาต่อไปแบบนี้งั้นหรือ?” 

“…” 

“ข้ารู้ว่ามันค่อนข้างยากที่จะทำใจนะ แต่เจ้าก็ต้องเผื่อใจไว้ เพราะโอกาสที่เขาจะกลับมามันแทบไม่มีเลย ตลอดสิบสองปีที่เจ้ารอเขา องค์จักรพรรดิก็ทรงตามหาเขาทั่วอาณาจักรราวกับจะพลิกแผ่นดิน และตลอดมาก็ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยเลยสักนิด เจ้าควรปล่อยวางได้แล้วนะ สตาร์” 

ริออนจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันเอาไว้แน่น “เพราะเขา เจ้าจึงไม่เปิดใจให้ใคร” 

“เรื่องของข้า ข้ารู้ดีที่สุดน่า!” ฉันปัดมือทั้งสองข้างของริออนที่จับไหล่ของฉันเอาไว้ออกทันที ฉันไม่อยากฟังเรื่องที่หมอนี่พูดต่อไปอีกแล้วความรู้สึกภายในมันอัดแน่นไปหมดจนไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ ทำไมจู่ๆ ริออนถึงมาพูดอะไรแบบนี้ ฉันลุกขึ้นทันที

“ถ้าตอนนี้อาชูร่ายังมีชีวิตอยู่และเขาก็ได้พบกับคนที่เขารัก เจ้าก็ยังจะอยู่แบบนี้งั้นหรือสตาร์? เจ้าก็ยังจะรักเขาแบบนี้ต่อไป ทั้งๆ ที่เขาไม่มีวันกลับมาหาเจ้าแล้วงั้นหรือ?” 

“…” 

“เจ้าอายุยี่สิบปีแล้วนะสตาร์ อีกไม่นานองค์จักรพรรดิต้องให้เจ้าอภิเษกกับใครสักคนแน่ เลิกคิดเถอะว่าเขาจะกลับมา มันไม่มีทางเป็นไปได้!” ริออนจับแขนของฉันไว้ ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ทำให้น้ำตาที่กลั้นมาโดยตลอดนั้นไหลออกมาพร้อมกับความรู้สึกมีมีดเสียบแทงเข้ามาที่กลางอก “อาชูร่าน่ะตายไปแล้ว” 


 

สามารถพูดคุยกันได้ที่ #อิชสตาร์ ทางทวิตเตอร์ได้นะคะ ^^