2 ตอน 2
โดย pynox
โกไม่ชอบประตูห้องพักครูของพวกเขาเท่าไร ตัวบานทาสีกลืนกับผนังห้องรอบขอบประตู ไม่มีกระจกติดเลย เป็นแผ่นไม้ทึบยิ่งทำให้ห้องดูเล็กแคบ นอกจากนี้เวลาเปิดปิดที ต้องกระแทกตัวบานให้เข้าร่องสนิท ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างหนา หนัก น่าอึดอัด
แต่วันนี้เขาต้องขอบคุณมัน เพราะรวมเข้ากับกำแพงหนาแล้ว อาจารย์หัวหน้าตึกฟังไม่ออกว่าพวกเขาโวยวายอะไรกัน จึงแค่เรียกทั้งสามมาตักเตือนว่าส่งเสียงโหวกเหวก กระโชกโฮกฮาก อาจเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่นักเรียน “แค่ละครน้ำเน่าเกลื่อนสื่อที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าอาหารกลางวันก็แย่พอแล้วใช่ไหมครับ” พี่ปราชญ์ยกมือถาม หัวหน้าตึกถลึงตาสวน แล้วเทศนาอีกยาวเหยียดเรื่องการเป็นแม่พิมพ์แห่งชาติ
“อาจารย์ครับ เพลงชาติดังแล้ว” โกลองทัก แต่หัวหน้าตึกก็แค่เปลี่ยนจากนั่งบ่นพวกเขาเป็นยืนบ่น เพลงชาติจบค่อยปล่อยพวกเขารีบวิ่งไต่ลงบันไดไปคุมแถวแผนศิลป์ชั้นมัธยมหก
แถวสั้นเป็นหางอึ่ง คนเข้าแถวก็หน้าเดิมๆ อย่างเด็กนักเรียนที่กลัวเรื่องขาดเข้าแถวเกินสามครั้งแล้วชีวิตจบสิ้น พวกที่รีบมาโรงเรียนเพื่อลอกการบ้านเลยโดนต้อนลงมาเข้าแถว และพวกที่มาโรงเรียนแต่เช้าเหมือนกัน แต่เพราะร้านโจ๊กอร่อยเหาะหน้าโรงเรียนขายหมดตั้งแต่เจ็ดโมงประจำ แล้วอาจารย์ฝ่ายปกครองไปติดต่อให้ร้านเขยิบมาตั้งใกล้ประตูโรงเรียนอีก ครูทั้งสามไม่ประหลาดใจ ถ้าถามเจนธรรม ทุกวันนี้คุณเธอยังประหลาดใจกับการเข้าแถวเคารพธงชาติมากกว่า ทางด้านโกและปราชญ์ สมัยเรียนพวกเขาเอาเวลาเข้าแถวไปกินข้าวเช้ากับงีบใต้โต๊ะ จะมาแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจทำไมศิษย์ตนเกินครึ่งเอาตอนนี้ก็ควรไปกินสาก
พอถึงช่วงโฮมรูมสิบนาทีก่อนคาบแรก นักเรียนอยู่เกือบครบเต็มทุกเก้าอี้ โกนั่งบนขอบโต๊ะ กระดานรองใบเช็คชื่อ ปลายปากกาจรดบนช่องว่างด้านหลังรายชื่อนักเรียน มีรอยขีดปากกาน้ำเงินติ๊กว่ามาเข้าแถวทันประปราย ที่เหลือเป็นโกเรียกถามพวกไม่มาทีละคนว่าไปทำอะไร เขาเคยคิดอยากจะติ๊กว่ามาครบเพราะเข้าแถวตอนเช้าไร้สาระในสายตาเขาตอนเป็นนักเรียนอย่างไร ก็ไร้สาระคงเดิมพอเขาเป็นอาจารย์ แต่ถ้าทำแบบนั้นจะรู้สึกไม่ยุติธรรมกับเด็กที่มายืนตากแดดให้หัวร้อนจริง ทั้งในเชิงเปรียบเปรยและตรงตามตัวอักษร จึงตัดสินใจว่าจะเช็คตามความเป็นจริง แล้วนักเรียนที่ไม่มาเข้าแถวจะให้เหตุผลอะไรก็เชิญตามอัธยาศัย
คนตรวจผลเข้าแถวสิ้นเทอมไม่ใช่เขาเสียหน่อย อาจารย์หัวหน้าตึกต่างหาก
“ศินะ ทำไมมาสาย”
“ประตูบ้านเสียครับ”
“กนกพร”
“ประสบกับปัญหาความไม่ชัดเจนว่ามนุษยชาติเกิดมาทำไมค่ะ”
โกจดตามทุกตัวอักษร
“อัศวิน”
“ไปสอบสัมภาษณ์ครับ”
“ตลก เพิ่งเปิดเทอมแรกได้แค่สองอาทิตย์ แล้วใครนัดสอบสัมภาษณ์หกโมงเช้า พวกครูมหาลัยยังไม่อยากเองเลย เก็บอันนี้ไว้ใช้เทอมสองเวลาจะโดดครึ่งวันหรือทั้งวันนู่น เอาใหม่”
“โดนแมวยึดรองเท้าไปเป็นที่นอนครับ”
โกชูนิ้วโป้งชมเชย จากนั้นจึงเรียกชื่อนักเรียนคนต่อไป สิบนาทีได้ครบทุกคนนี้เพราะเขาเร่งจังหวะทำเวลาหรอก “เอ้า ไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ” เขาโบกกระดานรองไล่
อาจารย์ประจำชั้นปล่อยห้องสู่ความวุ่นวาย ตั้งใจจะแวะหยิบหนังสือประกอบการสอนจากห้องพัก “อาจารย์คะ” บนทางเดินซึ่งโครงสร้างชั้นเรียนตึกนี้ไม่สมดุลนัก ห้องเรียนรับแสงได้สว่างทุกด้านดี ทว่าระเบียงทางเดินเป็นวงกลมค่อนข้างอับแสง ครูดูแลชั้นต้องคอยเปิด-ปิดไฟ กนกพรยืนท่าทางเก้กัง
“หือ มีอะไรรึ” เขาถามเด็กสาว เธอไว้ผมซอยปรกหน้าทรงคล้ายนักเรียนหญิงอีกค่อนโรงเรียน ชายเสื้อสอดใต้กระโปรง เข็มขัดครบหนีบด้วยตัวหนีบลายการ์ตูนฝรั่งสีฟ้าอมเขียว โกไม่รู้จัก แต่คิดว่าเคยเห็นเจ้าโณมันใช้ของลายแบบเดียวกันอยู่ แต่ถ้าทักแล้วบอกหลานครูก็ชอบตัวการ์ตูนนี้ คงไม่ได้บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองแบบในหนังในการ์ตูน เขาคงโดนนักเรียนมองอ่อนแทน
“ทำแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอคะ”
“ไอ้เนี่ยน่ะเหรอ” โกชี้กระดานเช็คชื่อ มีนักเรียนถามเขาแบบนี้แทบทุกปี ทั้งถามอย่างเป็นกังวล กับถามแบบคาดโทษ รำคาญพวกครูพยายามทำตัวเป็นเพื่อนวัยโจ๋ กนกพรผงกหัว “อ่า ที่จริงพวกครูคนอื่นก็รู้แหละ คุณก็ได้ยินว่าครูค่อนข้างปล่อยเด็กมาตั้งแต่ก่อนขึ้นม.หกสิท่า”
เธอพยักหน้า
“ถ้าคุณได้ยิน พวกอาจารย์คนอื่นก็ได้ยินแหละ พวกผู้ปกครองด้วย แต่มันไม่ได้มีหลักฐานอะไรให้เอาเรื่องขนาดนั้นละมั้ง ยิ่งพวกคุณเป็นเด็กม.หก หาเรื่องตัดส่งตัดสิทธิ์อะไรมีแต่เสียกับโรงเรียน พวกผู้ปกครองเองคงไม่อยากมาบอก ‘ลูกฉันโกหก!’ ใช่ไหม แล้วพอเป็นวันสำคัญๆ อย่างมีพิธีหรือคนนอกมาดูงาน ครูก็ขอให้พวกคุณมาเข้าแถวเยอะๆ หน่อย ช่วยโรงเรียนสร้างภาพอยู่ดี เพราะงั้น ไม่เป็นอะไรหรอก”
จะเป็นเพราะมาคุยกันตรงนี้ แล้วหัวหน้าตึกหรืออาจารย์คนอื่นเดินมาได้ยินพอดีนี่แหละ โกเพิ่งฉุกคิดได้ มองซ้ายเช็คขวาให้แน่ใจว่าไม่มีอาจารย์ในระยะ พวกนักเรียนถึงได้ยินก็แค่เอาเขาไปพูดต่อกันเอง
“งั้นถ้า --”
“เมย์! มานี่เร็ว!” อัศวินกระชากประตูหน้าห้อง กวักมือเรียกกนกพรรัวๆ เธอมองเพื่อนที มองโกที สุดท้ายยกมือไหว้โก รีบจ้ำกลับเข้าห้อง โกมองตามเข้าไปข้างในผ่านบานกระจกใสบนประตู ทว่าสองคนนั้นพ้นระยะสายตาไปอย่างรวดเร็ว เห็นแค่นักเรียนคนอื่นกำลังมาค้นตั้งสมุดการบ้านบนโต๊ะครู
หรือกนกพรจะมาบอกเขาว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยอีกคน…ไม่หรอก จะมาบอกครูประจำชั้นทำไม โกปัดมือบอกตัวเอง เวทนาที่ตนคิดมากเพราะ --
เพราะเจนธรรมเป็นผู้หญิง มีแฟนเป็นผู้หญิง รูปคู่คาตา แต่เขาไม่เคยสังเกตเลย
โกแวะมองรูปสองสาวอีกครั้งหนึ่งตอนหยิบตำราบวกไอแพดมาครบ เตรียมออกไปสอนชั้นห้า เจนธรรมกับปราชญ์ไม่อยู่ คงเข้าวิชาตัวเองกันหมดแล้ว ทั้งสองไม่มองเขาเลยตลอดช่วงเข้าแถว แถมยืนตัวติดกันตลอด ทั้งสองคนตัวต่างกันอย่างกับจะทำละครตลกชื่อประมาณสูงเตี้ยเปรี้ยวซ่า ยิ่งกระซิบกระซาบคุยกัน คนหนึ่งต้องเขย่ง อีกคนต้องย่อเข่าเสียนึกปวดแทน พวกนักเรียนในแถวเลยหัวเราะท่าของปราชญ์กันใหญ่
หรือเขาควรบอกเจนธรรมแบบเดียวกับที่เขาบอกอรุโณทัย เมื่อครู่นี้คุยยังไม่เสร็จเลย มัวถูกหัวหน้าตึกเอ็ดยาวจนลืม
ระหว่างลงลิฟต์ โกทบทวนทุกวันที่ผ่านมากับหลานชาย หรือว่าอรุโณทัยเองได้แสดงออกหลายครั้งหลายหนหลายจุดแล้วว่าชอบผู้ชาย ทว่าน้าคนนี้ไม่เคยสังเกตสักที ถึงต้องมาบอกตรงๆ บางทีเขาควรไปถามอรัณ โณเอ๊ย น้าแกก็เซ่อแบบนี้แหละ หวังอะไร้
และเขาไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมห้องพักครูสองคนหวังอะไรเช่นกัน ถึงเดินประกบข้าง ถึงลากตนออกจากเส้นทางไปโรงอาหารมานั่งข้างหลังอาคารอเนกประสงค์ ซึ่งเป็นอาคารที่ชั้นล่างคือโรงพละ และชั้นสองมีสระว่ายน้ำ ชั้นสามมีห้องปฏิบัติงานวิชาการเรือน วิชาพิมพ์ดีด ห้องงานช่าง และห้องอุปกรณ์ศิลปะซึ่งช่วงพักกับหลังเลิกเรียนโดนใช้เป็นห้องชมรมศิลปะ พักเที่ยงเช่นนี้มีเด็กเอาอาหารโรงอาหารหรือที่ซื้อมากินกันเยอะแยะ ในตึกจึงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวลั่นมาถึงด้านหลังตึก
มองแวบแรกเหมือนชวนมากินอาหารกลางวันนอกห้องอาหารของอาจารย์ มีชามยำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางอยู่สามชามบนม้านั่งหิน แถมพี่ปราชญ์ถือขวดน้ำเปล่าไอเย็นเจี๊ยบชัดเจน ช่างเหมาะจะกระดกหลังตักเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเปี่ยมผงชูรสคลุกน้ำยำเข้าปากไปสักครึ่งชามแล้ว
ทว่าสีหน้าคนทั้งสองเหมือนกำลังตกลงแผนกันทางจิตว่าจะซ่อนศพโกอย่างไรดี
โกสะดุ้งพอปราชญ์ยื่นน้ำมา แล้วบอกให้กิน
“สะดุ้งอะไรของมึง!”
“ก็เสียงพี่เหี้ยมฉิบหายเลย!” โกตอบเสียงหลง
พี่ปราชญ์ถอนหายใจแล้วกดให้เขานั่งลงขัดสมาธิกับพื้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน ใช้ม้านั่งแทนโต๊ะ เจนธรรมก็เอาด้วย เธอนั่งอีกข้างของปราชญ์ โกไม่แน่ใจว่ากำลังเอาคนอาวุโสสุดเป็นกำแพงด้วยหรือเปล่า
“สองคนโกรธอะไรผมเปล่า”
“Nope” “ตอนนี้ยัง” เสียงแรกของเจนธรรม เสียงสองคือของพี่ปราชญ์ผู้หันขวับมา ส้อมพลาสติกคันจ้อยในมือพลันดูแข็งแกร่งผิดหูผิดตา “แต่มึงบอกมาเลย มึงคิดยังไงเรื่องอาจารย์เจน ถ้ามึงคิดจะเอาไปฟ้องอาจารย์ประจำตึกหรือพูดในที่ประชุม กูกับมึงขาดกันตรงนี้”
“เดี๋ยว ฟ้องอะไร ฟ้องอะไร้!!!” โกยืนขึ้นเผื่อมองเห็นเจนธรรมถนัดตาแล้วจะเข้าใจมากขึ้น
คนทั้งสองซึ่งยังนั่งอยู่กอดอก เงยหน้าขึ้นเสียพร้อมเพรียงมองเขา แล้วโกก็เข้าใจมากขึ้นจริงๆ เพราะพวกเขามีประชุมครูวันศุกร์นี้ ในห้องเดิมซึ่งเขาเคยนั่งฟังพวกครูเถียงกันเรื่องควรแจ้งผู้ปกครองดีไหมว่านักเรียนคนนี้หรือคนนั้นมีข่าวลือ
“อย่าว่าแต่ฟ้องเลย ถ้าไม่อยากให้พูดก็รับรองไม่บอกใคร แต่ในเมื่อทั้งสองคนคุยกันเปิดเผยมาตลอด ผมก็นึกว่า…” โกพาดแขนบนบ่าปราชญ์เพื่อคุยกับเจน “แล้วรูปคุณกับแฟนก็โชว์ขนาดนั้น ถึงผมไม่สังเกต แต่คนอื่น…”
“คนอื่นเห็นรูปแค่นั้นไม่สำคัญเท่ามีคนบ่นเรื่องฉันค่ะ” เจนธรรมไม่รอเขาเลิกทำเสียงเอื่อยอ่อยหายไปอย่างไม่มีปัญญาจบสักประโยค “โรงเรียนก่อนที่เชิญฉันออก ตอนแรกก็ไม่ว่าอะไร น่าจะไม่มีใครสังเกตด้วยซ้ำ จนครูในห้องเดียวกันบ่นว่าอยากให้ฉันเก็บรูปเพราะเด็กเดินเข้าออกห้องพักครูแล้วจะเห็น นักเรียนก็เห็นค่ะ ฉันรู้ตัว แต่ไม่เคยมีใครถาม ไม่มีใครซุบซิบเรื่องฉันด้วยซ้ำ แต่ก็โดนสั่งให้เก็บ พอฉันโวยก็เลยโดนแนะนำให้ย้ายที่ทำงาน”
สมัยเรียน โกสนิทกับอาจารย์ได้มากสุดก็ช่วงมหาวิทยาลัย เขานึกภาพนักเรียนมัธยมถามเรื่องส่วนตัวครูในห้องพักครูไม่ออกเช่นกัน -- โกคิด อันที่จริงเขาอยากจะตอบออกไปด้วย จังหวะเหมาะจะส่งเหมือนตบมุก เพราะน้ำเสียงของเจนธรรมก็ฟังดูขึงขัง เล่าความไม่พอใจอย่างหนักแน่น
แต่มือหล่อนที่ถือส้อมไว้สั่น ไหล่ของเธอเกร็งชนิดมองแวบแรกก็รู้ว่าโกรธ
เขาไม่อยากเป็นคนที่ทำให้เธอทุกข์ใจ เขาอยากให้เธอกินยำตรงหน้าให้อร่อย
“ผมไม่มีปัญหาอะไรเลย สัญญา”
เจนธรรมพยักหน้า บางอย่างบอกให้โกพูดต่อ “จริงๆ ไม่มีอะไรเลย แค่ตกใจเพราะ แบบ เออ หลานน่ะ หลานก็เพิ่งมาบอกว่ามันชอบผู้ชาย”
“หลานชายมึงอะนะ” พี่ปราชญ์หันมาเขา เพราะเคยเจอทั้งหลานชายคนสนิทของโก และหลานสาวลำดับห่างไกลวันทำบุญบ้าน
“หลานผู้หญิงมันจะมาบอกไหมละว่าชอบผู้ชาย ก็เจ้าโณนั่นแหละ แล้วก็เงี้ย เลย อ่าว ใกล้ตัวจังแฮะ ปกติเห็นแต่ที่พวกเด็กพูดถึงวี้ดว้ายกันไปเรื่อย ไม่เคยนึกว่าจะเป็นคนรู้จักตัวเอง แถมสนิทด้วย”
พี่ปราชญ์ถอนหายใจเสียงแผ่วแต่ยาวมาก
“อะไรอีก พี่”
“มึงเข้าเฟสครั้งสุดท้ายเมื่อไร”
“ห้ะ”
“อรัณ ไหนมือถือใหม่!”
อรุโณทัยไถลเท้าสวมถุงเท้าพาตัวเองมา แล้วใช้มือเกาะบันไดกับกระชากแหวกม่านกั้นสำหรับพื้นที่ห้องซ้อม สตูดิโอเพดานสูง แล้วมีชั้นลอยปกคลุมพื้นที่ครึ่งหลัง ประตูห้องน้ำอยู่ใต้บันได พวกเขาเลยหาราวม่านหนามาขึงแบ่งอาณาเขต และติดกระจกกำแพงสามฝั่งทำเป็นห้องซ้อม ส่วนจากประตูหน้าเข้ามาจะเจอโซฟาสุดยวบสองที่นั่งหนึ่งตัว โต๊ะกาแฟกระจกกรอบดำ คิดเสียว่าสำหรับรับแขกมาติดต่อ (ก็ยังไม่เคยมีใครนอกจากคนคุ้นหน้ากันเอง กับพวกเขาสามคนใช้กินอาหารมื้อดึก) ส่วนชั้นลอยข้างบนเป็นทั้งที่เก็บเสื้อผ้า อุปกรณ์ประกอบฉากที่ได้รับมาบ้าง ทำขึ้นสำหรับละครสักเรื่องแล้วเก็บไว้เผื่อได้ใช้ต่อบ้าง ยืมมายังไม่ได้คืนบ้าง ผู้เอื้ออำนวยน่าจะลืมไปแล้วว่าอยู่กับพวกเขา และเป็นห้องเขียนบท (ซึ่งคือโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัวย้ายไปย้ายมา คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง)
บนผนังข้างบันไดเต็มไปด้วยป้ายคำว่า THREE TREES THEATRE ในรูปแบบอักษรกับลวดลายต่าง ๆ เป็นของขวัญเปิดสตูดิโอจากบรรดามิตรสหายสายงานศิลป์ทั้งหลาย
ตรงอาณาเขตห้องซ้อม อรัณนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้วนเสื่อสำหรับเล่นโยคะ หลังชิดกระจก ผมมัดเป็นหางม้าต่ำ สวมเสื้อยืดกางเกงวอร์ม กำลังอุ่นเส้นเสียงทีละคีย์ เขาหยิบมือถือบนพื้นข้างหัวเข่ามาชู อรุโณทัยปราดเข้าไปนั่งไม่ไกล คว้ามือถือเครื่องใหม่เอี่ยมอ่อง ภาพหลังของหน้าจอยังเป็นภาพพื้นฐานมากับเครื่อง
“ไง ไง ไง ออดิชั่นมะรืนนี้แล้วใช่ไหม”
คนเพิ่งมาถึงจิ้มดูข้างในตามใจชอบว่าเจ้าของเครื่องย้ายเบอร์โทรศัพท์จากเครื่องเก่ามาหมดหรือยัง และเริ่มสมัครบัญชีสำหรับในโทรศัพท์ให้เองเป็นอันดับแรก
สน หญิงรุ่นเดียวกันกับชายหนุ่มทั้งสองเดินลงบันไดมาร่วมวงด้วย แน่นอนว่าได้ยินเสียงอรุโณทัยเมื่อครู่ชัดแจ๋ว “มึงหมกมุ่นกับของใช้อรัณมากไปไหมวะ” ปากว่างั้น แต่ตัวคุณเธอเองก็ชะเง้อเกยไหล่เพื่อนมาดูว่าอีตานี่ยุ่งกับมือถือใหม่ถอดด้ามไปถึงไหนแล้ว สองหน่อเริ่มจัดแจงลงแอพพลิเคชั่นไปให้เขาสามถึงสี่ตัวแล้ว ทั้งยังเถียงกันอีกควรลงเกมตัวไหนดี
“สน บทเป็นยังไงบ้าง”
น้ำเสียงอรัณนุ่มนวล สุภาพ เป็นมิตรกับโสตประสาท ทว่าเนื้อหาคำถามนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเฮือก รับรู้ได้ถึงเนื้อความแฝงนัยว่าเสร็จสักองก์หรือยัง ถึงมาช่วยอรุโณทัยยุ่มย่ามกับโทรศัพท์มือถือเขา
“พรุ่งนี้คงได้องก์แรกมั้ง” สนกระแอม “เฮ้อ เอาน่า ทันแหละ”
“ปีก่อนมึงก็พูดงี้ แล้วสุดท้ายมึงก็ต้องส่งดราฟต์แรก” อรุโณทัยเตือนความจำ ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์มือถือในมือ
“ก็มันคิดไม่ออกนี่หว่า ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่น่าได้”
“กูบอกแล้ว อยากเขียนอะไรก็เขียนไป ตัวละครเยอะเดี๋ยวหาคนเอา ฉากบ้าบออะไรยังไงเดี๋ยวหาทางจัดการกันเองทีหลัง มึงเลิกคิดมากแล้วเอาบทให้เสร็จก่อน”
“นั่นสิ ผมว่าถ้าผ่านไปได้แสดงจริง ตอนนั้นสนอยากได้อะไร โณก็เสกให้ได้แหละ” อรัณพยักหน้า
“เดี๋ยวนะ ฉันคนเดียวเหรอ ฉันต้องไปสรรหาทุกอย่างให้นางคนเดียวเลยเหรอ”
“มึงจะทำให้อรัณผิดคำพูดเหรอ” มีการยกมือปิดปาก ทำคิ้วย่น มากกว่านี้คือทำน้ำตารื้นไม่อยากเชื่อหูตัวเองแล้ว
“มึงน่ะไปเสกองก์แรกมาก่อนเลย ไป๊”
“กูไม่อยากนั่งพิมพ์ต่อกแตกๆ อยู่ข้างบนคนเดียว! กูเหงา!”
“ก็เอาลงมาพิมพ์ข้างล่างสิวะ!”
“พูดแล้วนะ” สนรีบเด้งตัวขึ้นยืนแล้ววิ่งขึ้นชั้นบนไปย้ายคอมพิวเตอร์ลงมาพร้อมกับหมอนรอง แล้วเธอก็เริ่มนอนพิมพ์บทอยู่บนพื้น
“อะไรของมึง เวลามีซ้อมก็เห็นมึงย้ายคอมพ์มาทำงานข้างล่างตลอด” อรุโณทัยบ่นพลางกระเถิบเข่าเข้าไปรวบผมยาวเฟื้อยแผ่ปกคลุมทั้งหลัง พื้น บางกระจุกกองบนแป้นพิมพ์ แล้วใช้หนังยางรอบข้อมือตัวเองรวบให้ “น่ากลัวเหี้ยๆ เมื่อไรมึงจะทำอะไรกับผมมึง กูรู้สึกเหมือนมีผีบึงบัวนอนเล่นคอมพ์”
“โทษว่ะ พอดีกุหลงนึกว่าผมกู ก็น่าจะหนักแค่หัวกูคนเดียวมาตลอดเลย”
อรัณลังเลว่าควรเข้าไปช่วยใครไหมตอนโณฉวยหมอนรองขึ้นฟาดหน้าสน เพราะสนเองก็เอาเท้ายันท้องเพื่อนแล้วเอาแขนรัดแขนเขา จับเหยียดอยู่กับพื้น ดังนั้นผู้ชมมองไม่ค่อยออกว่าใครกำลังเสียเปรียบ
“ที่จริงกูก็อยากตัดผมไหมล่ะ!”
“ก็ตัดสิวะ! เงินมึงก็มี!”
“ก็กูไม่กล้าคุยกับช่าง!”
ถ้าไม่ซัดกันไปมา ก็เป็นต้องหาพื้นผิวเรียบมาใช้ตบมือลงไปแล้วโหวกเหวกโวยวายใส่กัน อรัณคุ้นกับอรุโณทัยดี พวกเขาเจอกันครั้งแรกวันสอบสัมภาษณ์ เขาคุ้นกับสนดีด้วยเช่นกัน ได้รู้จักเธอตั้งแต่งานรับน้องคณะ แต่ผ่านมาหกปี เขาไม่ยักคุ้นกับพฤติกรรมสองหน่อนี้เสียที
“งั้นก็ไปให้ยายกูตัดให้! วันนี้มึงกลับบ้านกับพวกกู!” อรุโณทัยตัดสินเป็นเด็ดขาด มือตบพื้นครั้งสุดท้ายสำหรับรอบนี้ แล้วผลักหัวสนให้กลับไปสนใจแต่งบทละครต่อ เขาคลานกลับมาทิ้งตัวลงนั่งพิงผนังกระจกด้านหลัง เหยียดขาแก้เมื่อยพลางวุ่นวายกับโทรศัพท์ของอรัณต่อเสมือนเป็นเครื่องตัวเอง “เอาอะไรอีกดี เดี๋ยวนะ เครื่องฉันมีเกมอะไรบ้างหว่า”
“ไม่ต้องเยอะมากก็ได้ โณ ผมกลัวเรื่องพื้นที่ความจำ”
“ใช้สมาร์ทโฟนแล้วทั้งทีนา -- พี่ป้าน้าอาเจ้าข้าเอ๊ย อรัณมันใช้สมาร์ทโฟนแล้ว!!! เออ เฟสไง เฟสละ เฟส เฟส เดือนก่อน พูดเรื่องจะกลับไปเล่นเฟสนี่”
“เฟสเหรอ…”
อรุโณทัยมองสีหน้าครุ่นคิด “รึยังไม่อยากกลับไปใช้”
“เปล่า แค่ไม่ได้เข้านาน น่าจะเป็นปีแล้ว ผมไม่รู้ว่าแอคเคาท์เฟสทำอะไรรึเปล่า”
“ไหน”
อรัณมองอรุโณทัยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นสีฟ้าเข้าเครื่องแล้วกดเข้าใช้บัญชีเสียคล่องมือ จากนั้นจึงหันหน้าจอมาให้ดูว่าบัญชีของอรัณยังอยู่ครบดี มีตัวแดงแจ้งเตือนค้างข้ามสองปีอยู่ตรงมุมเรียงกันสามก้อน
“โณ”
“หยัง”
“เลิกรู้รหัสทุกอย่างของผมเถอะ มันน่ากลัว”
“จริง อีเหี้ย กูกลัวแทนอรัณเลยเนี่ย มึงกระตือรือร้นจะจัดการแอพให้เขา เพราะคราวนี้จะได้รู้รหัสทุกอย่างที่เหลือเปล่าวะ” สนช่วยเสริมความเห็น ท่าทางนิ้วพิมพ์แต่หูยังฟังพวกเขาคุยไม่มีพลาด “กูว่าแล้วที่มึงทำเป็น ‘อรัณจะได้มีไลน์สักที’ มันแค่คำตอแหล! ถอยออกมา! อรัณ! ถอยออกมา!” แรงกระแทกกับน้ำเสียงออกอารมณ์จนน่าสงสัยว่าเจ้าหล่อนพิมพ์ฉากบรรยากาศแบบไหนอยู่แน่ ไหนบอกอยากเขียนบทดราม่าหนักอึ้งแทบหายใจไม่ออกส่งประกวด
“ไม่เคยแอบเข้าไปดูอะไรสักอย่างเดียวว้อย แล้วฉันแค่ลองกรอกดูว้อย -- ทำไมนายยังไม่เปลี่ยนรหัสอีเมล์กับเฟสอีก!” มีการโยกย้ายความผิด
“ผมลืม แล้วตอนนั้น นอกจากให้โณเข้าไปลบภาพนั้นในเฟส ผมก็ไม่ได้เข้าเฟสอีกเลยด้วย”
สองตัวโหวกเหวกเงียบกริบลงทันใด
“อย่าคิดมากเลย”
อรัณก้มหน้าลงดูรายชื่อเพลงในไอพอดเก่า เขาเลยไม่เห็นทั้งโดยตรงหรือในภาพสะท้อนว่าอรุโณทัยกำลังคอตก ส่วนสนก็หยุดพิมพ์ไปแล้ว เธอกอดหมอนรองใต้ตัวด้วยสีหน้าเจ็บใจ
ไม่นาน เสียงกดแป้นพิมพ์ก็กลับมา ไม่ดังและจังหวะไม่เร็วดุดันเท่าตะกี้
อรุโณทัยส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ แล้วยื่นหน้าเข้าไปดูไอพอด “สรุปนายจะใช้เพลงไหน” พวกเขามองรายชื่อเพลงจากละครเพลงด้วยกัน
“อรัณ แล้วแน่ใจยังว่าตารางจะไม่ชนน่ะ” สนถามขึ้น “ถ้าพวกเราได้ไปแสดง”
“ยังไม่รู้เลยนะว่าผมจะผ่านออดิชั่นไหม”
“เฮ้ย ใครเขาจัดตารางแบบนั้นกัน” อรุโณทัยเหวี่ยงแขนกอดคออรัณก่อนจะชี้สน “ไม่ชนหรอก มึงนั่นแหละ เขียนให้พวกเราได้ไปอเมริกาหน่อยเหอะวะ กูคิดถึงป๊าม้ากู”
“แล้วมึงจะมากดดันกูทำวิมานอะไร”
สตูดิโอของคณะละครโนเนม มีสมาชิกหลักเพียงสามคน ทั้งสามเป็นคนตัวสูง เพื่อนเลยช่วยคิดชื่อออกมาเป็น Three Trees Theatre (ทั้งที่ไม่มีโรงละครเป็นของตัวเองเสียหน่อย แต่คนคิดบอกว่าเขียนเรียงกันแบบนี้เก๋ดี สนก็บ้าจี้เห็นด้วย) ผลงานหลักตอนนี้คือแสดงละครรณรงค์ กับรับจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรให้โรงเรียนมัธยม (“อาจารย์คนทา ส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ก็ดีหรอก แต่อาจารย์ไม่มีคณะละครอื่นจะแนะนำบ้างเหรอคะ” หัวหน้าคณาจารย์ถามในที่ประชุม หลังจากอาจารย์ชายรายหนึ่ง รายเดิม รายเดียว แนะนำให้ใช้คณะละครสำหรับกิจกรรมรณรงค์อนุรักษ์โลก เช่นเดียวกับที่เขาแนะนำให้ใช้คณะละครสำหรับกิจกรรมวันไหว้ครู วันลอยกระทง และวันภาษาไทย “คณะ Three Trees Theatre นี่แหละครับ เป็นคณะที่เด่นดังมากด้าน…” “ด้าน…?” “…ลอคอลไลซ์ครับ ถึงกับมีสตูดิโอสาขาในไทยแยกมาโดยเฉพาะเพื่อทำการวิจัยบริบทสังคมและปรับบทละครเลยนะครับ”)
แผนสร้างชื่อคณะ: ใครสักคนดังขึ้นมาแล้วลากชื่อคณะละครให้ดังไปด้วยกัน
“พวกเราโคตรโคลงเคลงเลย ดีนะที่บ้านกูช่วย ไม่งั้นติดตัวแดงแหง” สนพึมพำเรื่องซ้ำซาก
“ไปทีละสเต็ปสิว้า” ส่วนอรุโณทัยเป็นแผนกเผื่อแผ่ความมั่นใจว่าสักวันต้องสำเร็จถ้าทำต่อไป “อย่างสเต็ปวันนี้ มาให้กำลังใจอรัณก่อน สรุปเลือกเพลงไปออดิชั่นได้ยัง”
“แล้วไม่ต้องซ้อมเต้นเหรอ”
ใบหน้านิ่งสงบของอรัณขึ้นเฉดสีเขินขึ้นมาบ้าง
หลังโรงเรียนเลิก พี่ปราชญ์ลากเขากับเจนธรรมไปกินอาหารเย็นด้วยกัน ดังนั้นกว่าโกจะกลับถึงบ้าน เขาก็เปิดประตูเข้ามาเจอบ้านตัวเองที่กลายเป็นร้านตัดผมโหดแห่งฟลีทสตรีทไปแล้ว
สิ่งแรกหน้าประตู คุณนายนกยูงกำลังตัดผมใครสักคนที่ผมเปียกโชกยาวเฟื้อยคลุมทั้งหัว ปิดหน้าสนิท ดังนั้นต้องเป็นสนแน่นอน เพื่อนสนิทอีกคนของหลานชายเขาเอง ก่อตั้งคณะละครด้วยกัน ใต้เก้าอี้มีหนังสือพิมพ์ฉบับสุดเก่าปูรอง เหนือหัวหญิงสาวคือกรรไกรตัดด้ายขนาดกระจิดริดสีเงินแวววาว ขยับตัดกริ๊บ ๆ ด้วยนิ้วคุณนายนกยูงผู้ไม่เคยเรียนตัดผมหรอก เพียงแค่ชอบครูพักลักจำช่างตัดผมร้านประจำ
ด้านข้างมารดาช่างตัดผมคือบริเวณห้องรับแขกที่โต๊ะ โซฟา ตู้ ของตกแต่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนโดนย้ายเก็บชิดขอบ แล้วมีเจ้าโย่งอีกสองตัวกำลังบัลเลต์พร้อมผลัดกันร้องพรีลูดของเดอะบัลลาดออฟสวีนีย์ท็อดด์
“แม่”
“อะไร” คุณนายนกยูงเล็มผมเพื่อนหลานต่อไป
“ไว้ให้ผมกลับมาใหม่มะ”
“ไปช่วยอรัณเขาซ้อมเลย เขามีออดิชั่น”
โกปล่อยสายกระเป๋าไหลลงจากไหล่ “คราวนี้ของอันไหนนะ”
อรุโณทัยและอรัณเปิดภาพประกาศแจ้งในมือถือยื่นให้เขาดู เพราะปากกำลังประสานเสียงร้อง โกรับมือถือสองเครื่องมาดูแม้ในหน้าจอจะเป็นสิ่งเดียวกัน ชื่อละครเพลง เปิดรับสมัครคนในท้องที่มาเป็นตัวละครหมู่มวลชนในเรื่องจำนวนยี่สิบห้าคน ตัวอักษรเล็กลงมาหน่อยอธิบายว่าเป็นงานร่วมระหว่างสถาบันการละครประเทศอังกฤษกับประเทศฮ่องกง แล้วทัวร์แสดงในเอเชีย ส่วนเรื่องคัดคนในท้องที่แต่ละประเทศมาร่วมแสดงเป็นกิจกรรมพิเศษเพื่อส่งเสริมการละครข้ามพรมแดน
“แล้วนี่จะไปออดิชั่นกับเขาด้วยเหรอ” เขาถามหลานตอนเพลงจบ
“เปล่า แต่อรัณไม่กล้าซ้อมเต้นคนเดียว” อรุโณทัยยืดอกตอบ
“แล้วเรื่องนี้มันเป็นบัลเลต์เรอะ”
“โณกับสนบอกว่าน่าจะทำแบบนี้น่าจะได้ดูน่าสนใจครับ” อรัณอ้อมแอ้ม ท่าทางชักเสียใจที่ฟังสองคนนี้
โกพยักหน้ารับทราบความ มือส่งโทรศัพท์คืนให้ ทว่าเขาชักเครื่องทางซ้ายกลับมาก่อนอรัณจะทันได้หยิบคืน “อ้าว นี่ของอรัณเหรอ เปลี่ยนเครื่องใหม่จนได้! แม่! อรัณใช้สมาร์ทโฟน!”
“เห็นนานแล้วย่ะ”
“อรัณมันกลับมาเล่นเฟสแล้วด้วยนะ ดูนี่” หลานชายแย่งมือถือซึ่งไม่ใช่ของตัวเองไปกดเปิดแอพพลิเคชั่นเองตามใจชอบ เขาชูจอให้โกดูอีกครั้ง
Arunn Warinrit
2 h
กลับมาใช้งานเฟสแล้วครับ <(.____.)> ตัวจริงครับ
“อรัณ”
“ครับ”
“นี่เฟสเคยโดนแฮ็คเอาไปใช้ขอตังค์ใครรึไง”
“แจ้งเผื่อไว้น่ะครับ พอดีมีแชทที่ไม่ได้ตอบเยอะมากจนยังไม่ได้เริ่มไล่ดู” อรัณตอบเสียงแผ่ว
“เดี๋ยวลงมาช่วยแล้วกัน ขอไปอาบน้ำก่อน” โกหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าตัวเองแล้วไต่บันไดขึ้นชั้นสองไปหยิบเสื้อผ้า ผ้าขนหนู ดิ่งเข้าห้องน้ำ
แน่นอนว่าในเมื่อไม่มีใครเร่งให้รีบ เขาก็นั่งส้วมเล่นโทรศัพท์มือถือ
โกไม่ชอบเห็นแจ้งเตือนค้าง แต่นิสัยอีกด้านคือไม่ชอบคอยดูแจ้งเตือนว่ามีอะไรเข้ามาบ้าง เลยปิดไม่ให้วงกลมสีแดงขึ้นตรงมุมแอพพลิเคชั่นไหนเลยยกเว้นข้อความ อีเมล์ และสายเรียกเข้า ดังนั้นไลน์เองก็ดองเช่นกัน กดเข้าไปทีตัวแอพพลิเคชั่นแทบจะปิดตัวเองอัตโนมัติ
เขากดดูสัญลักษณ์สีฟ้าขาวอย่างที่พี่ปราชญ์พูดไว้เมื่อกลางวัน
หลุดจากการใช้งานไปแล้ว -- แน่ละ -- โกเอาศอกยันกับหน้าตัก ทายรหัสตัวเองสองทีถึงเข้าไปได้ แล้วก็เข้าใจทันทีว่าอรัณหมายถึงอะไร ขนาดเขาเองไม่น่ามีใครมีธุระปะปังด้วยมากมายทางนี้ ยังมีแจ้งเตือนขึ้นมาเป็นตัวเลขสองหลัก ด้วยความขี้เกียจดู โกไล่หาข้อความสถานะใหม่ของอรัณก่อนเพื่อเข้ามีส่วนร่วมการปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ แม้ตัวจริงจะอยู่ข้างล่าง
เหอ
ตรงส่วนแสดงความคิดเห็นทำให้โกร้องเช่นนั้นในหัว
เขาเจอชื่อพวกโณ สน และอีกหลายชื่อที่จำได้ว่าเป็นเพื่อนหลานมาแสดงความเห็นแปะรูป ลงข้อความสั้น ๆ ต้อนรับอรัณกลับสู่โลกโซเชียล
ชื่อหนึ่งสะดุดตาเขา
Denpong Srisuk-Fry
ลืมไปแล้วว่าเวลาหลานพิมพ์เป็นแบบนี้ lol 555+
1 h Like Reply
ชื่อเหมือนเพื่อนรักเขาสมัยเรียนมัธยม ถ้าตัด Fry ออก
ก็ต้องคนเดียวกันไหมวะ!
โกกดเข้าไปดูหน้าบัญชีชื่อนั้นทันที ภาพใช่ หน้าเพื่อนที่ไม่เจอกันตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย กรอบรูปแต่งสีรุ้ง แถมข้างใต้รูปยังแจ้งไว้ด้วยว่ากำลังรอคำตอบเป็นเพื่อนจากเขา
จาก เหอ เป็น โห เขาไม่ได้เห็นหมอนี่มายี่สิบปีแล้ว แต่เค้าหน้าคงเดิม ให้นึกหน้าสมัยเป็นวัยรุ่นด้วยกันก็นึกออกทันที ส่วนหนึ่งคงเพราะเวลาร่วมรุ่น ทุกคนก็ไว้ผมทุกทรงยกเว้นตัดเกรียนแบบสมัยเรียน โกกดรับคำขอเป็นเพื่อน จากนั้นก็วางโทรศัพท์ลง
ต้องยอมรับว่าระหว่างอาบน้ำ เขาหวังว่าหมอนั่นจะส่งข้อความมาทัก แต่ไม่ยักมี
“อรัณ” โกเรียกตอนกลับลงไปข้างล่าง “รู้จักกับปองมันด้วยเหรอ”
“พี่เด่นน่ะเหรอครับ”
จะถามทำไมมันเป็นพี่เด่น ทั้งที่เขาเป็นน้าโกก็กระไร
“อืม นี่เพื่อนเก่าน้าเอง ตัวติดกันตลอดหกปีเลย แต่พอเรียนจบ เห็นว่ามันไปต่างประเทศ แล้วก็สมัยนั้นน่ะนะ เลยไม่ได้คุยกันอีก นี่เห็นมันเมนต์สเตตัสเราพอดี”
“ก็รู้จักครับ”
“อ้าว ไปรู้จักได้ไงล่ะ ไม่เห็นบอกน้าเลย ไอ้เด่นไม่พูดถึงน้าเลยเหรอ”
“พูดถึงครับ แค่ -- คือ”
“มีอะไรรึเปล่าเนี่ย”
อรัณอ้ำอึ้ง เหลือบมองข้ามไหล่ไป โกเห็นสนซึ่งสภาพผมเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วกำลังแอบมองพวกเขา
“น้าโกจำที่ผมโดนพ่อทำร้ายจนเข้าโรงพยาบาลได้ไหมครับ”
โกพยักหน้าช้า ๆ ใครจะไปลืมลง แล้วเรื่องเพิ่งผ่านมาสองปีเท่านั้นเอง
“คือผมลงรูปประชดพ่อไปรูปหนึ่ง แล้วพี่เด่นเป็นเฟรนด์กับโณ เลยคงเห็นเข้าน่ะครับ แล้วพอมีเรื่องผมเข้าโรงพยาบาล พี่เด่นเป็นห่วงเลยทักมา หลังจากนั้นเลยคุยกันเรื่อย ๆ พี่เด่นก็คอยให้คำปรึกษาหลายอย่าง” อรัณมองโก “ช่วยผมยอมรับตัวเอง เรื่องที่ผมเป็นเกย์ เพราะพี่เขาก็เจออะไรคล้ายกันมา”
จาก โห กลับไปเป็น เหอ
โกพยักหน้าทีละจังหวะ สายตามองอรุโณทัยซึ่งฉีกยิ้มฝืน สนที่โบกมือให้อย่างประดักประเดิด และแม่เขาเองที่ฮัมเพลงสลับกับกระแอม
มิน่าพี่ปราชญ์ถึงถอนหายใจยาวขนาดนั้นใส่เขา