6 ตอน 6
โดย pynox
ลิฟต์หยุดขยับก่อน พวกเขาก็มองหน้ากันแล้ว จากนั้นพอเสียงทุกอย่างเงียบตามไปด้วย สองเด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่าลิฟต์ค้าง
“เหี้ยละ” เด่นปองสบถ รีบกดปุ่มรูประฆัง “ยังมีคนอยู่ไหมวะเนี่ย”
“อยู่สิวะ พวกเจ้าหน้าที่ตึกกลับกันสองทุ่มนู่น” คนทาตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะเริ่มไม่มั่นใจ “ใช่ไหมวะ”
“มึงอย่าเสียงแผ่วเอาทีหลังสิ”
“ก็ครูก็ชอบบอกอยู่ยันโรงเรียนปิด เทอมก่อนเป็นไงล่ะ ปั่นจักรยานเอารายงานมาส่งตอนทุ่มหนึ่งให้แม่ด่า ครูอยู่ที่ไหน” เสียงมารดาเทศนายังหลอนโสตประสาทอยู่เลย เป็นต้องเอานิ้วแคะให้มั่นใจว่าขี้หูเลิกเต้นระบำแล้ว จากนั้นเขาจึงไปยืนเบียดกับเพื่อนเพื่อช่วยแหกปากเรียกคน
“มึงว่ามีโอกาสที่พวกเราจะติดยันเช้าเลยไหมวะ”
“แค่มืดกูก็ฉี่แตกแล้ว”
“เวรเอ๊ย” เขาชักขวัญผวา จึงกดปุ่มกริ่งฉุกเฉินระรัว
“เฮ้ย ใจเย็นมึง เขาบอกไม่ใช่เหรอเวลาแบบนี้ให้อยู่สงบ ๆ เดี๋ยวอากาศหมด”
“เขานี่ใคร” โกถามสวน พอเห็นเพื่อนเปิดปาก เด็กหนุ่มชี้หน้าดักคอ “ถ้ามึงเล่นมุกเรื่องผี กูเตะไส้แตก” ตำนานประจำตึกเล่ากันมาตั้งแต่วันปฐมนิเทศน์ ไม่ต้องขุดมาเล่าใหม่ก็ติดหัวหรือเผลอนึกถึงอยู่บ่อยครั้งเวลาใช้ลิฟต์
“กูจะบอกว่าพี่ปราชญ์สอน นั่งไปเลย มึง มันต้องอยู่ต่ำ ๆ” เด่นปองกดหัวคนทาให้นั่งลงแล้วก็หย่อนตัวตามลงมา “ใจเย็น ไอ้บ้า บนตึกยังมีพวกชิงเกียรติบัตรเรียนเสริมกันยันหกครึ่ง”
โกคว่ำข้อมือดูนาฬิกา “เออว่ะ” เขาปล่อยลมหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอก
“อีกสิบนาทีแหกปากใหม่แล้วกัน” เมื่อตกลงได้เช่นนั้น เด่นปองล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเอาตลับเทปที่ทำให้พวกตนมาติดอยู่ในนี้แต่แรกออกมา เพราะเขาลืมเอาไว้ในเก๊ะ “ยืมวอล์คแมนมึงหน่อย”
เขาไม่มีเทปอยู่กับตัวจึงส่งเครื่องเล่นเทปในกระเป๋ากางเกงให้แล้วเขยิบไปนั่งข้างอีกฝ่าย มองมือแกะเปิดกล่องพลาสติกสอดปกเทปรูปผู้หญิงฝรั่งผมทองฟูฟ่องกอดกีต้าร์ หยิบเอาเทปเพลงใส่เครื่อง คนทาใช้มือหนึ่งแบมือขอหูฟังข้าง อีกมือดึงเอากระดาษปกมากางดูชื่อเพลงกับเนื้อเพลง ทั้งหมดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาอังกฤษเขาใช่จะดีเด่นักหนา ไม่ต้องพูดถึงให้ฟังแล้วเทียบเอาว่าเป็นเนื้อเพลงไหน “นี่เพลงไหนนะ” เจ้าของเครื่องชี้หูฟังเชิงถามเจ้าของเทป
“อันนี้” เด่นปองชี้เนื้อเพลงข้างใต้ชื่อว่า It Must Be You
So when you find yourself alone
Just think of me and I’ll be there
Must be you by my side the whole way through
“ตรงนี้แปลว่าอะไรวะ ปีใบไม้ร่วง?” เขาถามอย่างมั่นใจว่าต้องได้คำตอบ เพราะเด่นปองเก่งภาษาอังกฤษกว่าตน เก่งที่สุดในห้องด้วยซ้ำ “ผ่านฤดูใบไม้ร่วงหลายปี?”
“And when we’re in those autumn yeas อารมณ์ประมาณตอน we ในเพลงอยู่ในวัยแบบหลังเกษียณ” เด่นป่องอธิบาย
และเมื่อเราสองต่างแก่โรยรา
จะมองย้อนความมาโดยสองเราไม่มีน้ำตา
เพลงสั้นชะมัด เขาอยากฟังอีก แต่ไม่อยากกรอ ถ้าขอกรออาจโดนบ่นว่าจะทำเทปยืด แค่อยากจะฟังไปเรื่อย ๆ จนเพลงนั้นวนกลับมาอีก
ต่อให้เผลอหลับไม่รู้ตัว ก็จะตื่นเมื่อได้ยินทำนองนี้อีกครั้ง
หรือโดนเขย่าตัวปลุก นั่นก็นับ
รวมถึงโดนเสียงนาฬิกาทิ่มแทงโสตประสาทด้วย
“หือ”
โกกะพริบตามองเพดานห้อง ใช้เวลาทำความเข้าใจครู่ใหญ่ว่าตนนอนอยู่บนเตียง ในห้องนอนตัวเอง โทรศัพท์แผดเสียงตามที่ตั้งปลุก
ความรู้สึกงัวเงียลากตัวเอื่อยเฉื่อยไปบนเปลือกตา ทั้งใบหน้า มือ แขน เหมือนยังไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร รึลืมว่าตนไม่ต้องสั่งการแขนขาเป็นประโยคภาษาไทยทีละวรรคก่อน บอกไม่ได้กระทั่งตนฝันหรือตื่นได้สักพักแล้วนึกย้อนถึงเรื่องเก่าเก็บอยู่ ชายบนเตียงหาวหวอด ลากนิ้วเกากลางกระหม่อมไม่ใช่เพราะคัน แต่คิดว่าถ้าหาเรื่องขยับตัวเข้าไว้จะตื่นเต็มตาเร็วขึ้น
ปวดตัว
“อูย…” โกเดินระบมกายลงไปหาข้าวเช้ากิน หลังตึง แขนปวด ตอนพี่ปราชญ์มาช่วยง้าง พาคนออก ลิฟต์ยังขึ้นไปไม่เต็มความสูงประตูดี แต่ก็อยู่สูงเกินกว่าจะไปเปิดประตูลิฟต์ชั้นล่าง พวกเขาเลยต้องปีนออกเอา ซึ่งโกก็ต้องตะกายขึ้นไปคนแรก แล้วผลัดกันช่วยกับพี่ปราชญ์ดึงพวกนักเรียนขึ้นมาทีละคน
วิ่งรอบสวนลุมพินีทุกเช้าวันเสาร์ไม่ได้เตรียมกล้ามเนื้อเขาไว้เพื่อการนี้
“น้า กอเอี๊ยะมะ”
“เอา”
หลานชายผู้ไม่ค่อยตื่นก่อนเจ็ดโมงกลับนั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งปากมันเลอะน้ำจิ้ม อรุโณทัยเปิดกระเป๋าวางไว้ข้างตัว หยิบเอากล่องแปะเย็นส่งให้
“แล้วทำไมวันนี้ตื่นเช้า ใช้กรรมเรอะ” ที่ทำงานของอรุโณทัยค่อนข้างปล่อย หรือไม่ก็ฝ่ายบริหารสำนักงานค่อนข้างปล่อยคน เห็นว่าหัวหน้าสนแค่รายงานแจ้งเหตุผลการจัดการทุกสิ่งได้เป็นพอ โกไม่อยากคิดว่าเมื่อวานเจ้าหลานชายแต่งเรื่องว่าอะไรเพื่อออกเร็วครึ่งวันไปให้กำลังใจเพื่อน
“ทำนองนั้น โดนฝากให้ไปย้ายข้อมูลรอบล่าสุดในฝ่ายทะเบียนขึ้นเซิร์ฟเวอร์บริษัทวันนี้ด้วย” จากนั้นก็บ่นกระปอดกระแปดเรื่องบริษัทที่เป็นลูกผสมระหว่างอนาล็อคกับดิจิตอลช่างยุ่งยาก โกได้แต่พยักหน้า เข้าใจว่าคงสภาพคล้ายที่โรงเรียนซึ่งยังบังคับจดชื่อนักเรียนลงกระดาษส่งเวียนไปหาคณาจารย์ผู้เกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายต้องวนกลับไปให้ใครสักคนบันทึกลงคอมพิวเตอร์ภายหลัง
“น้าโกล่ะ จะเจ็ดโมงแล้วนา หน้ายังไม่ล้างเลย”
“ปวดตัว เดี๋ยวบอกหัวหน้าอาจารย์ว่าแวะซื้อยา แกก็ไม่ว่าแล้ว” โกสลบไสลเหยียดตัวไปบนโต๊ะพอได้นั่ง “แล้วสรุปอรัณผ่านไหม ไม่เห็นอัพอะไรลงในเฟส”
“ผ่านฉลุย ชื่อแรกเลยนะ (“มีความหมายเรอะ” โกปรบมือฝากความยินดีไปทางกระแสจิต แต่ยังต้องขอถาม “อรัณบอกไม่มี แต่โณจะให้มันมี” หลานชายพ่นลมหายใจออกจมูกหนักแน่นมาดมั่น) เมื่อคืนเลยไปฉลองไง แล้วก็เด็กห้อง --”
คนฟังหันไปมองเพราะเห็นว่าเสียงเล่าขาดห้วง
“เด็กห้อง?” โกล้วงหยิบหมูปิ้งกิน คุณนายนกยูงเดินผ่านด้านหลัง เอารีโมทโทรทัศน์ทิ่มหลังบุตรชายให้นั่งกินท่าเสี่ยงสำลักน้อยกว่านั้นหน่อย
อรุโณทัยยกแก้วน้ำดื่ม “มีเด็กซ้อมเต้นอยู่ห้องข้าง ๆ ที่เขาออดิชั่น มาดูกันเต็มเลย”
“แล้วคนไปออเยอะไหม”
“เพียบ แต่รายชื่อคนที่ผ่านก็เยอะกว่ายี่สิบห้านะ น่าจะสามสิบกว่าคนได้” หลานหนุ่มเท้าคาง “ไม่รู้จะให้สลับกันเล่นหรือเปล่า ถึงบอกว่าเกณฑ์คนไปเป็นอองซอม แต่ไม่ใช่จะยัดเข้าไปกี่คนก็ได้สักหน่อย”
“คงเอาไว้ผลัดกันเล่นมั้ง แต่ที่จริง เป็นโปรของสองประเทศยังมาเปิดรับคนท้องถิ่นอย่างกับกิจกรรมสันทนาการก็ประหลาดใจแล้ว ยังรับคนมากกว่าที่บอกไว้อีก นึกถึงพวกละครจัดกิจกรรมช่วยเหลือสังคมเลยนะ”
“แต่ก็มีคัดตัวนะ น้าโก คัดกันเข้มด้วย”
“ก็ไม่ได้จะบอกว่าเป็นโปรฟอกเงินสักหน่อย” โกแทะหมูปิ้ง เคี้ยวตุ้ย ๆ “อรัณผ่านก็ดีแล้ว เสียดายไม่มีค่าจ้าง”
“เห็นว่าช่วงเวิร์คช็อปมีอาหารเลี้ยง นักแสดงสองคนในโปรเคยเล่นกับโปรของโรงละครแห่งชาติด้วย ถ้าโณไม่ติดงานโณก็อยากสมัครเหมือนกัน”
“เหอ เวิร์คช็อประหว่างวันเหรอ”
“ช่าย ทั้งวัน เริ่มกลางสิงหา แสดงต้นกันยา อย่างอรัณคือกะเข้าออฟฟิศครบโควต้าตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกับใช้วันลาเลย”
“สิงหาเหรอ ออกันเร็วจังวุ้ย”
“ก็กว่าจะย้ายทั้งโปรมาได้ ตอนนั้นคงวุ่นจนไม่อยากมานั่งออแล้วมั้ง เป็นโณก็คงไม่อยาก ดูจากภาพในเว็บแล้ว ต้องปรับเวทีอีกเยอะ แล้วยังต้องโปรโมทด้วย ไม่ใช่พวกบรอดเวย์คลาสสิคก็ลำบากงี้แหละ แต่ถ้ารายได้ไม่ดีไม่รู้จะมีละครแบบนี้มาแสดงอีกเมื่อไร ได้ยินว่าตอนแรกเขาอยากทัวร์ไปเล่นจังหวัดอื่นด้วยซ้ำ”
อา การกระจุกกันของวงการละครเวที รำพึงรำพันพร้อมซดน้ำเปล่า ตัวโกไม่ได้สนใจเรื่องละครมากมายนัก ไม่ว่าจะบนจอหรือบทเวที จนหลานชายชอบถึงขั้นอยากทำงานในวงการ จึงได้ฟังอะไรทุกวัน
อ้าว
มานึกดู เขาก็คุยกับอรุโณทัยแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่หลานชายย้ายมาอยู่ด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ชอบตรงกันไปหมดทุกอย่าง แต่ก็แบ่งปันความสนใจได้ไม่ติดขัด บางทีก็มีเกมที่เขาเล่นตามเจ้าโณแนะนำ อีกฝ่ายก็รับฟังเรื่องในโรงเรียน จำได้ว่าใครเป็นใคร เขารู้ว่าอรุโณทัยชอบภาพยนตร์แนวไหน เป็นแฟนคลับสุดใจเรื่องอะไรหรือดาราคนไหน (ฮิวจ์ แจ็คแมน) ของสะสมสุดรักคือชิ้นไหนบ้างในห้องรกๆ หลังประตูบานนั้น ร้านหนังสือจัดลดราคาหนังสือเป็นต้องรอไปคุ้ยกระจาดด้วยกัน รู้ดีว่าชอบเค้กรสอะไร และชอบเครปคู่ไอศกรีมมากกว่าเค้ก ถ้ามีร้านเม็กซิกันหรือที่ไหนจัดอาหารเม็กซิกันกินไม่อั้นจะนึกถึงเจ้าลูกหมาตัวนี้ก่อน จำได้ค่อนข้างครบว่ามันเลิกกับแฟนเก่าแต่ละคนด้วยเหตุผลอะไร ช่วงไหนนึกครึ้มติดหรืออินอะไรเป็นพิเศษไม่นานก็จะรู้ เช่นช่วงนี้เขายังเดาได้ว่าอรุโณทัยกำลังเผชิญปัญหาคิดไม่ตกว่าจะซื้อเครื่องฟอกอากาศไปไว้ที่สตูดิโอดีเป็นของขวัญครบรอบก่อตั้ง หรือปรึกษาเพื่อนร่วมก่อตั้งอีกสองคนก่อนดี
เขารู้จักหลานชายของเขา รู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้เยอะพอสมควร รู้จักดี
แต่ไม่ได้รู้จักทั้งหมด
อย่างเวลาดูภาพยนตร์หรือละครด้วยกัน เขาไม่เคยเดาถูกว่าอรุโณทัยจะชอบตรงไหน หรือคิดว่าตรงไหนแย่ ได้แต่รอฟังเจ้าตัวบ่นหรือชื่นชมแสดงความปลาบปลื้มล้นพ้นเอาเอง
ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับละครเวทีเท่าไร แต่อรุโณทัยก็อธิบายให้เขาฟังอยู่ประจำ
“นั่นน่ะสิ น้าโกจะรู้ได้ยังไง แล้วน้าจะประหลาดใจทำไมล่ะ” สนพูดแบบนั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตนประหลาดใจอะไรแน่
ทั้งที่คิดว่าจู่ ๆ คนอื่นมารุมพูดเรื่องนี้กับเขา แต่ตัวเขาก็เลิกสนใจไม่ได้
“มึงลองถามเจนเขาดูสิ คุยกับเจนดู คุยกับไอ้ปอง แล้ววันไหนสักวัน คุยกับหลานมึง” พี่ปราชญ์แนะแบบนั้น ซึ่งโกไม่มั่นใจเช่นกันว่าต้องคุยอะไร
“ฉันรู้ค่ะว่าอาจารย์คนทาไม่ได้อะไร แต่สำหรับฉัน มันคงเป็นเรื่องของ ‘อ้าว’ หรือ ‘อ๋อ’ มากกว่า” ส่วนเจนธรรมว่าแบบนั้น แค่นั้น แม้สายตาเธอจะมีมากกว่านั้น
“ไม่ใช่ว่าน้าไม่อยากคุยเรื่องโณชอบผู้ชาย หรือไม่อยากสน ไม่ต้องมาบอกอะไรแบบนี้หรอกนะ ถึงได้ตอบไปแบบนั้น แค่ไม่รู้ว่าควรตอบยังไงดีถึงจะบอกเราได้น่ะ ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสุดๆ อยากคุยเมื่อไรก็ได้เลย”
ในปากนี่หนืดเชียว ไม่รู้ว่าเพราะข้าวเหนียวหมูปิ้งหรือเพราะคำพูดมันเกาะเต็มปาก
โชคดีของเขาแล้ว ที่อรุโณทัยรู้จักเขาเหมือนกัน
“โณรู้แหละ”
อ๋อ
คงไม่ครบทุกกระเบียดนิ้วเสียทีเดียว แต่โกเดาว่าคงประมาณนี้กระมัง
“แล้วยังไง จะมีแฟนใหม่มาเปิดตัวรึเปล่า”
มีคนสำลักข้าวเหนียวหมูปิ้ง
“ฮัดชิ่ว!”
สนชะงักมือเหนือแป้นพิมพ์พลางปัดผมสั้นลงซึ่งมาปิดแก้มไปหลังหู “ฮัดชิ่ว!” เธอลุกขึ้นยืนประหนึ่งว่าเสียงจามเป็นตัวให้สัญญาณขยับ ไปเกาะระเบียงชั้นลอย ชะโงกมองลงยังข้างล่างซึ่งเพื่อนรักคนหนึ่งนั่งจามใส่ผ้าเช็ดหน้า หลักฐานหนึ่งเดียวว่ายังมีคนพกผ้าเช็ดหน้ากันอยู่ เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมก่อนมาเจออรัณ ตนจึงคิดว่าคนเลิกพกผ้าเช็ดหน้ากันแล้ว ไม่ใช่หนึ่งในสิ่งที่โดนโทรศัพท์มือถือแทนที่เสียหน่อย
“อรัณ ไหวไหม” สนถามไถ่โดยน้ำเสียงคาดคำตอบไว้แล้ว ทั้งสองเข้ามาสตูดิโอตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน อรัณไอจึงบอกขอกินน้ำก่อนค่อยตามขึ้นมานั่งเป็นเพื่อนเธอระหว่างแต่งบทละครต่อ ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ทั้งจามทั้งไอสลับทีละชุด ไม่ขึ้นมาเสียที
“อืม”
ไอโขลกๆ การันตีว่าไม่เป็นความจริง
“แค่คัดจมูก” เสียงแหบ ตามด้วยไออีกชุด
“เมื่อวานตากฝนมาเหรอ” สนถามพลางเดินลงไปหาพร้อมย้ายคอมพิวเตอร์ติดลงมาด้วยตามเคย เมื่อวานฝนตกหนักเสียจนเธอคุยกับตัวเองแทบไม่รู้เรื่อง พอไปเจออีกสองคนเพื่อฉลองอรัณผ่านออดิชั่น ฝนก็หยุดแล้ว และทั้งสองตัวแห้งดี
อรัณนิ่งคิดนานสองนาน
“เมื่อวานมีแต่โณที่เปียกฝน” อรัณลุก สะโหลสะเหลเอาผ้าเช็ดหน้าไปซักในห้องน้ำโดยไม่ปิดประตู
“แอ รายนั้นหวัดแดกโคตรยาก ไวรัสผุยทิ้ง แดกมันไม่ลง สมัยเรียนเพื่อนรู้กันดี ถ้านางบอกว่าไม่สบาย จะไปพักห้องพยาบาลคือตอแหล” สนปัดมือไปมา “ไอ้โณไม่สบายได้ทีคือไข้ไปแล้วสามสิบเก้าจ้า ลุกไม่ขึ้น จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งมันป่วยวันงานกีฬาสี เพื่อนแตกตื่นกันค่อนชั้น”
“สมัยอยู่คณะไม่รู้สึกว่าโณแข็งแรงแบบนั้นเลยนะ” อรัณบ่นพึมพำ ย้ายตัวเองกลับมานั่งบนโซฟา
“มันอึดถึก แค่นั้นแหละ แล้วตอนเรียนมหา’ลัย จะให้มันไปแอคทีฟเอ็กซ์ตรีมได้ขนาดไหนล่ะ แค่ซ้อมละครก็กลับบ้านตีสองแล้ว ตอนไม่ซ้อมละครก็ต้องปั่นเปเปอร์” สนหัวเราะ เบิกบานที่ได้เผาเพื่อน พออรัณไออีก เธอก็เท้าสะเอว “กลับไปนอนบ้านดีกว่ามั้ง”
“ผมจะพยายามไม่แพร่เชื้อ”
“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ฉันก็ติดหวัดยากพอๆ กับโณแหละ แต่โซฟามันนอนไม่สบายน่ะสิ” สนพิจารณาสภาพอรัณ “มีไข้ไหมเนี่ย” ปากถาม ส่วนมือเอื้อมไปแตะหน้าผากเองเสียเลยให้ได้คำตอบชัดสุด “ไม่ใช่ว่าตัวรุมๆ อยู่เร้อนาย” เธอเอามือมาแตะตัวเองเทียบ
“แค่คัดจมูก”
“พูดไปแล้ว” สนดึงเบาะใบหนึ่งบนโซฟามารองนั่งบนพื้น เอาคอมพิวเตอร์วางบนโต๊ะ “นั่งพิมพ์ตรงนี้ก็ได้ อรัณก็นอนไปเหอะ”
“ไป ๆ มา ๆ สนพิมพ์งานตรงนี้บ่อยกว่าบนชั้นลอยอีก” อรัณพึมพำ จัดหมอนที่เหลือสุมกันแล้วเอนตัวลงนอน
“นั่งพิมพ์เป็นเรื่องเป็นราวแค่ช่วงจวนเจียนเดดไลน์เท่านั้นแหละ” แสงชั้นล่างสวยกว่า ทำให้เธออารมณ์ไหลลื่นกว่าด้วยสำหรับช่วงที่เดดไลน์ไม่เผาก้น
“องก์แรกเหรอ”
“ก็นะ วันนี้คงเสร็จแหละ -- เสร็จไหมนะ -- เสร็จเหอะ” องก์แรกแห่งพันธสัญญา “เสร็จน่า คุยกับน้าโกแล้วมันปิ๊งขนาดนี้แล้วนะ”
“จะเอาน้าโกมาเขียนเหรอ”
“ไม่เชิง แต่คุยอะไรกับน้าโกมานิดหน่อยแล้วนึกขึ้นได้น่ะ ว่าอยากเขียนประเด็นเรื่อง ‘เรารู้จักกันดีแค่ไหน’ อะไรแบบนี้”
“เราที่ว่าคือ…”
“ก็ครอบครัวนั่นแหละ ที่จริงอยากใส่เพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานอะไรงี้ไว้ด้วย แต่ถ้าจะให้มันเล่าง่าย ๆ ตอนนี้ขอเน้นไปที่ครอบครัวก่อน จะได้ขายความเป็นเอเชียด้วย แบบครอบครัวใหญ่อะไรงี้”
“แต่ออร์กัสโอเซจเคาน์ตี้ก็ภาพครอบครัวใหญ่นะ”
“เออแฮะ แต่ไม่ค่อยหลากรุ่นเปล่า มาคิดดูอยากได้บรรยากาศล้อมโต๊ะคุยประมาณนั้นแหละ แต่อยากให้เป็นคอเมดี้ดราม่าแบบโหวกเหวกโวยวาย อลหม่าน เอะอะมะเทิ่งไปเลย”
“ฟันนี่มันนี่”
“อะไรแบบนั้น แต่ยังนึกตัวเร่งเร้าไม่ออก ถ้าไม่มีก็จะเป็นการคุยไปเรื่อย ๆ อีก” สนไม่ค่อยใช้คำศัพท์ตามหลักการที่เขาสอนกันเท่าไร อรัณกับอรุโณทัยจำกันเอาเองว่าเธอหมายถึงอะไร เช่นตัวเร่งเร้าคือสิ่งที่บอกให้คนดูและตัวละครรู้ว่าโดนกดดัน ต้องรีบตัดสินใจ “ตอนนี้คิดว่าจะให้เป็นแบบ…ตัวละครมานั่งล้อมวงเปิดพินัยกรรมคุณย่าที่เพิ่งเสียไป”
“แล้วแย่งมรดกกันเหรอ” เวลาใครขึ้นต้นมาแบบนี้ เขาคิดไม่ค่อยออกเท่าไรว่าจะเล่าอะไรอื่นอีก
“ไม่เชิง ก็มาจัดการมรดกนั่นแหละ แต่ไม่ได้ถึงขั้นชิงดีชิงเด่น แค่มีข้อขัดแย้งกันบ้าง เอาเป็นว่า คุณย่าคนนี้เป็นที่รักของคนในครอบครัวสักครึ่งมั้ง แล้วอีกครึ่งไม่ค่อยถูกกับคุณย่า ตอนนี้เป็นไปได้ว่าน่าจะมีอย่างเคยทะเลาะกันเรื่องไม่ยอมรับแฟนมั่ง เรื่องเอาเงินไปลงทุนมั่ง หรือเป็นลูกคุณย่าที่เข้ากันไม่ได้มานานจนออกจากบ้านไปนานแล้ว แต่ทุกคนมารวมตัวกันหมดเลยกับบรรดาลูกหลานที่รักคุณย่า แล้วทนายเปิดพินัยกรรม ทีนี้ก็จะเริ่มเกมแล้ว”
“หมายถึงเกมจริงๆ หรือเชิงอุปไมย”
“เกมของจริง อย่างน้อยในสายตาคุณย่านั่นแหละ ก็คือในพินัยกรรมน่ะ ระบุไว้หมดเลยว่าอะไรจะให้ใครบ้าง ซึ่งของแต่ละชิ้นเป็นของที่มีคนต้องการทั้งนั้น แต่หาไม่เจอ คุณย่าเอาไปซ่อนนานแล้ว และสมาชิกครอบครัวสักคนที่มีสิทธิ์ในบ้านไม่ยอมให้รื้อบ้านเละเทะหรอก ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ในบ้านจริงไหม แต่พินัยกรรมบอกเอาไว้แบบคำใบ้ อย่างเช่น จะให้ของชิ้นที่คนที่เข้าใจเสมอว่าเวลาคุณย่าพูดว่า ‘เจียะป้าบ่อสื่อ’ หมายถึงใคร เคยทำหายไปครั้งหนึ่ง แก่คนที่ทำจานลายผีเสื้อแตก โดยของชิ้นที่ว่าอยู่ที่ห้องซึ่งคนที่เคยไปร้านตัดเสื้อกับคุณย่าชอบไปนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว”
“แล้วทุกคนก็สับสนสินะว่าคุณย่าหมายถึงใครบ้าง”
“ถูกต้อง” สนปรบมือให้โดยแค่เอาปลายนิ้วแตะกันเบา ๆ
“แต่ถ้าเป็นครอบครัวที่ครึ่งหนึ่งไม่ถูกกัน การไม่รู้ไม่น่าจะแปลกหรือเปล่า ครอบครัวที่สนิทกันยังน่าจะพอรู้ตัวเลยนะว่าไม่ได้รู้เกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวดีหมด คนที่จะตกใจกับเรื่องพวกนี้มักจะเป็นพ่อแม่เวลารู้ว่าลูกเคยทำอะไรใหญ่ๆ โดยที่ไม่บอกหรือเปล่า”
“คงงั้น แต่เรื่องรู้จักที่ว่าไม่ได้จะเล่าในเรื่องรู้ข้อมูลของคนอื่นดีแค่ไหนหรอก แต่รู้จักที่ว่า กะจะหมายถึง ‘รู้ตัวไหมว่ามีส่วนในชีวิตอีกฝ่ายมากขนาดไหน’ ต่างหาก อย่างเรื่องที่คิดว่าเล็ก ใหญ่ขนาดไหนในมุมมองคนอีกคนหนึ่ง อารมณ์ประมาณ ตอนที่เรื่องนี้เกิด จำได้ไหมตัวเองอยู่ในห้องด้วย และมันมีความหมายกับอีกคนมาก”
“แบบพวกเรื่อง ‘ตัวละครลูกค้าคนที่สุภาพเสมอ ทำให้ตัวละครพนักงานมีกำลังใจมาก’ น่ะเหรอ”
“ทำนองนั้น แต่จะใส่ไว้ทั้งแง่ดีและแง่ร้ายน่ะ ก็เลยจะมีตัวละครที่ลังเลจะบอกหรืออุบไว้ แล้วก็การคาดคั้น เถียงกัน”
“งั้นให้ตัวละครเป็นตัวเร่งเร้าเองก็ได้นี่นา อย่างเช่น มีตัวละครที่มั่นใจมากว่าตัวเองคือคนที่พินัยกรรมพูดถึงสำหรับของชิ้นหนึ่ง แต่คนอื่นไม่เห็นด้วย แต่ตัวละครนั้นยืนกรานและจะเอาของกลับไปแล้ว ไม่อยู่ต่อ เพราะเขาก็มีกำหนดการที่เกี่ยวกับของชิ้นนี้ ดังนั้นจะออกไปแล้ว และทนายบอกว่าทุกคนที่มาอยู่ตรงนี้จะต้องได้มรดกในรูปแบบสิ่งของกันคนละชิ้น ซึ่งพอนับจำนวนคำใบ้แล้วก็เท่าจำนวนคนที่นั่งอยู่พอดี ดังนั้นถ้าคนอื่นจะค้านว่าตัวละครตัวแรกเข้าใจผิด ก็ต้องรีบไขคำใบ้หาว่าเขาถูกพูดถึงตรงจุดอื่นของพินัยกรรม”
“ฮืม น่าสนใจดี ให้เป็นตัวละครที่อารมณ์แบบพี่ใหญ่ เอาทุกอย่างอยู่มาตลอดแล้วกัน แต่ที่จริงต้องรีบเอามรดกชิ้นที่อยากได้ไปทำลายเพราะเป็นหลักฐานความลับโคตรใหญ่ของเขาแล้วกัน ประมาณว่าหามาหลายปีแล้ว”
“ควรจะเริ่มเขียนองก์แรกเลยจริง ๆ เหรอ”
“ก็มีคิดบ้างไว้ในหัวแล้วน่ะ แต่อยากเห็นก่อนว่าจะเดินเรื่องได้ขนาดไหน แล้วค่อยเขียนผังเช็คเอา” ช่างเป็นคนที่มีขั้นตอนการทำงานกระโดดไปมา เจ้าตัวก็ตระหนักดี อรัณจึงไม่ออกความเห็นเรื่องนี้ อรุโณทัยทำบ่อยแล้ว
ชายหนุ่มขยับจัดศีรษะตัวเอง หาตำแหน่งที่รู้สึกสบายพอจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงตามแรงโน้มถ่วงได้โดยไม่เกร็งหรือมีอะไรติดตรงแถวท้ายทอย
“จะมีตัวละครที่เป็นเควียร์ด้วย” สนกล่าว “เอาแบบ ทุกคนตีกันวุ่นวายเลย แล้วตัวละครตัวนั้นก็โพล่งออกมาว่าเป็นเกย์! แล้วทุกคนก็หันไปมองเป็นตาเดียว แล้วพอจะเริ่มต่อว่าตัวละครตัวนั้น ก็โดนสวนว่าทุกคนตรงนี้ทำเรื่องฉิบหายมาตั้งเยอะ มีหน้าสรรหาอะไรมาด่าที่เขาเป็นเกย์งี้”
“ตัวละครคุณย่าจะเป็นคนแบบไหนน่ะ”
“นั่นสินะ อยากให้เป็นแนวขี้เล่นหรอก ถ้าจะทำอะไรแบบนี้ แต่ถ้ามาแนวใจดี อ่อนโยน เข้าอกเข้าใจ รู้ดีไปหมด ก็คงไม่ปิดปากเงียบปล่อยให้หลานคิดมากหรอก แต่ถ้าเป็นคุณย่าแสนสมบูรณ์แบบ อย่างน้อยคงได้เล่นปมว่าคนแบบนี้ไม่เข้าใจนี่แหละเจ็บ ตัวหลานที่เป็นเควียร์ก็คงต้องเป็นพวกไม่ถูกกับคุณย่า ซึ่งญาติผู้ใหญ่จะไม่เข้าใจเลยว่าเอาอะไรมาโกรธมาเกลียดแก”
“ถ้านี่เป็นจดหมายถึงตัวละครนั้นโดยเฉพาะล่ะ”
“หือ”
อรัณกอดหมอน ตะแคงตัวหันหาสน
“แบบ ถ้าคุณย่ารู้ตัวว่าตัวเองมีส่วนทำให้ตัวละครนั้นไม่กล้ายอมรับสิ่งที่เขาเป็น หรือไม่กล้าบอกกับครอบครัวที่ดูสมบูรณ์แบบ พินัยกรรมนี้เลยทิ้งเรื่องนี้ไว้ให้เขาเห็น…”
“ว่าครอบครัวนี้ก็ฟัคอัพน่ะเหรอ”
“แต่การที่เขาเป็นเกย์ไม่ใช่หนึ่งในเรื่องพังๆ พวกนั้น คุณย่าเลยไม่เขียนถึงคำใบนี้เอาไว้ในพินัยกรรม”
“แต่จะตีความได้ว่าคุณย่าไม่รู้แทนน่ะสิ”
“ถ้าของที่ให้เป็นของที่บอกว่ารู้ล่ะ อย่างเช่นเป็นเงินจำนวนพอดีกับที่เขาต้องการเป๊ะ ๆ สำหรับทำอะไรสักอย่างให้คนรักของเขา”
“ไม่ค่อยชอบเวลาตัวละครเควียร์ต้องมีแฟนถึงจะช่วยย้ำความเควียร์อะนะ แต่ยอมรับว่าใช้เล่าเรื่องง่ายดี” สนจำไว้พิจารณา เธอดูสนใจหลายจุด จึงเปิดโปรแกรมมาจดโน้ตมากกว่ากลับไปพิมพ์บทต่อ แต่แล้ว เธอพยายามแอบมองอรัณ ทว่าด้วยระยะห่างเท่านี้ และอรัณยังไม่ได้พลิกตัวกลับไปนอนหงายหรือหันไปอีกทาง เขาย่อมสังเกตเห็น
แขนกอดหมอนแน่นขึ้น “บางทีก็มีคิดบ้างเหมือนกัน ว่าจะเป็นยังไง ถ้าพ่อขอโทษผม”
“อรัณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ แต่ฉันจะโกรธพ่อนายไปชั่วชีวิต” สนตอบอย่างฉะฉาน เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชั่วแวบหนึ่งให้ความรู้สึกประหนึ่งมีอรุโณทัยที่ยังอยู่บริษัทมาพยักหน้า ทำเสียงฮึ่มฮั่มด้วย
“ผมคิดว่าผมเลิกสนใจเขาตัวจริงไปแล้วล่ะ แค่ความคิดเกี่ยวกับเขาที่ยังอยู่” อรัณถอนหายใจ “ถ้าเป็นตอนมัธยมคงไม่รู้สึกแบบนี้หรอก แต่กว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับผมเอาตอนปีสี่ พ่อเขาก็ไม่ได้มีพื้นที่ในมุมมองของผมเท่าเมื่อก่อนแล้ว”
“คงไม่ลงรูปนั้นแต่แรกด้วยซ้ำสินะ”
“คงไม่ได้ถ่ายไว้แต่แรกเลย” อรัณยิ้มขื่นพลางหลับตาลง เขาชักเวียนหัว มือข้างหนึ่งยกขึ้นเอาหลังมือพาดทับตา “ตอนโณบอกว่าจะบอกน้าโก ผมเกือบห้ามแน่ะ ทั้งที่น้าโกไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
“ฉันก็มีแอบหวั่นเหมือนกัน วางใจก็แค่อย่างน้าโกอะนะ เขาไม่ทำอะไรรุนแรงหรอก แล้วสุดท้ายน่าจะคุยกันได้ เหมือนอย่างแม่ฉันแหละ ถ้าไม่เป็นแบบนั้นคงเจ็บน่าดู”
“อืม”
พอเอามือลง เขาเห็นสนมองมาอย่างไม่ปิดบัง เธอทำหน้าตกใจ “เฮ้ย อรัณ --”
“หลายทีผมก็กลัวขึ้นมาว่า ถ้าไม่ได้เจอโณกับสน ผมจะกลายเป็นแบบพ่อไหม”
เขาเวียนหัวจัง
โกเปิดประตูเข้ามาเจอกว่าครึ่งห้องยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยรุมไปที่เพื่อนซึ่งขาดเรียนเมื่อวาน กนกพรนั่งเท้าคางทำหน้าเบื่อสังคม ส่วนอัศวินพนมมือไว้ตรงระดับจมูกเหมือนกำลังภาวนาให้ปาฏิหาริย์เกิด “มีอะไรกันเนี่ย พวกคุณ”
“เมื่อวานเมย์กับไนท์ไปเที่ยว -- เหวอ นักเรียน กราบ!”
“ไอ้เหี้ย มึงไม่ใช่หัวหน้าห้อง” เพื่อนโต๊ะข้างหลังเอาสมุดตีหลังหัวเตือน
“นักเรียน กราบ” หัวหน้าห้องตัวจริงร้องบอกให้ทั้งห้องพนมมือ ประสานเสียงสวัสดีอาจารย์ตามระเบียบโรงเรียน เพราะโกไม่ได้มาคุมเข้าแถว อาจารย์หัวหน้าตึกจึงยังวนเวียนอยู่นอกห้อง
อาจารย์ประจำชั้นพยักหน้ารับ จังหวะเดียวกับที่อาจารย์หัวหน้าตึกเดินผ่านหน้าประตูวนไปดูห้องอื่นพอดี โกดึงประตูปิดให้สนิท ปกติเขาบอกทั้งห้องไม่ต้องกราบเวลาตนเดินเข้ามา แน่นอนว่าบอกได้แค่ห้องตัวเอง ถ้าบอกห้องอื่นอย่างเช่นห้องที่ไปสอน เรื่องอาจถึงหูครูระดับหัวหน้า จะได้โดนเทศนาอีกว่าชอบฝืนทำตัวเป็นเพื่อนเด็กแบบนี้ จะไม่ได้รับความเคารพนับถือในฐานะผู้ประสาทวิชา ทุกวันนี้โกยังไม่เข้าใจว่าอาจารย์คนอื่นไม่รู้สึกเขินแบบตนเวลาเข้าเดินเข้าห้องเรียนบ้างหรือ
เขามองกล่องสี่เหลี่ยมใสบรรจุขนมปังกรอบโรยน้ำตาลอัดบนโต๊ะครูหน้าห้อง “อะไรเนี่ย”
“แม่ของนิ้งห้องนู้นฝากมาให้ค่ะ เห็นบอกอยากขอบคุณที่อาจารย์ช่วยเรื่องลิฟต์”
รู้สึกชั่วทันที เพราะถ้ามีอาจารย์อยู่กับอรุโณทัยตอนลิฟต์ค้าง โกมั่นใจว่าตนคงแค่นึกขอบคุณ แต่ไม่หาขนมมาตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอัน โกหยิบขึ้นแกะแบ่งทั้งห้อง เขาชวยคุยต่อระหว่างพวกนักเรียนเวียนกล่องขนมไปให้ทั่วกัน “ตะกี้ใครว่าอะไรนะ กนกพรกับอัศวินทำอะไร”
“พวกหนูหยุดพร้อมกัน พวกนี้ก็หาว่าหนีไปเที่ยวด้วยกันมาค่ะ” กนกพรชี้ไปทางพวกที่ยื่นหน้ายิ้มมามากกว่าใครเพื่อน
“บอกแล้วว่าไปทำบุญกับที่บ้านมา” อัศวินเสริม
“ไปผูกดวงกันเหรอ เหรอ เหรอ” มีเสียงร้องโห ร้องโหยตามมาอีกเพียบ
เดทสินะ เดท แซวว่าไปเดท แต่เด็กสมัยนี้ไม่พูดว่าเดทกันแล้วหรือ รึว่ากำลังเลี่ยงคำเพื่อขีดเส้นว่านี่เป็นบทสนทนากับผู้ใหญ่
“มันต้องลงทุนขนาดนั้นเลยเรอะ วันเสาร์-อาทิตย์ก็มี” โกเกาหัว ยอมรับว่างุนงง ใจหนึ่งนึกยินดีว่านักเรียนเปิดเผยพูดคุยกับตนถึงขั้นนี้ อีกใจนึกอยากกุมขมับ เพราะนี่หมายความว่าเขาต้องคลี่คลายสถานการณ์ในฐานะผู้ใหญ่ จะไปฮิ้วโห่กับพวกนักเรียน ฉลองความสัมพันธ์วัยรุ่นไม่ได้ ช่างเป็นสถานการณ์เอาใจยากโดยแท้ ชักสงสัยว่าอาจารย์ที่พอจะเรียกได้ว่าสนิทด้วยสมัยเรียนรู้สึกทำนองเดียวกันบ้างไหม “อัศวินส่งจดหมายลากิจไว้ มีลายเซ็นผู้ปกครองด้วย ส่วนกนกพรน่ะ ครูโทรคุยกับผู้ปกครองเขาแล้ว” โกเลือกตัดฉับบทหยอกเย้าเสียตรงนี้ แต่เตือนตัวเองไว้ว่าควรไปคุยกับครูดอนวิชาสุขศึกษาอีกแล้ว
“เห็นยัง แกคิดว่าบ้านฉันจะช่วยโกหกโรงเรียนให้ฉันไปเที่ยวกับไนท์รึไง” กนกพรหันไปแหวเพื่อนทันควัน มือหนึ่งผายมาทางโกอย่างนำเสนอพยานแก่ศาลจอมจุ้นรอบด้าน
บางคนยกมือเชิงยอมแพ้ โอดโอยว่าเซ็ง
“เอ้า ๆ กลับมาสนใจครูก่อน” เขาแจกแจงกิจกรรม ถ่ายทอดคำบ่นงานที่อาจารย์วิชาอื่นฝากมา แล้วเรียกกนกพรให้ตามไปที่ห้องพักครูเพื่อกรอกจดหมายลาป่วย เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่ได้เตรียมมาส่ง
“สรุปเมื่อวานคุณไปไหนมา” เพื่อนร่วมห้องอีกสองคนไม่อยู่ ต้องถามตอนนี้
“ว่าแล้วว่าอาจารย์คงไม่โทรหาที่บ้านหรอก” กนกพรพึมพำ “แล้วทำไมโกหกให้หนูล่ะคะ ที่จริงหนูก็ตกลงกับที่บ้านไว้แล้วน่ะค่ะ”
“เพราะพอเดาได้ว่าคุณต้องไปกับอัศวินน่ะสิ แต่เตี๊ยมกับที่บ้านไว้ด้วยเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“ที่บ้านรู้ก็โอเค จะไม่ถามแล้วกันว่าอัศวินไปทำอะไร เพราะดูท่าทางพวกคุณก็ปกติดี” เขามองสำรวจนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าแจ่มใส เนื้อตัวไม่มีร่องรอยบาดเจ็บ จะให้วิเคราะห์ลึกกว่านี้ถือว่าเกินความรู้และสามัญสำนึก ขนาดเรื่องใกล้ตัวชนิดจ่อตา เขายังไม่ทันสังเกตมาตั้งนานนม “ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“ค่ะ” กนกพรขานรับ จากนั้นก็ยกมือไหว้ ทำท่าจะกลับห้องเรียน
แต่เธอแอบมองกลับมาอีกหน “อาจารย์คะ ทำไมอาจารย์ --”
มีโผล่มาถูกจังหวะเห็นไฟลิฟต์ดับ ก็ย่อมมีเปิดประตูเข้ามาขัดตรงจังหวะเช่นกัน พี่ปราชญ์เปิดประตู แขนห้อยถุงใส่ขนมกล่องใสแบบเดียวกับที่โกได้รับ ทว่ารายนี้พะรุงพะรังเชียว
“อ้าว กนกพร หายป่วยแล้วเหรอ” อาจารย์กันตพิชญ์ถามเสียงห้าวใหญ่
“หายแล้วค่ะ สวัสดีค่ะ อาจารย์” ฝ่ายนักเรียนรีบทั้งยกมือไหว้ ทั้งย่อตัว ก้มหัวเดินผ่านออกไปจากห้องพักครู
พี่ปราชญ์มองตามแล้วเขี่ยประตูปิด “นักเรียนเอ็งเป็นอะไร”
“กลัวหมีควาย”
แรงบีบมือของพี่ปราชญ์ช่างน่าขนลุกยิ่งนัก
มีคนเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาวางไว้บนหน้าเขา ปิดทับดวงตา ผืนผ้ากว้างพอจะแผ่ถึงหน้าผาก
อรัณหยิบผ้าออก แล้วใบหน้าคุ้นเคยก็แทนที่ในครรลองจักษุที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
“โย่ว” อรุโณทัยฉีกยิ้ม ยกมือหนึ่งทำเป็นโบกทักทายทั้งที่นั่งอยู่ข้างหน้าโซฟา โต๊ะโดนเลื่อนออกไป ตรงกลางระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวบนพื้นซึ่งนั่งหันเข้าหากันคือเตาแบบพกพา ถัดขึ้นมาคือหม้อต้มซึ่งน้ำยังไม่เดือด ทว่ามีกลิ่นอุ่นลอยแตะจมูกแล้ว ยอดสีเขียวของผักกาดสุมกันพูด ทว่าด้วยนิสัยผู้บริโภคสองราย ย่อมไม่พ้นมีเนื้อกับลูกชิ้นกองอยู่ข้างใต้กองผัก
“กูเริ่มคิดแล้วนะว่าเราควรกันพื้นที่ข้างบนทำห้องครัว” สนบ่น
“เงินล่ะแม่คุณ”
“เสกออกมาซิ”
“เดี๊ยะ”
ทั้งสองแหย่กันเอง รออรัณลุกขึ้น นอกหน้าต่างเป็นแสงครึ้มทึม “เย็นแล้วเหรอ”
“ไม่ไอแล้วนี่ ดีขึ้นยัง” สนพูดพร้อมส่งแก้วน้ำไร้ไอเกาะให้ดื่ม อรัณรับมา พลางทำเสียงครุมเครือตอบรับว่าตนรู้สึกดีขึ้นมาก ลองสูดจมูกดูก็ไม่แย่เท่าเมื่อตอนสาย
“รอหน่อยน้า” อรุโณทัยบอกเหมือนจะทำเป็นทำนอง เอาตะเกียบกดกองผักให้โดนน้ำ
กลิ่นน้ำร้อนเริ่มมา สนลุกขึ้น “ไปซื้อน้ำตาลดื่มกรอกปากแป๊ป” เธอลุกไปใส่รองเท้าแล้วเดินตัวปลิวไปบนถนนทางเดินข้างนอก เสาไฟฟ้าข้างนอกเองเปิดใช้งานแล้ว
อรุโณทัยเอนตัวพิงโซฟา เอาศีรษะเกยตรงเข่าอรัณ “สนโทรมาบอกว่านายเปื่อยสนิท เลยคิดว่า ต้องตั้งหม้อไฟแล้วแหละ” ประมาณว่าเป็นข้าวต้มที่อลังการขึ้นมาเล็กน้อย
“สนบอกอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า”
“…อ่า ก็”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
“นายไม่ต้องไปกลัวหรอก” อรุโณทัยจงใจพูดเสียงดังกว่า มือยกขึ้นมาตบขาเขา “เดิมนายก็คิดตามเขาไปแล้วใช่ไหมล่ะ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนไม่ใช่เหรอ”
ในห้องเรียน ตอนอยู่ปีหนึ่ง
“สุดท้ายนายก็คิดทุกอย่างต่อเอง ไม่ใช่เพราะคิดไม่ได้ แต่ที่ผ่านมาโดนห้ามต่างหาก เพราะงั้น ไม่ต้องกลัวหรอก”
อรุโณทัยเถียงแย้งเขาทุกจุด ทำหน้าดำคร่ำเครียด ทางผู้สอนเองก็มองอย่างสนอกสนใจ จนเขาเริ่มพูดไม่ออก เพราะพอคิดว่าจะเถียงกลับตรงไหนก็คิดออกก่อนทันพูดด้วยซ้ำว่าจะโดนสวนว่าอะไร
ปกติอรัณไม่ค่อยเถียงกับใคร แต่พอตกบ่วงเถียงไปแล้วก็มีที่นึกอยากชนะเหมือนกัน และเขานึกเจ็บใจ
เจ็บใจที่เพิ่งรู้สึกไม่เข้าใจว่าตนมาปกป้องสิ่งที่ทำให้เกลียดตัวเองทำไม ในขณะที่อีกฝ่ายดูโกรธชนิดพร้อมควันออกหูแล้ว แต่มุมปากกลับยิ้ม ตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้จดเลคเชอร์ขนาดเล็กไม่มีอะไรให้รู้สึกสบายเลย แต่กลับขยับไปมาอย่างกระตือรือร้น แทบจะอ้าแขน กระดิกนิ้วท้าว่ามาเลย เถียงมาเลย จะแย้งให้ดู แล้วจะบอกด้วย
ว่าตัวพวกเขาไม่มีอะไรผิดปกติ
“อีกอย่าง ที่พวกเราเจอกันงั้น เพราะสุดท้ายยังไงก็ต้องเจอนั่นแหละ” อรุโณทัยหัวเราะ “ไม่รู้สึกแบบนั้นบ้างเหรอ”
น้ำเดือดได้ที่แล้ว
รู้สึกสิ
ความรู้สึกนั้นชัดมาก
จนผิวเขาร้อนไปหมด แต่ทุกอย่างตรงหน้าชัดเจน
ไม่ได้รู้สึกเวียนหัวเลย