7 ตอน 7
โดย pynox
ประชุมเย็นวันศุกร์มาเยือน เจนธรรมเผ่นแผล็วตามคำมั่นเมื่อวันจันทร์ คณาจารย์หมวดสุขภาพและการเรียนรู้ตีกันเอง ตีกับหัวหน้าฝ่ายวิชาการ ทะเลาะกับตัวแทนสมาคมผู้ปกครองทางโทรศัพท์ พี่ปราชญ์รับคำชมเรื่องช่วยเหตุการณ์ลิฟต์ค้าง (“ผู้ปกครองคนหนึ่งอยากรู้ว่าอาจารย์กันตพิชญ์สนใจจะช่วยงานเลี้ยงศิษย์เก่าไหม เขาเป็นพิธีกรของงานปีนี้ แล้วต้องการพิธีกรคู่” “ใครครับ” “คุณรัตน์ คุณแม่ของบุลรัตน์ค่ะ” “นิ้ง ห้องพี่ไง” “ไม่ละครับ” “งานจัดตั้งปลายปีนะ เผื่อจะคิดดู --” “ไม่ละครับ”) อาจารย์หมวดภาษาเสนอขอส่งนักเรียนไปแข่งขัน
“หิวข้าว” โกโอดหลังมั่นใจว่าเดินออกจากห้องประชุมมาไกลพ้นระยะการได้ยินของพวกอาจารย์ท่านอื่น “พี่ปราชญ์ ไปหาอะไรกินกันเหอะ ไส้จะขาดแล้ว วัยพวกเรายิ่งต้องระวังโรคกระเพาะนะ”
“เนื้อย่าง”
“ชวนไม่กลัวกรดไหลย้อนเลย ไปก็ไป” โกพาดแขนไปบนบ่ารุ่นพี่ มือจับสายกระเป๋าคล้องไหล่อีกข้างให้ดี เขาเทน้ำหนักกะให้พี่ปราชญ์ช่วยลากสักนิด แต่โดนพี่ปราชญ์สะบัดไล่
“อาจารย์กันตพิชญ์คะ”
“ครับ” พวกเขาหันไปทางต้นเสียงหวานไพเราะ
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้รถยนต์ส่วนตัว ท่าทางมิพ้นเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่มารอบุตรหลานเลิกเรียนพิเศษในอีกห้านาที เช่นเดียวกับบรรดาผู้ปกครองที่นั่งตรงม้านั่งหน้าร้านขายน้ำซึ่งปิดแล้ว หรือตามเก้าอี้ใต้ตึกเรียน ไฟตรงโถงเปิดให้เห็นแมลงบินวนว่อนรอบไฟราวกับกองทัพฝุ่นก้อนใหญ่ซึ่งต้านแรงโน้มถ่วง เธอคนนี้ดูมีอายุประมาณหนึ่ง อาจจะน้อยกว่าพวกเขาไม่กี่ปี สวมชุดกระโปรงยาวคลุมด้วยเสื้อนอกตัวบางสีชา รองเท้าผ้าส้นเตี้ย มองแล้วนึกถึงภาพแบบอย่างแม่บ้านญี่ปุ่นแสนสะอาดสะอ้านที่เห็นตามโฆษณาเสื้อผ้า
“ขอคุยด้วยสักครู่จะได้ไหมคะ”
“เอ่อ…ครับ” พี่ปราชญ์ตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ คงไม่ทราบเช่นเดียวกับโกว่าหล่อนเป็นใคร เกี่ยวข้องกับนักเรียนคนไหน เขาหันมาหาโก แล้วพูดเบา ๆ “มึงไปรอที่ร้านก่อนแล้วกัน เอาร้านนั้นที่เป็นแบบเสียบไม้ย่างน่ะ”
โกชูนิ้วโป้งแล้วถอยออกมาพร้อมความรู้สึกหวั่นใจแทนรุ่นพี่ควบเพื่อนร่วมงาน ถ้าพวกเขาจะไม่ชอบอะไรรองจากประชุมกับตัวแทนสมาคมผู้ปกครอง คงเป็นผู้ปกครองที่ตนไม่แน่ใจว่าเป็นของนักเรียนคนไหนมาขอคุยนอกเวลาราชการ ไหนจะ ‘ขอคุยด้วยสักครู่’ มักใช้ยี่สิบนาทีขั้นต่ำ
ผู้ปลีกตัวหนีมาก่อนเดินตัวปลิวไปยังร้านอาหารตามพี่ปราชญ์เลือก ระหว่างทางจนได้โต๊ะนั่งรอ เขาทบทวนว่ามัธยมหกมีเรื่องอะไรในหมู่นักเรียนให้ผู้ปกครองมาหาพี่ปราชญ์ หรือยังไม่มีเรื่อง แต่กำลังจะมีหว่า เขาจิบน้ำ
ออดสตูดิโอดัง -- น่าจะเป็นครั้งแรกของปีนี้เลย คิดแล้วสนอยากจะร้องไห้ เพราะปกติคนที่มาสตูดิโอมักเป็นคนคุ้นหน้ากันดีถึงขั้นสนิทเล่นหัวได้ พวกนั้นจึงไม่กดออดกันอยู่แล้ว แต่เปิดโผลงเข้ามาตามใจชอบเลย ถ้าประตูล็อกถึงจะโทรหาใครสักคนในสามคน ส่วนคนภายนอกมักติดต่อกันก่อนเป็นเรื่องเป็นราว มาถึงตามเวลานัดแล้วเปิดเข้ามาเลยเช่นกัน ถ้าคลำทางมาถูกจนถึงตัวอาคารย่อมเห็นป้ายชื่อสตูดิโอข้างหน้าชัดเจน
หญิงสาวลุกไปเปิดประตู เธออยากวางตัวสบาย ๆ ให้ดูสมเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็กวัยรุ่น ขณะเดียวกันก็ดูเป็นพี่สาวนิสัยกันเอง “เชิญจ้า” จึงออกมาจากปากในแบบที่เจ้าตัวรู้สึกว่าพยายามมากเกินไป
เด็กหนุ่มเด็กสาวสองรายดูประหลาดใจเพราะเห็นเธอ พวกเขาละล่ำละลักยกมือไหว้คล้ายงุนงง สนโบกมือทักทายรับไหว้แล้วเชิญแขกเข้ามา “เดี๋ยวพวกโณก็มา นั่งก่อนสิ ถ้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องน้ำอยู่นี่นะ” เธอชี้ประตูห้องน้ำใต้บันได ตามองเด็กหนุ่มซึ่งมาในชุดเครื่องแบบนักเรียน
เด็กสาวเอาศอกกระทุ้งหลังเพื่อน “ไปเปลี่ยนสิ”
“อ่า -- ขอบคุณครับ”
“ไนท์กับเมย์ ใช่ไหม” สนทวนชื่อที่พวกเพื่อนบอกไว้ สองคนนั้นขานรับ “เชิญๆ เมย์เอาน้ำอะไรดี”
ไนท์เดินเข้าห้องน้ำไป แขนขาเกร็งต่อสถานที่แปลกใหม่ ปิดประตูห้องน้ำก็ยังแว่วเสียงเพื่อนรักตนบอกว่าไม่รับน้ำ เพราะมีกระติกใส่เครื่องดื่มของตัวเองมา
“อะ งั้นขนม” สนไม่ถามความเห็น เพราะตนก็กระอักกระอ่วนกับคนแปลกหน้าเช่นกัน จึงแกะห่อมันฝรั่งทอดกรอบวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเมย์เสียเลย เธอสังเกตว่าอีกฝ่ายยังคงมีสายตาคอยลอบมองตน “กินแบบนี้ได้หรือเปล่า” อะไรเป็นขนมมังสวิรัติมั่งนะ -- สนร้อนรนอย่างเงียบเชียบในใจ
“เปล่าค่ะ -- แค่ -- พี่ --”
“อ๋อ พี่ชื่อสน” เออแฮะ ลืมแนะนำตัว “พวกโณบอกไปยังไม่รู้” คงยังแหง ชื่อเธอ พวกมันยังไม่บอกน้องเขาเลย “แต่พี่เป็นนักเขียนบทของที่นี่ แต่ถึงทำเป็นเรียก ‘ที่นี่’ ไป ก็มีกันแค่สามคนน่ะนะ”
“แต่เวลาที่ไปแสดงที่โรงเรียน…” เมย์ทำหน้างุนงง
“นั่นนักแสดงจากข้างนอก หลายคนไม่ได้มีสังกัดอะไรเลย ส่วนใหญ่ก็คนรู้จักที่เคยร่วมงานกันมาก่อน เพื่อนสมัยเรียนมหา’ลัย มีทั้งเพื่อนเอกละครหรือนอกเอกก็มี แล้วก็ที่แนะนำต่อๆ กันมาทีละงาน”
ไนท์เปิดประตูห้องน้ำ เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แทนชุดเครื่องแบบ สนชวนเขามานั่งกินขนมรอพวกอรุโณทัย ส่วนตัวเองปราดกลับขึ้นชั้นสองหลังจากบอกว่า “ตามสบายนะ” เพื่อเลี่ยงบรรยากาศอึดอัด เพราะตนไม่รู้จะชวนคุยอะไร และกลัวทั้งสองคนนั้นไม่กล้าคุยกันเองถ้าเธอนั่งเฝ้า
สนพิมพ์บทต่อบนชั้นลอย น่าแปลกที่พอต้องเก๊กทำงานยุ่งเลยต้องปล่อยแขกให้รออีกสองคนกลับมาก่อน ดันบังเกิดสมาธิ จนกว่าจะนึกได้ว่าควรชำเลืองดูเสียหน่อยว่าแขกทั้งสองต้องการอะไรไหม เมย์ก็ลุกจากโซฟามายืนดูพวกของแขวนผนังแล้ว ส่วนไนท์หายไปจากระยะสายตา สนเดาว่าคงเดินเข้ามาข้างใต้ชั้นลอยเพื่อดูบริเวณห้องซ้อม
ผ่านไปสักพักชักรู้สึกตนเสียมารยาทที่ปล่อยเด็กทั้งสองไว้ คราวนี้จึงลงชั้นล่างไปเข้าห้องน้ำก่อน ตอนเธอเปิดประตูออกมา สองคนนั้นกลับไปนั่งบนโซฟาแล้ว ยังดีว่าเริ่มกินขนมกันบ้าง สนจึงนึกโล่งใจ
“อยู่ห้องน้าโกกันทั้งสองคนเลยเหรอ” บางสิ่งดลให้ถาม พอคิดดูว่านอกจากพวกเขามารู้จักกับอรัณแล้ว ยังเป็นนักเรียนของน้าโกด้วย
“ใช่ค่ะ”
“น้าโกเป็นไงมั่งเวลาสอน” ก็คิดอยู่บ้างว่าถ้าอาจารย์คนทาสอนห่วย เด็กคงไม่มาบอกเธอหรอก แต่ในเมื่อเธอรู้จักกับโกมาหลายปี ให้เขาช่วยสอนการบ้านกับติวสอบสังคมมาตั้งแต่มัธยม สนเลยไม่ห่วงความเห็นตอบรับเท่าไร เด็กทั้งสองเองตอบคำถามเธอ เอ่ยชมโกแบบไม่ได้เกร็งกันสักนิด แม้จะมีบ่นลงท้ายบ้างว่า “บางทีก็ไม่รู้ว่า’จารย์เขาพูดเล่นหรือพูดจริง”
“ตอนสั่งงานน่ะเหรอ”
“ทุกตอนค่ะ” เมย์โบกมือปัด “ทั้งตอนสอน ตอนสั่งงาน ตอนคุยเรื่องในโรงเรียน”
“พวกรุ่นพี่พูดกันมานานแล้วน่ะครับ ว่าอาจารย์โกเขาชิลๆ อะไรงี้ แต่เมื่อก่อนเคยแค่เรียนสังคมด้วยก็ไม่อะไรเท่าไร แค่คิดว่าอาจารย์ตลกดี แถมใจดีด้วย แต่พอเป็นอาจารย์ประจำชั้นแล้วมันเกินคาดเยอะเลย จับได้ว่าโดดเข้าแถวตอนเช้าก็ไม่ว่าอะไร แถมยังช่วยคิดข้ออ้างให้ด้วย พี่คนหนึ่งบอกลอกการบ้านเลยจะโดดเข้าแถวอยู่ในห้อง โดนเปิดประตูมาเจอ แต่อาจารย์โกก็ทำเป็นมองไม่เห็น”
เคยได้ยินโกเล่าอยู่ว่าสมัยเรียน ตัวเองก็ตะบี้ตะบันอ่านเอาช่วงใกล้สอบ ส่วนระหว่างเทอม การบ้านวิชาวิทย์ คณิต ภาษาอังกฤษ คือลอกเพื่อนแทบตลอด “ก็นะ” น้าแกจะเอาอะไรมาเฉ่งเด็กกันล่ะ
“แล้วเวลาอาจารย์สั่งให้เขียนสรุปข้อมูลส่ง เพื่อนคนหนึ่งชอบก็อปวิกิมา แต่อาจารย์โกไม่เคยด่าหรือฟ้องผู้ปกครองเลย แค่ลากให้เขาไปนั่งเขียนใหม่ทุกครั้ง” ไนท์เล่าอย่างตื่นเต้นประหนึ่งดีใจที่รู้คุณงามความใจดีของนายอาจารย์คนทาเองบ้างเช่นกัน ไม่ได้แค่ฟังข้ามรุ่นเท่านั้น
ทว่าเมย์กลับทำหน้าคล้ายเพื่อนยากข้างกายพลาดอะไรชัดเจนคาตาไป “ฉันว่าเคสนั้นน่ะ…”
อรุโณทัยกับอรัณเปิดประตูสตูดิโอกันอย่างทุลักทุเล แขนทั้งสองหอบของมาเต็มไปหมด จนคนทั้งสามข้างในต่างถลาเข้าไปช่วยประคองขาตั้งไฟ ท่อนเหล็กหลายชิ้น ม้วนผ้ากันโดยไม่ต้องนัดหมาย
“อ้าว มาถึงแล้วเหรอ โทษที” อรุโณทัยยิ้ม แกะนิ้วตัวเองออกจากรอบม้วนผ้าที่สนรับมาใช้โบกทักทาย “นี่สนนะ คนเขียนบทของคณะละครนี้” ทั้งห้าพยุงของกันเข้าไปวางบริเวณห้องซ้อม สองชายหนุ่มสะบัดแขนคลายเมื่อยพลางนั่งขัดขา เริ่มประกอบท่อนขาตั้งขึงผ้าปูอย่างคล่องแคล่ว เวลามีละครใหม่ พวกเขาถ่ายรูปโปรโมทกันเองในนี้ประจำ
สนมองสารพัดข้าวของถมกินที่ห้องซ้อมไปเกินครึ่ง อรุโณทัยถอดสายคล้องกระเป๋ากล้องรอบคอลงวางกับพื้น “มึงซื้อกล้องไอ้กลอยต่อเลยเหอะว่ะ ยืมมันบ่อยขนาดนี้” กลอยคือหนึ่งในเพื่อนตั้งแต่มัธยมต้น
“ให้สตูดิโอเรามั่งมีก่อนเหอะ ถึงตอนนั้น กูจะจ้างมันมาทำโปสเตอร์เลย”
“นี่ของเพื่อนพี่เหรอคะ”
“ช่าย มันเปิดสตูดิโอกล้องกับเล่นกล้องเป็นงานอดิเรกน่ะ” อรุโณทัยชี้ขึ้นข้างบนชั้นลอย “บนนั้นมีพวกชุด พวกพร็อพเต็มเลย ของซื้อมั่ง ยืมมั่ง เพื่อนให้มาอีกทอดมั่ง ขึ้นไปดูได้นะ เดี๋ยวพวกพี่ประกอบนี่เสร็จจะเรียก สน มึงพาน้องขึ้นไปดูสิ”
สนขานรับแล้วเดินนำขึ้นบันได มือจับชายเสื้อคลุมผ้ามัดย้อมตัวพลิ้วไม่ให้โดนหน้าคนที่ตามขึ้นมา “มันก็ไม่ได้น่าอวดอะไรนักหรอกนะ” เธอแจ้งเตือนไว้ก่อนจะถึงขั้นบนสุด แต่พอเด็กทั้งสองทำสีหน้าว่ามันมีมากกว่านั้น หญิงสาวก็ก้มหน้าทำเป็นเขี่ยพู่ติดชายเสื้อคลุม ซ่อนรอยยิ้มกริ่ม ปล่อยให้แขกทั้งสองดูราวแขวนเสื้อผ้า ส่องข้างในชั้นเก็บของและถังลิ้นชักพลาสติกขนาดใหญ่ จนพวกอรุโณทัยประกาศว่าจัดของเสร็จแล้ว
ฉากผ้าดำขึงบังกระจกแนวยาว ปลายผ้าถึงพื้น ไฟส่องขนาบสองด้าน
“โอเค พร้อม”
ทุกคนหันมองไนท์ เด็กหนุ่มเกร็งตั้งแต่ยังไม่ทันเดินลงมาพ้นบันได
“ห้ะ”
พี่ปราชญ์เอามือเท้าคางข้าง อีกมือยกแก้วน้ำชาอู่หลงดื่มนานๆ
“เลิกเอาน้ำเป็นพร็อพกันซีนน้องแล้วอธิบายก่อน ไอ้พี่” ใครสักคนอยู่กับหลานสายละครมามาก ใครคนนั้นเอาไม้เหล็กเรียวแหลมเสียบเนื้อที่ตนรูดชิ้นเนื้อย่างออกหมดแล้วตีก้นแก้ว
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละวะ จะให้กูหลากคำส่งมึงเหรอ”
“เผื่อ ‘เขามาขอแกล้งคบกับกู’ มีความหมายอื่น น้องไม่อยากเข้าใจสถานการณ์ผิด”
พี่ปราชญ์หยิบแท่งเสียบเนื้อที่ยังไม่ย่างขึ้นจากจานแล้วเงื้อ คนทั่วไปคงเหมือนอยากเอาฟาดแสกหน้าโก ทว่าสองรุ่นพี่รุ่นน้องนี้รู้สันดานโหดกันดี บอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังประกาศจะเอาปลายแหลมซึ่งโผล่พ้นชิ้นเนื้อมานิดเดียวนั่นทิ่มคอ
โกเอามือบังคอตัวเองไว้ข้างหนึ่ง “มีความหมายเดียวก็ได้ แล้วเขาเป็นใคร”
“รุ่นน้องสมัยมหา’ลัย” พี่ปราชญ์เอาไม้เสียบเนื้อขึ้นเตาปิ้ง “เด็กกว่ามึงสองปีมั้ง”
“น้องเฟรชชี่โดนรัศมีพี่ปีสี่หลอกตานี่เอง”
“สมัยมึงปีหนึ่ง มึงหลงรัศมีพี่ปีสี่รึไง”
“ตอนนั้นดูไม่ออกว่าใครปีสี่”
ฝ่ายรุ่นพี่ทำหน้าอยากเอาหน้ารุ่นน้องไปเผาไฟแทนถ่าน
“แล้วอย่างไรไฉนทำไมเหตุอันใดเขามาขอ ‘แกล้งคบ’ กันวะ” ต้องขอวางอุปกรณ์การกินทั้งหมดลงเพื่อเอานิ้วชี้กับกลางสองข้างมาขยับทำท่าอัญประกาศประกอบ “โคตรกึ่งสุกกึ่งดิบ บอกรักก็ไม่ใช่ หลอกก็ไม่ใช่”
“ก็หลอกคนอื่นไง”
“เออแฮะ แล้วพี่เอามาบอกผมทำไมเนี่ย”
“ไม่ได้จะหลอกมึงนี่”
“เขาจะโดนคลุมถุงชน เลยมาหาคนแกล้งไปเป็นแฟนไว้บอกที่บ้านเหรอ”
“ไม่เชิง” พี่ปราชญ์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กอดอกพาดเหนือลำตัว “เขาเคยมาบอกชอบกู วันกูรับปริญญา”
อยากจะร้อง ‘อุว้าว’ แต่ข้าวเต็มปาก นี่พี่ปราชญ์มันรอเขาตักอาหารใส่ปากค่อยบอกแน่นอน
“แต่กูปฏิเสธเพราะ…ก็นั่นน่ะ”
โกกลืน
“ที่พี่แอบชอบอาจารย์ภาคอื่น เลยรอเรียนจบจะได้ไปจีบเขา แต่สรุปเขามีสามีแล้ว พี่เลยพยายามตัดใจ แต่สาวเขาก็นอกใจสามีอยู่ สามีคนนั้นมาอาละวาดถึงบ้านพี่ พี่กับสามีเขาต่อยกัน พี่ขับรถไปเทศนาสาวถึงแม่ฮ่องสอน แล้วคดีพลิกว่าที่จริงสามีชอบตบตี สาวอยากจะหย่าก็ไม่ยอม สาวเลยคอยหนีไปต่างจังหวัดกับแฟนใหม่ แต่ก็หนีไม่ได้ตลอดเพราะลูก พี่เลยขับรถกลับมาเพื่อต่อยกับสามีเขาอีกรอบ แล้วก็ได้แม่ของฝ่ายสาวกับฝ่ายสามีมาเป็นคนช่วยจบเรื่องน่ะเหรอ”
เหมือนได้เผยเรื่องราวอดีตตัวละครที่เป็นปริศนามานาน โกกัดเนื้อกินเป็นรางวัลแก่ตัวเอง
“มึงเอาเรื่องกูไปเล่าให้หลานมึงฟังใช่ไหมเนี่ย”
“ตอนนั้นรายงานกันเกาะติดสถานการณ์สุด ๆ แต่เจ้าโณมันแปดขวบเองมั้ง มันจำไม่ได้หรอก เออ ไอ้ปองรู้เรื่องนี้ไหมเนี่ย” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมพิมพ์ถาม พี่ปราชญ์ยกแก้วขู่จะสาดใส่ โกจึงเก็บกลับลงกระเป๋ากางเกง “แล้วไง รุ่นน้องพี่ก็รู้เรื่องนั้นแล้ว เลยมาบอกรักพี่อีกรอบรึยังไง”
“มึงคิดว่าแม่ของอาจารย์กับแม่ของสามีอาจารย์มาคุยกันได้ไงละ”
“โทรเลข”
“กูจะจับมึงย่างเดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน” พี่ปราชญ์ทำท่าจะลุก
“เดี๋ยว ก็ไม่เข้าใจคำถาม!”
คนเล่ากลับลงนั่ง “ศิษย์เก่าเพิ่งจบ กลับมาจีบอาจารย์ แม่งก็ดังไปทั้งคณะนั่นแหละ ขนาดกูไม่เคยเรียนกับเขานะ ตอนมีเรื่องยิ่งดัง สายรหัสโผล่มาดูหน้ากูทั้งสายเลยมั้ง แล้วก็รุ่นน้องกูคนนี้นั่นแหละ เขาเป็นคนไปร้องเรียนกับคณะ”
“ทำงั้นได้ด้วยเหรอ”
“กรณีอื่นกูไม่รู้ แต่กรณีกูคือแม่ของฝ่ายสามีเป็นคณบดี”
“เฮ้ย เกร็ดนี้ไม่เคยแว่วมาคณะผมเลยนะ”
“ก็เพราะเขารีบมาจัดการเรื่องลูกสะใภ้ไง วันนั้นมึงก็ยกโขยงกันมาเยี่ยมกูนี่ นั่นแหละ พอพวกมึงไปสักพัก รุ่นน้องกูคนนี้ก็มาหา พวกกูก็คุยกัน แล้วกูก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังเหมือนที่เล่าให้มึงฟังนั่นแหละ แล้วเขาเอาเรื่องไปโวยกับทางคณะ มึงนึกภาพคณบดีเป็นแม่สามีอาจารย์คนหนึ่งในคณะ แล้วอาจารย์คนนั้นโดนลูกของคณบดีตบตี เรื่องแม่งพร้อมฮือฮาทั่วสถาบันแล้วละ พวกข้างบนเลยรีบมาจัดการ อาจารย์เลยได้หย่ากับสามีสักที แต่ก็ต้องออกจากงานน่ะนะ ได้ยินว่าไม่นานหลังจากนั้น คณบดีก็ออกด้วยเหมือนกัน”
“สมัยผมเรียนไม่เคยรู้เลยคณบดีเป็นใคร มีเปลี่ยนมีออก ถ้าเป็นผมคงไม่ได้สนว่าเรื่องใหญ่ขนาดไหนเหมือนกัน” โกเกาคาง “แล้วจากเรื่องนั้นมาเรื่องนี้ยังไง”
“กูถือว่าเขาช่วยกูไง กูเลยบอกว่าถ้าเขาอยากให้กูช่วยอะไร แล้วถ้าไม่สมเพชกูเกินไป ก็บอกให้กูช่วยได้ เขาก็บอกไม่เป็นอะไร ไม่ได้สมเพชกูด้วย แต่จากนั้นก็ไม่เจอกันอีกเลยว่ะ กูลืมหน้าเขาไปแล้วด้วยซ้ำ จนวันนี้เนี่ย”
“อ๋อ แล้วเขาเลยมาทวงสัญญา”
“ถูก”
พนักงานเดินมาเสิร์ฟอาหาร
“แล้วเขารู้ได้ไงว่าพี่สอนอยู่ที่นี่”
“นิ้ง” พี่ปราชญ์ย้ายเนื้อลงเตา
“นี่แม่ของนิ้งห้องพี่เหรอ”
“แม่ของนิ้งมีกระบัง” พี่ปราชญ์ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง จับจ้องดูเนื้อเปลี่ยนสี “นิ้งเป็นนักกีฬาว่ายน้ำใช่ไหมละ รุ่นน้องกูคนนั้นเป็นคนสอนนิ้งว่ายน้ำตั้งแต่เด็ก แล้วก็อยู่ดูแลเวลานิ้งซ้อมว่ายน้ำที่คอนโดมาตลอด เห็นว่าเป็นคนแนะนำให้นิ้งเข้าโรงเรียนพวกเราเองด้วย เมื่อวันก่อน เห็นว่านิ้งเล่าเรื่องกูช่วยพวกมึงออกจากลิฟต์ให้แม่ฟัง แล้วเขาก็ฟังอยู่ด้วย เลยรู้ว่าเป็นกู ถึงได้มาหา”
“ไม่ใช่ว่าเขารู้ว่าพี่สอนอยู่นี่เลยแนะนำเหรอนั่น”
แสงไฟในร้านยากจะบอกว่าพี่ปราชญ์หน้าแดงไหม ทว่าจังหวะที่รุ่นพี่เงียบไปบอกชัดพอ “เขาบอกเขาแนะนำที่นี่เพราะจำได้ว่ากูจบจากที่นี่”
“พี่ ป ร า ช ญ์”
“อะไร”
“ไอ้แกล้งคบนี่ แกล้งจริงหรือแกล้งปลอม”
“คำมึงซับซ้อนซ้ำซากฉิบหาย”
“ไอ้เหี้ยพี่ ไม่ต้องมาเบี่ยงประเด็น” โกชี้แบบจับได้
พนักงานเดินมาเติมน้ำ โกรีบเก็บนิ้วลง
“แล้วจะแกล้งคบไปทำไม”
“แม่ของนิ้งระแวงเขากับพ่อของนิ้ง”
ศอกแทบเลื่อนตกขอบโต๊ะ
“ฮ่วย”
“เออ”
“ชีวิตพี่แม่งจะวนแต่ปมนี้เหรอ”
“ไอ้ห่า”
เมย์ดูรูปบนจอคอมพิวเตอร์ “โห” เธอร้องแผ่ว ๆ อรุโณทัยกดเลื่อนรูปหน้าของเพื่อนผู้ตอนนี้กลับเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบ เห็นว่าเจ้าตัวไม่อยากใส่ชุดไปรเวทกลับบ้าน “แค่เสื้อนอกตัวเดียว ดูเท่ขึ้นเยอะเลย” เด็กสาวเอ่ยพอเห็นภาพเปลี่ยนจากรูปไนท์กับเสื้อยืด ฉีกยิ้มมั่นใจมองกล้อง ผิดจากความเป็นจริงก่อนถ่ายและหลังถ่ายที่เจ้าตัวเขินแล้วเขินอีก ถัดมาเป็นรูปเขาสวมเสื้อนอกที่อรุโณทัยให้ยืม เงยหน้ามองกล้องที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าเหมือนกำลังมองคนรู้จัก
ไนท์เดินออกมา เธอรีบหันไปเรียก “มึง รูปนี้มึงโคตรหล่อ -- เอ้ย” เธอตะครุบปาก หันมามองบรรดาพี่ ๆ เจ้าของสถานที่ “ขอโทษค่ะ”
สนหัวเราะ “ไม่ต้องคิดมากหรอก พวกพี่ก็กูมึงกันตลอดแหละ แค่นี่ยังไม่หลุดเพราะเกรงใจ ปกติแล้วจะเรา ฉัน นายแค่กับอรัณจ้า”
อรัณเห็นเด็กทั้งสองเลื่อนสายตามามองตน “ไม่ต้องคิดมากหรอก ผมพูดแบบนี้แค่เพราะรู้สึกสะดวกกว่า”
“สะดวกเรอะ” สนถาม
“ถ้าไม่สะดวก ผมจะพูดทำไมล่ะ”
“นึกว่าทุกอณูในตัวมันกรีดร้องทรมานไม่ให้ใช้คำหยาบ”
อรัณเลิกคิ้ว “สนแม่ง”
หญิงสาวอ้าปากพะงาบ อรุโณทัยหัวเราะลั่น เอนตัวผละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงไปกุมท้องขำกับพื้น หลังจากนั้นสนก็เดินถือโทรศัพท์มือถือไล่กวดหลังอรัณที่เดินหนีวนอยู่ในสตูดิโอ ขอให้เขาพูดอีกรอบ ตนจะบันทึก เมย์กับไนท์จึงลงนั่งแทนที่สองคนนั้นเพื่อดูรูปในคอมพิวเตอร์กับอรุโณทัย เขาเพิ่งหยุดหัวเราะได้
“ในรูปดูไม่ออกเลยว่าเขิน”
“ธรรมดา เวลาอรัณแสดงก็ไม่มีใครดูออกเหมือนกันว่าเจ้าตัวตื่นเต้นจะตาย เล่นมากี่เรื่องแล้วก็ยังเครียดยังตื่นเวทีอยู่เลย” อรุโณทัยพูด “ส่งรูปไหนไปดี”
“อืม…” ไนท์ทำเสียงกลัดกลุ้มใจ กดไล่ดูรูปทั้งหลายสลับไปมาอย่างคิดไม่ตก
“อรัณ เอารูปที่นายส่งให้น้องเขาดูได้มะ” อรุโณทัยแหงนคอมองกลับหัว
อรัณชะงักเท้าไว้ก่อนจะดิ่งขึ้นชั้นลอยหนีสนต่อ “ให้ดูน่ะได้หรอก แต่ของผมมันใช้อ้างอิงอะไรไม่ได้เลยนะ”
อรุโณทัยดึงรูปหนึ่งขึ้นมาจากแฟ้มอื่น
“อ้าว” เมย์อุทาน
อรัณในรูปมองตรงออกมา มือข้างหนึ่งแทรกอยู่ในเส้นผมยาวที่ปัดมาปิดหน้าซีกขวาเกือบหมด เห็นแค่แนวคิ้วกับช่วงหัวตา แต่ตาข้างซ้ายเรียวยาวและจับจ้องกล้องเอาไว้ เส้นผมที่ทิ้งตัวลงกลืนกับเสื้อผ้าดำซึ่งพวกเขาเห็นแค่ช่วงลาดไหล่กับลำคอ “ประหลาดใจสิท่า” อรุโณทัยหยอก
“ไม่ใช่ว่าภาพพวกนี้ต้องเห็นหน้าเต็ม ๆ เหรอคะ” เด็กสาวถามตามความงุนงง “อ๋อ แต่พี่เขามีพวกงานแสดงอยู่แล้ว ไม่ได้จะลงภาพแบบไนท์มันใช่ไหม”
“เปล่าเลย อรัณก็ลงภาพด้วยจุดประสงค์แบบไนท์นั่นแหละ ที่ว่าหวังอยากให้คนในวงการมาเห็นแล้วสนใจน่ะ เหมือนกันเป๊ะ ทุกวันนี้พวกเราก็ยังช่วยกันถ่ายรูปใหม่แล้วส่งไปตามที่เปิดรับออดิชั่นอยู่เลย ในต่างประเทศด้วยนะ”
“ปิดหน้าแบบนี้ได้เหรอคะ”
“อันนี้ไม่ได้ยื่นสมัครแบบเป็นทางการใช่ไหมล่ะ แค่ลงไว้ให้คนเห็น นี่คือที่อรัณเขาอยากให้คนอื่นเห็นนั่นแหละ สายตาเอย สีหน้าเอย แล้วก็ผม”
“ผม” ไนท์ทวนคำ แอบชำเลืองมองอรัณกับสนที่กลับลงมาแล้ว ชายหนุ่มตัวสูงชะลูดไว้ผมยาวเงางาม ใครมอง ต่อให้ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเส้นผมเลยยังบอกได้ว่าเจ้าตัวดูแลเส้นผมเป็นอย่างดี “แบบ…โฆษณาแชมพูงี้เหรอครับ”
“แต่โฆษณาแชมพูของผู้ชายไม่ค่อยมีนายแบบผมยาวใช่ไหมล่ะ” อรุโณทัยถาม โบกมือไปมา “เปล่าหรอก แต่ที่เขาอยากให้คนเห็นแล้วสนใจ คือเขากับทรงผมแบบนี้ ประมาณว่า ‘ผมจะไม่ตัดผมนะ’”
“แค่ผมเนี่ยนะคะ”
“ทำให้รู้สึกใช่ไหมละ ว่ามันเรื่องปกติถ้าต้องตัดผมเพื่อให้เข้ากับบท ยิ่งถ้าเป็นผู้ชาย บทส่วนใหญ่ก็อยากใช้คนผมสั้นทั้งนั้นแหละ แต่อรัณก็มองเหมือนกันว่ามันแค่ผมเอง แล้วทำไมจะต้องเปลี่ยนทรง ในเมื่อเขามีฝีมือพอจะเล่นเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”
“โณ ผมไม่เคยพูดแบบนั้นสักหน่อย” อรัณชะโงกจากระเบียงชั้นลอยมาแย้ง
อรุโณทัยดันจอไปข้างหลัง “สายตาในรูปมันฟ้อง!”
“โณแม่ง”
“กรี๊ด อัดได้แล้ว!” สนร้อง รีบวิ่งลงมาจากชั้นลอย อรัณวิ่งตาม
เมย์คิดว่าสตูดิโอเล็กๆ นี้กว้างกว่าที่คิดถ้ายักษ์สามตัวนั้นวิ่งไล่กวดกันไปมาได้โดยไม่ชนอะไรพัง ส่วนไนท์ตั้งหน้าตั้งตาเลือกรูปต่อ เด็กสาวเอาเข่าสะกิดเพื่อน
“มึงอยากทำงานแสดงจริงจังเลยใช่ไหม”
ไนท์เกาหู “อืม” เขามองเมย์ “ตอนได้ออดิชั่น แล้วร้องแบบ -- ไม่ใช่ร้องเล่น ๆ กับเพื่อนหลังห้องหรือขึ้นเวทีโชว์ในโรงเรียน แล้วผลบอกว่าผ่าน…”
“อยากทำแบบนั้นอีกน่ะเหรอ”
“มันรู้สึกแบบ เราชอบงานของคนอื่นมากขนาดนี้เลย แล้วพอได้ไปแสดงอย่างจริงจังต่อหน้าคนอื่นว่าเราชอบมากเท่านี้ ทำได้ขนาดนี้ เขาก็เห็นแล้ว แบบ พยักหน้า โอเค เอาคนนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของงานเราเถอะ แล้วคนอื่นก็จะเห็นแล้วชอบเหมือนกัน อะไรแบบนั้น พูดไม่ถูก แต่ อือ ชอบความรู้สึกจริงจังตอนนั้นมาก”
“งั้นก็รูปที่กูบอกว่ามึงหล่อนั่นแหละ” เมย์กดเอารูปนั้นขึ้นมา “สายตามึงจริงจังดี อีกอย่าง กูว่าพอลงรูปแล้วมีโปรโมทว่าละครต่างชาติแต่คนไทยได้เล่นด้วยจากการออดิชั่นบลา บลา เดี๋ยวชื่อมึงก็โผล่ ที่จริงแค่มึงต้องลาเรียนไปเวิร์คช็อป สุดท้ายคนที่โรงเรียนก็จะรู้แหง พวกนั้นจะเห็นรูปมึงก่อนมีผู้กำกับในอเมริกามาเห็นหรือมาดูละครที่นี่อีก”
“ก็รู้อยู่ แต่ขอทำใจก่อน”
“ถ้าพวกที่โรงเรียนเห็น ก็ให้เห็นไปเลยว่ามึงต้องการอะไร”
ไนท์ยังเขินอยู่ แต่เขาเห็นด้วยกับเมย์
สองอาจารย์กึ่งเดินกึ่งลากกันกลับ ทั้งสองเดินหลังตรงไม่ไหว และรู้สึกทั้งตัวตั้งแต่ช่วงอกลงไปหนักปวดมวน ไม่ได้เมาเหล้าสักหยดเดียว จุกเนื้อล้วน ๆ
“กินกันเข้าไปได้” พี่ปราชญ์ด่าตัวเองกับรุ่นน้อง ใจอยากนั่งพักต่อ ส่วนร่างต้องการการเดินย่อย
โกสูดลมหายใจ “มันกินแก้เครียดหรือยังไงเนี่ย” เขาก็คึกคุยจ้อไปกินไปจนแน่นตามกัน “พี่จะตกลงเหรอ ที่รุ่นน้องพี่ขอน่ะ”
“ก็ช่วยกันแค่นั้นแหละวะ”
โกมุดออกจากใต้แขนพี่ปราชญ์ที่พาดมาให้ช่วยพยุง “ไม่ได้เล็งสานต่อเหรอ”
“มึงเห็นกูเป็นคนยังไง”
“ถ้าตอบน่าจะโดนตะปบว่ะ ดังนั้นขอเปลี่ยนคำถาม” โกยกมือเหมือนตัวเองเป็นนักเรียนในห้องของรุ่นพี่ “ทำไมไม่คบกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเลยวะ พวกพี่ก็มีความหลังระหว่างกันไม่ใช่เหรอ แถมเขาคงยังรู้สึกอะไรบ้างแหละ ไม่งั้นจะมาขอพี่ทำไม”
“ถ้ามันยังเหมือนเดิม เขาจะมาขอให้แกล้งคบทำไม”
“…เผื่อขอแล้วพี่ปฏิเสธ”
“ขอให้แกล้งคบ กูก็ปฏิเสธได้” พี่ปราชญ์เดินไปนั่งตรงม้าหินหน้าตึกสอนพิเศษซึ่งยังมีคนเดินเข้าออกไม่หยุด “กูมองเขาตอนฟังเขาเล่าแล้วมันรู้สึกว่ะ ว่าเขาเหมือนกู”
“อกหักน่ะนะ”
ขายาวกระตุกเตะขาโกไม่มีพลาด รุ่นน้องจึงย้ายตัวลงไปนั่งข้างกัน ทั้งจุกแต่หิวน้ำแต่จุกยิ่งนัก
“พวกกูเจอที่ที่อยากอยู่แล้วว่ะ” พี่ปราชญ์ตอบ “กูว่าเขาก็เจอแล้วเหมือนกัน เขาถึงมาขอให้กูช่วย เขาจะได้อยู่ที่เดิมต่อได้อย่างสงบสุข”
“กับบ้านของนักเรียนห้องพี่น่ะนะ”
“นั่นแหละ เขากับแม่ของนิ้งสนิทกันเหอะ เห็นบอกว่านิ้งก็เหมือนหลาน จนเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ อีกฝ่ายมาระแวงเขากับผัว เขาเลยต้องหาทางออก”
“ถ้าเขาต้องทำขนาดนี้ มันใช่ที่ที่เขามีความสุขจริงเร้อ”
“ก็เหมือนมึงอยู่กับบ้านของมึงดีๆ แล้วมีแมลงสาบโผล่มา มึงก็คงกำจัดแมลงสาบไม่ใช่เรอะ” ยกตัวอย่างได้ชวนให้โกรำลึกถึงคืนแล้วคืนเล่า คืนไหนมีแมลงสาบโผล่มา ทั้งบ้านคือไม่ได้นอน ควานหาตัว ฉีดยา เอาหนังสือรึรองเท้าแตะไล่ตีจนกว่าจะกำจัดเป้าหมายได้แน่นอนแล้วถึงแยกย้ายไปนอน
“แต่ถ้าพี่กับเขาไม่ลองคบจริงไปเลยวะ มาเริ่มว่าแกล้งคบนี่ดูยุ่งยากจังวุ้ย”
พี่ปราชญ์เอนตัว ท่าทางกำลังหาตำแหน่งให้สบายท้องขึ้นอีกเล็กน้อย “กูว่าถ้าเดิมเขาไม่ได้อยากรักอยากแต่งงานกับใครแล้ว จะให้เกิดอยากขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ เขาคงมองว่าไม่ใช่เรื่องว่ะ เพราะเป็นกูก็จะมองแบบนั้น ก็แก้ปัญหาแบบนี้แล้วกัน จะได้ยังเป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม”
“แล้วถ้าพวกพี่เกิดปิ๊งกันขึ้นมาล่ะ”
“แบบนั้นจะมีอะไรแย่ถึงขั้นต้องคิดเผื่อเหรอวะ”
“เออแฮะ”
ท้องอืด อากาศกลางคืน แสงไฟตามตึกย่านการค้าไม่ถึงขั้นแสบตา แต่ก็ไม่นวลเย็นตาเท่าไร โดยเฉพาะแสงจากตามหน้าต่างห้างสรรพสินค้ารอบด้าน
“กูกลัวเวลาที่คนเราบอกรักกันเพราะทุกอย่างรอบด้านบอกว่าต้องรักมากกว่า อย่างไอ้ความรักที่แม่ของนิ้งไม่อยากเห็น แม่คุณยังไปขุดเอามาจากไหนไม่รู้ มาเชื่อมาระแวงว่ารุ่นน้องกูต้องรักกับผัวเขา กูฟังแล้วอึดอัดแทน”
เขานึกถึงอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น ใครหลายต่อหลายคนที่อยู่รอบตัว
“ก็นะ ทั้งที่พวกเราก็ไม่ได้ไร้รักอะไรกันสักหน่อย”
โทรศัพท์โกสั่น
Denpong Srisuk-Fry
Tap for details
พี่ปราชญ์เจอสาวขอคบ
wtf
details
DETAILS
แล้วก็คนที่อยู่ห่างไกล
“เออสิ”