sds

Chapter 4 : Part 1

สิบสี่ปีก่อน ณ สวนดอกไม้โอรอยส์ แห่งราชวังอาโพเลีย

“ดาร์ลิ่ง เอานี่!” เด็กชายผู้มีเรือนผมสีครามเอ่ยขึ้นพลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เด็กหญิงตรงหน้า ที่จริงแล้วเด็กหญิงตรงหน้าเขานั้นไม่ได้มีนามว่า ดาร์ลิ่ง อย่างที่เขาเอ่ยแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเธอต้องการที่จะให้เขาเรียกเธอเช่นนั้น พอเขาเผลอเรียกชื่อจริงของเธอ เด็กหญิงก็มักจะยู่ปากแสดงความไม่พอใจออกมา นั่นก็เป็นเพียงเพราะว่าชื่อของเธอไม่น่ารักนั่นเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดูเหมือนว่าเขาจะติดและชอบที่จะเรียกเธอว่า ดาร์ลิ่ง ไปเสียแล้ว 

เธอมองกระดาษที่เขายื่นให้ตรงหน้าอย่างงุนงง เพราะเมื่อเช้าพวกเขาก็เพิ่งวาดรูปด้วยกันไปเอง ก่อนหน้านี้องค์ชายอาชูร่าหรืออิชบอกเธอว่าเขามีเรื่องอยากจะไปทำด้วยกันกับเธอในช่วงบ่ายจึงกลับมาที่สวนดอกไม้แห่งนี้อีกครั้ง ตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะพาเธอมาเก็บดอกไม้เสียอีก 

เธอเคยบอกกับเขาไว้ว่าอยากเก็บดอกไม้ที่สวนดอกไม้แห่งนี้เอาไปไว้ที่ห้องของเธอ เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งเธอไม่ได้มาที่นี่ อย่างน้อยก็มีมันที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ที่สวนดอกไม้แห่งนี้กับเขา แต่อาชูร่ากลับปฏิเสธและบอกว่าถ้าหากวันไหนเธอไม่มา เขาจะเป็นฝ่ายไปหาเธอเอง ตอนแรกเธอเผลอดีใจไปด้วยซ้ำว่าเขาเปลี่ยนใจ ไม่คิดว่าเขาจะอยากวาดรูปเสียอย่างนั้น

“ก็แค่กระดาษธรรมดาไม่ใช่เหรอ? เราจะวาดรูปกันที่นี่สินะ!” เด็กหญิงตัวน้อยหรือสตาร์ลิ่งเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มและรับกระดาษแผ่นนั้นไว้ แม้จะผิดหวังในใจเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงยิ้มออกมา ในใจเธอไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะพาเธอมาที่นี่เพราะอยากวาดรูป แต่เธอก็ยินดีที่จะทำมันตราบใดที่คนตรงหน้านั้นยังอยู่กับเธอและเธอเองก็หวังว่าเขาจะอยู่เช่นนี้กับเธอจากนี้และตลอดไป 

“วาดรูปที่ไหนกันล่ะ? ให้เขียนต่างหาก” 

“ให้เขียนอะไรงั้นเหรอ?” สิ่งที่เขาพูดทำเธองุนงงไปเล็กน้อย เธอยังเขียนหนังสือยังไม่คล่องแถมบางคำก็ยังสะกดไม่ได้ แตกต่างจากเขาที่สามารถเขียนได้อย่างคล่องแคล่วและยังสามารถพูดได้อีกถึงสามภาษา 

“เรามาเขียนถึงพวกเราในอนาคตกันเถอะ! เจ้าเขียนถึงตัวข้าตอนอายุยี่สิบสอง ส่วนข้าเองก็จะเขียนถึงเจ้าในอายุยี่สิบเอ็ด” อาชูร่าอธิบายให้คนตรงหน้าฟัง นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกายงดงามเมื่อสะท้อนกับแสงแดดยามบ่ายทำเอาคนตรงหน้าจ้องมองมันไม่วางตา “เราจะฝังมันลงในหลุมใต้ต้นไม้ต้นนี้ อีกสิบห้าปีข้างหน้า เราสองคนค่อยมาขุดด้วยกัน เป็นไงล่ะ!” 

สิ้นประโยค สตาร์ลิ่งแสดงสีหน้ากังวลทันที “แต่ข้าเขียนหนังสือยังไม่คล่อง ถ้าพี่อิชตอนอายุยี่สิบสองมาอ่านต้องหัวเราะแน่ๆ” ถึงจะมีสิ่งที่อยากเขียนอยู่ในใจ แต่เธอเขียนออกไปได้ไม่หมดแน่ๆ 

“ข้าไม่หัวเราะแน่นอน มันเป็นสิ่งที่เจ้าเขียนให้ข้าเชียวนะ” อาชูร่าเดินเข้ามาใกล้ วางมือลงบนศีรษะของคนที่ตัวเล็กกว่าพร้อมรอยยิ้ม สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่เธอเขียนให้เขาไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็ยินดีที่จะรับมันไว้ “รีบเขียนเถอะ ห้ามแอบดูนะ” 

“อื้ม เข้าใจแล้ว!” จบประโยคทั้งสองคนก็แยกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ที่ห่างกัน เพื่อจะได้ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเขียนอะไร แน่นอนว่าอาชูร่าเป็นคนเขียนเสร็จก่อน เขามองเด็กหญิงที่กำลังนั่งนึกคำที่เขียนไม่ได้สักทีในหัวแล้วเผลอยิ้มบางๆ ออกมา เก็บจดหมายที่เพิ่งเขียนเสร็จนั้นลงในกระเป๋ากางเกง

ดูเหมือนว่าสตาร์ลิ่งไม่ได้สนใจรอบข้างเลยสักนิด ความตั้งใจของเธอในตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับการเขียนจดหมายตรงหน้า เห็นดังนั้นอาชูร่าจึงเดินไปยังบริเวณที่มีดอกไม้สีแดงสดมากมาย เขาเดินเข้าไปเพื่อที่จะเด็ดมันมาสักสองดอก แต่เพราะความไม่รู้ มือที่เอื้อมเข้าไปเพื่อที่จะเด็ดมันกลับโดนหนามของมันปักเข้าที่มืออย่างจัง 

ดอกไม้นี้ถึงภายนอกจะดูงดงาม แต่หนามของมันที่มีไว้ปกป้องตัวเองนั้นกลับแหลมคมนัก ดีแล้วที่เขาปฏิเสธเธอไม่ให้เด็ดดอกไม้พวกนี้ มิเช่นนั้นเธอคงมีบาดแผลที่มืออย่างเช่นเขาในตอนนี้แน่ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นดอกไม้ที่เธออยากจะได้มัน ว่าแล้วเด็กชายก็เดินไปที่โรงเก็บอุปกรณ์ทำสวนที่อยู่ใกล้ๆ ทันที

เวลาผ่านไปนานพอควร เขากลับมาพร้อมกับดอกไม้สีแดงสดในมือ ที่เลอะไปด้วยเศษดิน สตาร์ลิ่งเขียนจดหมายเสร็จรียบร้อยแล้วและเธอกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เช่นเดิม ท่าทีของเธอแตกต่างไปจากปกติ ริมฝีปากเล็กโค้งคว่ำลง ใบหน้าของเธอกำลังกลั้นน้ำตาราวกับลูกสุนัขหูตกถูกทอดทิ้ง เขารีบวางดอกไม้สีแดงสดนั้นไว้หลังต้นไม้ทันทีก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเธอ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ เด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้นทันที

“พี่อิช! ข้าเงยหน้าขึ้นมา พี่อิชก็หายไปแล้ว นึกว่าพี่อิชโดนปีศาจต้นไม้กินไปแล้ว” เด็กหญิงเอ่ยเสียงดังลั่นพร้อมกับวิ่งเข้าไปกอดเด็กชายที่กำลังเดินมาทันที ที่จริงเธออยากจะเดินตามหาเขา แต่ถ้าเธอเดินออกไปหาแล้วเขากลับมาในช่วงนั้นก็จะไม่พบเธอ แถมเธอก็เป็นคนที่ไม่ค่อยจำทางเสียด้วย พื้นที่ในราชวังกว้างขวางมีหวังเธอได้หลงทางแน่ เธอจึงตัดสินใจนั่งรอเขา เวลาค่อยๆ เดินไปพร้อมกับจินตนาการเกี่ยวกับหลายสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขาในหัว

“ข้าไปเข้าห้องน้ำน่ะ” อาชูร่ายิ้มบางๆ เด็กหญิงคลายกอดและใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาของตนก่อนจะวิ่งไปหยิบจดหมายที่เธอวางไว้มาให้เขา เขารับมันไว้ก่อนที่จะหยิบซองจดหมายตัวเองออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอกและเดินไปหยิบกล่องสี่เหลี่ยมสีเงินที่สามารถใส่ซองจดหมายได้อย่างพอดี เขาใส่จดหมายทั้งสองฉบับลงไปก่อนจะปิดฝากล่องและหยิบพลั่วจาก โรงเก็บอุปกรณ์ใกล้ๆ เมื่อครู่ตอนที่เขาไปหยิบกรรไกรสำหรับตัดดอกไม้ให้สตาร์ลิ่งขึ้นมา “เรามาฝังจดหมายพวกนี้กันเถอะ” สตาร์ลิ่งตอบกลับ อื้ม สั้น ๆ แต่มันเต็มไปด้วยความสดใส ทำเอาคนที่อยู่ตรงหน้าเผลอยิ้มตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาใช้เวลาขุดหลุมไม่นานก็ได้ความลึกตามที่ตัวเองต้องการ วางกล่องสี่เหลี่ยมนั้นลงไปในหลุม และนำดินกลบลงไปเช่นเดิม 

“เท่านี้ก็เรียบร้อย ห้ามแอบขุดมาอ่านก่อนล่ะ ต้องรอจนกว่าเจ้าจะอายุยี่สิบเอ็ดปี เข้าใจนะ?” เขาย้ำกับเด็กหญิงตรงหน้าอีกครั้ง 

“อื้ม เกี่ยวก้อยสัญญา!” สตาร์ลิ่งชูนิ้วก้อยเล็กๆ ของเธอให้เด็กชายตรงหน้า เขายิ้มและเกี่ยวก้อยแทนคำสัญญานั้นทันที ก่อนที่จะเดินไปหยิบดอกกุหลาบสีแดงสดจากหลังต้นไม้ที่เขาซ่อนไว้

“แล้วก็...นี่ ให้เจ้า” 

“ให้ข้าจริงเหรอ? ขอบคุณนะพี่อิช” อาชูร่าพยักหน้าแทนคำตอบ นัยน์ตากลมโตของเด็กหญิงตรงหน้าเป็นประกายและรับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไปทันที เธอไม่คิดว่าคนตรงหน้านั้นจะไปเก็บดอกไม้พวกนี้มาให้เธอ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ปฏิเสธเธออย่างเดียวแท้ๆ เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ดอกไม้พวกนี้เป็นดอกไม้ที่อาชูร่าให้เธอเป็นครั้งแรก ถึงแม้จำนวนมันจะไม่เยอะ แต่เขาก็ตั้งใจเก็บมันมาเพื่อเธอ เขามองใบหน้าของเธอที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แม้ว่ามือของเขาจะได้รับบาดเจ็บจากการเข้าไปเด็ดดอกไม้โดยไม่รู้วิธี แต่มันก็คุ้มที่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

“งั้นพวกเรารีบไปล้างมือแล้วไปกินมิลเฟยกันเถอะ ใครช้าอดนะ!” สตาร์ลิ่งที่กำลังชื่นชมดอกไม้ในมือเมื่อได้ยินอาชูร่าเอ่ยว่า มิลเฟย ขนมหวานที่โปรดปรานมากที่สุด เธอเงยหน้าขึ้นทันทีก็เห็นอาชูร่าวิ่งนำหน้าเธอไปเสียแล้ว สตาร์ลิ่งไม่รอช้าวิ่งตามไปทันที

“พี่อิช! อย่ากินหมดก่อนนะ!” 

 

ภายในหัวของฉันนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ใต้ต้นไม้ที่ฉันยืนอยู่ตอนนี้มีจดหมายของพวกเราในอดีตที่เขียนถึงกันและกันในอนาคต ฉันมักจะมาที่นี่ในวันนี้ของทุกปี อย่างน้อยใต้ต้นไม้นี้ก็มีสิ่งที่หลงเหลือให้นึกถึงเขาอยู่ ทั้งที่สัญญาว่าจะมาเปิดอ่านด้วยกันแท้ๆ แต่ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คนที่บอกให้รอในตอนนั้นกลับหายตัวไป วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบยี่สิบเอ็ดปีของเขาและวันนี้ในปีหน้าก็เป็นวันที่เราสัญญากันไว้ว่าเราจะมาอ่านจดหมายพวกนี้ด้วยกัน 

“สุขสันต์วันเกิดนะพี่อิช หวังว่าเจ้าจะกลับมาเร็วๆ นี้” ฉันเอ่ย แม้ว่าคำพูดที่ฉันเอ่ยจะส่งไปไม่ถึงเขาก็ตาม แต่มันเป็นความหวังที่ฉันเฝ้ารอให้มันเป็นจริงมาโดยตลอด “ข้ายังรอเจ้าอยู่นะ...ท่านพี่อาชูร่า” 

สายลมที่พัดผ่านมาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ในฤดูหนาว ฤดูหนาวที่มีความทรงจำมากมายจนอยากจะย้อนเวลากลับไป แต่กาลเวลาไม่เคยเดินถอยหลัง มันเดินหน้าเสมอจึงทำได้เพียงนึกย้อนถึงอดีตเท่านั้น ในวันนี้เมื่อสิบสี่ปีก่อน พวกเราได้ฉลองวันเกิดเล็ก ๆ ด้วยกันในสวนดอกไม้แห่งนี้ ใบหน้าของทุกคนมีแต่รอยยิ้มและความสุข คำอวยพรที่ฉันให้แก่เขาในวันนั้นคือ ขอให้เขามีความสุขตลอดไป

‘นี่ไงล่ะ ความสุขของข้า’ นั่นคือสิ่งที่เขาตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มและปลายนิ้วของเขาชี้มาที่ฉัน...

ในอดีตที่มีแต่รอยยิ้ม เห็นทุกเรื่องเป็นเรื่องสนุกไปหมดจนโดนดุและทำโทษอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ออกหน้ารับผิดแต่เพียงผู้เดียว บางครั้งฉันเองที่เป็นต้นเหตุ ถ้าไม่ทำก็งอแงใส่เขาจนยอม ทั้งที่ในครั้งแรกที่เราเจอกันเพียงเพราะฉันอยากติดตามท่านแม่มายังราชวังอาโพเลียและองค์จักรพรรดิก็ทรงเห็นชอบว่าเราสองคนมีอายุไล่เลี่ยกันจึงอนุญาตให้มาเล่นที่นี่ได้ เขาเองไม่มีท่าทีสนใจฉันเลยสักนิด ในตอนนั้นฉันรู้สึกว่าเขาต้องเกลียดฉันแน่จึงแอบไปร้องไห้คนเดียว แต่พอร้องไห้จนพอใจก็หาทางกลับไปที่วังไม่เจอ สุดท้ายเขาก็ตามหาฉัน กว่าจะเจอตัวเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นเสียแล้ว ฉันร้องไห้ใส่แถมยังตีเขาเพราะความโกรธและเสียใจที่คิดว่าเขาเกลียดฉัน ฉันเองก็จะเกลียดเขาเช่นกัน แต่เขากลับไม่ได้ว่าอะไรเลยสักนิด หลังจากนั้นเขาก็พาฉันกลับวังและนั่งคุยปรับความเข้าใจกัน ผลสรุปที่เขาไม่สนใจฉันนั่นเพียงเพราะว่าไม่รู้จะเริ่มคุยอย่างไรเท่านั้น 

แม้ว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ค่อนข้างขัดแย้งกัน แต่นับตั้งแต่นั้นมาเราสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปเสียแล้ว...เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตเหล่านั้นก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ 

“ขออภัยที่เสียมารยาท อากาศด้านนอกค่อนข้างหนาว องค์หญิงออกมาโดยไม่สวมเสื้อคลุมเช่นนี้จะไม่สบายเอาได้นะพะยะค่ะ”