8 ตอน 8
โดย pynox
“มึง ครูปราชญ์มีเมีย!”
“คนเมื่อเช้าน่ะเหรอ สรุปเมียเขาจริงดิ”
“ตอนอยู่ด้วยกันโคตรน่ากลัว ลูกเขาไม่เครียดแย่เหรอวะ หรือหน้าบึ้งเหมือนพ่อกับแม่”
นักเรียนฮือฮาแว่วเข้าหู สาเหตุเดียวที่โกแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคือมันผิดจากความจริงไปไกลเสียจนตนไม่รู้จะเริ่มทักแก้ตรงไหนดี แม้ว่าความจริงที่ว่าจะเรื่องแต่งเช่นกัน แต่พี่ปราชญ์บอกว่าตกลงเพียงแค่เพิ่งเริ่มคบหากัน แล้วรุ่นน้องของพี่ปราชญ์ -- อิน -- จะมาโรงเรียนด้วยกันกับมารอกลับด้วยกันเป็นครั้งคราวให้คนในโรงเรียนเห็น เรื่องจะได้ไปเข้าหูนิ้ง แล้วนิ้งจะได้ไปบอกแม่โดยที่เด็กคนนั้นไม่ต้องมาช่วยโกหก
เริ่มวันแรก พวกนักเรียนพากันคิดว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วเรียบร้อย คาดว่าคงเพราะอายุของพี่ปราชญ์ พวกอาจารย์หลายคนยังเคยสารภาพว่าคิดว่าเขามีลูกแล้ว ไม่อยากเชื่อว่ายังโสด
อีกปัญหาคือตอนมา ทั้งสองพูดคุยกันได้ไม่ติดขัด แต่หน้าเรียบสนิทกันทั้งคู่ อย่างกับเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่มีอารมณ์ร่วมใด ๆ ต่อกันทว่าต้องร่วมมือทำงานด้วยกันเพื่อประสิทธิผล
รึนั่นมันก็ไม่ผิดจากความจริงนะ หนึ่งในคนที่รู้ทุกอย่างถามตัวเอง
“ครูปราชญ์มีแฟนแล้วเหรอคะ” เจนธรรมถามตอนพวกเขาอยู่กันพร้อมหน้าในห้องพักครู
“รุ่นน้องจากสมัยเรียนมหาวิทยาลัยน่ะ บังเอิญได้เจอกันอีกครั้ง แล้วก็เลย…” ละไว้ในฐานที่เข้าใจตามแต่ว่าเธอจะเข้าใจเป็นอะไรได้เสมอได้ทุกสิ่ง โกนึกประหลาดใจ แม้จะรู้จักกับเจนธรรมมาไม่นานเท่ากับเขา แต่คิดว่าทั้งสองค่อนข้างสนิทกันทีเดียว พี่ปราชญ์กลับไม่บอกความจริงให้เธอร่วมรับรู้ด้วยเสียอย่างนั้น
ยังไงก็ความลับ อย่าให้คนรู้เยอะเกินย่อมดีกว่ากระมัง
เจนธรรมแจกขนมที่เธอซื้อมาจากหัวหิน บทสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเธอกับคนรักแทนเรียบร้อย โกเห็นพี่ปราชญ์มีแววตาโล่งใจ
แต่เรื่องอาจารย์กันตพิชญ์หน้าโหดและชีวิตส่วนตัวของเขายังคงโผล่มาเป็นระยะ โกโดนเด็กสามห้องถามถึงเรื่องนี้ในวันเดียว พวกนักเรียนรู้ดีว่าพวกเขาสนิทกัน ในเมื่อกลัวหน้าโหดอำมหิตของเจ้าตัว เช่นนั้นมาถามรุ่นน้องซึ่งดูใจดีกว่าแล้วกัน โกตอบไปตามเตี๊ยม
ผ่านไปสามวัน เรื่องจาก ‘ครูปราชญ์มีเมียหน้าบึ้งพอกัน’ กลายเป็น ‘ครูปราชญ์กลับมาคบกับแฟนเก่าสมัยเรียน’ สู่ ‘ครูปราชญ์ชอบกับรุ่นน้องแล้วไม่เคยบอกชอบกันจนกลับมาบังเอิญเจอกันอีกครั้ง แล้วได้รักกัน’ แล้วกลายพันธุ์เป็น ‘ถ้าขอแฟนกับเจ้าที่ในลิฟต์จะได้เนื้อคู่’ โกยกมือไหว้สิ่งใดๆ ในลิฟต์ตึกเพื่อขอโทษที่รุ่นพี่เขาเพิ่มภาระให้
แล้วกระแสก็จางหายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ อินยังคงแวะมาเดินในโรงเรียนตอนเช้ากับพี่ปราชญ์วันที่เธอขับรถมาส่งเขาเป็นครั้งคราว ซึ่งพวกนักเรียนชินตาแล้วเรียบร้อย ไม่มีใครทักหรือร้องแตกตื่นหรือแพร่จินตนาการประหลาดถึงครอบครัวของยักษ์ห้องพิมพ์ดีดแว่วเข้าหูโกอีก กระนั้นท่าทางส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน ไม่ใช่แค่เพิ่งคบหาดูใจ
พี่ปราชญ์กับอินบอกว่า ‘เอาเหอะ’
สีหน้าทั้งสองเหมือนกันในแบบที่ไม่ใช่แค่เพราะกำลังเซ็งหรือหน่ายใจด้วยกันทั้งคู่
“มีอะไรกันน่ะ” พักเที่ยงซึ่งเขากินอาหารของตัวเอง กะเวลาศินะกินอาหารเที่ยงเสร็จ แล้ววิ่งลงไปลากนักเรียนตัวแสบมาแก้รายงานที่ก็อปวิกิพีเดียมาส่งแบบไม่แม้แต่จะแปลก่อนอีกตามเคย เมื่อเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นของตัวเองด้วยกัน เขาเห็นห้องเรียนของเขามีคนอออยู่เต็ม ทั้งเด็กมัธยมหกและเด็กชั้นปีอื่น
“เอ ไนท์มั้ง” ศินะตอบ
“อัศวินน่ะเหรอ” โกยังคงเหลียวมองต่อแม้จะเปิดประตูเข้าห้องมาแล้ว เขาตัดสินใจทิ้งประตูแง้มไว้คอยฟังเสียงเผื่อมีความวุ่นวาย แล้วเดินไปหยิบการบ้านของศินะมาวางให้เจ้าตัวเขียนสรุปใหม่เฉกทุกครั้ง ฝ่ายนักเรียนลากเก้าอี้มานั่งอย่างคล่องแคล่ว
“เมื่อเช้าก็เห็นอยู่ ในทีวี” ศินะก้มหน้าก้มตาเขียน “โฆษณาไทย์ทิคเก็ต”
“แล้วอัศวินไปเกี่ยวอะไร”
“ละครของอังกฤษ-ฮ่องกงจะมาเล่นที่ไทยน่ะ ‘จารย์ แล้วเขาขึ้นภาพคนไทยที่ได้ไปเล่นในนั้นด้วย ก็ว่ามีภาพคนที่หน้าเหมือนไนท์มันอยู่นะ”
โกค้นด้วยโทรศัพท์
ละครเรื่องเดียวกับที่พวกอรุโณทัยพูดถึงแน่นอน ต่อให้จำชื่อไม่ได้ กดเข้าหน้าหลักของเว็บก็มีรูปอรัณอยู่ด้วย พอไล่ลง แถวต่อมามีรูปเด็กหนุ่มผู้หน้าเหมือนนักเรียนห้องเขา สีหน้าในรูปดูแปลกตาชอบกล สายตาจริงจังไม่เหมือนอัศวินเลย แต่ก็เป็นตัวอัศวินแน่นอนเช่นกัน เด็กคนนั้นเวลาอยู่ในห้องดูชอบทำตัวเล็ก เกาะกลุ่มกับเพื่อนเข้าไว้ก่อน ตัวติดกับกนกพรจนแทบนึกภาพเขาอยู่คนเดียวแล้วมีรัศมีหนักแน่นเช่นนี้ไม่ออกเลย
พวกเพื่อนร่วมระดับชั้น รู้จักไม่รู้จัก ต่างมามองดู ถามแทนพวกรุ่นน้องซึ่งอออยู่วงนอกอีกชั้นว่าจะไปเป็นดาราหรือ ได้คุยกับดาราคนอื่นในละครเรื่องเดียวกันไหม มีคนดังกี่คน ละครเป็นยังไง ผ่านเข้าไปเล่นได้อย่างไร และชมรูปกันเปาะ
โกย้อนดูประวัติวันลาของอัศวิน จำได้เพียงเลือนรางว่ามีวันที่เด็กหนุ่มลากิจช่วงเดียวกับหลานชายและผองเพื่อนคุยกันเรื่องออดิชั่นละครต่างประเทศ
“มิน่า…”
“อะไรเหรอ ‘จารย์” ศินะได้ยินเขาพึมพำ
“เปล่าหรอก แค่…เราก็เห็นบ่อย ๆ ใช่ไหมล่ะ คณะละครที่ชอบมาแสดงตามวันพิเศษที่โรงเรียนน่ะ นั่นของหลานชายครูเอง ก็ชื่นใจหรอกที่พวกนักเรียนดูก็ท่าทางชอบใจกัน เล่นตลกก็ขำกันลั่นสนาม แต่พอแสดงจบไม่เห็นใครพูดถึงหรือสนใจงานละครอะไรอีกเป็นพิเศษ พอเห็นงี้เลยดีใจนิดหน่อย”
ศินะพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีกไปจนมีคำถามว่าประโยคหนึ่งในรายงานต้นฉบับของตนแปลว่าอะไร
เรื่องของอัศวินอยู่ยาวกว่าของพี่ปราชญ์ ตอนแรกโกไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น พักเที่ยงวันถัดมา เขาไม่เห็นคนออหน้าห้องแบบเมื่อวาน แต่พอหลายวันเข้า ฝ่ายอาจารย์สังเกตเห็นเด็กห้องอื่นมาเข้าออกห้องเรียนที่ตนประจำชั้นบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะช่วงก่อนเข้าแถว ก่อนโฮมรูม ระหว่างเปลี่ยนคาบ พักเที่ยง หลังเลิกเรียน บางครั้งเป็นนักเรียนชั้นปีอื่น และอัศวินพยายามสุดชีวิตแกล้งทำเป็นไม่เห็น ตรงข้ามกับกนกพรซึ่งใช้สายตาอิดหนากลอกหนเดียว แม้จะไล่เพื่อนรุ่นเดียวกันไม่สำเร็จ แต่ทำพวกรุ่นน้องรีบหลบไปจากประตูได้หลายครั้ง
เขาเล่าเรื่องอัศวินให้พวกหลานชายฟัง เจ้าสามต้นไม้ตัวโย่งทำหน้าเผยพิรุธแต่ปากเม้มกริบ ยกเว้นอรัณซึ่งบอกว่านึกออกว่าเคยเห็นอัศวินวันออดิชั่น เพราะเป็นเด็กมัธยมเพียงคนเดียว
“เด็กมันหล่อด้วยแหละนะ คนเลยมั่นใจกันใหญ่ว่าน่าจะไปเป็นดารา” อัศวินคิ้วเข้ม ตาคม ถ้าเขาจำไม่ได้ทันที ตอนเห็นรูปคงคิดเช่นกันว่าเป็นดาราหน้าใหม่สักทีคนที่ตนไม่เคยเห็น “เหมือนปีก่อน อาจารย์ก็อยากให้เป็นพระเอกละครโรงเรียน แต่มันเล่นแข็งจนผู้กำกับขอเปลี่ยน”
“อ๋อ” “อ่อ” “อ๋อ ๆ”
โกมองข้ามจากห้องครัวไปยังทั้งสามคนขานรับกันน้ำเสียงทื่อทึมอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว “นี่มีอะไรกันรึเปล่า”
“เหอ” “หืม” “ห้ะ”
อะไรของพวกมันทั้งหลายกันหนอ
“นี่พวกเรารู้เห็นอะไร บอกน้ามาซิ”
อรัณเอามือปิดตา อรุโณทัยปิดหู สนตะครุบปิดปากตัวเอง
“นับหนึ่งถึงสาม ไม่งั้นมายองเนสกับซอสเทริยากิจะลงไปในแกงเหลือง”
โกเลยโดนท่านแม่แจกมะเหงกก่อนคุณเธอจะยกหม้อไปไว้ที่โต๊ะ แผ่รัศมีเปี่ยมเมตตาให้ทั้งสามหน่อที่ถึงขั้นร้องเสียงหลง ก่อนจะปรายตามองบุตรชายทำนองว่า ใครสั่งใครสอนให้เอาอาหารจานเด็ดของพระมารดาเป็นตัวประกัน เจ้าสามคนนั้นร้องเจี๊ยวจ๊าวขอบพระคุณท่านป้าท่านยายนกยูง
“ตอนนี้เขารู้กันหมดโรงเรียนแล้ว เราต้องปิดน้าโกต่ออีกเร้อ” สนกระซิบกระซาบถามหลังมื้อเย็น ทั้งสามรับหน้าที่ช่วยกันล้างจาน “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่ได้รู้จักกับพวกน้องเขาเอง”
“ก็น้องเขาไม่ได้บอกอะไรนี่หว่า แล้วในเมื่อรู้กันไปแล้ว พวกเราก็ไม่เห็นต้องพูดอะไรเพิ่มเลย แถมรู้แล้วว่าเล่นละครเรื่องเดียวกับอรัณ ยังไงน้าโกก็เดาได้เองแหละว่าพวกเราเจอกันไปแล้ว” อรุโณทัยยักไหล่ หางตาชำเลืองสอดส่องว่าน้าโกกลับขึ้นข้างบนไปอาบน้ำยังไม่ลงมาเร็ว ๆ นี้ “แต่ตกใจเหมือนกัน ลงโฆษณากันเร็วชะมัด”
“ปลุกกระแสไว้ก่อนละมั้ง สงสัยตอนทำเวิร์คช็อปคงมีถ่ายอะไรมาลงอีกเพียบ”
อรัณล้างแก้ว “ไนท์เขาบอกว่าไม่อยากให้ที่โรงเรียนรู้ เพราะกลัวโดนเลือกให้ไปเล่นละครโรงเรียนทีหลัง แต่เป็นไปได้ไหมว่า มันก็ยังเกี่ยวกับเรื่องกลัวโดนล้ออยู่ดี”
“เด็กมันก็ล้อกันเรื่อยนี่นะ ยิ่งถ้าบทห่วยจนเจ้าตัวบอกได้ ต้องไปเล่นมันยิ่งกว่าเขินอีก”
“มึงไม่พอใจอะไรบทกู!”
“ไม่ได้หมายถึงบทแก๊!” อรุโณทัยกับสนหันไปเป่าฟองสบู่อย่างเกรี้ยวกราดใส่หน้ากัน
“อาจจะไม่ใช่ล้อเฉพาะตัวเขาคนเดียวเท่านั้นน่ะสิ” คนผมยาวสุดในสามรายพึมพำ
คืนนั้นสนกลับบ้านตัวเอง ส่วนอรัณอยู่ค้างคืน เขาเดินพาหัวที่เพิ่งเป่าผมแห้งและหวี ให้ความรู้สึกเบาหวิวหลังเพิ่งอาบน้ำสระผมเสร็จ แล้วแวะไปเคาะประตูห้องหนึ่ง
“โอ้ เข้ามาได้เลย” โกบอกอย่างรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอรัณ เพราะทั้งบ้านนี้มีคนเดียวที่เคาะประตูห้องคนอื่นก่อนลองขยับลูกบิดดูว่าเปิดเองได้ไหม “มีอะไรเหรอ”
“น้าโกเคยรู้เรื่องที่มีเด็กในโรงเรียนโดนแกล้งเมื่อสามหรือสี่ปีก่อนไหมครับ ตอนนั้นน่าจะเป็นเด็กม.ต้น”
“แกล้งเหรอ…อืม เหมือนจะได้ยินอยู่สองถึงสามเคสนะ น้าดูตึกม.ปลายนี่สิ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร พอมันแยกตึกกันแล้ว ถ้าไม่ใหญ่โตจริงๆ หรือมีผลกับทุกชั้นปี จะไม่ค่อยรู้รายละเอียดข้ามตึกกันเท่าไรหรอก อย่างเคสหนึ่งที่รู้ละเอียดหน่อย คือมีเด็กขโมยกระเป๋าตังค์แกล้งเพื่อน แล้วมาค้นเจอว่าอยู่ตึกม.ปลาย ตอนนั้นเลยต้องสืบกันใหญ่โตเลย ไปได้ยินมาจากไหนล่ะ เรา”
“…ทวิตเตอร์ครับ” อรัณตอบเสียงเรียบ “แล้วในตึกของน้าโก มีแกล้งกันหรือเปล่าครับ”
“ไอ้รุมแกล้งเลยนี่ยังไม่เจอนะ แต่รู้ว่ามีพวกนักเรียนที่เหม็นขี้หน้ากัน” โกตอบตามตรง “พวกอาจารย์หัวหน้าตึก หัวหน้าฝ่ายบอกว่าพอขึ้นม.ปลาย เด็กก็สงบลงไปเยอะแล้ว สนแค่เรื่องสอบเข้า แต่น้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าถามว่าเด็กที่ดูโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนเนี่ยมีไหม ก็ต้องยอมรับว่ามี แต่ในเมื่อระหว่างเรียน อย่างให้ทำงานกลุ่มก็ไม่มีปัญหาอะไรด้านการจับกลุ่ม ช่วยเพื่อนทำงาน ก็ได้แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร”
“แม้แต่พวกที่แกล้งแบบ ล้อเลียนกัน อะไรแบบนี้ด้วยเหรอครับ”
“ล้อเลียนเหรอ…” โกทบทวน “ล่าสุดก็มีอย่างล้อคนสนิทกันเป็นแฟนกันน่ะนะ” อัศวินกับกนกพร ตัวติดกันขนาดนั้น ถ้าเป็นสมัยเรียนของเขาเองคงลือหึ่งเช่นกันว่าแอบคบกันอยู่ อัศวินเองมักโดนเพื่อนตะโกนแซวข้ามห้องให้ใครต่อใครได้ยินเสมอ ถ้ามองว่าข่าวพี่ปราชญ์มาจากแหล่งเดียวยังลือกระจายขนาดนั้น ตอนนี้อัศวินซึ่งดังขึ้นมาในรั้วโรงเรียนด้วย แล้วมีทั้งคนล้อว่าทั้งเจ้าชู้กับเพื่อนผู้หญิง และที่ลือว่าเจ้าตัวเป็นเกย์เป็นเพื่อนสาวของพวกนักเรียนหญิง ตอนนี้คงพูดกันไปถึงมัธยมต้นแล้ว “ก็น่าคิด ไว้ประชุมคราวหน้า น้าลองเอาไปหย่อนไว้หน่อยดีกว่า”
เรื่องไม่รอให้ถึงประชุมคราวหน้านี่สิ -- โกค้นพบในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะกำลังคุมเข้าแถว
คุมที่ว่าคือเขาเดินไปมา แวะคุยกับนักเรียนห้องตัวเองไม่ให้อาจารย์คนอื่นได้ยินว่าตนกำลังนินทาอาจารย์ฝ่ายปกครองบนเวที พวกอาจารย์ด้วยกันแน่นอนว่ามีการเหน็บแนมลอยมากับสายลมเสมอ ยามอยู่ด้วยกันเอง ว่าใครนินทาเพื่อนอาจารย์ให้นักเรียนชอบใจเป็นพวกไม่จริงจังต่อวิชาชีพ และสังเวยเพื่อนร่วมงานให้ตัวเองได้เป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน ซึ่งโกนึกเถียงในใจว่าไม่คิดบ้างหรือครับ ว่ากระผมแค่เก็บความแค้นจากสมัยตัวเองเรียนที่นี่เอาไว้
ขณะลำโพงกระจายเสียงร่ายจากสมาชิกฝ่ายปกครองเรื่องกำหนดการเอย ระเบียบเอย รายงานแนวโน้มจับคนทำผิดระเบียบได้เอย โกบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไรตนจึงสังเกตเห็น ระหว่างอรัณมาคุยกับเขาเมื่อคืนทำให้เขานึกมองหาสิ่งที่เกี่ยวกัน กับมันเกิดขึ้นบ่อยเสียจนสุดท้ายเขาก็ต้องเห็นเข้าสักวัน จะเป็นวันนี้ย่อมไม่แปลก
เด็กห้องอื่นกำลังแอบเอาโทรศัพท์ถ่ายรูปแถวห้องเขา คาดคะเนจากทิศทางแล้ว โกกล้าพนันว่ารูปในจอคืออัศวิน ซึ่งพอเขาเดินอ้อมไปดูจากข้างหลัง ก็เป็นรูปอัศวินในแถว กำลังโน้มหน้ามาและก้มลงเล็กน้อยเพื่อแอบคุยกับศินะที่ยืนอยู่ข้างหน้า
เอาละวา เขาไม่เคยเรียนรับมือสถานการณ์แบบนี้ด้วยสิ “โทษที แต่อันนี้ครูคงทำเป็นไม่เห็นไม่ได้แฮะ” โกพูดให้ได้ยินไม่กี่คน
เด็กนักเรียนเจ้าของโทรศัพท์มือถือสะดุ้งเฮือก หันขวับมาเจอเขา “อาจารย์ --”
“อัศวินเขารู้หรือเปล่าว่าคุณถ่ายรูปเขา”
“ก็ --” โกมองเด็กคนนั้นล่อกแล่กมองเพื่อนข้างหน้าและข้างหลังตัวเหมือนขอให้ช่วยพูด
“มีอะไร” พี่ปราชญ์เดินเข้ามาดู
“ขอยืมหน่อยนะ” โกพูดพร้อมดึงโทรศัพท์มาจากมือ พี่ปราชญ์มองในจอแล้วหันไปมองทางอัศวินซึ่งทั้งแถวเริ่มสังเกตแล้วว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
“ปล่อยแถวแล้วไปหาครูที่ห้องพัก” พี่ปราชญ์บอกเด็กคนนั้นก่อนจะเดินไปบอกหัวหน้าห้องว่าวันนี้ตนไม่เข้าโฮมรูม โกอนุมานว่านั่นหมายถึงตนก็ต้องเรียกอัศวินไปห้องพักด้วย เพราะตัวเครื่องโทรศัพท์ยังอยู่ในมือเขาอยู่เลย
โกตระหนักดีว่าถ้ายึดสิ่งของมาจากนักเรียน ถ้าไม่ใช่ของผิดกฎหมาย จะอย่างไรก็ต้องคืน จะคืนให้เจ้าตัวหรือให้ผู้ปกครองมารับล้วนขึ้นอยู่กับบริบท แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวและส่วนคนอื่น เขาสรุปได้ว่าโทรศัพท์มือถือเป็นของชิ้นหนึ่งที่ไม่ควรยึดนานนัก ถ้าระหว่างวัน ผู้ปกครองติดต่อนักเรียนไม่ได้จะเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากเรื่องราคาแล้ว ตัวเขาเองไม่อยากรับผิดชอบอุปกรณ์บรรจุข้อมูลส่วนตัวของเด็กไว้เกินจำเป็น
เมื่อเด็กทั้งสองมายืนในห้องพักครู โกเปิดปากคนแรก “อัศวิน เขาแอบถ่ายรูปคุณ คุณอยากให้ลบหรือเปล่า” เขาบอกอัศวินซึ่งทำหน้าสับสนตั้งแต่โดนบอกให้มาที่นี่
อัศวินหันไปมองเพื่อนร่วมชั้นปี “หา” โกเลื่อนโทรศัพท์ให้ดู เขาไม่ได้ปิดหน้าจอตั้งแต่ยึดมาชั่วคราว ตัวเครื่องเริ่มร้อนอยู่ตรงปลายนิ้ว เด็กหนุ่มลากนิ้วดูรูปหน้ารูปหลังล้วนเป็นภาพตัวเองในแถวที่โดนกดถ่ายมารัว ๆ
“ถ่ายทำไม ลบ” อัศวินหันไปบอกด้านข้าง เด็กอีกคนชักสีหน้านิดหน่อย แต่พี่ปราชญ์ยืนคุมให้เขากดลบรูปอัศวินทั้งหมด
“ไปกดลบในถังขยะด้วย” เสียงเข้มสั่ง
“ผมไม่ได้แอบถ่ายคนเดียวสักหน่อย พวกผู้หญิงก็ถ่าย”
“แล้วคุณถ่ายไปทำอะไร”
“ผมแค่เอาไปลงสตอรี่ในไอจีนิดหน่อย”
“ลงไปแล้วด้วยเหรอ” โกขมวดคิ้ว
“ป -- เปล่าครับ”
“ไหน” อัศวินหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมากดเปิด โกชะเง้อดู เด็กหนุ่มกดเปิดดูอินสตาแกรม ท่าทางจะรู้จักชื่อบัญชีกันดีพอสมควร ไม่นานอัศวินก็เงยหน้ากลับขึ้นมองคู่กรณีอีกครั้ง “ลบเดี๋ยวนี้!” หน้าเด็กหนุ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ
“มีรูปอะไรอีก” พี่ปราชญ์ขมวดคิ้ว หยิบโทรศัพท์มาจากอัศวิน โกลุกไปยืนดูด้วย
รูปอัศวินในคาบพละ ขัดสมาธิกอดลูกวอลเลย์บอลอยู่ข้างกนกพร มองดูแล้วเหมือนรูปถ่ายที่ระลึกความทรงจำที่เอาไปลงหนังสือรุ่นได้ แต่คำอธิบายข้างใต้ทำเอาโกชะงัก
towanby9 คนนี้ค้าบ ส่วนข้างๆ บางคนก็ว่าแฟน บางคนก็ว่าตัวหลอกค้าบ
View all 12 comments
Jaenissaya อัลไล ไมดูมีเรื่องราว
towanby9 555555 เรื่องมันเยอะ ในโรงเรียนรู้กันหมด พรุ่งนี้จะลงที่บางคนเขาว่าตัวจริงให้ดู
Jaenissaya แต่คงหลอกจริงแหละ ดูแล้วคนละฟิลเต้อมาก 555
“เฮ้ย คุณ ล้อกันเองในห้อง ตอนนี้ครูก็เริ่มต้องคิดแล้วคิดอีกนะ นี่ไปบอกใครที่ไหนทำไมเนี่ย แล้วคุณอยู่คนละห้องด้วย” โกนิ่วหน้าสับสน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเผยแพร่ขนาดนี้
“พวกผมแค่เล่ากันขำๆ เอง”
“แล้วไปเล่าทำไม เรื่องของใครเหรอ” อัศวินขึ้นเสียง “แล้วคนพวกนี้ใคร ไม่ใช่คนในโรงเรียนนี่ อะไรเนี่ย” เขากดชื่อคนคอมเมนต์ซึ่งดิ่งไปยังบัญชีที่มองเช่นไร ภาพเจ้าของบัญชีก็เป็นสาววัยยี่สิบขึ้นไป
“จะไปรู้เหรอ ก็คนที่ตามๆ วาร์ปมาจากในเฟสนั่นแหละ เด็กโรงเรียนอื่นก็มี คนไปถามกันในหน้าเพจของโรงละครเต็มเลยว่าแกเป็นใคร คนอื่นก็ไปลงไอจีตัวเองกันตั้งเยอะว่ามีรูปแกอยู่ ก็เล่นล็อกไอจีทำไมล่ะ”
“ไม่ต้องไปยุ่งเลย เขาจะล็อกไม่ล็อกมันเรื่องของเขา” พี่ปราชญ์เอ็ด “ลบภาพตามที่เขาขอซะด้วย”
“คร้าบ คร้าบ”
โกมองท่าทีไม่พอใจตอนเด็กหนุ่มคนนั้นยอมกดลบภาพแล้วปวดศีรษะหนึบ “ลงแจ้งด้วยว่าคุณจะไม่ลงภาพของอัศวินเขาอีก”
“มันทำงั้นไม่ค่อยสะดวกนะครับ อาจารย์ นี่มันอินสตาแกรมนะ”
“ไม่ต้องเลย ครูเห็นคนพิมพ์ข้อความลงเป็นภาพอัพขึ้นกันเยอะแยะ” พี่ปราชญ์ดัก “ทำเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นครูจะยึดมือถือ แล้วให้ผู้ปกครองคุณมาเซ็นรับคืนตอนเลิกเรียน”
คำขู่ยังพอสัมฤทธิ์ผล พวกเขาดูเด็กหนุ่มพิมพ์ข้อความลงบนพื้นขาว ‘ไม่ลงรูป asawin_kng แล้วนะครับ ขอโทษทุกคนที่ฟอลมาด้วย จะลบรูปที่ลงก่อนหน้านี้ด้วยครับ’ แล้วปล่อยกลับห้องเรียน อัศวินยกมือไหว้ ปราดกลับห้องเช่นกัน คงอยากรีบไประบายกับกนกพร
โกทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ “เล่นอะไรกันเนี่ย”
“ไม่ใช่ทำงี้มันฟ้องกันได้เลยเรอะ” พี่ปราชญ์กอดอก เอนตัวพิงขอบโต๊ะ โชคดีว่าเช้านี้พวกเขาไม่มีสอนคาบแรกทั้งคู่ โกใช้เวลาว่างนี้เหยียดตัวฟุบทับกองเอกสาร ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มันจะเห่ออะไรขนาดนี้ฟะ”
“อรัณแม่งวาจาสิทธิ์จริง ทักปุ๊บ เรื่องมาปั๊บ”
“เพื่อนรักหลานมึงน่ะนะ”
“ช่าย” โกนวดขมับ “เล่นละครเรื่องเดียวกันกับอัศวินนี่แหละ น่าจะได้เจอกับอัศวินตอนออดิชั่น ท่าทางรู้อะไรชอบกล”
“คนนั้นก็เล่นละครมาพอสมควรไม่ใช่เหรอ โชว์ตัวขนาดนั้นคงมีคนติดตามบ้างแหละ เลยรู้อะไรมั้ง”
“ไม่เห็นเคยพูดถึงนะ ถ้ามี เจ้าโณมันอวดไม่หยุดหรอก” เขาบอกปัด “แต่เขามาถามเรื่องโรงเรียนเราเคยมีเด็กโดนแกล้งแรงๆ ไหม”
“หลายปีมานี่ แรงสุดก็ที่ตึกม.ต้นตอนนั้นมั้ง”
“ไม่ใช่ที่ขโมยกระเป๋าตังค์กันใช่ไหม”
“ไม่ เรื่องนั้นต่างหาก ดอนเล่าให้พี่ฟัง ที่ว่ามีเด็กโดนเพื่อนแกล้งหลังคาบพละ เหมือนว่าเปลี่ยนเสื้อกันอยู่ แล้วเด็กผู้ชายมันไปรุมผลักคนหนึ่งไปมาหรือแย่งเสื้อผ้าเขามาแกล้งเล่นไม่รู้ แต่มันเลยเถิดมีคนล้ม ปากฟาดมุมโต๊ะ เลือดออก เพื่อนคนอื่นกลัวเลยวิ่งไปตามอาจารย์ ก็ได้ดอนนั่นแหละมาช่วย แต่ถามไปมาเลยรู้ว่าแกล้งเขามาหลายรอบแล้ว เพราะเด็กคนนั้นท่าทางตุ้งติ้ง ได้ยินว่าตอนประชุมแล้วก็พบผู้ปกครองเพื่อจัดการเรื่องนี้ ตีกันห้องแทบแตก”
“เรื่องกี่ปีแล้วเนี่ย”
“สักสามหรือสี่ปีมั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ แต่กูก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นใครว่ะ แต่ละปีไม่ได้มีเด็กท่าทางตุ้งติ้งคนเดียวสักหน่อย ไม่รู้ทำไมเด็กคนอื่นถึงไปเลือกแกล้งเขา”
“เด็กคนนั้น…จะใช่อัศวินเปล่าพี่”
“ไม่แน่ แต่ไม่น่า”
อรัณเดินออกจากลิฟต์ ป้ายบุคคลภายนอกที่ต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนแลกแกว่งอยู่ตรงกระเป๋าอกเสื้อเชิ้ต เขาเดินสวนพนักงานออฟฟิศจำนวนมากซึ่งกำลังลงไปหาข้าวกลางวันกิน ตาคอยสอดส่องดูว่าคนที่ตนมาหาไม่ได้เดินออกมากับคลื่นมนุษย์ให้ต้องคลาดกัน
ชายหนุ่มเดินไปถึงประตูเลื่อนอัตโนมัติ แล้วเดินเข้าไป เขาเคยมาที่นี่แล้วแม้จะไม่บ่อยครั้งนัก แต่เพราะรูปร่างสูงกับผมยาวเด่น พนักงานตรงประตูผู้ยังคงเป็นคนเดิม ไม่เปลี่ยนหน้าเป็นรายอื่นจึงพยักหน้าให้อย่างคนจำหน้ากันได้ดี เขาเดินลัดเลาะคอกทำงานไปยังห้องข้างหลังพอเห็นว่าโต๊ะของคนที่นัดตนมาว่างเปล่า
อรุโณทัยกำลังเฮฮาอยู่ในห้องพัก ข้างโต๊ะวางเครื่องชงกาแฟ ไม่ว่าจะกำลังพูดอะไรอยู่ ชายหนุ่มหัวยุ่งหยุดบทสนทนาไว้แล้วหันมากวักมือเร่งให้อรัณรีบเดินเข้ามา “มาแล้ว อรัณ! ทุกคน เพื่อนผมมาแล้ว!”
“เออ พี่เห็น” เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ซึ่งนั่งกันอยู่ตรงโต๊ะดื่มกาแฟส่ายหน้า หันไปคุยกันเอง “ถ้าเพื่อนฉันซาบซึ้งในตัวฉันทุกลมหายใจแบบนี้นะ”
“พี่จะเลิกทำให้เพื่อนเป็นหมาเวลาทะเลาะกับผัวสักทีใช่ไหม” เพื่อนคนดังกล่าวอีกฟากโต๊ะถาม
“ช้าท-อัพ”
อรัณยื่นหูถุงกระดาษในมือให้อรุโณทัย “ผมไม่มั่นใจว่าคู่ไหน เลยหยิบมาทั้งสามคู่เลย” เขาปล่อยให้อรุโณทัยกางดูรองเท้าส้นสูงตรงก้นกระดาษ หมอนั่นคุกเข่าลง หยิบทีละคู่ออกมาวางเรียงแล้วหันไปหารุ่นพี่ที่ทำงาน
“เอ้า เนี่ย พี่ เลือกได้เลย ของแม่ผมเอง”
“โห สวยอะ ไม่คืนได้ไหม”
“เดี๋ยวนะเจ๊ เดี๋ยว” เพื่อนคนอื่นท้วงแทนอรุโณทัย
อรัณยืน คิดว่าตนต้องรอเก็บคู่ที่หญิงอาวุโสกว่าไม่เลือกกลับไปคืน อรุโณทัยส่งข้อความมาหาให้เขาช่วยหยิบรองเท้าจากตู้ในบ้านมาให้รุ่นพี่ที่ทำงานยืม เพราะรองเท้าเจ้าหล่อนเกิดส้นหัก แล้วคืนนี้หล่อนต้องไปงานแต่งงานเพื่อน
ดังนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจที่มาที่ไปของบทสนทนาที่ตามมาสักเท่าไร
“คู่นี้ รับรอง เต้นได้ไม่ล้ม ขาไม่สั่น ส้นไม่ทรยศ”
“มันต้องเต้นจริง ๆ เหรอวะ ชักลังเล”
“ก็ไหนพี่บอกว่าแฟนพี่ชอบเต้น”
“ไหนพี่บอกพี่อยากเต้น”
“ชอบเต้นมันก็น่าจะอยากเต้นกับคนเต้นเก่งไหมยะ”
“พี่ ถ้าเขาจะไม่เซย์เยส หนูว่ามันไม่ใช่เพราะพี่เต้นรำห่วยหรอก”
“ปากเหรอนั่น”
“มีสเต็ปเต้นคู่กันอย่างง่ายอยู่ถมไป แฟนพี่ก็รู้ว่าพี่เต้นไม่เก่งไม่ใช่เหรอ เขาแค่รู้ว่าพี่อยากเต้นกับเขาก็พอ แบบนี้ก็เวิร์คแล้ว นี่ไง ผมเลยพาอรัณมา ดูนี่” อรุโณทัยกระตือรือร้นยืนขึ้น ยื่นมือข้างหนึ่งมาหาอรัณ คนตรงปลายนิ้วมือกะพริบตาปริบ ๆ
อรัณวางมือตอบแล้วเดินเข้าไปหาเพื่อนรัก มือหนึ่งพวกเขาจับกัน แล้วเขาสอดแขนอีกข้างไปใต้รักแร้ซ้ายของอรุโณทัย “โอเค แล้วเริ่มขยับไปด้านข้าง เริ่มจากซ้าย ก้าวแล้วอีกข้างก็มาชิด หนึ่ง สอง สาม สี่ แล้วกลับไปทางขวา ห้า หก เจ็ด แปด แล้วอีกที”
พวกเขาขยับไปตามความเคยชิน ขาและตัวที่โยกตามจังหวะเดียวกัน
“อะรุ แล้วถ้าพี่อยากหมุนอะ”
“พี่จะนำใช่ไหม ถ้าพี่นำ พี่ก็ทิ้งแขนลง”
อรุโณทัยเผล่ยิ้มโอ้อวด ย้ายสลับแขนพวกเขาเองหน้าตาเฉย แล้วทิ้งแขนลง พวกเขาผละห่างจากกัน แล้วอรุโณทัยยกมือซ้ายขึ้น ก้าวถอยหลังพร้อมกับอรัณที่ยกมือตามแล้วก้าวลอดใต้แขนอรุโณทัยที่ยกขึ้นก่อนจะหันหน้ากลับเข้ามาหากัน จากนั้นก็ก้าวไปด้านข้างตามจังหวะเดิม ครั้งต่อมาอรุโณทัยทิ้งแขนลง พวกเขายกแขนขึ้น อรัณลอดใต้แขนแล้วตีวงกลับเข้ามากันตามเดิม
“นี่อวดกันอยู่ใช่ไหม หน็อย”
ก็อวดจริงๆ นั่นแหละ อรัณไม่ขอแก้ตัวให้คนที่หันไปยิ้มทะเล้นให้เพื่อนร่วมงาน แค่ขยับตามจังหวะที่อรุโณทัยนับ
“เรียนละครต้องเรียนเต้นด้วยเหรอ” อีกคนในห้องพักถาม
“อ๋อ เปล่า อันนี้ตอนปีหนึ่ง กีฬาน้องใหม่มีแข่งเต้นลีลาศด้วย ผมอยากโดดห้องเชียร์เลยไปลงอันนั้น แต่ก็โดนคัดออกไม่ได้แข่งหรอก คนลงกันเยอะโคตร แต่ไม่ต้องแข่งก็ดีแล้ว เขาบังคับต้องจับคู่ชาย-หญิง” อรุโณทัยหัวเราะ อรัณซ่อนรอยยิ้มไว้ตรงมุมปาก “รุ่นพี่ที่เคยแข่งแล้วมาช่วยคุมซ้อมเขาชวนพวกที่ไม่ได้แข่งเต้นกันเล่น ผมเลยลากอรัณให้โดดห้องเชียร์ไปเต้นด้วยกันทุกเย็นแทน ยำไปยำมาจนมีท่าของตัวเองกันเนี่ย เจ๋งเปล่า” อรัณทิ้งมือลง อรุโณทัยก็รู้ว่าต้องหมุนตัว
ทั้งสองเต้นให้เพื่อนร่วมงานของอรุโณทัยดูไปเรื่อยๆ จากนับจังหวะกลายเป็นเปิดเพลงในโทรศัพท์มือถือใครสักคน เท้าก้าวสลับมา
อันตรายมากทีเดียวถ้าถามอรัณ พวกเขาอาจจะเผลอเต้นจนหมดเวลาพักเที่ยง แล้วคนตรงนี้ไม่ได้ไปกินอาหารกลางวันกันสักคนเดียว อย่างที่พวกเขาสองคนเคยแอบเต้นกันแบบนี้จนถึงเช้า
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงอรัณสั่น สัญญาณว่าครั้งนี้คงไม่เป็นเช่นนั้น อรัณผละออกห่างแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบตัวเครื่องออกมากดรับสายทันทีที่เห็นชื่อคนโทรเข้า “ครับ” เขาขานรับพร้อมเอาโทรศัพท์มือถือแนบหู
“เดี๋ยวนะครับ”
อรุโณทัยตกใจ “มีอะไร” เขาขยับปากถามโดยไม่เปล่งเสียง อรัณมองกลับมา ใบหน้าดูเกือบสงบนิ่งปกติยกเว้นสายตาที่แตกตื่น
“โณ” อรัณลดโทรศัพท์ลง
“อะไร”
“สนทำกระบังเป็นไหม”
กลิ่นน้ำปลาติดจมูกหรือเสื้อผ้าเขาหรือทั้งสองอย่าง ตีกับกลิ่นน้ำยาล้างจานผสมมะนาว
สารภาพตามตรงว่าหลังจากเรื่องแอบถ่ายรูป โกจินตนาการเหตุการณ์จากนี้ไปร้อยแปด ว่าอาจมีผู้ปกครองอัศวินโผล่มาที่โรงเรียนเอย ผู้ปกครองเด็กคนอื่นโผล่มาที่โรงเรียนเอย ทุกคนแหกปากสาปแช่งกันจนคอแหกไปข้างหนึ่ง พาดหัวข่าวออนไลน์เรื่องโรงเรียนเส็งเคร็งเพิกเฉยความเป็นส่วนตัวของเด็ก อัศวินได้รับการเปิดทางเข้าสู่วงการบันเทิงแล้วต้องออกจากโรงเรียน กฎระเบียบใหม่ห้ามนักเรียนพกโทรศัพท์มาโรงเรียน
ชามยำวุ้นเส้นกับแก้วน้ำแดงโซดาลอยมาบรรจบกันบนตัวเขา -- นั่นไม่ได้อยู่ในรายการฟุ้งซ่านของโก
เขาอยากพูดอยู่หรอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทว่านั่นเป็นคำโกหกไม่มีสัจจะเจือ ทุกอย่างเกิดขึ้นชัดเจน เขามองทัน แต่เข้าใจผิดถนัด ถึงได้ลงเอยเช่นนี้
ตอนพักกลางวัน ดั่งเช่นที่ทุกวันมีพักกลางวัน มันควรเป็นพักกลางวันธรรมดา แม้ว่าเขากับพี่ปราชญ์จะเดินหน้าเครียด ถกไม่หยุดว่าต้องจัดการหรือมีอะไรให้ต้องทำบ้างเกี่ยวกับเรื่องของอัศวิน สิ่งรองสุดท้ายที่อยากทำคือคุยกับผู้ปกครอง สิ่งสุดท้ายที่อยากทำคือเอาเข้าประชุมกับคณาจารย์ท่านอื่น
ตรงด้านหลังแถวซื้อร้านยำ เสียงตวาดกระโชกโฮกฮากดังแหวกเสียงเซ็งแซ่ทั่วลานหน้าตึก กวาดเสียงนักเรียนคนอื่นให้พากันเงียบ คนจะชั้นปีไหนหันไปมองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ยืนด่ากันหน้าดำหน้าแดง มุมหนึ่งคือเด็กนักเรียนห้องพี่ปราชญ์คนเมื่อเช้า อีกมุมคือเด็กนักเรียนห้องเขาเอง ทว่าไม่ใช่อัศวิน
กนกพรต่างหาก
โกกับพี่ปราชญ์รีบลงบันไดหน้าตึกไปหาทั้งสอง
“มึงเลิกเป็นเหี้ยสักทีได้ไหมวะ!” เขาได้ยินที่กนกพรตวาดชัดถนัดหูขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้พอ
“แล้วมึงจะเสือกอะไรนักหนา เป็นเมียมันหรือไง หรืออยากเป็นเมียแต่ประสาทกลับเพราะต้องไปแย่งกับไอ้อ้วน!”
กนกพรพุ่งตัว เด็กหนุ่มอีกด้านก็ขยับ โกเห็นทุกอิริยาบถ
เขาเลยนึกว่าทั้งสองจะเข้าไปต่อยกัน ไม่ใช่คนหนึ่งปาชามยำวุ้นเส้น อีกคนปาแก้วน้ำหวาน แล้วทุกอย่างราดลงบนตัวโกผู้ปราดเข้ามาแทรกกลาง
อึ้งกันทั้งอาณาบริเวณ กระทั่งนกยังไม่โผบิน มีแค่หยดน้ำยำผสมน้ำหวานไหลติ๋งอาบจากหัวถึงข้างในกางเกง บอกให้รู้ว่าเวลาไม่ได้ตกใจตามจนลืมเดิน
โกได้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อในชั้นสระว่ายน้ำ โดยพี่ปราชญ์ที่เคารพรักให้ยืมเสื้อผ้าสำรอง จากนั้นเขาเดินไปสอนต่อในเสื้อผ้าตัวโพรกให้พวกนักเรียนแต่ละห้องกลั้นขำสลับกระซิบกระซาบ ใส่สีตีไข่ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อช่วงพักกลางวัน
และมีนัดหมายห้องปกครองหลังเลิกเรียนด้วยกับกับกนกพร
พี่ปราชญ์กับนักเรียนห้องตัวเองคุยกับอาจารย์ปกครองและผู้ปกครองไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงบ่าย เนื่องจากเจ้าตัวไม่มีสอน และผู้ปกครองเด็กคนนั้นทำงานอยู่ใกล้โรงเรียนจึงมาได้ทันที เพราะทั้งสองฝ่ายยืนกรานว่าทำของหลุดมือ หัวข้อบทสนทนาเรื่องปัญหาพฤติกรรมนักเรียนจึงไปได้แค่เรื่องการใช้คำหยาบคายและแสดงอารมณ์อย่างไม่เหมาะสม
“อาจารย์…” กนกพรเอ่ย ห้องปกครองมีแค่เขากับเธอนั่งบนเก้าอี้คนละตัว อาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองกำลังลุกไปหาน้ำมาเตรียมสำหรับผู้ปกครองที่ต้อง “หนูขอโทษค่ะ”
หน้าดุดันเมื่อกลางวันกลายเป็นสลดสนิท
“ช่างเถอะ ครูแค่เสื้อเปื้อนเอง” โกตอบ โบกมือหยอย ๆ “ไม่มีเลือดตกยางออกก็ดีแล้ว แต่คุณกล้าพูดไหมว่าถ้าครูไม่อยู่ตรงนั้น พวกคุณจะไม่เลยเถิดใช้ความรุนแรงกันกว่านี้”
“ไม่ค่ะ”
“ขอบคุณที่บอกครูตามตรง” โกกลั้นลมหายใจซึ่งอยากถอนไว้ลงคอ แล้วสูดลมเข้าอีกเฮือก
หัวหน้าฝ่ายปกครองเดินออกมาจากห้องข้างหลังพร้อมถาดรองแก้วน้ำสี่แก้ว เธอส่งแก้วหนึ่งให้ “เชิญค่ะ อาจารย์คนทา วันนี้เหนื่อยน่าดูเลยสิ”
“แค่ต้องอาบน้ำอีกรอบเองครับ” โกยิ้มรับ กระนั้นก็อดหวังไม่ได้ว่าถ้าตนดื่มน้ำมากพอ กลิ่นน้ำปลาจะเลิกหลอนจมูกเสียที
แล้วผู้ปกครองของกนกพรต้องเลือกจังหวะนั้นเปิดประตูเข้ามา
“ป้าของน้องเมย์ค่ะ”
สนกับผมตีโป่งเหนือหน้าผาก ก้อนกลางศีรษะหนานูนแล้วทิ้งผมที่เหลือลงมาสลวย ชุดกระโปรง สร้อยคอลูกปัดสามทบ เสื้อคลุมทับอีกชั้น
“ลุงของน้องเมย์ครับ”
อรัณผมสั้น ติดหนวดบังปากมิด แว่นตากรอบเบ้อเริ่มสีทอง เสื้อเชิ้ตชายยัดตึงเข้าไปในกางเกง
โกพ่นน้ำกลับเข้าแก้วพร้อมกับที่น้ำที่เหลือกระฉอกเข้าจมูก