4 ตอน 4
โดย pynox
สิ่งที่พี่ปราชญ์แนะนำ: คุยกับเจนธรรม
สิ่งที่นายอาจารย์คนทาทำ: มองเจนธรรมเหมือนบทแม่สามีจับผิดลูกสะใภ้ในละครหลังข่าว จนนักเรียนที่เข้ามาส่งงานในห้องพักถึงกับต้องมาเลียบๆ เคียงๆ ถามว่าโดนอาจารย์เจนหักอกมาหรือ (“ปกติคนอกหักมองคนหักอกกันแบบนี้เรอะ” โกอดถามนักเรียนไม่ได้ “ถ้าจารย์โกไม่รู้ ผมก็ดีใจกับจารย์ด้วยน่ะนะ” ศินะตอบแล้วรีบเผ่นปรู๊ดออกจากห้องพักครู ไม่รู้ว่ากลัวโกเข้าใจว่าหมายถึงอะไร หรือกลัวโกก้มลงมองงานที่เอามาส่งแล้วพบว่าครึ่งหนึ่ง เจ้าลูกศิษย์คัดลอกวิกิพีเดียภาษาอังกฤษมาแบบไม่แปลด้วยซ้ำ)
ครึ่งหลังพักเที่ยงของเขาหมดไปกับไล่กวดศินะให้กลับมาแก้การบ้าน รับจดหมายลากิจของอัศวินแล้วทำเรื่องแจ้งต่ออีกทอด จึงไม่ได้คุยกับเจนธรรม
ถ้าถามว่าโกเสียดายหรือโล่งอก เจ้าตัวก็ตอบไม่ได้
“อาจารย์คะ ลืมเปลี่ยนสไลด์” หัวหน้าห้องทักสมหน้าที่หัวหน้าห้อง ผู้เป็นสื่อกลางระหว่างเพื่อนทั้งห้องกับอาจารย์ผู้สอน
“เอ้อ ขอโทษที” โกมองจอภาพใหญ่แล้วเพิ่งรู้ตัวว่าตนพูดเลยสไลด์ของกลุ่มแรกหมดแล้ว กำลังเข้าเรื่องจีนไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เขาชอบให้นักเรียนไปจับกลุ่มกันทำสไลด์รวมเนื้อหาหัวข้อใหญ่ที่จะเรียนมาส่ง จากนั้นตนค่อยอธิบายลงรายละเอียดไปทีละจุด จากนั้นค่อยแนะนำหรือแจกบทอ่านเพิ่มเติมให้เขียนสรุปคนละไม่เกินหนึ่งหน้ามาส่งสัปดาห์ต่อไป
“ของกลุ่มที่ทำคอมมิวนิสต์ส่งมาแล้วใช่ไหม” โกเปิดอีเมล
“หนูส่งอันที่แก้แล้วเข้าไปให้อาจารย์ทางเฟสค่ะ”
ไม่รู้นักเรียนคนไหนมันส่องบัญชีเขา มาวันนี้ช่วงสาย มือถือโกแจ้งเตือนไม่หยุดว่ามีคนขอเป็นเพื่อนราวสี่สิบคน ซึ่งเป็นนักเรียนมัธยมหกเสียส่วนใหญ่ เด็กจากชั้นปีอื่นอีกประปราย ครึ่งหนึ่งหลังจากเขากดรับคำขอเป็นเพื่อน คือส่งงานแก้เพิ่มมาทางเมสเซนเจอร์ทั้งสิ้น บอกว่าแบบนี้จะได้มั่นใจว่าเขาเห็นหรือยังไม่เห็นข้อความ
หรือเพื่อนเก่าเจ้าเพื่อนยากมันจัดฉากเล่นงานเขาก็ไม่ทราบได้ เพราะตอนโกใช้คอมพิวเตอร์เข้าบัญชีเพื่อเอาตัวงานที่ว่า มีห้องสนทนาเด้งขึ้นจากตรงขอบจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันย่อมโผล่บนจอใหญ่ไปด้วย
Denpong Srisuk-Fry
Tap for details
กูนึกได้ว่าลืมเอารูปให้มึง
เพื่อนปองพิมพ์มาเท่านั้นแล้วส่งรูปลงในห้องสนทนาเรียงกันยาวเหยียด เป็นรูปพวกเขาสมัยมัธยมหก วันปัจฉิม ส่วนใหญ่เป็นรูปหมู่ของโกกับเพื่อนอีกห้าถึงหกคน “ไอ้เชี่ย ครูปราชญ์เคยเป็นเด็ก” ใครสักคนร้อง นิ้วชี้รูปพี่ปราชญ์ชุดนักศึกษาแวะมาแสดงความยินดีเรียนจบมัธยมปลายให้รุ่นน้องกลุ่มสนิท เสียงมันคุ้นหูว่าน่าจะเป็นพวกตัวแสบที่ชอบกวนบาทาพี่ปราชญ์ หลายคนทำท่าตกใจระดับเอามือปิดปาก ส่วนพวกไวกว่านั้นคือเอาโทรศัพท์ตัวเองยกขึ้นถ่ายกัน ตานี่เป็นประกาย ยิ้มกว้างขึ้นทุกวินาที
“อาจารย์ น่ารักอะ” บางคนร้องวี้ดว้ายตอนรูปโกสมัยหัวเกรียน นั่งอยู่บนขั้นบันไดใต้ตึก บนหัวมีมงกุฎดอกไม้ครอบ นั่นรูปสุดท้ายที่พวกนักเรียนได้เห็นก่อนโกตั้งสติได้ แล้วกดปิดหน้าจอ ปล่อยให้เลขแจ้งเตือนเพิ่มขึ้นระรัว บ่งบอกว่าเด่นปองยังส่งรูปไม่หมด วันนั้นพวกเขาถ่ายรูปกันหมดฟิล์มไปหลายม้วน แถมเด่นปองยังบ้าเห่อกล้องอีก หรือไม่มันคงถ่ายระรัวเก็บความทรงจำเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะออกเดินทางไปต่างประเทศกระมัง
“พอ พอ พอเลย” โกปรามห้องซึ่งฮือฮากันไม่หยุด
“จารย์คะ โกนไอ้ตรงคางอาจารย์ออกเหอะ”
โกยกมือป้องหนวดเคราตัวเองอย่างหวงแหน “หยุดเลย”
“อาจารรรยย์ เมื่อก่อนแอบเท่อะ”
“เท่อะไรกับเด็กสิบเจ็ด เขาเรียก twink มึงแค่บ้าคนผอม”
อันนี้มีขึ้น ผู้เป็นอาจารย์ยืนเหยียดเต็มความสูง เบ่งรูปร่างแน่นพอดิบพอดีเต็มเสื้อเชิ้ตและกางเกง “หยุด กลับมาเรียน” ไอ้ปอง ไอ้เว้ร
กว่าจะทำให้นักเรียนสงบได้ เขาต้องเอาสัญญาว่าถ้าสอนเสร็จเร็วจะเปิดรูปทั้งหมดให้ดูท้ายคาบมาล่อ ทั้งห้องจึงกลับมาตั้งใจเรียนโดยพร้อมเพรียง ขยันชนิดที่พอโกนอกเรื่องหน่อยเสียเอง ถึงขั้นมีการรีบร้องโวยให้เขากลับเข้าเรื่อง ทปกติออกจะชอบชวนเขานอกเรื่องไปให้สุดแล้วหยุดที่อีกสิบนาทีหมดคาบ
“มันจะอยากดูอะไรกันนักกันหนา” ครูสังคมลากมือลูบหน้าตัวเองตอนต้องยอมรับว่าสอนของคาบนี้ครบตามแผนแล้ว และไม่มีใครยอมให้สอนเกิน เล่นทวงสัญญากันยิกๆ นักเรียนหลายรายที่คุยกับเขาบ่อยหน่อยถึงขั้นลุกมายืนออด้านหลังคอมพิวเตอร์ ไม่รอดูบนจอฉายใหญ่แบบพวกที่เหลือ
“ครูปราชญ์ ครูปร้าชญ์อะ!” หรือที่จริงพวกนักเรียนจะอยากดูพี่ปราชญ์วัยสิบเก้ามากกว่า ดูจากปฏิกิริยาเวลามีรูปที่พี่ปราชญ์อยู่ในนั้นด้วยแล้ว คนหนุ่มผมเริ่มยาวแตะหน้าผากนิดหน่อย สวมเชื้อเชิ้ตนักศึกษาพับแขน หนีบตำรามัดด้วยเชือกไขว้ พี่หลุดมาจากนิยายในสกุลไทยหรือครับ ไหนจะยิ้มอบอุ่นไม่เหมือนหน้าอาจารย์หน้าโหดห้องพิมพ์ดีด
“โห แล้วอาจารย์เรียนที่นี่แล้วกลับมาสอนอีกเหรอ” บางคนเริ่มสนใจสิ่งนอกรูปถ่าย พากันมองโกเหมือนไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นคนรักสถาบันศึกษา
“ตอนนั้นไม่ได้คิดเป็นครูเลยนะเออ บอกไว้ก่อน” เขาตอบคล้ายจะอวด แต่ไม่ยักมีอะไรให้อวด “แต่พอเข้ามหา’ลัยแล้วมันปิ๊งขึ้นมา”
“ปิ๊งว่าอะไรอะครับ”
“ครูมัธยมที่ครูเจอมันห่วยจังว้า เพราะครูมหา’ลัยที่เรียนด้วยนี่คนละเรื่องเลย ไปหาที่ห้องพักครูก็ไม่ต้องคลานเข่าเข้าไปหา ไม่รู้อะไรก็บอกว่าไม่รู้ (แต่บางคนไม่รู้แล้วบอกเออ ไหนๆ คุณก็ถามแล้ว คุณไปหามาเพิ่มทีนะ คาบหน้าเจอกัน) ก็เลยคิดขึ้นมาว่า ไปเป็นครูที่ไม่ทำตัวแบบแรกที่โรงเรียนมัธยมบ้างดีกว่า”
“อาจารย์…” พวกยืนหลังเก้าอี้เขาแกล้งทำเสียงซึ้ง โกหวังว่านั่นจะหมายความว่าเขาทำได้อย่างที่คิดไว้บ้าง
“อาจารย์คะ เพื่อนอาจารย์อย่างเข้มเลย”
โกขมวดคิ้ว หันกลับไปเจอรูปเขาขี่หลังปอง เพื่อนคนอื่นเป็นคนถ่ายให้ พวกเขาในรูปก็หน้ายิ้มแฉ่ง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย จะให้เห็นมาดอะไรนั้นช่างยากนัก เด็กคนอื่นเองยังหันไปแซว “ไหนบอกชอบแบบหนุ่มจีนตัวเพรียวกรามคมชัด”
“ลุงมาดเข้มๆ เซอร์ๆ ก็โอเคออก ในรูปดิสเขาอะ แล้วกรอบน่ารักด้วย”
สรุปไม่ได้ดูจอคอมพิวเตอร์ คุณเธอเอาโทรศัพท์มือถือเข้าเฟสตัวเองแล้วไปค้นชื่อบัญชีเด่นปองมาดูรูปเต็ม ๆ ซึ่งยังคงเป็นรูปเจ้าตัวในกรอบรุ้งอันเดิม โกมองอีกที เทียบกับเด็กมัธยมปลายยิ้มแฉ่งในรูป เพื่อนรักเขากลายเป็นผู้ใหญ่ผมดำสนิทปาดจัดทรงดี ในรูปก็มีสายกล้องห้อยรอบคอกับผ้าพันคอทิ้งตัวเลยบ่าสองด้าน หันมุมเฉียงเล็กน้อย ใส่แว่นตาไร้กรอบ โกเห็นแล้วอดเหลือบรูปตนสวมเชิ้ตยืนยิ้มเจี๋ยมเจี้ยมหน้าประตูโรงเรียนไม่ได้ พี่ปราชญ์ถ่ายให้เขาเองวันเริ่มสอนวันแรก
“เดี๋ยวนะ พวกครูเป็นวัยลุงของพวกเธอแล้วเรอะ” ทุกคนเงียบกริบ ขัดใจนายอาจารย์คนทายิ่ง แต่ใกล้หมดคาบแล้ว “เอาเถอะ จะชอบลุงก็ชอบไป” เขาชินกับอะไรแบบนี้แล้ว สนที่เขาเห็นมาตั้งแต่เจ้าหล่อนอยู่มัธยมก็ชอบพูดอะไรแบบนี้ ประเภทแบบดาราวัยห้าสิบขึ้นไปนี่ช่างมีเสน่ห์ “แต่ช่วยชอบจากระยะไกลทีเหอะ ถ้าพวกเขาเข้ามาใกล้ตอนคุณอายุแค่นี้ก็โกยให้สุดฝีเท้าเลยนา ครูดอนอธิบายไว้บ้างแล้วใช่ไหม” ครูดอนคือครูสุขศึกษา
พวกนักเรียนขานรับอย่างขอไปที จังหวะเดียวกับเจนธรรมเปิดประตูห้องเข้ามา โกจึงรีบออกจากบัญชีแล้วเก็บของตัวเองบนโต๊ะ รีบเดินไปสอนห้องอื่น
ระหว่างทาง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา
Denpong Srisuk-Fry
Active 25m ago
ไอ้เวรเอ๊ย
เด็กเห็นทั้งห้องแล้ว
อะไร
รูปน่ะนะ
lol
มึงเปิดเฟสทำไมตอนสอน
จานอู้
ชั่วช้านัก อนาคตของชาตินะ
ก็เด็กส่งงานเข้าในเฟส
มึงรู้ล่วงหน้ารึเปล่าเนี่ย
สงสัยหรือจ๊ะตัวเธอ
อยากจะวิ่งไปรัฐซานฟรานซิสโกเพื่อไปประทานมะเหงกให้มันเสียเดี๋ยวนี้
“ขอโทษครับ พี่ครับ โรงละครแมกกระจกไปทางไหนเหรอครับ”
อรัณชะงักนิ้วที่กำลังจะกดเรียกลิฟต์ เขามองเด็กหนุ่มวัยรุ่น มองอย่างไรก็ไม่มีทางพ้นมัธยมปลาย แต่กลับสวมชุดไปรเวทในเวลาจวนสิบโมง ตรงอกเสื้อติดป้ายบุคคลภายนอกเหมือนกันกับตัวเขาเอง มือหนึ่งถือโทรศัพท์ซึ่งอรัณเดาว่าเจออุปสรรคเดียวกับตอนเขามาที่นี่ครั้งแรก คือไม่บอกชั้นของโรงละคร “ผมกำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน ขึ้นลิฟต์นี้ ไปชั้นแปดครับ” เขาบอกแล้วขยับนิ้วกดปุ่มลิฟต์ต่อตามความตั้งใจเดิม
พวกเขาเดินเข้าไปในลิฟต์ รอประตูเลื่อนปิด จังหวะนั้นเองมีเสียง “ไปด้วย!” ดังลอดเข้ามา อรัณรีบกดเปิดประตู เด็กสาววัยรุ่นรีบพุ่งเข้ามาในลิฟต์ แล้วต้องยืนหอบตัวโยน คอกับหน้าเธอมีเหงื่ออาบ อรัณนึกอยากเอาผ้าเช็ดหน้าให้
“เฮ้ย เมย์” เด็กหนุ่มร้องอุทาน “บอกแล้วไงไม่ต้องมา”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปยื่นลาป่วย”
เมื่อเห็นว่าคงไม่มีคนอื่นอีก อรัณปล่อยนิ้วออกจากปุ่มให้ประตูเลื่อนปิด ในลิฟต์เงียบกริบไปจนถึงชั้นแปด เขาออกก่อนแล้วชี้ทางขวามือ “ทางนี้ครับ” ทางเดินชั้นแปดดูวกวนซับซ้อนชอบกลพอประตูหน้าโรงละครปิดไม่ให้ใช้ ทว่าไม่นานก็เริ่มเห็นคนอีกมากยืนตามระเบียงทางเดิน บอกให้รู้ว่ามาถูกทางแล้ว มีตั้งแต่คนแต่งชุดมาเหมือนจะสัมภาษณ์งาน หน้าตาแตกตื่นกับบรรยากาศรอบด้าน ไปจนถึงคนที่สวมเสื้อผ้าเข้ารูป กำลังยืดเส้นยืดสาย ท่าทางเจนสนามน่าดูชม
“คุณ คุณ ทางนี้” อรัณเรียกพอเห็นว่าสองเด็กวัยรุ่นเริ่มชะลอฝีเท้าลงแทบจะหยุดเดินพอเห็นคนหนาตาตรงบริเวณใกล้ประตูหลัง ติดป้ายว่าห้ามบุคคลภายนอกเข้า เขาชี้ให้ทั้งสองเห็นโต๊ะยืนยันชื่อและรับหมายเลขเข้ารับการคัดตัว
“อรัณ มาด้วยเหรอ” คนคุ้นหน้าเข้ามาทักทีละคนสองคน แน่ละว่าส่วนใหญ่ตรงนี้ล้วนเป็นคนในวงการละคร ซึ่งพวกที่อยู่ในกรุงเทพมหานครก็ย่อมวนหน้าเวียนค่าตากันอยู่กลุ่มเดิมๆ ไม่พ้นต้องเจอคนที่เคยร่วมงานหรือเรียนมาด้วยกันสมัยปริญญาตรี
“เฮ้ย มีเด็กด้วย” พวกผู้ใหญ่กระซิบกระซาบกันเองพอเห็นคนที่อรัณนำทางมาแยกตัวไปนั่งขดตัวตรงมุมหนึ่ง
“ถ้าเป็นในต่างประเทศคงมีเด็กมากันเยอะเลยละมั้ง”
“พอไม่ใช่คัดไปเล่นหนังรึละครทีวี ผู้ปกครองเขาไม่ค่อยอินหรอก ยกเว้นว่าผู้ปกครองมันจะอยู่ในวงการนี้เอง”
“เหอะ แม่ฉันยังไม่ค่อยอยากให้ฉันมาสายเวทีเลย เขาอยากให้ไปเก็บตัวหาถ่ายแบบที่ประเทศอื่นก่อนเนี่ย หาแฟนคลับก่อน เอาในเอเชียด้วยกันน่ะ”
“พวกเรายังไม่แก่เกินไปหาฐานที่อื่นอีกเร้อ มันน่าจะต้องหาผลงานใหญ่ๆ เข้าว่าแล้วมากกว่านา ตัวประกอบก็ได้ แต่ต้องหนังโรงนะเออ”
“ถ้าหน้าเนียนแล้วประวัติว่าติดเรียนมหาวิทยาลัยให้จบก่อนคงพอหยวนได้มั้ง”
“หรือไปทำช่องยูทูบดี”
อรัณยืนพิงกำแพง ปล่อยให้บทสนทนาไหลผ่านร่างไปเหมือนสายน้ำที่มากับแรงลมพัดจากช่องระบายอากาศข้างบนเพดาน
สิบโมงตรง มีเจ้าหน้าที่เปิดประตูออกมาเรียกหมายเลขแรกพร้อมขานชื่อเพื่อความถูกต้อง ตรงเวลาเสียจนคนที่มารอแอบกระซิบกระซาบแสดงความทึ่ง บอกสมแล้วที่เป็นโปรดัคชั่นต่างประเทศ มันน่าทึ่งกันตั้งแต่จุดนี้เชียวนะ
อรัณเอื้อมสองมือไปข้างหลัง กวาดรวบผมแล้วเกี่ยวหนังยางรอบข้อมือขวาเอารัดผมไว้เป็นหางม้าต่ำ แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มท้อง “ตื่นเต้นด้วยเหรอ” เพื่อนเคยร่วมงานกันถามน้ำเสียงคิกคัก
“ครับ” อรัณยอมรับตามตรง สีหน้ากระวนกระวายเท่าที่คิ้วลู่ตก ปากเผยอเล็กน้อยและมุมปากก็กดลง กับแววตาละห้อยกังวลจะสื่อได้
“เออ แต่จำได้ไหม ตอนที่เล่นเรื่องแองเจิลส์อินอเมริกา อรัณร้องไห้นิ่งมาก ทั้งโปรอึ้งไปเลย”
“หะ เคยมีเล่นเรื่องนี้กันด้วยเหรอ” อีกคนใกล้กันถาม
“ไปช่วยงานเพื่อนมหาลัยอื่นจัดจ้า ตัวจบ” คนแรกอธิบาย “ช่วงสองอาทิตย์ก่อนเล่นมันแม่งเอ๊ยมาก มีเรื่องให้ร้องไห้ไปฝ่ายละทีสองที ตอนรันทรูรอบรองสุดท้าย ผู้กำกับแกนั่งลงกลางโรงละคร เรียกทุกคนมาล้อมวง แล้วถามว่า ‘บทมันเข้าใจยากตรงไหน ทำไมไม่บอกมาแต่แรก นี่จะเล่นแล้วนะ’ เท่านั้นแหละ บรรลัย เขื่อนแตก พวกฝ่ายนักแสดง ฝ่ายฉาก ฝ่ายสเตจสะอึกสะอื้น ฉันก็ร้องเว้ย รู้สึกแบบ เห้ย กูเปล่าวะ ผิดที่กูคนเดียวเลยรึเปล่า แล้วพอหันไปทางอรัณ มันก็น้ำตาร่วงอยู่ด้วย เท่านั้นแหละ ตกใจจนน้ำตาหยุดเลย”
อรัณหน้าร้อนผ่าว อันที่จริงมีจำนวนละครที่เบื้องหลังเขาไม่น้ำตาร่วงไปกับคนอื่นน้อยกว่าอันที่ร่วมร้องด้วยสักทีสองที หรือแอบไปร้องคนเดียว กระนั้นก็ยังนึกเขินพอมีใครพูดถึง ชายหนุ่มจึงขอตัวไปหาน้ำดื่ม
เขาเดินผ่านเด็กมัธยมปลายสองคนนั้น มองแวบแรกเขาเห็นตัวเด็กหนุ่มกำลังกอดเข่า ฟุบหน้างีบรอขานหมายเลขกระมัง ส่วนเด็กสาวกำลังฟังเพลง ทว่าพอขากลับมาจากตู้กดน้ำตรงหัวมุมก่อนถึงห้องน้ำ อรัณเห็นเด็กสาวกำลังคุกเข่า มือขยับสะเปะสะปะอยู่กลางอากาศราวกับไม่รู้จะแตะหรือไม่แตะตัวเพื่อนดี ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่เงยหน้าขึ้นมา แต่หายใจแรงจนตัวขยับชัดเจน
อรัณคุกเข่าลงตรงหน้าทั้งสอง วางขวดน้ำลง “คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาสะกิดเด็กสาว “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ แพ้อะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ คือ อยู่ๆ มันก็แบบ -- เหมือนจะร้องไห้”
“เขาชื่ออะไร”
“ไนท์ค่ะ”
อรัณพุ่งความสนใจไปที่ตัวเด็กหนุ่ม
“ไนท์ครับ ได้ยินผมไหม” เขาถามเสียงสงบนิ่ง “หายใจออกหรือเปล่าครับ”
หัวที่ยังฟุบกับแขนผงกให้เห็น
“ตัวสั่นหรือเปล่าครับ”
ผงกหัวอีกครั้ง
“อึดอัดหรือเปล่าครับ”
เด็กหนุ่มผงกหัว
“เงยหน้าขึ้นไหวไหมครับ”
ไม่นาน ใบหน้าแดงก่ำโดยเฉพาะตรงจมูกก็เงยขึ้น ทว่าตาหลุบต่ำไม่ยอมสบมองเขาหรือเพื่อนข้างกาย
“หายใจเข้าลึก ๆ ได้ไหมครับ” อรัณเปลี่ยนชูนิ้ว “พอผมนับถึงสอง ปล่อยลมหายใจนะ หนึ่ง หายใจเข้า…สอง หายใจออก”
เขาฟังเสียงลมหายใจสูดเข้าแล้วปล่อยออก “อีกทีนะครับ หนึ่ง หายใจเข้า…สอง หายใจออก” เขากล่าววนอยู่อย่างเนิบนาบเช่นนั้นราวสิบกว่าหน จนเด็กหนุ่มนามไนท์ลดเข่าลงเป็นนั่งขัดสมาธิ “ยังรู้สึกสั่นอยู่ไหม”
ไนท์พยักหน้า น้ำตาไหลลงอาบแก้มเป็นสาย
“กำมือไหวไหมครับ ลองกำดูได้ไหม” เขารอจนอีกฝ่ายกำมือทั้งสองข้าง “กำให้สุดแรงเลยนะครับ แล้วสูดลมหายใจเข้า” อรัณรอให้ทำตามได้ทีละขั้นตอน “กลั้นลมหายใจไว้นะครับ แล้วเกร็งทั้งตัวให้มากที่สุด ตรงอกด้วย พร้อมกันนะ แล้วนับหนึ่งถึงสิบสอง จากนั้นก็คลายนะ”
แม้อรัณจะหายใจตามปกติ แต่ตอนเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า “…ไม่สั่นแล้ว” เขาก็รู้สึกว่ามีลมหายใจบางส่วนที่ตนเผลอกลั้นรอเอาไว้
เด็กสาวถอนหายใจโล่งอกไปด้วยอีกคน “แกโอเคแล้วเหรอ”
ฝ่ายถูกถามยกหลังมือเช็ดแก้มตัวเอง ทว่าน้ำตาเขายังไหลออกมา “เออ”
ขวดน้ำยื่นจ่อหน้า ทั้งสองกลับมามองอรัณ “ไม่ -- ไม่เป็นอะไรครับ พี่ ขอบคุณครับ”
“ดื่มน้ำเอาไว้เถอะครับ จะได้ยิ่งดีขึ้น” อรัณนึกเกลียดที่เสียงตนอ้อมแอ้มแทบจะเป็นงึมงำเผื่อโดนปฏิเสธ ทั้งที่ตนพอจะมั่นใจว่าเรื่องนี้ตนพูดถูก ยังดีว่าทั้งสองคงเห็นว่าเขาพอช่วยได้ จึงยอมเชื่อเรื่องนี้ด้วย เด็กสาวก็กระทุ้งเชิงคะยั้นคะยอให้เพื่อนรีบรับน้ำมาดื่ม
“แล้วแกจะออไหวเหรอ”
“กังวลเรื่องออดิชั่นเหรอครับ” อรัณลองถามแม้ใจจะคิดว่า ถามอย่างกับตัวเองไม่เคยเป็น
ทางนั้นผงกหัวอีกรอบหลังดื่มน้ำอึกใหญ่ “ก็กลัวอยู่บ้างครับ กลัวทำพลาดอะไรแบบนี้” แล้วก็กลับไปก้มหน้างุด มือหมุนฝาขวดน้ำไปมา
“ลองคิดซะว่าแกร้องเพลงอยู่ในห้องคนเดียวไหม ยังไงคนคัดน่าจะนั่งเงียบๆ ไม่ใช่เหรอ” อีกคนกระตือรือร้นเสนอแนะ
อรัณเอียงศีรษะอย่างหวังจะได้เห็นสีหน้าเด็กหนุ่มถนัดขึ้น เขาเห็นแค่ปากเม้มแน่น
“แต่เรื่องที่กลัวที่สุดคืออะไรเหรอครับ”
เด็กทั้งสองมองอรัณ เขาเพิ่งรู้ตัว “ขอโทษครับ ไม่ต้องบอกผมหรอก แต่อย่างน้อยถ้าลองคุยกับเพื่อนหรือใครได้อาจจะช่วยนะ เดี๋ยวผมขอตัวก่อน” ประตูเปิด มีเสียงเรียกผู้เข้ารับการคัดเลือกลำดับที่สองดังแว่วมา
“ผมกลัวไม่ได้เล่น -- แต่ก็กลัวว่าถ้าได้เล่น จะโดนล้อ”
ชายหนุ่มหยุดตัวเองไว้ที่ท่าคุกเข่า ยังไม่ทันลุกดี
“ล้อ --”
“ลองใครล้อสิ ฉันจะพุ่งไปต่อยปาก” น้ำเสียงหนักแน่นดังฟังชัดจากเพื่อนข้างตัว ประกอบด้วยกำปั้นชูอย่างแข็งแกร่ง ดูวิธีกดนิ้วโป้งแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรู้กระทั่งต้องใช้ตรงไหนของมือต่อยคน อรัณได้แต่ทบทวนหาบทพูดรณรงค์งดใช้ความรุนแรง แต่นึกไม่ยักออก ปากมันชิงถามถึงอีกเรื่องแทนก่อนเสียนี่
“ที่โรงเรียนมีแบบนี้บ่อยเหรอครับ”
“ก็โรงเรียนอะ พี่ มีพวกปากหมาบ้าง แต่โรงเรียนพวกเราก็จัดละครบ่อยนะ มีพวกงานละครใหญ่ของโรงเรียนปีเว้นปีด้วย แค่อันนั้นมันใครก็อยากมีหน้าที่ไง ไม่งั้นต้องทำรายงาน คนไปสมัครเป็นนักแสดงเลยไม่อะไร แต่เวลามีคณะละครจากข้างนอกมาเล่น พวกปากหมาชอบไปล้อกันลับหลังว่าพวกพี่นักแสดงชายเป็นตุ๊ดอะไรงี้”
“แล้วพวกเพื่อนชอบเล่นมุกกันอยู่แล้วด้วยว่าผมเพื่อนผู้หญิงเยอะ คงเป็นตุ๊ด ขืนพวกนั้นรู้ว่าอยากเล่นละครเวทีด้วย…”
อรัณกะพริบตาปริบ ๆ “มันเกี่ยวกันยังไงเหรอครับ” อรุโณทัยก็เพื่อนผู้หญิงเยอะ ทั้งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย รวมถึงสมัยมัธยมด้วย เขาไม่เคยได้ยินใครเล่าว่าอรุโณทัยเคยโดนล้อเลียนแบบนั้นเลย “มีเพื่อนเยอะก็ดีออกนะครับ” วรรคหลังเสริมด้วยน้ำเสียงชื่นชมจากใจคนที่สมัยประถม เพื่อนสนิทสุดคือครูวิชาโปรด และสมัยมัธยมคือครูวิชาแนะแนว โดยสนิทที่ว่าหมายถึงยอมให้เขาเอาข้าวเที่ยงไปนั่งกินในห้องพักครูระหว่างช่วยเช็คชื่อคนส่งการบ้าน หรือช่วยถ่ายเอกสาร พวกญาติผู้ใหญ่ชมว่าเขาเก่งดี เป็นตัวของตัวเอง ไม่ง้อใคร น่าจะเป็นผู้นำได้ อรัณได้แต่คิดว่า ถ้าตนมีความสุขกับสภาพเช่นนั้นมันก็คงเป็นคำชมหรอก แต่แค่ที่คนรอบข้างหวังดีพยายมชมออกมา นอกจากจะไม่เห็นมีส่วนส่งเสริมกันและกันว่าเป็นอย่างหนึ่งนำไปสู่คุณภาพอีกอย่าง เขายังรู้สึกจ๋อยอยู่ทุกวันอีกด้วย
ทั้งสองคนมองเขากลับ “ก็เหมือนผู้หญิงอยู่กับเพื่อนผู้ชายเยอะๆ ถ้าไม่เป็นทอมห้าวๆ ก็จะโดนด่าว่าร่าน บ้าผู้ชายไรงี้อะ พี่”
คราวนี้อรัณนึกถึงสนซึ่งขลุกอยู่กับเขาและอรุโณทัยแทบจะตลอดเวลา ไหนจะตัวเขาเองที่เป็นเกย์อีก แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เขากับสนจะแบ่งปันความชื่นชมร่วมกันมักเป็นดาราภาพยนตร์จากทวีปยุโรปหรืออเมริกา แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความคิดจะต้องไปหาคนชนชาติใดชาติหนึ่งมาขลุกด้วย
พอลองเรียบเรียงให้ฟัง แม้บทสนทนาจะดูไม่คืบหน้านัก แต่อย่างน้อยเด็กวัยรุ่นทั้งสองคนเริ่มดูผ่อนคลาย กระทั่งมีมุมปากกระตุกขึ้นเป็นยิ้มเล็กน้อยประเดี๋ยวหนึ่ง
“ก็มันไม่ได้เกี่ยวกันจริงๆ ไง พี่ มันเลยน่าโมโห” เด็กสาวโบกมือปัดไปมา
“แต่ที่ผมเห็นมาในโรงเรียน คือโดนล้อมันก็น่าโมโห แต่ถ้าตอบโต้อะไรแล้วเรื่องไปถึงหูพวกครู อย่างตอนม.สอง เพื่อนที่เป็นตุ๊ดก็โดนพวกเพื่อนผู้ชายแกล้งเวลาเปลี่ยนเสื้อพละ พอเรื่องไปถึงหูครู ครูเขา…”
“โทษว่าเป็นความผิดคนที่โดนแกล้งเพราะว่า ‘เป็นตุ๊ด’ อะไรแบบนี้หรือครับ” เหมือนเขาเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อน นานมากแล้ว
“ก็ได้ยินว่าพวกครูก็เถียงกันเอง แล้วก็เถียงกับพ่อแม่ของเพื่อนคนนั้นด้วย แต่สุดท้าย พอขึ้นม.สาม เพื่อนคนนั้นก็ -- แบบ -- เลิกตุ้งติ้ง แต่คนก็ยังแซวว่า ถ้าไม่ได้กลับมาเป็นผู้ชายแล้ว ก็คงแอ๊บอยู่” ไนท์ชำเลืองมองเพื่อนของเขา “เพื่อนผู้หญิงที่ห้าวๆ ทอมๆ พวกครูก็ชอบไปคุยกับผู้ปกครองว่าให้ระวังนิสัยบ้าง เพื่อนบางคนก็โดนชี้หน้าว่าจบออกไป พออยากมีแฟนเป็นผู้ชายจะอายที่ทำตัวแบบนี้สมัยเรียน ให้รีบเปลี่ยนพฤติกรรมซะ” บางอย่างบอกอรัณว่าหนึ่งในเพื่อนบางคนนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย
“ผมว่ามีเหตุให้คนเราอายกับเรื่องที่ทำสมัยวัยรุ่นมากกว่าแค่เพราะโตไปจะอยากมีแฟนเป็นผู้ชายนะ”
เอาไปเล่าให้สนฟัง รับรองมีเสียงวีนสนั่นสตูดิโอ
“ก็คนมันบ้าบอ แกก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก บอกแล้วใครมาล้อ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“แกจะได้โดนลากเข้าห้องปกครองอะดิ”
“เอ้า ไม่งั้นจะเอายังไง”
“คิดว่าที่ศินะบอกให้เราแกล้งเป็นแฟนกันไปเลยจะเวิร์คไหม พวกนั้นจะได้ล้อไม่ได้”
“เดี๋ยวพวกมันก็ล้ออย่างอื่น ถึงได้บอกให้เลิกสนไง”
อรัณยกมือขึ้นต่ำๆ “ผมว่ามันยากนะ ที่จะไม่สนคำพูดของคนอื่น”
ตั้งแต่เด็กแล้ว เขาอยากไว้ผมยาวมาตลอด เวลาเห็นผมของแม่ ผมนางแบบในโฆษณาแชมพู ผมตัวละครในละครจีนโบราณ เขาชอบผมยาวเป็นเส้นตรงมาก
ผมยาวเป็นเส้นตรงของตัวเขาเอง
แต่จะพ่อ หรือโรงเรียน ทุกที่มีแต่คนบอกว่าเป็นผู้ชายต้องผมสั้น พวกไว้ผมยาวมีแต่ศิลปินไร้สาระ ฮิปปี้ แล้วก็พวกวิปริตผิดเพศชอบแต่งหญิง ไม่ว่ากี่เสียงต่างกันออกไปที่พูดทำนองนั้น ในหัวเขามันมักรวมกันกลายเป็นเสียงเหมือนค้อนทุบลงบนท่อนเหล็กกลวงข้างใน เพราะเสียงของพ่อเขาเป็นแบบนั้น
“ผมเคยคิดว่า งั้นถ้าผมไม่เป็นศิลปิน ไม่เป็นฮิปปี้ ไม่เป็นกะเทย ผมคงไว้ผมยาวได้” อรัณเล่า “จนพอรู้ตัวว่าตัวเองชอบผู้ชาย แล้วก็ไม่คิดว่าแต่งหญิงเป็นเรื่องแย่อะไรตรงไหน ถึงผมจะไม่ได้สำนึกเป็นผู้หญิง แต่กระโปรงเอย วิกผมเอย พวกเครื่องสำอางด้วย ก็สวยดีออก แล้วที่อยากใช้ของพวกนั้นบ้าง หรือคนที่เป็นหญิงข้ามเพศจะแต่งแบบนั้นหรือไม่แต่งแบบนั้นมันก็ไม่เห็นเลวร้ายอะไร ศิลปินก็ไม่ได้ไร้สาระ แล้วคนที่อยู่ในคำว่าฮิปปี้ ที่จริงก็มีทุกรูปแบบรวมกันอยู่ในภาพไลฟ์สไตล์แบบหนึ่ง คำดูถูกอีกแบบหนึ่ง ตอนนั้นผมก็กลัวขึ้นมา กลัวว่าผมจะไม่ดีจริงๆ อย่างที่เขาว่ากัน ถึงได้คิดแบบนั้น จนกลัวกระทั่งที่ตัวเองอยากไว้ผมยาว แล้วก็กลัวที่ชอบผู้ชายด้วย”
“แล้วตอนนี้…” เด็กสาวขยับนิ้วคล้ายอยากชี้ผมเขา
“ความคิดผมเปลี่ยนตอนขึ้นมหาวิทยาลัยน่ะครับ” อรัณแค่นยิ้มเล็ก ทว่าก็เป็นยิ้มสบายใจ ติดจะเขินเพราะรู้สึกดั่งว่าตนกำลังโอ้อวด “ไม่ค่อยกลัวแล้ว”
“ถ้าพ่อนายบอกว่ามันผิด ส่วนฉันบอกว่าไม่เห็นมันผิดตรงไหน นายจะเลือกเชื่อใคร”
“ก็ -- พ่อ”
“เค งั้นพ่อนายบอกว่ามันผิดเพราะเขาบอกว่ามันผิดนะ แค่ไว้ผมยาวก็ผิดแล้ว เลือกเสื้อผ้าใส่เองตามใจอยากก็ผิดแล้ว ชอบผู้ชายก็ผิดแล้ว ส่วนฉันบอกมันไม่ผิด เพราะในโลกมีพวกทำชั่ว ๆ ตั้งเยอะที่ไว้ผมสั้น เอะอะอ้างระเบียบวินัยว่าดี ผู้ชายต้องใส่กางเกง ผู้หญิงควรใส่กระโปรง ไม่ได้เป็นศิลปิน ไม่ได้เป็นฮิปปี้ ไม่ได้เป็นกะเทย ไม่ได้ชอบผู้ชาย นายจะเชื่อใคร”
“…คุณ”
นั่นเป็นบทสนทนาตอนปีหนึ่ง ในคาบวิชาด้วยสิ อาจารย์นั่งอยู่บนโต๊ะหน้าห้องแม้จะมีป้ายติดว่าห้ามนั่ง แต่อาจารย์บอกว่ามันแปะเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นไม่ได้บอกคนไทย
เพื่อนของเขานั่งอยู่ข้างเขา มองมาด้วยสายตาจริงจังแทบเรียกได้ว่าเดือดดาลน่าดู
คาบวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเขาน้ำตาซึม แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนั้น
พอตอนปีสี่ พ่อที่เป็นคนเข้มงวด ชอบสอนเขาว่าทุกอย่างต้องทำให้ชัดเจน แยกแยะให้เป็นอะไรถูกอะไรผิด ซัดเขาไม่ยั้ง ต่อย แล้วก็กระทืบลงมา
“ไม่อยากโดนล้อโดนว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อก่อนผมคิดว่าเพราะสิ่งที่ผมชอบอาจจะโดนด่าว่าเอาได้ทุกเมื่อ ถ้าเขารู้เข้าเป็นเรื่องผิด ตัวผมก็จะผิดไปด้วย ตอนนี้ผมคิดว่าเพราะมันเป็นการกระทำที่ใจร้ายน่าดู ทำให้เราเกลียดทั้งสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราไม่ได้เป็นไปหมด”
ดั่งสายฝนที่โปรยปรายทับถมได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร
“สุดท้าย คนที่รู้สึกถึงน้ำหนักของความอ้างว้างก็เหลือแต่เราเอง ไม่ใช่คนพวกนั้น”
ไม่ใช่พ่อของเขา
ไม่ว่าเขาจะเปียกเหนอะเลือดหรือน้ำตา
น้ำหนักที่ฟาดลงมา พ่อของเขาไม่มีวันมาขอรับรู้ด้วย
“หมายเลข 35 ค่ะ”
อรัณลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้น แล้วเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไปข้างในโรงละคร
อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์เคาะประตูห้องพักพร้อมเปิดเข้ามาทีเดียว “คนทา อัศวินกับกนกพรหายทั้งคู่เลยเหรอ วันนี้”
“อัศวินลากิจครับ ส่วนกนกพร ผมโทรไปหาผู้ปกครองแล้ว ไม่สบายครับ อาหารเป็นพิษ” โกตอบฉะฉาน พยักหน้ายืนยัน อาจารย์รายนั้นจึงพยักหน้ากลับแล้วปิดประตู
“โทรแล้วจริงเหรอคะ” เจนธรรมถามหลังมั่นใจว่าประตูปิดสนิท
“ไม่ละ อย่างกนกพรโดดเรียน ก็ไม่พ้นไปช่วยอะไรอัศวินนั่นแหละ เมื่อวานมายื่นจดหมายลากิจหน้าเครียดเชียว” โกตอบ กลับไปสนใจคอมพิวเตอร์และตารางแบ่งสัดส่วนคะแนนที่อาจารย์หัวหน้าภาคสังคมให้ทุกคนตรวจ
ยามบ่ายซึ่งทั้งเขาและเจนธรรมบังเอิญไม่มีสอนทั้งคู่
พอเงียบนานเข้าหน่อย โกชำเลืองมองผ่านขอบจอคอมพิวเตอร์ไปยังเจนธรรม ยังจำได้ไม่ลืมว่าพี่ปราชญ์แนะนำอะไรไว้ ทว่าเขาควรจะเปิดประเด็นอย่างไรเล่า
“อาจารย์คนทามีอะไรจะถามหรือเปล่าคะ”
เปิดแบบนี้นี่เอง
“พี่ปราชญ์เหรอ”
“Yep” เธอเน้นเสียงตรงตัว P น่าดู
โกไถเลื่อนเก้าอี้ ลากตัวเองออกจากโต๊ะทำงานไปหาเจนธรรม “ผมไม่รู้ว่าผมทำตัวถูกไหม -- กับหลานผมน่ะ กับอาจารย์เองด้วย แล้วก็เพื่อนหลาน -- แล้วก็เพื่อนหลานอีกคน -- แล้วก็เพื่อนผมด้วย”
“แล้วทำไมถึงสงสัยขึ้นมาล่ะคะ”
“ก็ท่าทีคุณกับพี่ปราชญ์เมื่อวันก่อน แล้วก็ การที่หลานผมกับเพื่อน ๆ เขาเพิ่งมาบอกผม แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อนสนิทที่สุดของผมสมัยเรียนเป็นเกย์อีกคน ผมงง เหมือนจู่ ๆ ทุกคนก็มารุมบอกผม แล้วก็แบบ -- ที่ผ่านมาผมมองข้ามอะไรไปเหรอ ทำอะไรไม่ดีไปรึเปล่า”
เจนธรรมยกมือเท้าคาง อีกมือควงปากกา
“อาจารย์คนทาเป็นเพื่อนที่ทำงาน ฉันคงมองคุณให้เหมือนที่หลานคุณมองไม่ได้หรอกค่ะ”
เขาคอตก “ก็นั่นสินะ”
“ตอนแรกฉันตกใจค่ะ ที่คุณประหลาดใจขนาดนั้น wonder if ว่าอาจารย์รับไม่ได้หรือเปล่า” เขาเปิดปากจะรีบยืนยัน ทว่าเจนธรรมยิ้มให้ก่อน “รู้แล้วค่ะ ปฏิกิริยาของอาจารย์คนทาไม่ได้แย่สุดด้วย ยังไงก็ดีกว่าบ้านป้าฉันแน่ ๆ แล้ว They were so against it. Still are. ตอนนั้นแทบบ้านแตกแน่ะ ป้าบอกไม่น่าส่งฉันไปเรียนนอกเลย พ่อกับแม่เถียงป้าแทนสุดใจ they were one slur away from stabbing each other” ฝ่ายคนฟังนึกทึ่งที่เธอหัวเราะ
“ผมคิดว่าผมไม่มีความเห็นอะไรเรื่องพวกนี้” โกโน้มตัวไปข้างหน้า เอานิ้วมือเกี่ยวพันพาดหลังคอ “แต่ที่จริงผมมีสินะ”
“ใครๆ ก็มีทั้งนั้นแหละค่ะ” เจนธรรมสวนทันควัน “ไม่ว่าจะ ‘พูดบ้าอะไร’ ‘ไปจำมาจากไหน’ ‘เลียนแบบพวกฝรั่งเหรอ’ ‘พ่อแม่อุตส่าห์มีลูกสาวหน้าตาสวย’ ‘เออ ช่างเหอะ ไม่เกี่ยวกับฉัน ลูกฉันอย่าเป็นแล้วกัน’ ‘จะเป็นอะไรก็เป็นไป but don’t shove it down my throat’ หรือ ‘ขอแค่ลูกเป็นคนดี ที่เหลือจะอะไรก็ช่างเถอะ’ หรือจะ ‘เป็นไปได้ยังไง ชอบผู้หญิงเหรอเนี่ย’”
“‘อะไรเนี่ย ทำไมอยู่ ๆ ทุกคนก็เป็นเกย์’” โกช่วย
เจนธรรมยิ่งหัวเราะหนัก
“ผมไม่รู้จะคุยเรื่องนี้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลานอยากคุยหรือเปล่าถึงได้มาบอกผม แต่มันก็บอกแบบ เหมือนไม่ได้อยากให้ใส่ใจเป็นพิเศษ”
“ตอนฉันเข้าใจว่าอาจารย์รู้อยู่แล้วและไม่ได้รังเกียจอะไร ฉันก็สบายใจดีเวลาอยู่ในห้องนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้อยากคุยเรื่อง sexuality ของฉันกับอาจารย์คนทาตลอดเวลาหรอกค่ะ แต่” เธอเบะปาก ทำเป็นโบกมือไล่เขา หรือไม่ก็คงไล่ผู้ชายทุกคนโดยรวมที่สนใจความสัมพันธ์หญิงกับหญิงแบบไม่น่าไว้วางใจ “ฉันรู้ค่ะว่าอาจารย์คนทาไม่ได้อะไร แต่สำหรับฉัน มันคงเป็นเรื่องของ ‘อ้าว’ หรือ ‘อ๋อ’ มากกว่า”
“อ้าว หรือ อ๋อ เหรอครับ”
“‘อ๋อ อาจารย์คนทาชอบ Legally Blonde’ ไม่ใช่ ‘อ้าว อาจารย์คนทาชอบ Legally Blonde’ อะไรแบบนี้น่ะค่ะ”
อ้าว
อ๋อ
“บ้านผมมีครบสามภาคเลยนะ”