sds

Chapter 2 : Part 1

และแล้วงานอาบิเลียก็จบลงด้วยดี แต่ใบหน้าของอัศวินผู้มีนามว่า ‘ไอนส์ ลูซิเฟอร์’ นั้นยังคงติดอยู่ในหัว ความรู้สึกราวกับว่าฉันเคยพบกับเขาและเหมือนว่าฉันคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดีนี่คืออะไรกันแน่? ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่เจอกันแท้ ๆ สายตานั้นที่จ้องมองมามันสื่อถึงอะไรกันแน่นะ? และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อคืนฉันไม่ฝันแปลกๆ อย่างที่เคยเป็นทุกคืน หรือไม่แน่ว่าฉันคงอาจจะเหนื่อยจากงานมากเกินไปละมั้ง

เนื่องจากเมื่อวานเป็นการจัดงานที่ค่อนข้างใหญ่โตเพราะมีผู้คนมาร่วมงานค่อนข้างมากแถมเวลางานนั้นยังยาวจนถึงเที่ยงคืน วันนี้จึงกลายเป็นวันหยุดพักผ่อนไปโดยปริยาย ซึ่งวันหยุดพักผ่อนเช่นนี้ฉันเองก็อยากจะออกไปดื่มน้ำชาที่สวนดอกไม้สักหน่อย แต่สภาพอากาศในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยเลยสักนิด เนื่องจากเมื่อคืนมีอากาศค่อนข้างเย็นจึงทำให้ตอนเช้ามีหิมะตก ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดู ฉันจึงจำเป็นต้องอยู่ในวังอย่างเลี่ยงไม่ได้

“นี่ ลูซี่” ลูซี่หรือหญิงรับใช้ในวังที่กำลังวางถาดขนมและน้ำชา

ยามบ่ายลงบนโต๊ะตรงหน้า เธอคอยดูแลรับใช้ฉันตั้งแต่วันแรกที่ฉันเข้ามาในวังจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าช่วงแรกๆ ที่ฉันเข้ามาในวังแห่งนี้เธอจะทำหน้าที่ราวกับเป็นพี่เลี้ยงก็ตาม แต่เธอก็ทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ไม่ว่าฉันจะดื้อหรือขี้แยขนาดไหน เธอก็มักจะอยู่ข้างฉันเสมอ นั่นทำให้ฉันเริ่มสนิทกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนถือว่าเธอเป็นทั้งพี่สาวและเป็นหนึ่งในเพื่อนที่สนิทมากที่สุดของฉันรองจากริออนเลยก็ว่าได้

“มีอะไรให้รับใช้เพคะ องค์หญิง”

“ไม่มีใครอยู่นะ คุยกันปกติเถอะ” เวลาที่ไม่มีใครอยู่ เราสองคนก็มักจะมานั่งคุยกันประจำและลูซี่เองก็ชอบเอาเรื่องต่างๆ จากนอกวังมาเล่าให้ฉันฟังบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องหนุ่มๆ ที่เธอแอบปลื้ม แต่สุดท้ายก็ได้แค่ปลื้มน่ะนะ โดยนิสัยส่วนตัวของลูซี่แล้ว ต่อหน้าคนที่เธอชอบ เธอมักจะไม่กล้าคุยกับเขาแถมทำเมินใส่อีกต่างหาก จึงทำให้เธออกหักทั้งที่ยังไม่เริ่มเป็นประจำเลยละ ทั้งที่เธอเองก็เป็นหญิงสาวที่น่ารักคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ส่วนคนที่คอยรับฟังเธอมาร้องไห้เสียใจกับเรื่องพวกนี้ก็คือ ฉันผู้นี้เอง

“มีอะไรรึเปล่าคะ?” เมื่อลูซี่ได้ยินฉันพูดเช่นนั้น เธอก็นั่งลงบนโซฟาตรงข้ามฉันอย่างที่ทำประจำทันที

“คือว่า...เจ้ารู้จักอัศวินที่ชื่อ ไอนส์ ลูซิเฟอร์ หรือเปล่า?” ฉันถามสิ่งที่กำลังคาใจออกไปทันที ถ้าเป็นเรื่องหนุ่มๆ ไม่มีทางที่ลูซี่จะไม่รู้แน่นอนเพราะเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแอบส่องหนุ่มๆ เลยละ

“โอ้! อัศวินในหน่วยฝึกหัดผู้นั้น ไม่รู้จักไม่สมเป็นลูซี่หรอกนะคะ!” เธอตอบพร้อมแววตาที่เป็นประกายขึ้นมาทันทีก่อนที่เธอจะเอ่ยต่อ “ตั้งแต่ท่านไอนส์เข้ามาน่ะ สาวใช้ในวังทุกคนอยากย้ายไปทำงานเป็นแม่ครัวให้กรมอัศวินแทนเลยละ ตั้งแต่ทำงานในวังมาลูซี่ยอมรับเลยว่าไม่เคยเจอใครงดงามเพียงนี้เลยละค่ะ! ถึงแม้ว่าจะสวมหน้ากากบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถลดความงดงามของท่านไอนส์ลงได้เลย!” ก็คงไม่แปลกหรอกที่สาวใช้หลายคนอยากจะย้ายไปทำงานเป็นแม่ครัวในกรมอัศวิน อัศวินที่ชื่อไอนส์ผู้นั้นมีใบหน้าที่งดงามมากเลยทีเดียว ถึงแม้จะมีหน้ากากสีดำที่บดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งแถมยังทำให้รู้สึกแตกต่างจากอัศวินคนอื่นๆ เสียด้วย

“ทั้งท่านไอนส์ ทั้งท่านริออน เกิดอะไรขึ้นที่วังอาโพเลียแห่งนี้นะ? ชายหนุ่มงดงามไปหมดเลยค่ะองค์หญิง!” ลูซี่พร่ำเพ้อออกมา ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับมะเขือเทศสุก เพราะความเขินอายในหัวของเธอที่กำลังนึกถึงสองบุรุษผู้มีใบหน้างดงามดั่งรูปปั้น

“เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่งั้นหรือ?” ฉันถามออกไป

“ได้ประมาณสองสัปดาห์แล้วละ” ลูซี่ตอบก่อนที่จะแสดงใบหน้าเศร้าหมองออกมา “แต่...ไม่เคยเห็นท่านไอนส์ยิ้มแม้แต่ครั้งเดียวเลยน่ะสิคะ”

“หืม?”

“ก็ลูซี่แอบไปส่องอยู่ทุกวัน ทั้งตอนซ้อม พักทานอาหารก็ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง” นี่สินะเวลาว่างของลูซี่ในช่วงนี้ ฉันเองก็แอบสงสัยอยู่ตั้งนานว่าเธอไปไหน ทั้งที่ปกติเวลาว่างจะมานั่งคุยเล่นกับฉันแท้ๆ “ตอนนี้กลายเป็นความฝันของสาวใช้ที่จะได้เห็นรอยยิ้มของท่านไอนส์แล้วละค่ะ”

“ข้าว่านั่นน่าจะเป็นความฝันของเจ้าคนเดียวนะ” ฉันแซวหญิงสาวตรงหน้าที่มีท่าทางเขินอาย ดูท่าเธอคงกำลังจินตนาการว่าท่านไอนส์ของเธอกำลังยิ้มอยู่แน่

“ถ้าหากท่านไอนส์ยิ้ม อาณาจักรนี้คงละลายราวกับครีมรสหวานที่ละลายในปากแน่ๆ เลยค่ะ!” แต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อีกละนะ คนที่มีใบหน้างดงามราวกับรูปปั้นเช่นนั้นไม่เคยแสดงรอยยิ้มให้ใครเห็น ถ้าหากได้เห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจเขาจริงๆ ก็คงจะดีไม่น้อยเลยละ ทว่าการที่เขาไม่แสดงรอยยิ้ม สายตาไม่แสดงออกถึงความรู้สึกและไม่สามารถเดาความคิดของเขาได้เลยสักนิด การที่เขาเป็นเช่นนี้คงจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับเขาเป็นแน่

“เจ้าเนี่ยนะ” ฉันถอนหายใจพลางหัวเราะในลำคอออกมาพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “คือ...ข้าอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาน่ะ”

“เอ๋?” ลูซี่ทำเสียงและสีหน้าตกใจทันทีก่อนที่จะหรี่ตาและมองมาที่ฉันราวกับกำลังจับผิด “หรือว่า...องค์หญิงของลูซี่จะหลงเสน่ห์ท่านไอนส์เสียแล้วหรือคะเนี่ย?”

“มะ ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย!” ฉันรีบปฏิเสธออกไปทันควัน “แค่อยากรู้เฉยๆ น่ะ”

“ลูซี่รู้แค่ว่าเขาเป็นเด็กกำพร้านะ ใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติ คนรู้จัก หรือเพื่อน ที่เข้ามาทำงานเป็นอัศวินเพราะมันทำให้ชีวิตเขาไม่ต้องอดอยากไปวันๆ น่ะนะ ลูซี่ได้ยินมาแบบนี้ละ”

“เป็นเด็กกำพร้างั้นเหรอ...” เพียงแค่ได้ยินที่ลูซี่เอ่ยก็สัมผัสได้ถึงความยากลำบากของเขาในอดีตและรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น การใช้ชีวิตโดยการอยู่คนเดียวมาตลอดเช่นนี้ เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดและโดดเดี่ยวมากขนาดไหนกัน? ส่วนสาเหตุที่เข้ามาเป็นอัศวินก็เพราะไม่อยากที่จะอยู่อย่างอดอยากไปวันๆ ในอดีตเขาต้องพบเจอกับอะไรมาบ้างนะ?

“ก่อนหน้านี้ชีวิตเขาคงลำบากน่าดูเลย แต่หลังจากนี้ลูซี่จะดูแลท่านไอนส์เองค่ะ!”

“งั้นเหรอ เขาคงโชคดีมากเลยละนะ” ฉันหัวเราะให้กับประโยคหลังที่ลูซี่เอ่ย

“นี่องค์หญิงรู้ไหม? ที่เขาปิดใบหน้าส่วนดวงตาข้างซ้ายของเขาน่ะ ได้ยินมาว่าภายใต้หน้ากากนั้นเป็นบาดแผล นั่นเพราะตอนเด็กไปขโมยอาหารแล้วถูกจับได้ คงเป็นเพราะบ่อยครั้งละมั้ง เจ้าของร้านทนไม่ไหวจึงตามไล่ฆ่า แต่ดันพลาดไปโดนใบหน้าส่วนนั้นพอดี” สิ่งที่ลูซี่ได้เอ่ยออกมาทำให้ฉันรู้สึกหดหู่มากกว่าเดิม ทั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กแท้ๆ แต่กลับถูกกระทำโหดร้ายเช่นนั้น

‘ลาก่อน ...'

ผู้ชายในความฝันคนนั้น...อยู่ๆ ก็โผล่มาในหัวอีกแล้ว ทั้งยังปวดหัวราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทง แต่ที่ต่างไปก็คือใบหน้าของเขามันชัดเจนมากกว่าเดิม แม้มันจะเป็นเพียงเสี้ยววินาที แต่นัยน์ตาสีมรกตงดงามที่ปรากฏขึ้นมาและเค้าโครงใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับบุคคลที่ฉันคุ้นเคยในอดีต พี่อิช...มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้ว่านั่นคือเขาทันที ถึงแม้ช่วงเวลาที่พี่อิชหายไปนั้นจะเป็นวัยเจ็ดขวบ แต่ภาพที่อยู่ในฝันนั้นอยู่ในวัยผู้ใหญ่แล้วก็ตาม

ภาพของไอนส์ที่จ้องมองมาที่ฉันเมื่อคืนมันซ้อนกับภาพของชายในฝันผู้นั้น...

ใบหน้าของพวกเขาที่มีความคล้ายคลึงและซ้อนทับกันในหัว

ราวกับว่าทั้งสองคนเป็นคนเดียวกันเสียอย่างนั้น ทว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก พี่อิชเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่องค์จักรพรรดิรักและหวงแหนมากที่สุด ในวันที่เขาหายตัวไปองค์จักรพรรดิสั่งให้ทหารและอัศวินออกตามหากันให้ทั่ว ขณะที่ไอนส์เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่มีเบื้องหลังชีวิตอันโหดร้าย แม้ทั้งสองคนจะมีใบหน้าที่คล้ายกันมากแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็มีสิ่งที่ไม่เหมือนกันอยู่ดี นัยน์ตาสีมรกตที่มีเฉพาะพี่อิชและองค์จักรพรรดิเท่านั้น

และที่สำคัญพี่อิชไม่เคยมีสายตาที่เย็นชาเช่นนั้นแน่

ต่อให้ภายนอกคล้ายคลึงกันมากแค่ไหน ภายในก็เป็นคนละคนอยู่ดี

แต่ถึงอย่างนั้น...ถ้าเป็นพี่อิชจริง ทำไมในฝันต้องทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นด้วย?

แถมฉันยังฝันแบบนั้นซ้ำๆ มาตลอดเก้าปี...

อาจจะเป็นเพราะในใจลึกๆ ฉันยังคงคิดถึงและเฝ้ารอการกลับมาของพี่อิชตลอด ฉันเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าทุกคนเชื่อว่าเขาไม่มีวันกลับมาแล้วก็ตาม และเรื่องความฝันนี้ก็ไม่มีทางเกี่ยวกับไอนส์ ลูซิเฟอร์ แน่นอน

...สงบใจเสีย สตาร์ลิ่ง...

“เจ้ารู้เรื่องเยอะแยะแบบนี้มาจากไหนเนี่ย?” ฉันปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะเกรงว่าคนตรงหน้าจะจับได้และเป็นห่วงเอา ฉันสลัดความคิดเมื่อครู่ออกจากหัวและหันมาสนใจเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นหลักของ

การสนทนาที่ค้างคาอยู่ในตอนนี้

“ก็เหล่าเพื่อนอัศวินของเขาสงสัยเลยถามเขาละมั้ง ข่าวก็ถูกเล่าต่อมาเรื่อยๆ จนมาถึงวังอาโพเลียแห่งนี้ละค่ะ” เรื่องที่ปิดแผลบนใบหน้านั้นดูเป็นที่น่าสนใจของผู้คนจริงๆ นั่นแหละ รวมถึงฉันเองก็ด้วย “แต่ดูเหมือนว่าเรื่องบาดแผลเนี่ยจะไม่ได้มีแค่ที่ใบหน้าที่เดียวนะคะ”

“งั้นเหรอ...” ถ้าเล่าถึงการถูกไล่ฆ่าแล้วละก็คงจะไม่ได้มีแค่แผลเดียวแน่ๆ ชีวิตก่อนหน้านี้เขาผ่านอะไรมากันแน่นะ แค่ได้ยินเท่านี้ยังรู้สึกหดหู่ แต่ก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาอีก...สักนิด “เจ้ารู้อะไรอีก เล่ามาให้หมดเลยนะ”

“ลูซี่ว่าแล้วว่าองค์หญิงหลงเสน่ห์ท่านไอนส์เข้าเสียแล้ว” ลูซี่หรี่ตาจ้องจับผิดมาที่ฉัน

“บอกแล้วว่าไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย!”

“ลูซี่ไม่เชื่อหรอกค่ะ องค์หญิงอย่าทำเป็นปากแข็งเลยนะ”

“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดจริงๆ นะ! เล่ามาเถอะ!"

“อันที่จริงลูซี่ก็รู้เท่านี้ ท่านไอนส์ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของตัวเองมากนักน่ะสิ” นั่นสินะ ถึงจะเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก แต่จากลักษณะของเขาก็ดูเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดสักเท่าไหร่เสียด้วยสิ คงไม่แปลกหรอกที่จะรู้เรื่องของเขาเพียงเท่านี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่มีคนถามแล้วเขาก็เป็นฝ่ายตอบเท่านั้น

“งั้นเหรอ...” เรื่องที่ได้รู้เกี่ยวกับไอนส์ก็มีเพียงเท่านี้สินะ “นี่ลูซี่ เจ้าว่า...” ไอนส์กับพี่อิชดูคล้ายกันมากเลยว่าไหม? ฉันเลือกที่จะไม่พูดออกไป ทั้งที่บอกกับตัวเองแล้วว่ายังไงสองคนนี้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ยังแอบเก็บมาคิดอีกเสียได้

“หืม?”

“เจ้าจำพี่อิชได้ไหม? ข้าหมายถึงองค์ชายอาชูร่าน่ะ” อันที่จริงลูซี่เคยรับใช้พี่อิชมาก่อน เธอดูแลพี่อิชตั้งแต่ฉันยังไม่เกิดเลยก็ว่าได้ พอรู้ข่าวว่าพี่อิชหายตัวไป เธอเองก็คงจะเสียใจไม่แพ้กันแน่ แต่ก็ยังมาปลอบฉันที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด

“ได้แน่นอนสิคะ” พอได้ยินคำถามนั้นสีหน้าของลูซี่ก็เปลี่ยนไปในทันที ถึงแม้ว่าในใจของเธอจะเสียใจมากแค่ไหน ภายนอกของเธอกลับยังคงแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มออกมาตลอด ลูซี่เอ่ยต่อ “แต่การหายตัวไปขององค์ชายมันนานเกินกว่าที่จะคิดว่าองค์ชายจะมีชีวิตอยู่แล้วละค่ะ”

“งั้นเหรอ...” ลูซี่เองก็คิดเช่นนั้นสินะ


 

สามารถพูดคุยได้ใน #อิชสตาร์ ทางทวิตเตอร์ได้นะคะ ^^