3 ตอน 3
โดย pynox
“โณมันบอกแม่แล้วเหรอ” โกถามขึ้นในห้องพระ
ผู้เป็นแม่ไม่ตอบทันที นกยูงไหว้พระให้เสร็จก่อนค่อยลดมือลงแล้วหันมาหาลูกชาย พอเห็นว่าโกขยับขาเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ ก็รู้ทันทีว่ากะจะคุยกันตรงนี้
“อืม ตั้งแต่อรัณเข้าโรงพยาบาลครั้งนั้นนั่นแหละ”
“อ้าว นั่นมันตั้งนานแล้วนี่” ฝ่ายลูกชายมองแม่ แล้วหันมองหิ้งพระ เหมือนจะถามว่าพวกท่านก็รู้ก่อนเขาอีกไหม จากนั้นจึงหันขวับกลับมามองแม่อีกครั้ง
“เอ๊า ก็ใช่น่ะสิ” นกยูงเท้าสะเอวทั้งท่านั่ง “มีแต่แกนั่นแหละที่ยังไม่รู้”
“แล้วพ่อล่ะ”
“รู้แล้วสิ แม่โทรไปบอกพ่อเอง หลานก็บอกจะบอกตาด้วยเลยก็ได้” นางตอบฉะฉาน “ดังนั้นพี่แกกับสามีเขาก็คงรู้แล้วหมดแหละ” เหน็บว่าสามีรู้โลกรู้อย่างเป็นธรรมชาติ “เรื่องที่บ้านอรัณด้วย”
“แล้วไหงมันเพิ่งมาบอกโกอะ แล้วทำไมตอนนี้ทุกคนบอกโกกันรัวๆ เลย นี่ทุกคนลืมโกเหรอ”
“ตัดพ้อเหมือนเป็นเรื่องตัวเองเลยนะ”
“อุก” จุก
นกยูงถอนหายใจ “แม่ว่าโณมันไม่ได้ตั้งใจบอกหรอก แต่ตอนนั้นอรัณโดนพ่อซ้อมจนเข้าโรงพยาบาล ยังไงแม่ก็ต้องถามใช่ไหมละว่าเกิดอะไรขึ้น อรัณเขาเลยบอกแม่ก่อน ว่าพ่อซ้อมเพราะเขารู้แล้วว่าเป็นเกย์ แม่ก็พูดไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไร โกก็รู้แม่เกลียดการตีเด็ก ทวดแกเลี้ยงแม่กับลุงป้าน้าอาแกมา ทำผิดทีก็ฟาดตีที ผิดน้อยผิดใหญ่ฟาดหมด ร้องไห้ตาบวม จนเรื่องเล็กยังดูเป็นเรื่องใหญ่” ส่วนพ่อพวกเขา ดุลูกคำหนึ่งน้ำตาคลอเบ้าร่วงเผาะรอบหนึ่ง คุณนายนกยูงต้องคอยโอ๋ ที่รักพูดดีแล้ว “แล้วนี่มันถือสิทธิ์อะไรมาซ้อมลูกเข้าโรงพยาบาล ฮึ่ย…แต่แม่ก็คงเงียบนานไปหน่อย หลานเลยรีบบอกแม่ว่าหลานก็ไม่ได้ชอบแค่ผู้หญิง”
“แล้วแม่ตอบไปว่าอะไร”
“แกคิดว่าแม่จะตอบว่าอะไรล่ะ เพื่อนหลานนอนช้ำอยู่บนเตียงโรงพยาบาลเพราะพ่อมันซ้อม หลานตัวเองตาแดงบวมหน้ายู่ยี่ มายืนตัวสั่นแบบนั้น แม่ก็คิดว่าไอ้คนนั้นมันมาทำอะไรโณด้วยน่ะสิ ตอนนั้นจะเดินไปหาตัวมาด่าแล้ว แต่โณห้ามไว้ บอกไอ้เวรนั่น -- ขอโทษค่ะ ท่าน” มีแวะหันไปยกมือไหว้ทั้งหิ้งอีกหน “ขับรถหายหัวไปไหนแล้วไม่รู้ ตำรวจก็ไม่สนใจ จำได้ไหม”
จำไม่ได้ก็แย่แล้ว
“แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกโกด้วยล่ะ”
เขาจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันปัจฉิมที่คณะของพวกอรุโณทัย เจ้าตัวบอกจะกินเลี้ยงที่คณะถึงค่ำแล้วพาเพื่อนซี้มาค้างบ้านตามเคย ทว่าแค่ประมาณทุ่มกว่าก็มีสายเข้า กดรับตอนแรกได้ยินแต่เสียงสนฟูมฟายร้องไห้บอกอรัณจะตายแล้วๆ เขาเลยรีบพาแม่ขึ้นรถที่บ้าน บึ่งไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน แล้วรับสนไปโรงพยาบาลที่อรัณโดนส่งตัวไป เพื่อนรักของหลานหน้าแดงก่ำ อธิบายสลับร้องไห้ว่าพ่อของอรัณมาซ้อมลูกชายถึงคณะ
พอโกถามว่าพ่อของอรัณใช้กำลังแบบนี้บ่อยหรือ ก็เห็นภาพสะท้อนของสนในกระจกมองหลังพยักหน้าอย่างหนักแน่น จึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
“มันสำคัญด้วยเหรอว่าอรัณโดนพ่อเขาซ้อมเพราะอะไร” นกยูงถามกลับ ทว่าวินาทีต่อมากลับเหมือนเปลี่ยนใจ “โกชอบเอาเรื่องที่โรงเรียนมาบ่น หลานมันก็คงฟัง ๆ ไว้แล้วไม่แน่ใจละมั้งว่าโกจะคิดยังไง”
“โกบ่นอะไร” เขาเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง
“ไม่รู้ แม่เดา แล้วหลังจากนั้นมาก็ไม่ใช่ว่าโณเอาเรื่องนี้มาคุยกับแม่อีกเสียเมื่อไร แม่ก็ไม่เคยเซ้าซี้ถาม ไม่ได้ถามถึงอรัณหรือคุยกับเขาเรื่องนี้ด้วย ที่จริงโณอาจจะลืมมั้งว่ายังไม่ได้บอกโก” ว่าจบ มือยื่นมาให้ลูกชายช่วยฉุดให้ลุกขึ้น ไหว้พระเสร็จ นกยูงก็เข้านอน ส่วนโกกลับลงไปข้างล่าง อีกสามคนนั้นจัดทุกอย่างคืนที่แล้ว กำลังนั่งกองอยู่ตรงชุดโซฟารับแขก เปิดภาพยนตร์ดูแล้วร้องเพลงตามไปด้วย สนนั่งบนเก้าอี้นวมเบาะเดียว เอาหลังอิงที่วางแขนด้านหนึ่ง ขาพาดที่วางแขนอีกข้าง โณกับอรัณกึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดตัวจากคนละด้านบนโซฟา เท้าไปพัน ๆ เขี่ย ๆ กันอยู่ตรงกลาง โกจึงลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่เหลืออยู่
“อรัณ”
อรัณลุกขึ้น หดขาขัดสมาธิไว้บนโซฟาแทน “ครับ”
จะถามที่อยากถามก็โดนพระมารดาสวนมาเสียแน่นในอก โกเกาหลังหัวแล้วรีบคิดคำถามอื่นโดยแสร้งทำเป็นว่าจะถามเรื่องนี้แต่แรก เพียงแค่เรียบเรียงไม่ถูก “ปอง -- เออ เจ้าเด่นน่ะ มันถามถึงน้าบ้างไหม”
“มีบ้างครับ”
“น้าปองจะถามเรื่องน้ากับอรัณทำไมล่ะ ถามโณดิ ง่ายกว่าตั้งเยอะ” อรุโณทัยแหงนหน้าเกยข้ามพนักวางแขนของโซฟา มองโกทั้งสภาพกลับหัว
“ง่ายตรงไหน น้ายังจำไม่ได้เลยโณเคยไปคุยกับปองมันตอนไหน”
“ก็น้าไม่ค่อยเล่นเฟส เวลาน้าปราชญ์ลงรูปก็แท็กโณแทนตลอด น้าปองเลยแอดมา” พูดมิพูดเปล่า พยายามเอาให้ดูว่ารายชื่อเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของผู้เป็นน้าอยู่ในรายชื่อเพื่อนในบัญชีผู้เป็นหลานแล้วประมาณสี่สิบคน
“แล้วมันถามไหม”
“ถามอะไร”
อยากจะยันหลานที่รัก
“ถามถึงตูเนี่ย”
“ก็ถามว่าน้าโกโดนผู้ปกครองฟ้องร้องมั่งยัง”
Denpong Srisuk-Fry
Active 4 hr ago
ยังไม่เคยโดนฟ้องโว้ยย
ส่งข้อความแรกไปทักทายเสียหน่อย พอเงยหน้าขึ้นมา อรุโณทัยกำลังจ้องมา “อะไร”
“น้าปองไม่เคยโทรหาน้าเลยเหรอ”
“ก็ไม่นะ ตอนมันเพิ่งไปเรียนนอกก็มีส่งโปสการ์ดวันปีใหม่มาครั้งหนึ่งแหละ ปีต่อ ๆ มาก็มีส่งข้อความอวยพรกันบ้าง แต่เผลอแผล็บเดียวก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ตอนเริ่มเล่นเฟสก็…ก็นะ”
อรุโณทัยลุกขึ้นอย่างบรรจงเกินจำเป็น เอามือหนึ่งตะครุบขาอรัณ “อรัณ ถ้านายไปดังที่ฮอลลีวูดขึ้นมา อย่าเป็นแบบนี้นะ ฉันรับไม่ได้” พูดจบมีโถมท่อนบนลงไปกอดขาอรัณ
“เฮ้ย กู -- เราด้วย เราด้วย” สนที่อยากแจมมีการรีบแก้ ทั้งที่พวกเขาไม่เคยบ่นหรอกถ้าเด็กพวกนี้จะพูดหยาบใส่กันเอง ต่อให้มีตนหรือพระมารดาอยู่ด้วย แต่ทั้งสามมักเลี่ยงประจำ สนเข้าร่วมรุมกอดอรัณประมาณว่าไม่ให้เธอไป รุมโหวกเหวกโวยวายใส่คนเงียบสุดในกลุ่ม โกเห็นแล้วอยากพาอรัณไปตรวจว่าหูยังสบายดีอยู่ไหม อยู่กับจอมโหวกเหวกสองตัวแทบทุกวัน
“โว้ย น้อย ๆ หน่อย ไม่ได้เลิกเป็นเพื่อนกับมันสักหน่อย แค่ห่างกันไปแล้วมันต่อยาก”
Denpong Srisuk-Fry
Tap for details
เหี้ยเอ๊ย กูว่าแล้วหลานมึงต้องแฉเข้าซักวัน
สบายดีเหรอมึง
กูว่าสบายแหละ สงสารก็แค่นรมึง เจอจานเถื่อน
ไอ้เหี้ย อยู่เมกานานจนละทิ้งตัวการันต์เหรอวะ
จานกูหมายถึงหน้ามึง
ปกติสุขดี
มึงล่ะ
เหี้ยปอง
แข็งแรงดี
เหี้ยโก
กว่าจะรับแอดกู สามชาตเศษ
มึงนี่นะ
กูไม่ค่อยเล่นเฟส
แต่ว่าจะกลับมาเล่น
ตามนรไม่ทันละสิ
สม
แค่หลานเพื่อนกลับมาเล่น
อรัณน่ะ มึงรู้จักนี่หว่า
ไม่บอกกูเลย
เพื่อนหลาน ใช้โนเกียมาตลอด
ตอนนี้ใช้สมาร์ทโฟนละ จะกลับมาเล่นเฟสด้วย
เท่ากับตอนนี้ทั้งบ้าน จะแม่กู ไอ้โณ อรัณ
เล่นเฟสกันหมด กูก็เหงาดิ
ก็ดีแล้วเปล่าวะ เพิ่งรู้มึงมีเฟส
ก็ดีจริง
ไม่บอกกูเลย
จะให้บอกยังไง มึงไม่รับแอด
คิดถึงมึงนาเว้ย
เชื่อ
กูด้วย
“ก็ดูไม่ยากเท่าไรหนิ”
โกสะดุ้งโหยง หันไปเจอทั้งหลานและเพื่อนหลานมายืนมุงโทรศัพท์ตนกันหน้าตาเฉย เหมือนดงต้นไผ่รึยักษ์ขี้เสือก จอโทรทัศน์โดนหยุดค้างไว้
เขาดีดมะกอกไปคนละที “อย่ามาแอบดูมือถือคนอื่น”
“ไม่ได้แอบสักหน่อย เลยคิดว่าทำได้” อรุโณทัยลูบหน้าผาก
“รัฐบาลโกงกินกันอล่างฉ่างแปลว่าทำได้เรอะ”
“ขอโทษครับ” อรัณเอ่ยขออภัยมาอย่างเจ็บแปลบปลาบกับคำเปรียบเทียบ ยายสนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชี้หน้าอรุโณทัยเชิงสมน้ำหน้า ทั้งที่หน้าผากตัวเองก็มีรอยแดงบางๆ ประทับอยู่ครบชุดสามคน
โกกลับขึ้นห้อง มองนาฬิกาแล้วบอกตัวเองว่าถึงเวลาอันควรเริ่มทำงาน ช่วงแรกยังได้ยินเสียงสามคนด้านล่างกลับมาร้องเพลง ทว่าพอจดจ่อเข้าหน่อยเขาก็ไม่ได้ยินอะไรเท่าไร ในหัวเหลือเพียงความคิดทบทวนวิชาสอน เทียบตารางสอนกับการบ้านที่ต้องมอบหมายให้แต่ละห้อง จนกระทั่งมีเสียงแจ้งเตือนข้อความดัง
Denpong Srisuk-Fry
Tap for details
กูไม่รู้ว่ามึงสังเกตไหม ไม่รู้ด้วยใครบอกมึงยัง
แต่เออ
กูแต่งงานแล้วนะ
in case it helps กูไม่ได้ชวนรึบอกคนรู้จักในไทย
เรื่องงานแต่งล่วงหน้าเลยนะ
โทษที
พลันโกต้องนึกทึ่งกับตัวเอง เพราะอรัณเพิ่งบอกว่าว่าพี่เด่นเข้าใจสิ่งที่อรัณเจอเนื่องจากเจออะไรคล้ายกันมา แล้วอาบน้ำเสร็จเขาก็ลืมสนิทว่านั่นหมายถึงอะไร
Denpong Srisuk-Fry
Tap for details
ขอโทษไรวะ
กูสิ 555
ยินดีด้วยย้อนหลังว่ะ
หนุ่มฝรั่ง?
เออ
ลูกเสี้ยว เขาเกิด-โตที่นี่
ว่าไปมึงอยู่ไหนในเมกานะ
ซานฟรานซิสโก
พี่กูอยู่นิวยอร์ค
โนบอกอยู่ แต่กูยังไม่เคยโผล่ไปเจอเลย
มันใกล้กันเหรอวะ
มึงเป็นครูสังคมไม่ใช่เรอะ
โกหัวเราะ วางโทรศัพท์มือถือลง
ก่อนจะคว้ากลับขึ้นมาพิมพ์ตอบ
Denpong Srisuk-Fry
Tap for details
แล้วพี่ปราชญ์ล่ะ
?
พี่ปราชญ์ทำไม
อยู่กับมึงไม่ใช่เหรอ
เขารู้ตอนไหน
เรื่องมึงแต่งงาน
ก่อนหน้านี้
โว้ย
โกวางโทรศัพท์ลง ลากมือลูบหน้าตัวเองแล้วสั่งสมองให้ย้ายสมาธิกลับไปที่งานในคอมพิวเตอร์
นั่นไม่อธิบายว่าทำไมตอนตีหนึ่ง เขาถึงนอนไม่หลับ ตัวเลขเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนังและหน้าจอโทรศัพท์ดูใจร้ายชอบกล โกซึ่งขึ้นเตียงมาได้ครึ่งชั่วโมงเลิกพลิกหามุมที่หลังหัวทำปฏิกิริยากับหมอน เขาเดินลงบันไดไปเปิดตู้เย็น ไม่ได้หิว แต่ถ้ามีอะไรน่ากินคุ้มให้แปรงฟันอีกรอบ อาจจะหิวขึ้นมา
เขาได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำข้างบันได จึงไม่ตกใจนักพอเห็นสนเดินออกมา มือเปียกๆ เช็ดเสื้อตัวเอง “อ้าว น้าโก”
“รอบนี้นอนกันยังไงเนี่ย” เขามองผ่านความมืดไปทางห้องรับแขก อาศัยเพียงแสงไฟจากห้องน้ำที่สนยังไม่ทันกดปิด เห็นร่างหัวยุ่ง มิพ้นเป็นหลานชายตน นอนเหยียดตัวยาวโย่งของมันอยู่บนโซฟา แปลกแท้ ปกติเวลาทั้งอรัณทั้งสนมาค้าง มักจะปูที่นอนบนพื้นแล้วนอนเรียงกันเลยสามคน
“โณกับอรัณจะนอนข้างล่างอะ หนูจะเลยขึ้นไปนอนบนห้องโณมัน พอดีพรุ่งนี้จะช่วยกันดูบท เลยขี้เกียจย้ายโต๊ะไปมาอีกรอบ” พอชะโงกมองให้พ้นเก้าอี้นวมเบาะเดียว เขาจึงเห็นว่าบนพื้นหน้าโซฟามีเจ้าโย่งอีกรายขดนอนอยู่เหนือผ้าปูและใต้ผ้าห่ม
“มีประกวดใหม่อีกแล้วเหรอ” โกถาม “แล้วพรุ่งนี้ไม่มีงานกันรึ”
“ก็ที่เดิมกับของปีก่อนนั่นแหละค่ะ” สนยิ้มแหย “แล้วพรุ่งนี้โณมันบอกว่าหัวหน้าแผนกเข้าบ่าย มันไปก่อนเที่ยงก็ทัน ส่วนอรัณเข้าออฟฟิศครบชั่วโมงของเดือนนี้แล้ว หนูไม่มีงานจนกว่าจะวันศุกร์เลย”
โกเดินไปเปิดตู้เย็น ไม่มีอะไรน่าใส่ท้องเอาป่านนี้เลย
“น้าโกหิวเหรอ หนูมีขนมนะ” เธอชี้กระเป๋าบนพื้น
“เปล่า แค่หาอะไรกินเล่นเพราะยังไม่ง่วง ไปนอนได้แล้ว เราน่ะ”
“หนูไม่ต้องตื่นเช้าแบบน้าโกสักหน่อย” สนทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะกินข้าว แกว่งเท้าดูว่าโกจะทำอะไรต่อ ซึ่งโกเองก็ไม่ทราบเช่นกัน จึงนั่งลงข้างเธอ “เป็นอะไรเปล่าคะ”
ถามเหมือนอรัณเมื่อวันเสาร์เปี๊ยบ โกนึกระแวง “น้าดูต้องเป็นอะไรรึไง”
“ก็หน้าน้าโกดูครุ่นคิด”
“มีความหมายแฝงปะ ความหมายแฝงใช่มะ”
โกไม่ได้อ่านคนไม่เป็นขนาดนั้น “พวกสนคิดว่าน้าจะทำอะไร เรื่องเจ้าโณกับเจ้าอรัณ”
สนเม้มปาก ไม่ต้องให้เขาอธิบายคำถามเพิ่มเติมเลย ใจหนึ่งโกก็นึกร้อนรนว่ามันทำไมนักหนา ในเมื่อตนไม่ได้คิดอะไรมากความเรื่องนี้สักนิดเดียว ทว่าคนอื่นกลับดูรอคอยให้เขาพูดอะไรสักอย่างเหลือเกิน
“พวกหนูก็ไม่รู้หรอก ถึงต้องถามไง”
มันพลิกโต๊ะคว่ำกลับมาใส่เขาได้เฉย
“น้าถามจริงๆ นะ น้าพูดอะไรไม่ดีไปรึเปล่า” สนไม่ตอบทันที “ตอนอรัณรึโณบอกสน สนตอบสองคนนั้นว่าอะไร”
“น้าโกจะอ้างอิงหนูเหรอ หนูกางแขนบอกพวกนางว่า join the club นะ ทั้งสองรอบเลย”
โกมองสนหัวเราะ เธอระวังไม่ให้เสียงดังปลุกสองคนนั้น แต่ก็หัวเราะเสียตาหยีเป็นประกายใต้แสงไฟห้องครัว แล้วโกก็นึกเสียดายว่าน่าจะขอขนมเพื่อนหลานกินเสียแต่แรก เขาจะได้มีอะไรทำระหว่างรอให้เธอหายขำ ไม่ใช่ได้แต่มองพร้อมทำความเข้าใจเสียใหม่
“หนูเป็นแพน”
“คือ…?”
“เอ ว่าไงดี สมมติถ้าน้าโกเป็นเจ้าชายแล้วก็เป็นเฮเทอโรเซ็กชวล แล้วน้าจะจัดงานเลี้ยงเต้นรำหาคนรักโดยเชิญแต่คนที่ตรงสเป็คน้ามา น้าโกก็น่าจะประกาศไปว่า ขอเป็นผู้หญิง ถึงที่จริงหนูอยากจะเรียกว่าคนที่สำนึกทางเพศเป็นหญิงนั่นแหละ น้าก็จะประกาศเชิญผู้หญิง นิสัยร่าเริง ชอบดูดีวีดีมากกว่าเข้าโรงหนัง หน้าคมหน่อยจะปลื้มมาก อะไรงี้เปล่า”
“เงียบไปเลย” โกขู่แฮ่ด้วยความเขิน ชักรู้สึกร้อนแถวคอกับหู ทำไมมันรู้สเป็คเขา
สนเมินเสียงขู่ “ถ้าเป็นอรัณก็คงประกาศชวนผู้ชาย ยิ้มเก่ง ตลก ชอบละครเวที ชอบเล่นเกมด้วยกัน ดังนั้นถ้าเป็นหนูก็คงประกาศว่าขอคนที่ใจดี กระตือรือร้น เกลียดเกมออฟโธรนส์ แล้วก็ไม่เชื่อร่อทเท่นโทแมโท”
โกคิด “แต่เพศไหนก็ได้น่ะเหรอ”
“ช่าย เวลาหนูนึกภาพตัวเองรักกับใครสักคนอย่างที่หนูเห็นพ่อกับแม่เป็นกัน รึอย่างพี่สาวกับแฟนๆ ของพี่เขา สำหรับหนูมันก็แค่…ไม่มีเพศมาเป็นตัวแปรอะ ว่างั้นคงได้มั้ง เป็นงี้มานานแล้ว”
สรุปคือนี่ก็อีกคนที่ไม่ใช่…โกยิ่งงุนงงว่าต้องเรียกว่าอะไร
“นี่ทุกคนรุมปั่นหัวน้าเปล่าเนี่ย”
“ปั่นหัวอะไรล่ะ พวกหนูไม่ได้เตี๊ยมกันสักหน่อย”
เขาย้อนไปยังสิ่งที่อรัณเคยบอก ทว่าตนขอแปะโป้งไว้ ยังไม่ได้คุยต่อเสียทีหนึ่ง “แล้วแบบนั้นมันต่างกับเจ้าโณยังไง เห็นอรัณบอกมันเป็นไบ แล้วก็ชอบ ยังไงนะ แบบ เพศเดียวกันแล้วก็เพศอื่น”
“น้าถามคำถามยากละ ทุกวันนี้เขายังตีกันอยู่เลย” สนไขว้แขนเกยบนโต๊ะ “แต่ต่างแหละ ไม่งั้นจะมีคำเรียกแยกทำไม มันไม่ใช่แค่เพราะเมื่อก่อนคนคิดว่ามีเพศแค่สองเพศ ใช้ไบก็พอแล้วด้วย (“มีมากกว่าสองเพศยังไงนะ?!” โกกระซิบน้ำเสียงตกใจ เป็นเดือดเป็นร้อน สนดีดหัวเข่าเขา) หนูกับมันก็เคยคุยกันอยู่ เพราะตอนแรกหนูก็เคยถามๆ ว่ามันเป็นแพนหรือเปล่า แต่มันหายไปหาอะไรอ่านทั้งคืน แล้ววันต่อมาก็บอกน่าจะเป็นไบ ถ้าถามหนู หนูว่าคงเพราะคำพวกนี้มันเกี่ยวกับการที่เรามองตัวเองแบบเกี่ยวข้องกับคนอื่นยังไง แล้วรู้สึกว่าใช่ตัวเองที่สุดมั้ง พอมันใส่ใจความเป็นตัวเอง เพราะที่ผ่านมา มีแต่อะไรสารพัดเต็มไปหมดเลยคอยสอนหนูว่า คนอื่นเห็นหนูเป็นยังไง แล้วหนูต้องทำตัวยังไงให้ตรงกับที่เขามองมา”
แปลกดี -- โกคิดกับตัวเอง ขณะฟังเสียงสนไป ทั้งที่ยังนั่งกันอยู่ตรงโต๊ะในห้องครัวควบห้องกินข้าวของบ้าน เวลาดึกจวนตีสองแล้ว เสียงเธอกลับเหมือนล่องลอยอยู่ในบริเวณท้องฟ้าสดใส รายล้อมด้วยสีสัน ลูกโป่งกระมัง หรือว่าป้ายลวดลายมีชีวิตวีชา ตัวเขาไม่น่าใช่คนจินตนาการบรรเจิดอะไรนักหนา ทว่าเสียงของสนมีแต่ภาพแบบนั้นอยู่
“แล้วน้าจะรู้ได้ยังไงเนี่ยใครเป็นอะไร อันไหน”
สนไหวไหล่ “นั่นน่ะสิ น้าโกจะไปรู้ได้ยังไง แล้วน้าจะประหลาดใจทำไมล่ะ”
แก้วน้ำอัดลมน้ำแข็งพูนเย็นเฉียบแนบแก้ม ปลุกโกให้ดีดตัวโผงหลุดจากอาการงัวเงียชั่วประเดี๋ยว อย่างน้อยก็พอให้เขารับรู้ได้ชัดเจนว่าพี่ปราชญ์เดินมานั่งโต๊ะเดียวกันในโรงอาหาร “หน้ายุ่งเป็นกระดาษโดนยัดเครื่องซักผ้าเลยมึง”
“พี่ปราชญ์”
“หือ”
“พี่เป็นเกย์เปล่า”
“เปล่า”
“ไบ?”
“ไม่”
“…แพน?”
“ก็ไม่”
เงียบกริบ ส่วนหนึ่งเพราะพี่ปราชญ์เริ่มกินข้าวเช้า อีกส่วนคือโกกำลังด่าตัวเองในใจว่าถามไปทำไม
“มึงคุยกับไอ้ปองแล้วละสิ” รุ่นพี่ช่วยต่อบทสนทนาให้หลังกลืนอาหารหมดปาก
“พี่ช่วยนายทุนส่องโทรศัพท์ผมเหรอ”
“เดี๋ยวกูพ่นน้ำใส่หน้า” บอกไม่ได้ว่าขู่เปล่าหรือขู่จริง “ปองมันบอกกูเองว่าคุยกับมึงแล้ว อีกอย่าง มึงไม่มีทางรู้จักคำว่าไบกับแพนขึ้นมาเองอยู่แล้ว”
“พี่ก็ไม่น่าจะรู้จักเปล่าว้า”
“เจน”
“เออแฮะ” ต้องยอมรับว่าเจนธรรมสนิทกับปราชญ์มากกว่าจมหู
“แล้วก็เฟสหลานมึงอีก มันแชร์เรื่องพวกนี้มาเพียบเลย จนชักชินตาคุ้นหูไปเอง สักพักก็มีกดเข้าไปอ่าน แล้วก็มาคุยกับเจนอีกที วนไป”
ทำไมคนรอบข้างเขาชอบคุยกันอยู่รอบตัวเขาจัง
“สรุปมันแปลกหรือไม่แปลกวะ ที่ผมไม่รู้เนี่ย”
“ก็ไม่แปลกมั้ง ถามทำไม”
“ก็เห็นพี่กับอาจารย์เจนแทบจะมองผมใหม่ เมื่อวานน่ะ” โกทวง “แต่คุยกับเพื่อนเจ้าโณอีกคน เขาพูดเหมือน เออ แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงละ”
“รู้ว่า”
“ว่าใครเป็นเกย์ เก้ง ทอม กะเทย ดี้ เลส แบน ไบ”
“แพนเฟ้ย” ปราชญ์แก้ให้ “มึงถามตัวเองก่อนว่ามึงคิดงั้นจริง หรือมึงคิดว่าถ้าใครเป็นเกย์ กะเทยงี้ มึงต้องมองออกบ้างแหละ มึงลองนึกดู” มิพูดเปล่า นิ้วยาวซึ่งมักหยิบจับขยับอย่างแข็งแกร่งไม่ว่าจะตอนพิมพ์ดีดให้นักเรียนดู หยิบจับช้อนส้อม หรือแกะสลักผลไม้ของปราชญ์ยังแอบชี้กวาดไปรอบด้าน โกมองตาม เลิกคิ้วงุนงงว่ามีอะไรให้ตนมองนอกจากโรงอาหารโล่งโจ้ง มีแต่พวกอาจารย์กันเองมานั่งกินข้าวเช้าประปราย ด้านนอกมีอาจารย์ฝ่ายระเบียบกำลังเอ็ดนักเรียนชายหญิง ทิ่มนิ้วเดี๋ยวชี้กระโปรง เดี๋ยวชี้หน้า แล้วฝ่ายนักเรียนหญิงต้องปลดเข็มขัด แก้ทบกระโปรงลง ส่วนนักเรียนชายต้องถอดบางอย่างตรงหูออก โกเดาว่าเป็นก้านพลาสติกเสียบรูเจาะหู
โรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนชายใส่เครื่องประดับ อนุญาตแค่สร้อยพระ หรือเครื่องประดับตามความเชื่อทางศาสนา ส่วนนักเรียนหญิงใส่สร้อย ต่างหู แหวน หรือกำไลได้ถ้าไม่หวือหวาเกินไป ตอนประชุมเรื่องระเบียบมีคำอธิบายว่าเพราะเด็กนักเรียนชายมีแนวโน้มเล่นห่ามๆ กว่า ไม่ควรใส่เครื่องประดับติดตัวให้เสี่ยงเกิดอาการบาดเจ็บเพิ่ม และมีระเบียบนี้เพื่อป้องกันเด็กใส่ของแพงมาโรงเรียนแล้วหายหรือเสียหาย แต่แน่นอนว่าโก ลูกแม่นกยูงผู้เป็นลูกค้าระยะยาวแบรนด์เครื่องประดับหลายเจ้า ต่อให้ไม่ได้ซื้อเยอะแยะ เฉลี่ยอาจจะปีละชิ้นครึ่ง ทว่าหนังสือแคตตาล็อคนี่รับหมด บางคราวเขาบอกได้ด้วยซ้ำว่าไอ้เครื่องประดับไม่หวือหวาหลายชิ้นบนตัวนักเรียนบางคนนี่ราคาเกินสองในสามเงินเดือนตน
แต่เวลาพวกครูสั่งให้นักเรียนชายถอดเครื่องประดับ มักไม่ใช่ด้วยคำพูดห่วงหาว่าเดี๋ยวไปวิ่งเล่นทำตัวทโมนแล้วจะโดนเครื่องประดับบาดเอา รวมถึงไม่มีคำอธิบายด้วยว่าแล้วทำไมสร้อยพระจะไม่บาด แล้วทำไมนักเรียนหญิงแค่ถอดเครื่องประดับเก็บค่อยเล่นกีฬาได้ไม่มีปัญหาอะไร
“เออ ก็นะ…” ขณะเดียวกัน โกก็เคยคิดว่าพวกนักเรียนชายที่รั้นจะแอบใส่เครื่องประดับนักหนาอย่างเจาะหูนี่อยากเท่หรือเป็นตุ๊ด เป็นเกย์กันแน่ รวมถึงพวกที่สนิทกับนักเรียนหญิงมากกว่านักเรียนชายด้วยกัน กระนั้นเขายังคงยืนยันในที่ประชุมว่าไม่ใช่เรื่องต้องรายงานผู้ปกครองหรือไปวอแวอะไรกับตัวนักเรียน
แต่พี่ปราชญ์ไม่ได้ถามเขาเรื่องนั้น
“ก็มีบ้าง ที่ผมคิดว่าคนนี้คงเป็นแหละ”
“มึงไม่ต้องอ้อมแอ้ม ทำหน้าหมาโดนด่าขนาดนั้น”
“จริงดิ”
“กูไม่ได้ประชดนะเออ” พี่ปราชญ์รวบช้อนส้อม กินเสร็จอย่างไวว่องช่วงที่โกขบคิดทบทวน “แต่กูแค่คิดว่ามันต่างกันนะ” มือหยิบน้ำขึ้นดูด
“อะไร”
พี่ปราชญ์ดูดน้ำ
เดจาวูวันเสาร์ หรือเขายังไม่พ้นยามสายวันนั้นจริงกันหนอ
รอ
“คือ…”
พี่ปราชญ์เท้าคาง ตามองโก ปากดูดน้ำเป็นเสียงยาวไม่มีขาดช่วง
รอต่อไป
“คือพี่หมายถึง…”
มองดูน้ำสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเหือดหายเหลือแค่สีน้ำตาลอ่อนเกาะแทรกตามซอกน้ำแข็งนั่นซี
พี่ปราชญ์แม่งดูดน้ำต่อไป
“โว้ย พี่มึง! แก้วจะยุบแล้ว!”
“มึงดูอัดอั้นตันใจเนาะ” รุ่นพี่ที่เคารพรักปล่อยหลอดในที่สุด “กูอยากขำขัน”
อาจารย์ต่อยกันในโรงอาหารจะดังในทวิตเตอร์ไหมหนอ
“พี่แค้นไรผมอยู่จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“ไม่ได้แค้น กูก็ต้องคิดบ้างสิวะ ไม่ได้รู้เรื่องนี้ดีอะไรขนาดนั้น” น้ำหมดแล้ว คราวนี้เป็นเสียงหลอดทิ่มน้ำแข็งไปมา “ไหน กูพูดค้างไว้ว่าไงนะ”
“สักอย่างมันต่างกัน อะไรต่างวะ จำนวนครั้งที่เราแต่ละคนเคยเดินไปเหยียบกับดักหนูเหรอ”
ลูกเตะพุ่งเข้าชนหน้าแข้งใต้โต๊ะ เข่าโกกระชากกระทุ้งโต๊ะอาหารซ้ำอีกดอก ทำเอาอาจารย์โต๊ะถัดไปตกใจ ปราชญ์หันไปส่งยิ้มเป็นมิตรเพื่อบอกว่าไม่มีอะไร
“เจ๊บ!”
“กูหมายถึงเรื่องเจน” ไม่แยแสต่อความบอบช้ำที่ก่อให้กันสักนิดเดียว “เขาไม่ได้นึกกลัวมึงจะคิดยังไงขึ้นมาเพราะมึงไม่รู้หรอกนะ ถึงแม่งจะชวนงงฉิบหายก็เหอะ ตอนนั้นเขาเอารูปคู่มาติด แล้วกูถามเขาว่านั่นใคร แล้วเขาบอกว่าแฟน มึงก็นั่งอยู่ในห้องด้วย กูจำได้ ห้องไม่ได้เล็กเลย”
“ผมไม่ทันมองรูปนี่หว่า!” ขอจำเลยแก้ตัว หรือหาทนายมาแก้ต่างให้เขาทีเทอญ “แล้วอาจารย์เจนกลัวอะไรผมขึ้นมา ผมไม่ได้พูดจาหมา ๆ อะไรใช่มะ ใช่มะ คือถ้าก่อนหน้านี้ผมพ่นอะไรไม่ดี พวกพี่คงเอะใจไปแล้วเปล่า แล้วถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน”
“เขาประหลาดใจที่มึงไม่รู้ กูก็ด้วย แต่กูว่าที่เขากลัว เพราะมึงประหลาดใจขนาดนั้น กูเองยังงงเลยว่ามึงตกใจอะไรนักหนา”
“ก็บอกแล้ว เจ้าโณมันเพิ่ง…”
“หลานมึงไม่ใช่ไบคนแรกที่มึงเพิ่งเคยเจอหรอก โก แล้วมึงก็ไม่ใช่เพิ่งมาได้ยินเป็นครั้งแรกว่ามีผู้ชายที่ไม่ได้ชอบแค่ผู้หญิง สมัยพวกเราอยู่มัธยมก็เคยคุยเรื่องครูเลขที่ประจำชั้นห้องกูน่าจะเป็นเลสเบี้ยนไม่ใช่เหรอ ที่ตอนนั้นพวกเราเรียกดี้กันน่ะ แล้วมึงก็รู้เหมือนกูว่าไม่ใช่นักเรียนพวกเราทุกคนจะชอบเพศตรงข้ามเหมือนกันหมด แล้วมึงตกใจอะไรกันแน่”
“ผม…ไม่รู้ว่ะ”
“แล้วตอนนี้มึงคิดมากเรื่องอะไร”
“ก็” โกรู้สึกคันท้ายทอยยิกๆ ยามเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ไม่มีอะไรสละสลวยในหัวเขา ส่วนปราชญ์เลิกทิ่มน้ำแข็งแล้ว ยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่ “ผมนึกออกนะ ตอนที่พี่ถามอาจารย์เจนเรื่องแฟนครั้งแรก พี่ตอบไปใช่ไหมว่าเขาดูรักกันดี”
“ใช่”
“ผมตอบเจ้าโณไปว่า ‘เออๆ ไปอาบน้ำไป’ พี่ว่านั่นโอเคไหม”
พี่ปราชญ์นิ่งไป ก่อนจะเริ่มขยับหลอดทิ่มน้ำแข็งด้วยจังหวะช้าลง “ที่กูเคยได้ยินมา คือกูรู้นะว่ามันมีคำตอบที่ผิด แต่แม่งก็มีบางทีรึหลายทีที่ทำให้ถูกทีหลังได้อีก เพราะงั้นกูคิดว่าอะไรที่มันถูก มันไม่ได้วัดแค่ประโยคแรกที่ออกมาจากปากมึงหรอกว่ะ แต่มันรวมถึงหลังจากนั้นด้วย” โกเลื่อนเก้าอี้ถอยเพื่อลุกตามพอเห็นปราชญ์เริ่มเก็บจาน “มึงลองถามเจนเขาดูสิ คุยกับเจนดู คุยกับไอ้ปอง แล้ววันไหนสักวัน คุยกับหลานมึง”