5 ตอน 5
โดย pynox
เขาร้องไปเต็มที่ เขาเต้นไปเต็มที่ โต้ตอบไปเต็มที่ แล้วก็เหลือเพียงรอ
มีเจ้าหน้าที่มานำทางเขาเดินเข้าปีกอีกข้างของเวทีแล้วอ้อมไปหลังม่านกั้นข้างหลังเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกับหมายเลขต่อไป อรัณเดาว่านั่นเพื่อสมาธิคนที่กำลังจะแสดงมากกว่า “You can go up there if you wanna watch the others.” เจ้าหน้าที่ชี้ไปยังทางเดินแคบพ้นขอบม่านซึ่งเชื่อมออกไปยังทางขึ้นที่นั่งผู้ชม ไฟในโรงละครเปิดแค่ตรงเวทีกับแถวที่คนคัดเลือกนั่งกันอยู่ อรัณจำได้จากเว็บไซต์ทางการของละครเรื่องนี้ว่าคนหนึ่งคือผู้กำกับ อีกคนคือนักเขียน เขาเดาว่าอีกคนคือผู้จัดการเวทีหรือไม่ก็ผู้อำนวยการสร้าง แถวข้างหลังขึ้นไปไม่มีไฟส่องลงเลย ตอนเขาอยู่บนเวทีจึงไม่สังเกตว่ามีคนเข้ารับคัดเลือกนั่งกระจายประปราย บางรายเริ่มเดินออกอย่างหมดความสนใจพอดี
ชายหนุ่มเดินขึ้นไปหาที่นั่งซึ่งอยู่ไม่ใกล้คนแปลกหน้าตรงไหนเกินไปนัก
อรัณนั่งดูการคัดตัวไปเรื่อยๆ คนอื่นมีเวียนเข้าออกกันอย่างระมัดระวังมิให้เกิดเสียงรบกวนแทบตลอดเวลา ความมืดโรยปกคลุมด้านหลังคงช่วยให้ไม่มีใครรู้สึกว่าต้องมาคุม เพราะคนบนเวทีไม่น่าจะสังเกตเห็น ตัวพวกเขาตอนเป็นคนยืนบนนั้นเองก็ไม่ทันมองเท่าไรว่ามีคนอื่นมาดูด้วย เพียงไม่คุยกันก็พอ อรัณเดาว่าที่หลายคนก้มหน้ามองจอสลับกับคอยเงยมองบนเวทีคือกำลังคุยกับเพื่อนข้างกายผ่านทางข้อความ
ผ่านไปสี่คิว อรัณแกะหนังยางออก ปล่อยผมลู่ไหลผ่านข้างหลังมายังข้างหน้าไหล่ นิ้วลากสางเส้นผมตัวเองเล่น เพิ่งคิดได้ว่าตนไม่น่าฝากโทรศัพท์ทิ้งไว้ในกระเป๋าตรงทางเข้าตึก ตอนนั้นเขามัวคิดว่าไม่อยากให้มีน้ำหนักอะไรถ่วงกระเป๋ากางเกง ส่วนตอนนี้ ตนอยากส่งข้อความหาอรุโณทัยเรื่องคัดตัวเสร็จแล้ว
รายที่หกตั้งแต่อรัณมานั่งดู เขาเห็นแล้วคิดว่าจบรายนี้ค่อยกลับลงชั้นล่างไปเอาโทรศัพท์มือถือ
เด็กหนุ่มชื่อไนท์คนนั้นเดินเข้ามายืนตรงที่ไฟฉายแสงส่องลง เขาไม่มีกระเป๋าติดตัวแล้ว คงทิ้งไว้กับเพื่อนผู้หญิงกระมัง
“I didn’t know we have the young coming here too. Is that allowed? Don’t kids here have to take extra tutoring after school? Won’t there be schedule problems later?”
“He has a signed document from his guardians, so shut it. You’ll ruin his focus.”
“Excuse me, the young? More than half of people here aren’t even in their thirties.”
นักเขียนฝืนกระแอมเสียงดังลั่น ทุกคนกลับไปสนใจเธอ ซึ่งเธอผายมือให้กลับไปสนใจเด็กหนุ่ม เขายืนเกร็งอยู่บนเวทีเพียงลำพัง จากนั้นก็เริ่มขยับ ทั้งตัวและทั้งเสียงร้อง
ฟอร์ฟอร์เอเวอร์ ของละครเพลงเรื่องเดียร์อีแวนเฮนเซ่น ถอดมาทั้งวิธีร้องและการเคลื่อนไหวของตัวละครซึ่งมีให้เห็นฉบับบรอดเวย์ในยูทูบโดยไม่สนว่าตนอยู่คนเดียวบนเวที ตรงไหนคือโต๊ะอาหารที่พวกตัวละครในเพลงนั้นนั่งกินอยู่ด้วยกัน อรัณบอกได้ทันที
คลิปเดียวกันแน่เลย
ตอนเจ้าหน้าที่เปิดประตู อรัณกำลังเดินลงบันไดข้างที่นั่งคนดู เสียงฟ้าร้องดังทะลวงเข้ามาข้างในแล้วโดนตัดฉับหายทันทีที่ประตูปิด เขาจึงไม่กล้าเปิดเมื่อเดินไปถึงประตู ได้แต่ยืนรอให้คนถัดไปแสดงเสร็จก่อนค่อยออกพร้อมกัน ฝนตกหนักดังลั่นไปทั้งทางเดิน คนซึ่งยังรออยู่มองตึกรอบด้านโดนหมอกและม่านฝนกลืนหาย พลางบ่นครวญถึงเส้นทางขากลับ อรัณเข้าลิฟต์ไปชั้นล่างเพื่อเอากระเป๋า
เด็กสองคนนั้นยืนอยู่ด้วยกันตรงประตูทางออก
“พวกคุณจะกลับแล้วเหรอครับ” อรัณเดินเข้าไปถามด้วยความงุนงง “ทางโปรแจ้งไว้ว่าจะประกาศผลภายในสองชั่วโมงหลังออดิชั่นครบทุกคนนะครับ” ตอนเขาลงมายังเหลือคนอีกสักครึ่งหนึ่งได้
“เปล่าครับ คือพวกเราแค่อยากจะไปหาซื้ออะไรกิน” ไนท์รีบตอบประหนึ่งกลัวว่าถ้าอรัณเข้าใจผิด ทีมงานข้างบนจะเข้าใจผิดด้วยแล้วตัดสิทธิ์ตน
“ตึกนี้ชั้นสามก็มีร้านกาแฟกับร้านอาหารนะครับ” เขาชี้ขึ้น
สองเด็กหนุ่มสาวทำหน้าลำบากใจ “ก็รู้หรอก แต่ แบบ…”
“อะไรที่ไม่ใช่สตาร์บัคส์ในตึกนี้แพงกว่าสตาร์บัคส์อีก” เด็กสาวพึมพำ ละไว้ในฐานที่เข้าใจให้อรัณเดาเอาเองว่ากำลังต่อต้านด้านรสชาติ ราคา สินค้าในเครือป่ารอยต่อ หรือต่อต้านทั้งยี่ห้อโดยรวมเพราะเพิกเฉยปัญหาการเหยียดเชื้อชาติสีผิว และมีส่วนในปัญหาการเปลี่ยนแปลงชนชั้นที่นำไปสู่ค่าที่เพิ่มสูงและการไร่รื้อที่อยู่อาศัยของชนชั้นแรงงาน
“ฝนตกด้วยนะครับ” เขาสำรวจมองทั้งสองไม่มีวี่แววว่าคนไหนจะหยิบร่มออกมาเสียที ส่วนลมฝนตกแทบจะเป็นแนวทแยงอยู่แล้ว
ท้องไนท์ร้องดังลั่นจังหวะที่ฝนเสียงแผ่วลง จากนั้นก็ตามมาด้วยฟ้าผ่าสว่างวาบ และฝนเทลงมาหนักขึ้น คนทั้งสามมองไปนอกประตูทางเข้าออกด้านหน้าตึก อรัณยกมือปิดหูทันเสียงฟ้าร้องสนั่นตามมาแบบหวุดหวิด
“ข้างบนมีร้านที่มีเซ็ตอาหารชุดใหญ่อยู่ พวกคุณช่วยผมกินทีแล้วกันนะครับ”
“เฮ้ย พี่ ไม่ได้หรอก พี่ช่วยพวกผมตั้งเยอะแล้วด้วย แล้วก็ แบบ คือ ไม่ต้องหรอก” ไนท์รีบค้าน เพื่อนของเด็กหนุ่มมองอรัณตาโตดั่งไม่อยากเชื่อ
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ต้องรอฟังผลด้วยกันอีกสักพักใหญ่พอดีด้วย” อรัณยืนกรานพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ขอผมโทรหาเพื่อนก่อนนะครับ” เขากดเบอร์โทรศัพท์ของอรุโณทัยแล้วเอาเครื่องแนบหู ฟังสัญญาณรอสาย เมื่อปลายทางไม่รับสักทีหนึ่ง อรัณลดโทรศัพท์ลงมาดูหน้าจอให้แน่ใจว่าเป็นเวลาเที่ยง เพื่อนรักของเขาควรจะกำลังพักเที่ยงอยู่ ซึ่งเวลานี้อรุโณทัยไม่เคยไม่รับสายเลย เนื่องจากส่วนใหญ่เจ้าตัวจะกินข้าวไปเล่นโทรศัพท์ไปด้วย
เขาเอาโทรศัพท์กลับไปแนบหู หมายรอฝากข้อความ พลางภาวนาว่าอรุโณทัยไม่ได้ทำงานเลยเวลาพักเที่ยงหรืออยู่กับหัวหน้า แล้วตนโทรเข้าไปโดยทางนั้นไม่ได้ปิดเสียงเรียกเข้า เขาหลงคิดมาตลอดว่าพวกโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนมีเสียงเรียกดังกว่ารุ่นเก่า ทว่าพอมาใช้เองจึงค้นพบว่าอรุโณทัยคงไปทำอะไรสักอย่างให้เสียงเรียกเข้าดังกระหึ่มผิดปกติขนาดนั้นเอง เวลาใครโทรเข้า รอบข้างจะใกล้ไกลต้องได้ยินเสียงยวน แม็คเกรเกอร์ร้อง
And you can tell everybody
This is your song
ท่อนนี้เลย อรัณเผลอพยักหน้ากับตัวเองพร้อมความรู้สึกว่าท่อนต่อไปก็ยังดังฟังชัดแข่งกับเสียงฝน แต่เขาลดโทรศัพท์ลงจากข้างหูแล้วเหลียวหลังไปดูตอนรู้สึกว่ามีบางอย่างเปียกโชกมาดันหลังเบาๆ
“หือ”
รูปเขานั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องซ้อมของสตูดิโอแสดงบนหน้าจอแสดงสายเรียกเข้า เจ้าของชูเอาไว้ ขณะที่ตัวเองเอาหัวชุ่มน้ำฝนไถแผ่นหลังอีกฝ่าย
“โณ” อรัณประหลาดใจทว่าเก็บไว้ เขาน่าจะรู้ทันว่าอรุโณทัยต้องทำแบบนี้
อรุโณทัยซึ่งเปียกมะลอกมะแลกเหยียดหลังขึ้นยืนตรง ผมเผ้าในทรงมัดครึ่งหัวตามเคยลู่ลีบ กระจุกผมเกาะติดทั่วแก้มและกระเซิงจากการถูไถ ล้อมรอยยิ้มฉีกแฉ่ง “จ๋า”
“เอ๊ะ”
อรัณชำเลืองมองเด็กสาวที่อุทานออกมา
อรุโณทัยกะพริบตาปริบ ๆ มองเด็กวัยรุ่นทั้งสอง “อ้าว”
“พี่ที่เป็นหลานอาจารย์คนทา”
“เด็กห้องน้าโก”
ตามด้วยเสียงแหกปากลั่นทางเข้าตึก
ไฟดับ ลิฟต์หยุดทำงาน
ครับผม ติดอยู่ในลิฟต์ครับ
โกคิดกับตัวเอง นิ้วกดแช่ปุ่มกริ่งฉุกเฉิน หูเงี่ยฟังเสียงฝนเทกระหน่ำด้านนอก ตอนเขาเดินเข้าลิฟต์ยังมีแค่เสียงฟ้าร้องลมพัดอยู่เลย แต่พอลิฟต์จวนถึงชั้นห้องพักตน ไฟกลับดับวูบดั่งโดนเป่า พวกนักเรียนซึ่งขึ้นมาด้วยกันอุทานเสียงแหลม ได้ยินว่าฝนตกหนักอยู่อีกฟากฝั่งตั้งแต่เที่ยงแล้วซาลง ไม่นึกว่าสุดท้ายจะเทไล่มาถึงทางนี้เอาตอนบ่ายคล้อย ยากจะบอกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่มาติดเอาหลังสอนเสร็จ
“รอหน่อยแล้วกัน” พวกนักเรียนส่งเสียงร้องปวดใจ โกไถลตัวลงนั่ง เอาไฟโทรศัพท์มือถือซึ่งสัญญาณหายเรียบส่อง “พวกคุณ เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาภาวนาว่าจะไม่มีคนไหนมีอาการกลัวที่แคบ
“เปล่าค่ะ แค่ แบบ…” นักเรียนหญิงคนหนึ่งนั่งขดตัวชิดติดกับเพื่อน “อาจารย์คะ ลิฟต์ตึกเรามัน…มีเปล่าคะ”
โห สิบกว่าเรื่อง ทุกเรื่องอย่างแซ่บ “ครูก็ไม่รู้เหมือนกัน” นายคนทาโกหกคำโต อยู่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่มัธยมหนึ่งถึงมัธยมหก สุดท้ายกลับมาทำงานสอนหนังสืออีก จะไม่เคยได้ยินเรื่องผีแต่ละตึกได้เช่นไร ตึกไหนมีลิฟต์ยิ่งไม่รอด ทว่าพวกนักเรียนท่าทางกลัวจริง เขาไม่อยากทำให้ยิ่งแตกตื่นในที่ปิดแคบ ไหนจะไม่ควรพูดเยอะอีก
“แต่หนูได้ยินมาว่า…”
“อย่าเริ่มแทนซะงั้นสิ พวกคุณนี่” โกขัด ชี้ให้เห็นว่าเพื่อนร่วมชะตากรรมกลัวจริง “อีกอย่าง นี่ลิฟต์ใหม่ ทำหลังครูจบไปหลายปี” ดูจากสีหน้าใต้แสงไฟโทรศัพท์ซึ่งส่องกันไปมา ไม่ช่วยเท่าไร “ตอนสมัยเรียนครูก็เคยติดลิฟต์กับเพื่อนหมือนกัน ตอนหลังเลิกเรียนด้วย ตอนนั้นก็กลัวนะ แต่เอาเป็นว่า อะไรในโรงเรียนก็ไม่ใจร้ายกับพวกนักเรียนมากเท่าอาจารย์หรอก อย่างอื่นเขาอยากคุ้มครองพวกคุณ ๆ มากกว่า ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ”
คราวนี้เลยยกมือไหว้ พึมพำขอให้รีบออกไปได้โดยเร็วกันใหญ่ โกจึงบอกตามตรงให้หายใจช้าลงกันหน่อย พอเห็นบางคนเอาโทรศัพท์กับหูฟังออกมาใช้ฟังเพลง คนที่ไม่มีโทรศัพท์กับตัวขอแบ่งหูฟังด้วย เขาพลอยเอาของตัวเองออกมาบ้าง ตั้งใจว่ารอผ่านไปสักเพลงจะลุกขึ้นกดกริ่งซ้ำ เผื่อยังไม่มีคนรับทราบว่าอาจารย์หนึ่ง นักเรียนสี่ ติดอยู่ในลิฟต์
เออแฮะ ตอนนั้น
ตอนนั้นพวกเขาใช้วอล์คแมน
Denpong Srisuk-Fry
ตอนนั้นกูกับมึงฟังอะไรกันนักหนาวะ
Not sent. Tap to try again.
(สุดท้ายได้พี่ปราชญ์มาช่วยง้างเปิดประตูลิฟต์)
“พี่ครับ อย่าบอกอาจารย์คนทานะครับว่าเจอผมที่นี่”
ย้อนกลับมาช่วงเที่ยงวัน อรัณมองไนท์และเด็กสาวนามเมย์พนมมืออ้อนวอนขอร้องอรุโณทัยไม่หยุด กว่าคนถูกขอร้องจะตั้งสติได้ สองเด็กหนุ่มสาวก็วิงวอนซ้ำไปมาหลายรอบแล้ว
“ใจเย็น พี่ก็ไม่ได้ต้องไปเล่าให้น้าโกฟังหรอก แต่นี่คือยังไง โดดเรียนมาเหรอ” เขาถามพลางเริ่มออกเดินกลับเข้าลิฟต์ไปหาร้านอาหารนั่งกัน
“ผมส่งใบลากิจแล้ว แต่เมย์โดด”
“อ้าว ไอ้คนทรยศ แกก็อ้างว่าลาไปทำบุญกับที่บ้านเหอะ” เมย์ทำตาขวางมองด้านข้าง “แต่ผู้ปกครองหนูรู้นะคะว่าหนูโดดเรียนมาหาไนท์ที่นี่”
“ก็โอเคแล้วนี่ แบบนั้น” อรุโณทัยพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจทว่าอยากเห็นด้วยมากกว่าคัดค้าน “ใช่ไหม” เขาหันมาถามเพื่อนวัยเดียวกับตน คงลืมว่าสมัยมัธยมพวกตนยังไม่รู้จักกัน เพื่อนที่โดดเรียนไปดูภาพยนตร์ลดราคาพิเศษด้วยกันไม่ใช่อรัณสักครั้งเดียว รายนี้เข้าเรียนสม่ำเสมอ ไม่เคยเผ่นไปเที่ยวนอกโรงเรียน มากสุดคือแกล้งปวดหัวขอนอนห้องพยาบาล หรือไปสอบสัมภาษณ์ตอนเช้า แล้วไม่กลับเข้าเรียนช่วงบ่าย
“แต่ที่จริงมาคัดตัวแบบนี้น่าจะแจ้งได้ตามตรงนี่ครับ”
“ไม่ได้เลย พี่ ไม่ได้เลย” ไนท์กับเมย์รีบปฏิเสธ “ถ้าเกิดลาตามตรง ถึงอาจารย์คนทาไม่พูด หัวหน้าตึกก็ต้องเอาไปพูดต่อ แล้วสุดท้ายรู้กันทั้งโรงเรียนแน่”
“แต่ที่นี่ก็โอเคกับทำกิจกรรมสายนี้นี่นา” อรุโณทัยย่นหน้างุนงง “คณะละครพวกพี่ไปแสดงตั้งหลายหน แล้วก็เลยจัดวิพิธทัศนาด้วยไม่ใช่เหรอ” หรือพูดให้ถูกคือ พอยอมให้คณะละครพวกเขาไปจัดกิจกรรมละครบ่อยเข้า เห็นว่าผู้บริหารติดใจ จัดวิพิธทัศนาเป็นกิจกรรมใหญ่ให้ทั้งโรงเรียนมีส่วนร่วม ดึงตัวผู้ปกครองนักเรียนในวงการด้านนี้มาเป็นคนคุมงาน แล้วเน้นเก็บค่าบัตรเอาจากผู้ปกครองอยากดูบุตรหลานแสดงบนเวที
อรัณนึกถึงที่ไนท์บอกตน ‘งานละครใหญ่ของโรงเรียน ปีเว้นปี’ จะว่าไปตอนเด็กหนุ่มบอกว่าโรงเรียนเชิญคณะละครมาเล่น นักแสดงของคณะละครดังกล่าวไม่ได้คิดสักนิดเดียวว่าอาจเป็นสถาบันที่ตนเคยไป เพราะอีกฝ่ายก็จำเขาไม่ได้ ส่วนทางอรุโณทัยจำหน้าเด็กทั้งสองได้นั้นไม่แปลกอะไร ในเมื่อเวลาพวกเขาขอให้น้าโกช่วยเสนอชื่อนักเรียนมาร่วมด้วยช่วยงานละครสักหน่อย เจ้าตัวชอบเอาภาพรายชื่อให้ดูว่าคนไหนเป็นคนไหน เก่งด้านอะไร อรัณกับสนไม่เคยไปยุ่งในขั้นตอนนั้นเพราะถือว่าให้อรุโณทัยรับผิดชอบในฐานะผู้กำกับ กับพวกเขาไม่อยากให้หลายคนไปส่องภาพกับชื่อเด็กนักเรียนเท่าไรด้วย อรุโณทัยเห็นคนเดียวพอ
“พวกเขากลัวโดนล้อน่ะ” อรัณหันไปเล่าให้อรุโณทัยฟัง ลิฟต์จอด ทั้งสี่คนทยอยกันออก “ที่โรงเรียนเขาล้อกันเรื่องผู้ชายชอบเล่นละครเวทีเป็นเกย์”
“เป็นทุกคนก็ดีสิ ฮึ่ย ฮิวจ์ แจ็คแมน” ชายตัวเปียกฝนหัวจรดเท้ากำหมัดสั่นระริกเจ็บปวดรวดร้าว กำปั้นวาวน้ำสะท้อนแสงไฟ “สตูดิโอพวกเราก็ไม่มีเฮเทอโรเซ็กชวลสักคนนี่นะ ถ้าไม่นับพวกแขกรับเชิญขาประจำ” เรียกเสียหรูหรา ความจริงคือเพื่อนของอรุโณทัยซึ่งเจ้าตัวมักไปไหว้วานให้ช่วยจัดละครเป็นประจำ
สองเด็กหนุ่มสาวรีบตามหลังพวกเขามา “คืออันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่นั่นคือที่ไม่อยากให้เพื่อนในชั้นรู้เรื่องที่มาออดิชั่นวันนี้เอง ส่วนที่ไม่อยากให้อาจารย์คนอื่นรู้เพราะวิพิธทัศนานั่นแหละ”
“หืม ยังไงนะ” อรุโณทัยหยุดเดิน ไขว้แขนกอดอกชักหนาว
“ก็...มันงานที่ทุกชั้นปีต้องทำ คนก็จะแยกย้ายกันไปหาฝ่ายอยู่ ส่วนใหญ่พวกชมรมถ่ายภาพก็จองเป็นตากล้อง ถ่ายเบื้องหลังงาน ทำโฆษณาไปเลยโดยอัตโนมัติ พวกชมรมศิลปะก็อยู่ฝ่ายฉาก ฝ่ายเวที กรรมการนักเรียนก็เป็นฝ่ายการเงิน ไม่ต้องคิดหรือคัดคน พวกฝ่ายที่ต้องสมัครเป็นจริงเป็นจังจะมีพวกฝ่ายแสดง ฝ่ายแสง ฝ่ายสินค้าที่ระลึก แต่ -- ตรงนักแสดง ถึงบอกว่าคัดก็เถอะ แต่ตอนครั้งแรกที่จัด ตัวเอกก็เป็นอาจารย์กับผู้กำกับจิ้มเลือกเอา แล้วไปให้ผู้ปกครองช่วยกดดันให้ยอมเล่นจนได้ครับ มีแต่พวกบทอื่นๆ ที่มีออดิชั่น”
“ตอนม.สี่ อีตานี่ก็โดนอาจารย์จิ้มไป” เมย์เสริม
“แล้วทำไมตอนนั้นเขาเลือกไปล่ะครับ” อรัณยิ่งงุนงง
“เบ้าค่ะ”
ไนท์หน้าแดงแจ๋
“แต่งานตอนนั้น ตัวเอกเป็นเด็กม.ห้านี่ พี่จำได้” อรุโณทัยจำได้ โรงเรียนลูกค้าขาประจำมีงานละครใหญ่ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องเป็นหลัก แต่น้าโกก็มาขอความช่วยหลือเรื่องของเข้าฉาก ตอนนั้นเขาได้เห็นสูจิบัตรก่อนพิมพ์เสียอีก
“ไนท์มันทำห่วยสุดๆ จนผู้กำกับเขาทนให้เล่นเป็นตัวเอกไม่ไหว เลยต้องเปลี่ยนเป็นพี่อีกคน”
ไนท์ยกมือกุมหน้า อ้าปากส่งเสียงร้อง “ว้าก ว้าก ว้าก” อย่างอัดอั้น ขณะเดียวกันยังอุตส่าห์เบาเสียงด้วยความเกรงใจคนรอบข้าง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพนักงานบริษัทลงมาใช้บริการโรงอาหารเฉพาะบุคคลภายในตึก พวกลูกค้าเดินเข้าร้านอาหารไม่เร่งร้อนเท่า
“ถ้าโดนรู้ว่ามาออดิชั่นละครเพลงแบบนี้ ต้องโดนลากไปเล่นของที่โรงเรียนด้วยชัวร์ ได้ยินว่าปีนี้จะทำละครเพลงแบบ jukebox ด้วย” เมย์สรุปความให้แทน มือตบแผ่นหลังเพื่อนผู้หน้าแดงถึงหูกับคอ จะก้มหรือยกมือปิดอย่างไรก็ซ่อนไม่มิด
“ไม่อยากเล่นของโรงเรียนขนาดนั้นเชียว” อรุโณทัยถามกลั้วขำ เอ็นดูปนสงสาร แวบแรกคิดว่าคงเพราะคนมาเห็นจะเป็นคนรู้จักกันเสียส่วนใหญ่ ทั้งรุ่นน้อง รุ่นพี่ เพื่อนร่วมชั้น คณาจารย์
ดังนั้นจึงไม่คาดคิดว่าสองศรีรุ่นน้องโรงเรียนเก่าจะพูดเสียงหนักอึ้งสุดกระด้างกระดากใจ
“คือบทมันห่วยน่ะพี่”
พวกเขาละอยากจะตามสนมาร่วมมื้อกลางวันด้วยเสียเดี๋ยวนี้
Denpong Srisuk-Fry
Tap for details
ตอนนั้นกูกับมึงฟังอะไรกันนักหนาวะ
วิทยุน่ะเหรอ
หรือเทป
เทป
วอล์คแมนเครื่องนั้นน่ะ
วันนี้กูติดลิฟต์
Dolly Parton ไม่ใช่เหรอ
เออ กูจำได้ วันนั้นที่ติดลิฟต์
ทั้งตัวกูมีแต่ Dolly Parton 5555
Jolene เอย
9 to 5
ชักคุ้น
It must be you
เออเฮ้ย กูชอบเพลงนั้น
But you know that I love you