"เสียใจด้วยครับพี่"

เสียงแหบพร่าดังขึ้นเรียกสติให้ เลิศ หันกลับไปสนใจแขกร่วมงานที่กำลังยื่นซองสีขาวให้ ดวงตาปูดบวมกะพริบถี่ นี่นับเป็นคืนที่สามแล้วที่ชายหนุ่มนอนหลับได้ไม่สนิทนัก เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพ่งพินิจว่าผู้ชายรูปร่างท้วมตรงหน้าเป็นใคร เมื่อพบว่าเป็นรุ่นน้องของ ฉาย ชายหนุ่มก็ร้องตอบในลำคอ

"อืม"

เลิศเลื่อนซองที่ได้รับมาให้กับหลานสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างก่อนจะหยิบด้ายสีแดงเส้นหนึ่งส่งให้แขกของวันนี้

"อาเลิศพักก่อนก็ได้นะคะ เรื่องรับแขกฟ้าจะดูแลเอง"

หญิงสาวที่หน้าตาดูละม้ายคล้ายกับ ฉาย ขันอาสา วันนี้เธอเห็นอาเขยของเธอวิ่งวุ่นกับการจัดการงานศพทั้งวัน ต่อให้จะเป็นคุณยายหรือคุณป้าเรียกให้ไปทานข้าวทานปลาเขาก็ไม่ยอมฟัง ปราการสุดท้ายคงจะหนีไม่พ้นหลานสาวอย่างเธอ

"ไม่เป็นไร"

เลิศตอบอย่างเลื่อนลอย วันนี้มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาพูดหว่านล้อมให้เขางีบบ้าง ทานข้าวบ้าง จนคนฟังรู้สึกหนวกหู โดยปกติแล้วจะมีเพียงแค่ฉายเท่านั้นที่ใส่ใจกับมื้ออาหารของเขา พอมาวันนี้กลับมีแต่เสียงของคนอื่นเลิศจึงยิ่งทุกข์ใจ

"แต่ฟ้ายังไม่เห็นอาเลิศทานอะไรเลยนะคะ คุณยายก็เป็นห่วง คุณป้าก็เป็นห่วงอาเลิศกันทั้งนั้นเลยค่ะ"

"อาไม่หิวจริงๆ "

ชายหนุ่มปฏิเสธความเป็นห่วงเป็นใยและพยายามที่จะฉีกยิ้มให้หลานสาวคลายกังวล แต่กลับกลายเป็นว่าแม้แต่มุมปากจะยกยิ้มก็ทำได้อย่างยากลำบาก

“พอเป็นคืนสุดท้ายแล้วอากาศเย็นจังเลยนะคะ”

ฟ้าพูดขึ้นพร้อมยกมือลูบไล้ไปตามต้นแขน

บรรยากาศด้านนอกศาลานั้นมืดสนิท มองเห็นเพียงแสงไฟสลัวจากกุฏิพระสงฆ์เท่านั้น หากไม่มีเหตุจำเป็นให้จับจ้องสิ่งใดเธอจะไม่มองออกไปไกลกว่าใต้ศาลานี้เป็นเด็ดขาด เพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่จะพัดผ่านมาพร้อมกับลมเอื่อยๆ นั้นอาจไม่ใช่คน

คนเป็นอานิ่งเงียบ ชายหนุ่มเองก็มีความเห็นไม่ต่างกันว่าคืนนี้อากาศเย็นกว่าคืนไหนๆ แต่เขากลับไม่หวาดกลัวต่อสิ่งเหนือธรรมชาติใด คิดเพียงว่า ดีเสียอีก ฉายจะได้มาหา เลิศคิดถึงเสียงของฉาย คิดถึงเวลาที่เสียงเจื้อยแจ้วนั้นคอยปลอบโยน และนับจากนี้ต่อไปเขาจะไม่ได้ยินมันแล้ว

อีกไม่กี่นาทีพระประจำวัดทั้งสี่รูปจะเริ่มสวดอภิธรรม แต่เจ้าภาพอย่างเลิศกลับยังคงนั่งเหม่อลอยถึงวันวานที่เขามีภรรยาเป็นคู่ใจจนอดีตแม่ยายต้องเข้ามาสะกิดเข้าที่แขน

“พระมาแล้ว รีบไปจุดธูปเทียนเร็ว”

ชายหนุ่มขยับตามคำสั่ง เขาเลื่อนเก้าอี้พลาสติกออกจากตัว เดินดุ่มๆ เข้าไปนั่งด้านในศาลาพร้อมกับดึงธูปเจ็ดดอกออกมาจุด สามดอกแรกเขาส่งให้คุณพ่อ อีกสามดอกเขาส่งให้คุณยาย ส่วนดอกสุดท้ายเป็นของเขา

เลิศยกสองมือขึ้นประนม เงยหน้ามองรูปสองสีที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโลงสีขาวทองที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้

ฉาย

ชายหนุ่มพูดในใจ

พระมาแล้วนะ

เขาพูดกับรูปแทนของภรรยาเพียงแค่ห้าพยางค์ก่อนจะรีบปักธูปลงบนกระถาง จากนั้นก็คลานถอยกรูดกลับไปชิดริมขอบประตู ราวกับกลัวว่าผู้หญิงในรูปจะเห็นน้ำตาที่กำลังคลอหน่วยเข้า เลิศนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่นานสองนาน ปริปากพูดบ้างหากมีใครผ่านมาทักถาม

ฉายโชคร้ายจัง

แล้วใครรับผิดชอบเนี่ย?

เลิศได้ยินคำห่วงใยมานับไม่ถ้วน

ในโลกของเลิศ ภรรยาคนสวยของเขายังคงกำลังเดินทางกลับลพบุรี ฉายยังไปได้ไกลไม่ถึงไหนเพราะครั้งสุดท้ายที่คุยกันผ่านทางโทรศัพท์ เธอบอกว่า รถทัวร์จอดแวะปั๊ม และจากนั้นต่อมาตำรวจก็ใช้โทรศัพท์ของฉายโทรเข้ามาหา เลิศไม่ได้ยินเสียงของฉายอีกต่อไปแล้ว มีเพียงเสียงของนายตำรวจคนนั้นพูดกรอกหูเขาว่า รถบัสประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ เสียชีวิตยกคัน เขาเพิ่งมาคิดได้ว่า ฉายจะไม่มีวันกลับมา ในวันที่มีควันไฟสีดำลอยสูงออกจากปล่อง และวันนั้นเป็นวันแรกที่ชายหนุ่มร้องไห้ออกมาเหมือนกลับกลายเป็นเด็กทารก

 

“เห็นรึยังคนสวนที่มาใหม่ หล่อเนอะ ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่”

เสียงเซ็งแซ่ดังลอดออกมาจากในห้องครัวจน คุณคนเล็ก ของบ้านที่กำลังเดินผ่านมาอดไม่ได้ที่จะแนบหูเข้าไปฟัง

“ตัวก็สู๊งสูง หน้าตาก็ล้อหล่ออย่างกับดาราเลย”

สาวใช้ที่เขาจำชื่อไม่ได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับแก้มพร้อมบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย

“มีเมียรึยังก็ไม่รู้” หมาย คนขับรถรีบขัด

“โอ๊ย พี่หมายนี่ล่ะก็ ไม่ขัดฉันซักวันจะตายมั้ย”

“ก็ข้าพูดจริงนี่หว่า หรือเอ็งอยากไปเป็นเมียน้อยเขาล่ะ”

คนฟังลุกขึ้นตบเข้าที่โต๊ะหนึ่งฉาดก่อนจะโก่งคอเตรียมจะเปิดศึกน้ำลาย แต่ทันใดนั้นปลายตากลับสังเกตเห็นรองเท้าสลิปเปอร์สีน้ำเงินเข้มที่เธอจำได้ขึ้นใจว่ามีเพียงเจ้านายอย่าง มนพัทธ์ เท่านั้นที่ใส่โผล่ออกมาจากขั้นบันได หญิงสาวจึงสงบลง

“อุ๊ย คุณมน”

คนสามคนที่อยู่ในห้องครัวพากันแตกตื่น รีบซุกขนมขบเคี้ยวราคาแพงไว้ด้านหลัง

“หิวเหรอคะ อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”

คนถูกถามยิ้มเจื่อน เขาไม่ได้วางแผนสำหรับการถูกจับได้ เด็กหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นเกาปลายคิ้วแก้เขินก่อนจะตอบออกไปว่า ไก่ทอด เพื่อให้เหล่าลูกจ้างสบายใจว่าจะไม่ถูกตำหนิเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่

“เมื่อกี้พูดถึงใครอยู่เหรอ” มนพัทธ์ถาม

“คนสวนคนใหม่ค่ะ ลุงใหญ่แกลาออกกลับไปทำสวนมะม่วงที่บ้านแกต่อ กว่าคุณท่านจะหาคนมาแทนได้นี่เล่นเอาเหนื่อยเลยนะคะ”

“ขนาดนั้นเลย”

“แหม ก็บ้านคุณมนทั้งใหญ่ทั้งกว้างแบบนี้ เป็นแตง แตงก็ไม่อยากทำหรอกค่ะ”

“อีแตง!” หญิงวัยกลางคนอีกคนรีบปราม

เด็กหนุ่มแสร้งฉีกยิ้มให้อีกหน เขากล่าวเพียงว่า ศาลากลางแจ้งนะ พร้อมเดินลากรองเท้าใส่ในบ้านคู่โปรดไปกับกระเบื้องหินอ่อน หลังจากกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของตัวเองได้เพียงสามเดือนมนพัทธ์ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมการมีลูกจ้างเข้ามาทำงานใหม่ถึงได้เป็นเรื่องตื่นอกตื่นใจของเหล่าสาวใช้นัก

เหตุก็คงเพราะเงื่อนไขในการสมัครงานระบุชัดเจนว่าลูกจ้างทุกคนจะต้องใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนในบ้านหลังโตแห่งนี้ไปจนกว่าจะหมดสัญญาจ้าง และนั่นเป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้สาวใช้อย่างแตงตื่นเต้น

ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการจินตนาการหน้าตาของคนสวนคนใหม่ที่แตงย้ำนักย้ำหนาว่าหล่อเหลาเหมือนดารา สายตาของมนพัทธ์ก็สบเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินหายวับเข้าไปด้านหลังของสระว่ายน้ำ

“หือ” เด็กหนุ่มครางในลำคอ

มนพัทธ์มั่นใจว่าเขาพูดอย่างชัดเจนว่าต้องการทานไก่ทอดที่ศาลากลางแจ้ง แล้วทำไมหญิงสาวที่ใส่ท่อนบนสีขาวเหมือนกับเครื่องแบบของสาวใช้ถึงได้เดินหลบเลี่ยงไปอีกทิศ

“พี่แตง!” มนพัทธ์ตะโกน

เขารอให้มีเสียงตอบกลับอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไร้วี่แวว เด็กหนุ่มจึงหย่อนขาลงจากม้านั่งก่อนจะเดินตามสาวใช้คนนั้นไปยังเส้นทางด้านหลังสระว่ายน้ำ โดยปกติแล้วมนพัทธ์มักจะใช้อีกเส้นทางหนึ่งเดินไปยัง โถงกระจก มากกว่าจะเดินผ่านทางแคบๆ ที่ปูด้วยหินก้อนยักษ์ที่เหลือจากการจัดส่วนอย่างเส้นทางนี้ เพราะมันถูกทำขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อสาวใช้และคนงานภายในบ้านหากต้องการเดินไปไหนต่อไหนโดยที่ไม่ต้องผ่าน คนอย่างเขา

บ่ายนี้มนพัทธ์หิวโซ เขาไม่ต้องการรอให้สาวใช้ยกจานอาหารไปมา หากเพื่อไก่ทอดรสโอชาแล้วเขาสามารถปรับเปลี่ยนสถานที่รับประทานได้เสมอ จะเป็นที่โถงกระจกหรือศาลากลางแจ้งเขาก็ทานได้ทั้งนั้น แต่การเดินหาสาวใช้คนที่ว่ากลับทำได้ยากอย่างเหลือเชื่อ เด็กหนุ่มตะโกนอยู่นานสองนานจนลำคอแห้งผากแต่ก็ไม่มีสาวใช้คนใดได้ยินเสียงของเขา

“พี่แตง มนหิวแล้วนะ เอาไก่ออกมาเถอะ”

คุณคนเล็กบ่นกระปอดกระแปดจนในที่สุดก็เจอหลังไวๆ ของหญิงสาวคนนั้นยืนอยู่ใต้ต้นลีลาวดี มนพัทธ์ทำท่าจะตะโกนชื่อของเธออีกหนแต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยคนตัวสูงชะลูดที่กำลังยืดตัวขึ้นจับก้านดอกของลีลาวดีเอาไว้

ใครน่ะ

เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ ฉับพลันหญิงสาวที่มนพัทธ์เดินตามมาอย่างไร้จุดหมายก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ ชายหนุ่มคนนั้น และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอใช้นิ้วมือสีซีดชี้มาที่เขา

“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะลูก” มนพัทธ์สะดุ้ง

เขาหันกลับไปที่ต้นเสียงก็พบว่าเป็นมารดาของตัวเองจึงรีบเข้าไปสวมกอด

“เป็นอะไรจ๊ะ”

คนเป็นแม่ยกมือขึ้นลูบเรือนผมแก้วตาดวงใจอย่างงุนงง ลูกชายคนเล็กแสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนมองสลับต้นลีลาวดีกับผู้ให้กำเนิดรวดเร็วจนคอแทบเคล็ด

“มนเห็นผี”

เด็กหนุ่มพูดเสียงสั่นเครือพร้อมขนอ่อนที่พากันลุกเกรียว

“ผีอะไรลูก กลางวันแสกๆ จะไปมีผีได้ยังไง”

ใบหน้าของมนพัทธ์ซีดเผือก ตัวสั่นงันงกคล้ายลูกนกที่ตกจากรัง

“มนเห็นผีจริงๆ มนเดินตามเขามา”

“ไปกันใหญ่แล้วมน แม่เห็นก็มีแค่หนูกับนายเลิศ”

“ใครนะครับ” มนพัทธ์ถามซ้ำ

“คนสวนใหม่บ้านเราจ้ะ ชื่อเลิศ”