15 ตอน ไกลต้น
โดย dnim
"ทำไม...ถึงมาเป็นคนสวนล่ะ"
เด็กหนุ่มพูดพลางม้วนทิชชู่ทบที่สามไว้ในอุ้งมือ เขาใช้มันเช็ดคราบน้ำสีขุ่นที่เกาะอยู่ตามซอกลับตา ขณะคนถูกถามง่วนอยู่กับการมัดถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วให้เป็นปม พวกเขาเพิ่งยุติการบดเบียดริมฝีปากเข้าหากันไปได้เพียงไม่กี่นาที เวลานี้จึงคลับคล้ายชั่วโมงสืบสวนประวัติคู่นอนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
"เรื่องนั้นมันสำคัญด้วยหรือ"
คิ้วหนาขมวดยุ่ง เขาก้มๆ เงยๆ มองใบหน้าฉงนสงสัยสลับกับของเหลวที่กลิ้งอยู่ในถุง
น้ำเยอะฉิบหาย
เลิศปลงตก เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปนานโข นานเสียจนลืมความรู้สึกสุขสมยามที่ได้จับ ยามที่ได้จูบ
"สำคัญ"
มนพัทธ์ที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับพยักหน้า เขาวางบั้นท้ายลงกับเบาะหนังและจับทิชชู่ที่เปียกชุ่มยัดลงขวดพลาสติกเปล่า
"เห็นในประวัติว่าจบปริญญาตรี แถมทำงานเป็นเซลล์ได้ตั้งหลายปีอีก ค่าคอมมิชชั่นก็คงไม่ใช่น้อยๆ นึกยังไงถึงอยากมาเป็นคนสวน"
คิ้วหนายังคงขมวดยุ่ง เลิศไม่นึกอยากเล่าความหลังให้มนพัทธ์ฟัง ชายหนุ่มจึงถกชายเสื้อที่มีคราบขาวเกาะพราวออกทางหัว แล้วเอี้ยวตัวหยิบขวดน้ำเปล่าใต้เท้าขึ้นมาเตรียมซัก
"บอกกันไม่ได้เชียว"
คนเป็นน้องทำปากยื่น แม้จะนึกไม่พอใจเฉกเช่นทุกครั้ง แต่กล้ามเนื้อหน้าท้องที่โหนกนูนเป็นลูกระนาดอยู่ตรงหน้ากลับทำให้เขาลืมโกรธนายคนสวนไปเสียสนิท
เชี่ย นั่นซิกแพ็กเหรอ
มนพัทธ์ปากเผยอ เตรียมชื่นชมร่างกายของชายหนุ่มอายุสามสิบสองปีที่มัดกล้ามสะท้อนกับแสงจากเสาไฟ หากนายคนสวนยอมถอดเสื้อแสงออกเสียตั้งแต่แรก ชั่วโมงสวาทของทั้งสองคงไม่จบลงตรงที่หนึ่งน้ำ
"ไม่ใช่บอกไม่ได้ แต่บอกไปคุณคงจะไม่เข้าใจ"
"คุณอีกแล้ว" มนพัทธ์แว้ด "บอกว่ามนๆๆๆ"
เลิศแค่นยิ้ม เขาเปิดประตูรถและเทน้ำดื่มในขวดราดลงบนเสื้อยืดสีดำที่เคยสวมใส่ เมื่อมันชุ่มเปียกได้ที่มือคู่โตก็ออกแรงขยี้จนรอยด่างขาวหลุดไหลไปกับของเหลว
"ทำไมพอหายเงี่ยนแล้วถึงได้ดื้อนัก"
คนเป็นน้องเหน็บ เขาจนปัญญาจะหว่านล้อมคนปากหนัก
"ไม่ได้ดื้อแต่มันชินปาก เรียกคุณมาตั้งนานจะให้เปลี่ยนมาเรียกชื่อพี่คงต้องใช้เวลาหน่อย"
"ไม่ใช่แค่เรื่องชื่อ เรื่องงานด้วย"
เลิศเลิกบิดน้ำแล้วพาดเสื้อไว้กับขอบหน้าต่างรถยนต์ เขาหันกลับมาจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ ก่อนจะพบว่าคนเป็นน้องจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมโตนั้นสุกสกาว มันวาววับเหมือนมีไฟดวงเล็กแขวนไว้ด้านใน
"จะอยากรู้ไปทำไม รู้ไปก็รกหัว"
"จะรกหัวรึเปล่ามนจะเป็นคนตัดสินใจเอง พี่เลิศรู้มั้ย ก่อนที่มนจะได้อ่านประวัติจากใบสมัครงานของพี่เลิศ วันที่พี่เลิศตีกระถางมนแตก มนคิดเป็นตุเป็นตะเลยนะว่าไอ้หมอนี่คงจะฆ่าคนหมกป่ามาแน่ๆ"
"หา" ชายหนุ่มร้องลั่น "ฆ่าคน? พี่น่ะหรือ"
ว่าจบเลิศก็ส่งกางเกงขาสั้นที่สมควรจะปกคลุมท่อนล่างของเด็กหนุ่มคืนให้เจ้าของ จากนั้นก็ขำคิกคักน้อมรับความผิดที่สะบั้น เส้น ที่ไม่ควรล้ำขาดด้วยน้ำมือของตนเอง
เวร ลูกจ้างไม่ทำแบบนั้น
เลิศตรองอีกหน
"แหงสิ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อายุก็ยังหนุ่มแต่ดันมาสมัครเป็นคนสวน แถมเชิดหน้าเถียงมนฉอดๆ อีก ถ้าไม่ได้หนีคดีมาจะเป็นแรงจูงใจอะไรได้"
"วันนั้นที่เชิดหน้าก็เพราะมนพูดไม่รู้เรื่อง"
"ก็คนมันเห็น..."
มนพัทธ์เงียบลงกะทันหัน ช่วงเวลานั้นเขาเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติบางอย่างซ้อนกับเงาของนายเลิศ มันช่วงชิงชั่วโมงต้องมนตร์ยามสบตา อีกทั้งถ้อยคำหวานที่ทั้งคู่อาจจะได้เอื้อนเอ่ยต่อกันไปหมดสิ้น
"ผีน่ะหรือ"
เด็กหนุ่มขาน อือ โดยมีภาพของผู้หญิงไร้หน้าฉายในหัว
"ฉาย...ตายไปได้หลายเดือนแล้ว วันที่มาถึงที่นี่ก็เพิ่งทำบุญครบรอบร้อยวันเธอไป เธอไม่รู้จักใครในบ้านหลังนี้เสียด้วยซ้ำ ไอ้ที่เห็นไม่มีทางเป็นฉายแน่"
ชายหนุ่มตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งลี้ลับที่มนพัทธ์อ้างถึง ฉายคนดีของเขาไม่มีทางทำให้ใครหวาดกลัว สันดานของเธอนั้นงดงามหมดจด มดแดงสักตัวยังไม่เคยทำร้ายให้ผัวอย่างเลิศเห็น ยิ่งเด็กหนุ่มเล่าว่าถูก มัน ผลักกระเด็นมีหรือคนรักอย่างเลิศจะเชื่อลง
"แต่มนไม่เคยได้ยินว่าสัมภเวสีเข้ามาในบ้านได้"
เลิศทิ้งท้ายว่า 'คงเป็นเจ้ากรรมนายเวรล่ะมั้ง' และปล่อยให้เด็กหนุ่มสวมใส่กางเกงจนเรียบร้อย มนพัทธ์นิ่งเงียบ เขาไม่ชวนเลิศพูดคุย อีกทั้งยังล้มเลิกการไต่สวนเรื่องราวที่เลิศไม่เต็มใจจะบอก เพราะในหัวกลมว้าวุ่นอยู่กับความเชื่อเรื่องผีห่าซาตานมาตลอดเส้นทาง กว่าเด็กหนุ่มจะเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งรถฟอร์จูนเนอร์คันโตก็กลับมาจอดแน่นิ่งหน้าคฤหาสน์
"หรือ...ผู้หญิงคนนั้นเขาอยากให้มนตาย"
คราวนี้นายคนสวนกลับพูดไม่ออกเสียเอง ความอาฆาตแค้นของดวงวิญญาณเป็นเรื่องนอกเหนือตำรา ชายหนุ่มผู้เคยผ่านรสพระธรรมมาบ้างจึงหมดปัญญาไขข้อฉงน
"พี่ก็ไม่รู้ แต่อย่าริไปถามเชียว ไม่ว่าจะเป็นพ่อหมอที่เขาว่าเก่งกาจแค่ไหนก็ห้าม มันมีแต่พวกเลี้ยงผี มันจะเอาของไม่ดีมาให้"
"มนจะไปถามหาสำนักจากไหน พูดไปใครฟังก็คงขำ คงหาว่าเพ้อเจ้อ ไม่ก็เป็นโรคประสาท แล้วโรคประสาทแบบไหนถึงได้รู้สึกว่ามีคนผลักล่ะ"
เลิศไม่ออกความเห็น เขาปล่อยให้คุณหนูคนเล็กพูดเจื้อยแจ้วกับน้ำในหู 'ไปตรวจดีเปล่าวะ หรือจะไม่ตรวจดี' ส่วนตัวเองรีบสวมเสื้อยืดที่มีรอยด่างน้ำดวงใหญ่ทับเนื้อหนัง แล้วผลักบานประตูออกด้วยฝ่ามือคู่ใหญ่
"จะไปแล้วเหรอ"
มนพัทธ์ร้องเรียก
แหงสิ
เลิศตอบเด็กหนุ่มในใจ เขาไม่อยากถูกใครจับได้ว่ามีสัมพันธ์สวาทกับ คุณมนพัทธ์
"จะไปนอนเอาแรง" เลิศอ้าง
"น้ำแตกแล้วแยกทางนี่ เลวชะมัด"
ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงทันที
"เราไม่ได้ตกลงว่าจะเป็นผัวเมียกันเสียหน่อย"
เด็กหนุ่มพรั่นพรึง พวกเขาพูดกระโชกโฮกฮากต่อกันมาเป็นแรมเดือนโดยที่ไม่เคยมีฝ่ายไหนนึกน้อยเนื้อต่ำใจ มาวันนี้ผลจากการร่วมรักเพียงครั้งเดียวกลับทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มอ่อนยวบลงทันทีที่นายคนสวนพูดเสียงแข็งใส่
ในละครย้อนยุคหลังข่าว พวกเมียบ่าวต้องเจียมเนื้อเจียมตัวกับผัวเจ้า มีที่ไหนจะมายืนฉอดเถียงผัวปาวๆ เหมือนที่ชายหนุ่มกำลังทำกับมนพัทธ์
แต่เราเป็นเมียนี่หว่า
มนพัทธ์ที่เพิ่งตกตะกอนได้ถอนหายใจ เขามองชายหนุ่มอกสามศอกเดินหายเข้าไปหลังคฤหาสน์ คล้ายกับสุนัขกำลังรอคนแปลกหน้าผู้ใจดีพอจะโยนเศษกระดูกให้
"เฮ้อ"
เด็กหนุ่มฟุบหน้ากับพวงมาลัย เขาอยากให้นายคนสวนหันมาจูบเขาก่อนจากไปใจแทบขาด แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเพียงใบหน้าปั้นปึงพร้อมน้ำเสียงเดือดดาล เลิศปฏิบัติตนราวกับท่อนไม้เดินได้ไร้หัวใจ
ไม่โรแมนติกเลย!
มนพัทธ์ตะแคงหน้าหันมองที่นั่งฝั่งตรงข้าม ที่พวกเขาผ่านบทร้อนรักกันบนเบาะหนัง เขาเคลื่อนฝ่ามือขาวลูบไล้ไปตามเนื้อผ้า สัมผัสไออุ่นทุกอณูที่นายคนสวนทิ้งเอาไว้อย่างเลื่อนลอย แต่แล้วเสียงทุ้มของชายหนุ่มก็กลับเข้ามาดังก้องอยู่ในหัว
'ไม่ได้เกิดรักพี่เพราะแค่จูบเดียวนั่นหรอกใช่มั้ย'
มนพัทธ์แค่นยิ้มขมขื่น จุมพิตฉาบฉวยเพียงครั้งเดียวไม่อาจทำให้ความรักบังเกิด แต่ความเห็นอกเห็นใจที่มีให้อีกฝ่ายต่างหากที่เสมือนปุ๋ยบำรุงรากต้นรักให้เติบโต
เช้าวันต่อมามนพัทธ์ตื่นเพราะเสียงจอบ มันดัง แซ่ก แซ่ก แซ่ก ลอดหน้าต่างบานยาวเข้ามาในห้องนอนปีกขวา พอเปิดม่านผลักกระจกออกไปดูก็พบว่าเป็นนายคนสวนก้มๆ เงยๆ ย้ายกุหลาบในกระถางลงดิน
เด็กหนุ่มปิดผ้าม่าน ไม่อ้าปากด่า แต่เดินหาวหวอดเข้าไปสีฟันในห้องน้ำ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำจนหอมสะอาด จากนั้นก็ลงไปทานอาหารเช้าตามกิจวัตรประจำวัน
"หนูซื้อกุหลาบมาเหรอจ๊ะ แม่ว่าสีมันสวยดีนะ เข้ากับศาลาดีทีเดียวเชียว แม่เห็นนายเลิศเทียวขุดดินรอบศาลาตั้งแต่เช้า ป่านนี้น่าจะลงต้นเสร็จแล้วล่ะมัง ไว้ทานข้าวกันเสร็จจะแวะไปดูซักหน่อย"
ลูกชายคนเล็กอมยิ้ม ปากไม่ปริพูดเรื่องนายคนสวนผู้ช่วยเลือกกุหลาบสีสวยแม้สักคำ
"เอ้อนี่ แม่คุยกับพี่เขานะว่าจะให้ย้ายกลับมาอยู่ซะด้วยกัน ข้าวของห้องยัยณัฐก็ยังอยู่ดี ห้องนอนแขกก็ยังเหลืออีกตั้งสามห้อง อีกหน่อยยัยกวางโตขึ้นกว่านี้จะได้ไม่ลำบากเรื่องไปโรงเรียน บ้านที่พวกพี่เขาอยู่กันตอนเนี้ยไกลโรงเรียนดีๆ จะตาย อีกอย่างพี่สะใภ้ก็ท้องไส้อยู่ กลับมาอยู่บ้านเราจะได้ช่วยกันดู"
คนฟังทิ้งช้อนเงินกระแทกจานเซรามิกใบสวย
"อุ๊ย ยัยมน ถือดีๆ สิ ทำแม่ตกอกตกใจหมดเลย"
"ขอโทษครับ..."
คนเป็นลูกหยิบผ้าบนตักขึ้นเช็ดปาก เขารอให้ป้าแก้วแม่บ้านเก่าแก่เช็ดเศษอาหารที่เขาทำเปรอะเปื้อนบนโต๊ะจนสะอาด จากนั้นจึงยกน้ำเย็นลอยมะลิขึ้นดื่มค่อนแก้ว
"แต่...ถ้าย้ายมาอยู่อีกตั้งสี่คนป้าแก้วกับพี่แตงคงวิ่งวุ่นกันทั้งวันน่ะสิ น่าสงสารออกจะตายไป"
"ไม่เป็นปัญหาหรอกจ้ะ จ้างแม่บ้านอีกซักคนสองคนพี่เขาก็ยังไหว ห้างร้านเราผู้รับเหมาวิ่งเอารถมาขนของกันถึงโกดัง ตอนนี้กำไรดีจะตายไปลูก เราก็ปลูกเรือนแยกไว้ให้เด็กในบ้านอยู่ซะก็สิ้นเรื่อง"
แก้วที่กำลังก้มหน้างุดหัวใจพองโตทันทีที่รู้ว่าที่ซุกหัวนอนจะเป็นเอกเทศจากเจ้านาย ห้องหับของเธอจะกว้างขวาง ไม่ต้องเกรงกลัวเค้กของคุณหนูจะคละคลุ้งด้วยกลิ่นกะปิน้ำปลาหวาน และหัวนอนปราศจากเสียงย่ำฝีเท้าปึงปัง
"แม่เอาจริงเหรอ"
"แม่จะโกหกหนูทำไม บ่ายนี้แม่นัดอินทีเรียมาที่บ้านด้วย จะให้เขาดีไซน์เรือนเล็กให้พร้อมใช้ เอ้อ แล้วก็อาจให้แพลนๆ ห้องเด็กอ่อนไว้ให้พี่สะใภ้เขาด้วย เป็นไง ฟังดูดีมั้ยจ้ะ ทำห้องแบบพวกอังกฤษยุคโบราณกันไปเลย"
รัศมีดีอกดีใจ เธอปรบมืออวบเข้าหากันจนกระพรวนทองคำบนกำไลส่งเสียงใสกังวาน แต่ลูกชายกลับไม่นึกยินดียินร้ายไปด้วย มนพัทธ์รักหลานสาวของเขา อีกทั้งยังรักพี่สะใภ้เสมือนคลานตามกันมา แต่กับณัฐนนท์ที่เป็นคนใจยักษ์ใจมารขึ้นมากะทันหันนั้นเห็นทีคนเป็นน้องคงจะรักไม่ลง
หลังทานอาหารเช้าเสร็จรัศมีปรี่ไปเชยชมกุหลาบขาวรอบศาลากลางแจ้งที่นายคนสวนเพิ่งนำลงดิน ส่วนลูกชายคนเล็กเดินลากรองเท้าดัง แซ่ก แซ่ก แซ่ก ไปที่แกรนด์เปียโนหลังโต เด็กหนุ่มถอนใจพร้อมเปิดสมุดเพลงไปมา หัวใจเขาเศร้าสร้อยเกินกว่าจะเลือกบทเพลงใดมาปลอบประโลม มนพัทธ์ไม่อยากถูกพี่ชายกะเกณฑ์ชีวิตอีกหน โดยเฉพาะเรื่องความรักที่มันคงเร้นกายซุกซ่อน ปิดปากตัวเองเงียบเชียบให้ดูเหมือนไม่มีตัวตน ไม่โผล่พ้นออกมาให้ณัฐนนท์เคลือบแคลงใจ
"เฮ้อ" มนพัทธ์ระบายลมร้อน
เขาจรดเล็บสั้นลงบนคีย์บอร์ด ขยับข้อนิ้วเล่นโน้ตสามตัวต่อหนึ่งห้องวนซ้ำจนครบสี่รอบ แต่แล้วร่างสูงใหญ่ก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง ในมืออุ้มกระถางกุหลาบสีแดงดูเหี่ยวเฉาแนบกับอก ส่วนดวงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นผู้ที่นั่งอยู่กลางห้องเป็นคุณหนูคนเล็ก
"อะ..."
เด็กหนุ่มอ้าปากเตรียมทักทาย
"จะเอาอะไรเหรอ"
เจ้าของบ้านตัวน้อยถาม ชายหนุ่มอ้ำอึ้งตอบเสียงเบาว่า 'วางกระถาง คุณนายบอก' แล้วสาวเท้านำดินเผาเคลือบไปตั้งไว้ริมหน้าต่าง
"ลงกุหลาบเสร็จรึยัง"
"เสร็จแล้วครับ"
เลิศกระแอมไอ ในใจสับสนอลหม่านอยู่พอดู จะเรียกด้วยชื่อก็ไม่กล้า จะเรียกคุณก็ห่วงคนตรงหน้าแผดเสียงขึ้นมาอีก
"กินข้าวแล้วรึยัง"
มนพัทธ์เล่นเพลงจากความทรงจำต่อ อีกทั้งยังพึมพำภาษาต่างประเทศที่เลิศไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียวออกมาไม่ขาดสาย มันประสานทำนองกับเสียงของเครื่องดนตรี กลบเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มมิดจนเขาต้องส่ายหน้าแทนคำตอบ
"ไม่รีบกินซะล่ะ"
มนพัทธ์วางสองมือลงที่เอวทั้งสองข้าง ห้องทั้งห้องจึงไร้เสียงดนตรีไปชั่วขณะ
"ยังไม่ค่อยหิว"
คุณคนเล็กขมวดคิ้ว แล้วแปรเปลี่ยนเป็นอมยิ้มจนสองข้างแก้มเกิดรอยบุ๋ม
"ข้าวต้มกุ้งอร่อยนะ"
เปียโนสีขาวกลับมาร้องแข่งกับเสียงของเลิศอีกหน แต่คราวนี้มนพัทธ์เปล่งเสียงออกมาชัดถ้อยชัดคำ
Je te laisserai des mots
(ผมจะเขียนบันทึกถึงคุณ)
En d'ssous de ta porte
(สอดไว้ใต้ประตู)
นับเป็นครั้งที่สองที่ชายหนุ่มได้ยินคนดีของป้าแก้วร้องเพลงที่เขาไม่เคยได้ยิน ครั้นจะอ้าปากถามเหมือนหนูจำไมขี้สงสัยโทรศัพท์เครื่องเก่าที่อยู่ในกางเกงผ้าฝ้ายก็สั่นเป็นเจ้าเข้า ลำโพงเล็กจิ๋วร้องแรกแหกกระเชอให้เจ้าของเครื่องรับสายของ คราม ผู้เป็นน้องชาย
"ฮัลโหล"
มนพัทธ์หยุดมือ เขาแหงนหน้ามองนายคนสวนเสวนากับคนในมือถือ
(ไปเยี่ยมพ่อบ้างรึเปล่า)
"เยี่ยม? เยี่ยมทำไม พ่อเป็นอะไร"
เลิศตระหนก สมองนึกย้อนไปเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่ชายชราโทรศัพท์มาถามไถ่
(ป้าเล็กโทรมาบอกว่าผัวแกต้องขับรถไปส่งพ่อที่โรงบาล พ่อกินข้าวไม่ได้ ไม่มีแรง น่าจะมีปัญหาที่ฟัน ตอนนี้เป็นกระเพาะอักเสบไปเรียบร้อยแล้ว กูว่าจะขึ้นไปดูสิ้นเดือนนี้ มึงมาด้วยก็ดีนะ หรือจะให้ไปรับ ตอนนี้มึงไม่มีรถหนิ เห็นใครว่ามึงปล่อยเช่ารถให้อดีตแม่ยาย)
คนเป็นพี่นิ่งเงียบ ไม่ว่าใครจะคาบข่าวไปบอกน้องในไส้ เลิศก็ต้องยอมรับว่าข่าวที่คาบไปได้นั้นถูกต้องทุกประการ
"มะ...ไม่ต้องมารับ เดี๋ยวกูไปเอง
(เออดี เจอกันที่บ้าน)
จากนั้นครามก็ตัดสาย ทิ้งให้ผู้เป็นพี่ชายยืนจังงังอยู่กลางห้อง
"พี่เลิศ มีอะไรรึเปล่า"
มนพัทธ์ปรี่เข้ามาจับแขน เขาเขย่ามันเล็กน้อยเพื่อเรียกสติเลิศที่เอาแต่ยืนขมวดคิ้วตึงเครียด เลิศไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัวที่เหลือเพียงแค่พ่อนานเกินครึ่งปีแล้ว สุขภาพของชายแก่เป็นตายร้ายดีอย่างไรเลิศกลับไม่เคยรับรู้ ช่างเป็นลูกอกตัญญูแสนชังดั่งที่บิดาลั่นวาจาเอาไว้อย่างแท้จริง
"พี่...ต้องขอลางาน"
มนพัทธ์ตาเบิกโพลง
"ลางาน ลางานไปไหน"
เลิศหันมาสบตา เขารวบฝ่ามือขาวที่เกาะอยู่บนแขนมากอบกุม จากนั้นก็ออกแรงบีบเบาๆ ให้เด็กหนุ่มคลายกังวล
"กลับบ้าน"
"กลับกี่วัน กลับยังไง"
"อาจซักสาม วานฝากลาคุณนายให้พี่ที"
ว่าจบชายหนุ่มก็ลดแขนลงแนบลำตัว เนื้ออุ่นที่กอบกุมกันอยู่จึงพลอยผละออกจากกัน เขาหมุนตัวหาทางออก ก้าวขายาวฉับๆ ตรงดิ่งไปที่หน้าประตู ทิ้งให้คุณหนูคนดีของป้าแก้วยืนเศร้าสลดเหมือนกุหลาบดอกเฉาที่รัศมีใช้ให้นายคนสวนยกมาวางไว้
ไปแล้วกลับมาด้วยนะ ????
เรามารีแคปกันค่ะว่าจากตอนนี้มีเหตุการณ์อะไรบ้าง
1. ผีสาวตัวร้ายเป็นใคร ผีจริงไม่จริง แล้วแกอยากให้ยัยมนตายเหรอ!
2. พี่ณัฐคัมแบค
3. ใครรักใครก่อน
และอื่นๆ อีกนิดหน่อย ต้องสังเกตแล้วนะๆ
Comments (0)