"ทำไม...ถึงมาเป็นคนสวนล่ะ"

เด็กหนุ่มพูดพลางม้วนทิชชู่ทบที่สามไว้ในอุ้งมือ เขาใช้มันเช็ดคราบน้ำสีขุ่นที่เกาะอยู่ตามซอกลับตา ขณะคนถูกถามง่วนอยู่กับการมัดถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วให้เป็นปม พวกเขาเพิ่งยุติการบดเบียดริมฝีปากเข้าหากันไปได้เพียงไม่กี่นาที เวลานี้จึงคลับคล้ายชั่วโมงสืบสวนประวัติคู่นอนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

"เรื่องนั้นมันสำคัญด้วยหรือ"

คิ้วหนาขมวดยุ่ง เขาก้มๆ เงยๆ มองใบหน้าฉงนสงสัยสลับกับของเหลวที่กลิ้งอยู่ในถุง

น้ำเยอะฉิบหาย

เลิศปลงตก เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปนานโข นานเสียจนลืมความรู้สึกสุขสมยามที่ได้จับ ยามที่ได้จูบ

"สำคัญ"

มนพัทธ์ที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับพยักหน้า เขาวางบั้นท้ายลงกับเบาะหนังและจับทิชชู่ที่เปียกชุ่มยัดลงขวดพลาสติกเปล่า

"เห็นในประวัติว่าจบปริญญาตรี แถมทำงานเป็นเซลล์ได้ตั้งหลายปีอีก ค่าคอมมิชชั่นก็คงไม่ใช่น้อยๆ นึกยังไงถึงอยากมาเป็นคนสวน"

คิ้วหนายังคงขมวดยุ่ง เลิศไม่นึกอยากเล่าความหลังให้มนพัทธ์ฟัง ชายหนุ่มจึงถกชายเสื้อที่มีคราบขาวเกาะพราวออกทางหัว แล้วเอี้ยวตัวหยิบขวดน้ำเปล่าใต้เท้าขึ้นมาเตรียมซัก

"บอกกันไม่ได้เชียว"

คนเป็นน้องทำปากยื่น แม้จะนึกไม่พอใจเฉกเช่นทุกครั้ง แต่กล้ามเนื้อหน้าท้องที่โหนกนูนเป็นลูกระนาดอยู่ตรงหน้ากลับทำให้เขาลืมโกรธนายคนสวนไปเสียสนิท

เชี่ย นั่นซิกแพ็กเหรอ

มนพัทธ์ปากเผยอ เตรียมชื่นชมร่างกายของชายหนุ่มอายุสามสิบสองปีที่มัดกล้ามสะท้อนกับแสงจากเสาไฟ หากนายคนสวนยอมถอดเสื้อแสงออกเสียตั้งแต่แรก ชั่วโมงสวาทของทั้งสองคงไม่จบลงตรงที่หนึ่งน้ำ

"ไม่ใช่บอกไม่ได้ แต่บอกไปคุณคงจะไม่เข้าใจ"

"คุณอีกแล้ว" มนพัทธ์แว้ด "บอกว่ามนๆๆๆ"

เลิศแค่นยิ้ม เขาเปิดประตูรถและเทน้ำดื่มในขวดราดลงบนเสื้อยืดสีดำที่เคยสวมใส่ เมื่อมันชุ่มเปียกได้ที่มือคู่โตก็ออกแรงขยี้จนรอยด่างขาวหลุดไหลไปกับของเหลว

"ทำไมพอหายเงี่ยนแล้วถึงได้ดื้อนัก"

คนเป็นน้องเหน็บ เขาจนปัญญาจะหว่านล้อมคนปากหนัก

"ไม่ได้ดื้อแต่มันชินปาก เรียกคุณมาตั้งนานจะให้เปลี่ยนมาเรียกชื่อพี่คงต้องใช้เวลาหน่อย"

"ไม่ใช่แค่เรื่องชื่อ เรื่องงานด้วย"

เลิศเลิกบิดน้ำแล้วพาดเสื้อไว้กับขอบหน้าต่างรถยนต์ เขาหันกลับมาจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ ก่อนจะพบว่าคนเป็นน้องจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมโตนั้นสุกสกาว มันวาววับเหมือนมีไฟดวงเล็กแขวนไว้ด้านใน

"จะอยากรู้ไปทำไม รู้ไปก็รกหัว"

"จะรกหัวรึเปล่ามนจะเป็นคนตัดสินใจเอง พี่เลิศรู้มั้ย ก่อนที่มนจะได้อ่านประวัติจากใบสมัครงานของพี่เลิศ วันที่พี่เลิศตีกระถางมนแตก มนคิดเป็นตุเป็นตะเลยนะว่าไอ้หมอนี่คงจะฆ่าคนหมกป่ามาแน่ๆ"

"หา" ชายหนุ่มร้องลั่น "ฆ่าคน? พี่น่ะหรือ"

ว่าจบเลิศก็ส่งกางเกงขาสั้นที่สมควรจะปกคลุมท่อนล่างของเด็กหนุ่มคืนให้เจ้าของ จากนั้นก็ขำคิกคักน้อมรับความผิดที่สะบั้น เส้น ที่ไม่ควรล้ำขาดด้วยน้ำมือของตนเอง

เวร ลูกจ้างไม่ทำแบบนั้น

เลิศตรองอีกหน

"แหงสิ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อายุก็ยังหนุ่มแต่ดันมาสมัครเป็นคนสวน แถมเชิดหน้าเถียงมนฉอดๆ อีก ถ้าไม่ได้หนีคดีมาจะเป็นแรงจูงใจอะไรได้"

"วันนั้นที่เชิดหน้าก็เพราะมนพูดไม่รู้เรื่อง"

"ก็คนมันเห็น..."

มนพัทธ์เงียบลงกะทันหัน ช่วงเวลานั้นเขาเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติบางอย่างซ้อนกับเงาของนายเลิศ มันช่วงชิงชั่วโมงต้องมนตร์ยามสบตา อีกทั้งถ้อยคำหวานที่ทั้งคู่อาจจะได้เอื้อนเอ่ยต่อกันไปหมดสิ้น

"ผีน่ะหรือ"

เด็กหนุ่มขาน อือ โดยมีภาพของผู้หญิงไร้หน้าฉายในหัว

"ฉาย...ตายไปได้หลายเดือนแล้ว วันที่มาถึงที่นี่ก็เพิ่งทำบุญครบรอบร้อยวันเธอไป เธอไม่รู้จักใครในบ้านหลังนี้เสียด้วยซ้ำ ไอ้ที่เห็นไม่มีทางเป็นฉายแน่"

ชายหนุ่มตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งลี้ลับที่มนพัทธ์อ้างถึง ฉายคนดีของเขาไม่มีทางทำให้ใครหวาดกลัว สันดานของเธอนั้นงดงามหมดจด มดแดงสักตัวยังไม่เคยทำร้ายให้ผัวอย่างเลิศเห็น ยิ่งเด็กหนุ่มเล่าว่าถูก มัน ผลักกระเด็นมีหรือคนรักอย่างเลิศจะเชื่อลง

"แต่มนไม่เคยได้ยินว่าสัมภเวสีเข้ามาในบ้านได้"

เลิศทิ้งท้ายว่า 'คงเป็นเจ้ากรรมนายเวรล่ะมั้ง' และปล่อยให้เด็กหนุ่มสวมใส่กางเกงจนเรียบร้อย มนพัทธ์นิ่งเงียบ เขาไม่ชวนเลิศพูดคุย อีกทั้งยังล้มเลิกการไต่สวนเรื่องราวที่เลิศไม่เต็มใจจะบอก เพราะในหัวกลมว้าวุ่นอยู่กับความเชื่อเรื่องผีห่าซาตานมาตลอดเส้นทาง กว่าเด็กหนุ่มจะเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งรถฟอร์จูนเนอร์คันโตก็กลับมาจอดแน่นิ่งหน้าคฤหาสน์

"หรือ...ผู้หญิงคนนั้นเขาอยากให้มนตาย"

คราวนี้นายคนสวนกลับพูดไม่ออกเสียเอง ความอาฆาตแค้นของดวงวิญญาณเป็นเรื่องนอกเหนือตำรา ชายหนุ่มผู้เคยผ่านรสพระธรรมมาบ้างจึงหมดปัญญาไขข้อฉงน

"พี่ก็ไม่รู้ แต่อย่าริไปถามเชียว ไม่ว่าจะเป็นพ่อหมอที่เขาว่าเก่งกาจแค่ไหนก็ห้าม มันมีแต่พวกเลี้ยงผี มันจะเอาของไม่ดีมาให้"

"มนจะไปถามหาสำนักจากไหน พูดไปใครฟังก็คงขำ คงหาว่าเพ้อเจ้อ ไม่ก็เป็นโรคประสาท แล้วโรคประสาทแบบไหนถึงได้รู้สึกว่ามีคนผลักล่ะ"

เลิศไม่ออกความเห็น เขาปล่อยให้คุณหนูคนเล็กพูดเจื้อยแจ้วกับน้ำในหู 'ไปตรวจดีเปล่าวะ หรือจะไม่ตรวจดี' ส่วนตัวเองรีบสวมเสื้อยืดที่มีรอยด่างน้ำดวงใหญ่ทับเนื้อหนัง แล้วผลักบานประตูออกด้วยฝ่ามือคู่ใหญ่

"จะไปแล้วเหรอ"

มนพัทธ์ร้องเรียก

แหงสิ

เลิศตอบเด็กหนุ่มในใจ เขาไม่อยากถูกใครจับได้ว่ามีสัมพันธ์สวาทกับ คุณมนพัทธ์

"จะไปนอนเอาแรง" เลิศอ้าง

"น้ำแตกแล้วแยกทางนี่ เลวชะมัด"

ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงทันที

"เราไม่ได้ตกลงว่าจะเป็นผัวเมียกันเสียหน่อย"

เด็กหนุ่มพรั่นพรึง พวกเขาพูดกระโชกโฮกฮากต่อกันมาเป็นแรมเดือนโดยที่ไม่เคยมีฝ่ายไหนนึกน้อยเนื้อต่ำใจ มาวันนี้ผลจากการร่วมรักเพียงครั้งเดียวกลับทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มอ่อนยวบลงทันทีที่นายคนสวนพูดเสียงแข็งใส่

ในละครย้อนยุคหลังข่าว พวกเมียบ่าวต้องเจียมเนื้อเจียมตัวกับผัวเจ้า มีที่ไหนจะมายืนฉอดเถียงผัวปาวๆ เหมือนที่ชายหนุ่มกำลังทำกับมนพัทธ์

แต่เราเป็นเมียนี่หว่า

มนพัทธ์ที่เพิ่งตกตะกอนได้ถอนหายใจ เขามองชายหนุ่มอกสามศอกเดินหายเข้าไปหลังคฤหาสน์ คล้ายกับสุนัขกำลังรอคนแปลกหน้าผู้ใจดีพอจะโยนเศษกระดูกให้

"เฮ้อ"

เด็กหนุ่มฟุบหน้ากับพวงมาลัย เขาอยากให้นายคนสวนหันมาจูบเขาก่อนจากไปใจแทบขาด แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเพียงใบหน้าปั้นปึงพร้อมน้ำเสียงเดือดดาล เลิศปฏิบัติตนราวกับท่อนไม้เดินได้ไร้หัวใจ

ไม่โรแมนติกเลย!

มนพัทธ์ตะแคงหน้าหันมองที่นั่งฝั่งตรงข้าม ที่พวกเขาผ่านบทร้อนรักกันบนเบาะหนัง เขาเคลื่อนฝ่ามือขาวลูบไล้ไปตามเนื้อผ้า สัมผัสไออุ่นทุกอณูที่นายคนสวนทิ้งเอาไว้อย่างเลื่อนลอย แต่แล้วเสียงทุ้มของชายหนุ่มก็กลับเข้ามาดังก้องอยู่ในหัว

'ไม่ได้เกิดรักพี่เพราะแค่จูบเดียวนั่นหรอกใช่มั้ย'

มนพัทธ์แค่นยิ้มขมขื่น จุมพิตฉาบฉวยเพียงครั้งเดียวไม่อาจทำให้ความรักบังเกิด แต่ความเห็นอกเห็นใจที่มีให้อีกฝ่ายต่างหากที่เสมือนปุ๋ยบำรุงรากต้นรักให้เติบโต

เช้าวันต่อมามนพัทธ์ตื่นเพราะเสียงจอบ มันดัง แซ่ก แซ่ก แซ่ก ลอดหน้าต่างบานยาวเข้ามาในห้องนอนปีกขวา พอเปิดม่านผลักกระจกออกไปดูก็พบว่าเป็นนายคนสวนก้มๆ เงยๆ ย้ายกุหลาบในกระถางลงดิน

เด็กหนุ่มปิดผ้าม่าน ไม่อ้าปากด่า แต่เดินหาวหวอดเข้าไปสีฟันในห้องน้ำ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำจนหอมสะอาด จากนั้นก็ลงไปทานอาหารเช้าตามกิจวัตรประจำวัน

"หนูซื้อกุหลาบมาเหรอจ๊ะ แม่ว่าสีมันสวยดีนะ เข้ากับศาลาดีทีเดียวเชียว แม่เห็นนายเลิศเทียวขุดดินรอบศาลาตั้งแต่เช้า ป่านนี้น่าจะลงต้นเสร็จแล้วล่ะมัง ไว้ทานข้าวกันเสร็จจะแวะไปดูซักหน่อย"

ลูกชายคนเล็กอมยิ้ม ปากไม่ปริพูดเรื่องนายคนสวนผู้ช่วยเลือกกุหลาบสีสวยแม้สักคำ

"เอ้อนี่ แม่คุยกับพี่เขานะว่าจะให้ย้ายกลับมาอยู่ซะด้วยกัน ข้าวของห้องยัยณัฐก็ยังอยู่ดี ห้องนอนแขกก็ยังเหลืออีกตั้งสามห้อง อีกหน่อยยัยกวางโตขึ้นกว่านี้จะได้ไม่ลำบากเรื่องไปโรงเรียน บ้านที่พวกพี่เขาอยู่กันตอนเนี้ยไกลโรงเรียนดีๆ จะตาย อีกอย่างพี่สะใภ้ก็ท้องไส้อยู่ กลับมาอยู่บ้านเราจะได้ช่วยกันดู"

คนฟังทิ้งช้อนเงินกระแทกจานเซรามิกใบสวย

"อุ๊ย ยัยมน ถือดีๆ สิ ทำแม่ตกอกตกใจหมดเลย"

"ขอโทษครับ..."

คนเป็นลูกหยิบผ้าบนตักขึ้นเช็ดปาก เขารอให้ป้าแก้วแม่บ้านเก่าแก่เช็ดเศษอาหารที่เขาทำเปรอะเปื้อนบนโต๊ะจนสะอาด จากนั้นจึงยกน้ำเย็นลอยมะลิขึ้นดื่มค่อนแก้ว

"แต่...ถ้าย้ายมาอยู่อีกตั้งสี่คนป้าแก้วกับพี่แตงคงวิ่งวุ่นกันทั้งวันน่ะสิ น่าสงสารออกจะตายไป"

"ไม่เป็นปัญหาหรอกจ้ะ จ้างแม่บ้านอีกซักคนสองคนพี่เขาก็ยังไหว ห้างร้านเราผู้รับเหมาวิ่งเอารถมาขนของกันถึงโกดัง ตอนนี้กำไรดีจะตายไปลูก เราก็ปลูกเรือนแยกไว้ให้เด็กในบ้านอยู่ซะก็สิ้นเรื่อง"

แก้วที่กำลังก้มหน้างุดหัวใจพองโตทันทีที่รู้ว่าที่ซุกหัวนอนจะเป็นเอกเทศจากเจ้านาย ห้องหับของเธอจะกว้างขวาง ไม่ต้องเกรงกลัวเค้กของคุณหนูจะคละคลุ้งด้วยกลิ่นกะปิน้ำปลาหวาน และหัวนอนปราศจากเสียงย่ำฝีเท้าปึงปัง

"แม่เอาจริงเหรอ"

"แม่จะโกหกหนูทำไม บ่ายนี้แม่นัดอินทีเรียมาที่บ้านด้วย จะให้เขาดีไซน์เรือนเล็กให้พร้อมใช้ เอ้อ แล้วก็อาจให้แพลนๆ ห้องเด็กอ่อนไว้ให้พี่สะใภ้เขาด้วย เป็นไง ฟังดูดีมั้ยจ้ะ ทำห้องแบบพวกอังกฤษยุคโบราณกันไปเลย"

รัศมีดีอกดีใจ เธอปรบมืออวบเข้าหากันจนกระพรวนทองคำบนกำไลส่งเสียงใสกังวาน แต่ลูกชายกลับไม่นึกยินดียินร้ายไปด้วย มนพัทธ์รักหลานสาวของเขา อีกทั้งยังรักพี่สะใภ้เสมือนคลานตามกันมา แต่กับณัฐนนท์ที่เป็นคนใจยักษ์ใจมารขึ้นมากะทันหันนั้นเห็นทีคนเป็นน้องคงจะรักไม่ลง

หลังทานอาหารเช้าเสร็จรัศมีปรี่ไปเชยชมกุหลาบขาวรอบศาลากลางแจ้งที่นายคนสวนเพิ่งนำลงดิน ส่วนลูกชายคนเล็กเดินลากรองเท้าดัง แซ่ก แซ่ก แซ่ก ไปที่แกรนด์เปียโนหลังโต เด็กหนุ่มถอนใจพร้อมเปิดสมุดเพลงไปมา หัวใจเขาเศร้าสร้อยเกินกว่าจะเลือกบทเพลงใดมาปลอบประโลม มนพัทธ์ไม่อยากถูกพี่ชายกะเกณฑ์ชีวิตอีกหน โดยเฉพาะเรื่องความรักที่มันคงเร้นกายซุกซ่อน ปิดปากตัวเองเงียบเชียบให้ดูเหมือนไม่มีตัวตน ไม่โผล่พ้นออกมาให้ณัฐนนท์เคลือบแคลงใจ

"เฮ้อ" มนพัทธ์ระบายลมร้อน

เขาจรดเล็บสั้นลงบนคีย์บอร์ด ขยับข้อนิ้วเล่นโน้ตสามตัวต่อหนึ่งห้องวนซ้ำจนครบสี่รอบ แต่แล้วร่างสูงใหญ่ก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง ในมืออุ้มกระถางกุหลาบสีแดงดูเหี่ยวเฉาแนบกับอก ส่วนดวงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นผู้ที่นั่งอยู่กลางห้องเป็นคุณหนูคนเล็ก

"อะ..."

เด็กหนุ่มอ้าปากเตรียมทักทาย

"จะเอาอะไรเหรอ"

เจ้าของบ้านตัวน้อยถาม ชายหนุ่มอ้ำอึ้งตอบเสียงเบาว่า 'วางกระถาง คุณนายบอก' แล้วสาวเท้านำดินเผาเคลือบไปตั้งไว้ริมหน้าต่าง

"ลงกุหลาบเสร็จรึยัง"

"เสร็จแล้วครับ"

เลิศกระแอมไอ ในใจสับสนอลหม่านอยู่พอดู จะเรียกด้วยชื่อก็ไม่กล้า จะเรียกคุณก็ห่วงคนตรงหน้าแผดเสียงขึ้นมาอีก

"กินข้าวแล้วรึยัง"

มนพัทธ์เล่นเพลงจากความทรงจำต่อ อีกทั้งยังพึมพำภาษาต่างประเทศที่เลิศไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียวออกมาไม่ขาดสาย มันประสานทำนองกับเสียงของเครื่องดนตรี กลบเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มมิดจนเขาต้องส่ายหน้าแทนคำตอบ

"ไม่รีบกินซะล่ะ"

มนพัทธ์วางสองมือลงที่เอวทั้งสองข้าง ห้องทั้งห้องจึงไร้เสียงดนตรีไปชั่วขณะ

"ยังไม่ค่อยหิว"

คุณคนเล็กขมวดคิ้ว แล้วแปรเปลี่ยนเป็นอมยิ้มจนสองข้างแก้มเกิดรอยบุ๋ม

"ข้าวต้มกุ้งอร่อยนะ"

เปียโนสีขาวกลับมาร้องแข่งกับเสียงของเลิศอีกหน แต่คราวนี้มนพัทธ์เปล่งเสียงออกมาชัดถ้อยชัดคำ

Je te laisserai des mots

(ผมจะเขียนบันทึกถึงคุณ)

En d'ssous de ta porte

(สอดไว้ใต้ประตู)

นับเป็นครั้งที่สองที่ชายหนุ่มได้ยินคนดีของป้าแก้วร้องเพลงที่เขาไม่เคยได้ยิน ครั้นจะอ้าปากถามเหมือนหนูจำไมขี้สงสัยโทรศัพท์เครื่องเก่าที่อยู่ในกางเกงผ้าฝ้ายก็สั่นเป็นเจ้าเข้า ลำโพงเล็กจิ๋วร้องแรกแหกกระเชอให้เจ้าของเครื่องรับสายของ คราม ผู้เป็นน้องชาย

"ฮัลโหล"

มนพัทธ์หยุดมือ เขาแหงนหน้ามองนายคนสวนเสวนากับคนในมือถือ

(ไปเยี่ยมพ่อบ้างรึเปล่า)

"เยี่ยม? เยี่ยมทำไม พ่อเป็นอะไร"

เลิศตระหนก สมองนึกย้อนไปเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่ชายชราโทรศัพท์มาถามไถ่

(ป้าเล็กโทรมาบอกว่าผัวแกต้องขับรถไปส่งพ่อที่โรงบาล พ่อกินข้าวไม่ได้ ไม่มีแรง น่าจะมีปัญหาที่ฟัน ตอนนี้เป็นกระเพาะอักเสบไปเรียบร้อยแล้ว กูว่าจะขึ้นไปดูสิ้นเดือนนี้ มึงมาด้วยก็ดีนะ หรือจะให้ไปรับ ตอนนี้มึงไม่มีรถหนิ เห็นใครว่ามึงปล่อยเช่ารถให้อดีตแม่ยาย)

คนเป็นพี่นิ่งเงียบ ไม่ว่าใครจะคาบข่าวไปบอกน้องในไส้ เลิศก็ต้องยอมรับว่าข่าวที่คาบไปได้นั้นถูกต้องทุกประการ

"มะ...ไม่ต้องมารับ เดี๋ยวกูไปเอง

(เออดี เจอกันที่บ้าน)

จากนั้นครามก็ตัดสาย ทิ้งให้ผู้เป็นพี่ชายยืนจังงังอยู่กลางห้อง

"พี่เลิศ มีอะไรรึเปล่า"

มนพัทธ์ปรี่เข้ามาจับแขน เขาเขย่ามันเล็กน้อยเพื่อเรียกสติเลิศที่เอาแต่ยืนขมวดคิ้วตึงเครียด เลิศไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัวที่เหลือเพียงแค่พ่อนานเกินครึ่งปีแล้ว สุขภาพของชายแก่เป็นตายร้ายดีอย่างไรเลิศกลับไม่เคยรับรู้ ช่างเป็นลูกอกตัญญูแสนชังดั่งที่บิดาลั่นวาจาเอาไว้อย่างแท้จริง

"พี่...ต้องขอลางาน"

มนพัทธ์ตาเบิกโพลง

"ลางาน ลางานไปไหน"

เลิศหันมาสบตา เขารวบฝ่ามือขาวที่เกาะอยู่บนแขนมากอบกุม จากนั้นก็ออกแรงบีบเบาๆ ให้เด็กหนุ่มคลายกังวล

"กลับบ้าน"

"กลับกี่วัน กลับยังไง"

"อาจซักสาม วานฝากลาคุณนายให้พี่ที"

ว่าจบชายหนุ่มก็ลดแขนลงแนบลำตัว เนื้ออุ่นที่กอบกุมกันอยู่จึงพลอยผละออกจากกัน เขาหมุนตัวหาทางออก ก้าวขายาวฉับๆ ตรงดิ่งไปที่หน้าประตู ทิ้งให้คุณหนูคนดีของป้าแก้วยืนเศร้าสลดเหมือนกุหลาบดอกเฉาที่รัศมีใช้ให้นายคนสวนยกมาวางไว้


 

sds

ไปแล้วกลับมาด้วยนะ ????

เรามารีแคปกันค่ะว่าจากตอนนี้มีเหตุการณ์อะไรบ้าง

1. ผีสาวตัวร้ายเป็นใคร ผีจริงไม่จริง แล้วแกอยากให้ยัยมนตายเหรอ!

2. พี่ณัฐคัมแบค

3. ใครรักใครก่อน

และอื่นๆ อีกนิดหน่อย ต้องสังเกตแล้วนะๆ