'ผมคิดว่าคุณเป็นเด็กห้าขวบ'

คำพูดของเลิศก้องอยู่ในกะโหลกของมนพัทธ์ เด็กหนุ่มใช้เวลาแรมคืนเฝ้าคำนึงถึงสาเหตุที่เจ้าของริมฝีปากหนามองเขาเป็นเพียงเด็กอมมือ มนพัทธ์สูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร แม้น้ำหนักจะเป็นปริศนาเพราะห่างหายจากตาชั่งไปหลายเดือน แต่คนตาดีมองเพียงปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าเด็กหนุ่มไม่มีร่างกายส่วนใดดูคล้ายเด็กห้าขวบตามที่นายเลิศว่าเอาไว้เลยแม้แต่น้อย หากให้อนุมานตามสติปัญญา มนพัทธ์คิดได้เพียงว่าพ่อคนสวนอารมณ์ร้ายคงต้องการตัดขาดสายสัมพันธ์แสนยุ่งเหยิงระหว่างลูกชายนายจ้างอย่างเขา

พวกเราไม่ควรจูบกัน

มนพัทธ์รู้อยู่เต็มอก

แต่จูบไปแล้วนี่!

เด็กหนุ่มเถียงตนเองในใจ เขาไม่ได้กำลังหลงรักนายเลิศ ไม่ใกล้เคียงคำว่ารักเลยสักนิด เขาออกจะเกลียดสายตาแสนเย็นชา คิ้วดุดัน กับร่างกายสูงใหญ่เทอะทะราวผาหินเคลื่อนที่ที่ทำให้มนพัทธ์เสียสิทธิ์ขัดขืนหากทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ

ยามได้จูบ...

เขากลับชอบจูบนายเลิศ ชอบเวลาที่ได้สัมผัสเนื้ออุ่น หรือสูดดมผิวคล้ำแดดที่มีกลิ่นดินเจือจาง มันทำให้เมล็ดหัวใจเหี่ยวเฉาเบิกบานราวกับมีแสงแดดแผ่ซ่านไปทั่วสี่ห้องหัวใจ

แต่นั่นไม่ใช่ความรัก

มนพัทธ์มั่นใจ เขาไม่มีทางรักชายหนุ่มไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ครั้งหนึ่งเคยตีกระถางต้นไม้ของเขาแตก เขาแค่ชอบริมฝีปากของนายเลิศ มันเป็นคนละเรื่องกับความรัก มันเป็นความใคร่ที่แวววับประเดี๋ยวประด๋าวเพราะนายคนสวนกักขฬะลักษณะตรงตามแรงดึงดูดทางเพศก็เท่านั้น

หากเขามีปากอื่น ปากที่เป็นแบบเดียวกับคนสวนเจ้าปัญหาให้ลองจุมพิตอีกสักหน เขาคงจะเลิกลุ่มหลงปล่องเนื้ออวบอิ่มนั้นได้ ติดตรงที่มนพัทธ์ไม่รู้จะไปหาไอ้ปากที่ว่านั่นจากไหน

เหนือสิ่งอื่นใดบ่ายนี้เด็กหนุ่มมีนัดปลดประจำการเฝือกอ่อนกับคุณหมอ เด็กหนุ่มแทบรอให้ถึงเวลานัดไม่ไหวเพราะอยากเลาะสิ่งแปลกปลอมที่มาแทนกระดูกใจจะขาด หากไม่มีมันมนพัทธ์คงเตร็ดเตร่ไปไหนต่อไหนตามใจอยาก เช่นหนีออกไปจากคฤหาสน์กึ่งผีสิงสักชั่วครู่ ไปยังคอนโดที่ซื้อทิ้งเอาไว้กลางเมือง เขาจะไปเรียนขี่ม้า ยิงบีบีกัน แล่นเรือใบและเรียกชายขายบริการมาบำเรอถึงเรือยอชต์

คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็พิมพ์ข้อความแสนสั้นส่งไปหากลุ่มเพื่อนที่วันๆ หนึ่งไร้ซึ่งธุระปะปังว่า 'ไปเที่ยวกันปะ' อึดใจเดียวสมาชิกก็ระรัวโทรหาจนหัวโจกอย่างมนพัทธ์ต้องเป็นคนรวมสาย

(ไอ้อยากไปเที่ยวเนี่ยขาหายแล้วเหรอมึง)

ทศชิงเหน็บแนม

"ไปเอาเฝือกออกวันนี้โว้ย"

คนอื่นๆ หัวเราะพร้อมพากันพูด 'ดีๆ' ปลอบใจ

(มันซ่าอีกแล้วว่ะ ไหน ครั้งนี้มึงอยากไปไหนอีก)

"อยากไปทะเลว่ะ แล้วก็ยิงปืน แล้วก็ขี่ม้า"

(กระดูกมึงเพิ่งต่อเองนะ) ก้องแย้ง

มนพัทธ์ไม่เก็บคำเหล่านั้นมาใส่ใจ

"ก็กูอยากไปอะ ไปมันสิ้นเดือนนี้เลยเป็นไง"

(สิ้นเดือนเหรอ...กูได้อยู่นะ ไม่ติดอะไร คนอื่นอะ) ก้องถามความเห็น

คนที่เหลือพึมพำในลำคอ บ้างก็ขอเก็บไปคิดจนกว่าจะได้สถานที่พักผ่อนโดยละเอียด มนพัทธ์ถอนใจ เขาแทบไม่ได้ฟังสิ่งที่ พวกลังเล พูด นิ้วเรียวเอาแต่กดแป้นพิมพ์ยิกๆ ส่งความในใจบอกทศที่อีกไม่ช้าคงได้เลื่อนขั้นมาเป็นเพื่อนตาย

mnp: ถ้าไปไพรเวทยอชต์ของพี่มึงกูพาคนไปเอาได้ปะ

tos: เปิดตัวเหรอ ใคร? พวกกูรู้จักปะ

mnp: เปิดตัวเหี้ยไรอะ กะหรี่ดิ น้ำหน้าอย่างกูจะไปมีใครให้เปิด

tos: พ่อค้าน่ะไม่มีปัญหาหรอก เพื่อนมึงนู่นที่จะมีปัญหา ไอ้กิตตัวนึงละ มันไม่ยอมนอนฟังเสียงคนเอากันแน่ๆ

mnp: 96 ไม่ได้ยินเสียง

tos: 4 แสน!? ไอ้ควาย เปลือง ตกคนละแสนเลยนะ แถมคนละแสนเพราะความขี้เงี่ยนของมึงด้วย ไม่คุ้ม 76 พอ

mnp: เล็ก

tos: เรื่องมากก็ไปหาม่านรูดเองไป มึงแยกแยะดิว่าจะไปหาเพื่อนหรือจะไปหาผัว 76 ห้ามต่อ

มนพัทธ์หัวเราะ เขาสนุกทุกครั้งที่ได้ปั่นหัวน้องชายพ่อค้าขายเรืออย่างทศ

mnp: 76 ก็ 76 ว่าแต่...มีเบอร์เล้าดีๆ ปะ แบบสะอาด พร้อมตรวจ แดก prep ที่กูมีเด็กเค้ามันไม่เปค

tos: เดี๋ยวถามคนรู้จักให้ จะเอาแบบไหนอะ

มนพัทธ์จับจ้องช่องสี่เหลี่ยมคับแคบที่ไว้ต่อบทสนทนาอยู่นาน เขากลัวว่าหากเผยความในใจจนหมดสิ้นทศอาจรู้ว่ามีต้นแบบเป็นนายคนสวน แต่เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือกมากมายนัก ท้ายที่สุดเขาจึงเลือกซื่อตรงกับหัวใจตนเอง

mnp: สูง สูงมาก สูงกว่ากู อาจสูงซัก 183 ห้ามเตี้ยกว่านี้

tos: อ่าฮะ

mnp: ผิวแทน แบบ...ไม่คล้ำมาก

tos: แล้วอะไรอีก

mnp: ปากหนาๆ หน่อย ใหญ่ๆ

tos: ใหญ่คืออะไร ไอ้จ้อนเหรอ

mnp: ปากดิ ไซซ์ไม่เกี่ยง เล็กสั้นขยันซอยก็เสียวอยู่ดีอะ

tos: จัญไรฉิบหาย

ทศทิ้งท้ายและกลับไปสรุปให้วงสนทนาฟังว่าทุกคนถูกเชิญไปขึ้นสปีดยอชต์ของครอบครัวโรจนสิทธิศักดิ์ โดยเหมาเช่าร่วมสิบหกชั่วโมงและต้องจ่ายคนละหกหมื่นห้าภายในสิ้นเดือนนี้ แน่นอนว่าบางส่วนโอดครวญออกมาเสียงดัง แต่เมื่อฟังแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ เหล่าเด็กหนุ่มถึงเงียบลง พ่อค้าจำเป็นแจกแจงรายละเอียดทริปล่องเรือต่ออีกเล็กน้อย ประจวบเหมาะกับที่หมายกลับจากส่งพ่อของเขาที่สนามกอล์ฟมนพัทธ์ถึงสบโอกาสปลีกตัวจากวงสนทนา

"กูวางก่อน ไปโรงบาล"

เด็กหนุ่มพยุงตัวเองลงไปชั้นล่าง ไปพบ คุณหมี ผู้เป็นแม่ เธอกวักมือเรียกให้เข้าไปหา เจรจาขอแบ่งเวลาว่างสักชั่วครู่มาถ่ายรูปครอบครัวชุดใหม่สัปดาห์หน้า ลูกชายคนเล็กหน้าเหยเก ครั้งที่แล้วที่รัศมีจับแต่งสูทถ่ายรูปเพิ่งผ่านไปได้เพียงปีหนึ่งเท่านั้น

"เราเพิ่งถ่ายไปไม่ใช่เหรอ" มนพัทธ์แย้ง

"ยัยกวางโตขึ้นอีกปีนึงแล้ว แถมพี่สะใภ้ลูกก็เพิ่งโทรมาบอกแม่ว่ากำลังมีหลานคนที่สอง ทีนี้เราจะได้มีรูปพร้อมหน้าพร้อมตากันไง"

"เดี๋ยวพอหลานเกิดแม่ก็คงถ่ายอีก"

"แน่สิจ๊ะ ก็เป็นครอบครัวของเรานี่ อย่าลืมเตรียมสูทเอาไว้นะลูก แม่ขอสีขาว พวกดอกไม้กับแบคดรอปก็ติดต่อเขาไปหมดละ เหลือแต่ให้นายเลิศไปช่วยขน"

คนฟังหูผึ่ง

"ให้ขนทั้งหมดนั่นคนเดียวเหรอ"

"เปล่าจ้ะ สต๊าฟของออแกไนซ์ขนมากกว่า เราแค่ให้คนของเราไปช่วยเขาอีกแรง"

มนพัทธ์คราง อ้อ แล้วกะโผลกกะเผลกขึ้นรถตู้ของครอบครัวไปตามนัด เด็กหนุ่มใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งเฝือกเจ้าปัญหาก็ถูกคุณหมอผู้ทำหัตถการปลดออกจากสายตา ต่อมาผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งก็เข้ามาหา เขาสาธิตการกายภาพบำบัดแสนง่ายให้นำไปปฏิบัติตามก่อนจะปล่อยเขาไปตามทาง

มนพัทธ์เตร็ดเตร่อยู่ที่คาเฟ่กลางเมืองอยู่นานเพื่อซื้อขนมหวานสามถุงใหญ่ ถุงหนึ่งเป็นของรัศมีกับประยูร ส่วนที่เหลือเป็นของลูกจ้างภายในบ้าน เขาฝากหมายให้นำขนมเหล่านั้นแช่ตู้เย็น ส่วนตัวเองวุ่นวายอยู่กับเหล่ารูปถ่ายของชายหน้าตาดีที่ทศส่งมาให้เลือกนับสิบคน

"คนนี้ดีสุดแล้วมั้ง"

มนพัทธ์วงกลมสีแดงล้อมรูปคนหนุ่มคนที่สามก่อนส่งมันกลับให้ทศ นายคนนี้คมเข้มโดดเด่นออกจากฝูง แถมรูปร่างดูปราดเปรียวแม้ร่างกายจะสูงใหญ่ ล้วนแล้วตรงตามลักษณะที่มนพัทธ์พึงใจทั้งสิ้น

(กูว่ามันเหมือน...)

เพื่อนรักเว้นช่องหายใจ ทศพินิจรูปถ่ายชายขายบริการอีกหนพลางกลืนก้อนสงสัยลงลำคอ

(คนนี้นะ จะเอามาเอนก่อนปะ อย่างกินข้าวหรือดูหนัง)

มนพัทธ์ขบคิด เขาไม่เคยซื้อบริการ เด็กเอ็นเตอร์เทน มาก่อน เขาได้ยินเพียงแค่ชื่อฉาวโฉ่จากรายการข่าวเพียงเท่านั้น

"ขอคุยก่อนได้มั้ย ถ้าไม่จูนไม่อยากไปนั่งคุยด้วย รำคาญ"

(จะคุยก็ต้องจ่ายก่อนว่ะ ถือว่าเอนเหมือนกัน มึงเอาแน่ปะละ)

"อืม..."

เด็กหนุ่มนวดขมับ ใจลังเลว่าจะสูญเงินที่ได้มาอย่างยากลำบากไปกับการหาคนมาคลายกำหนัดดีหรือไม่

ซ่า

มนพัทธ์สะดุ้งตัวโยน จู่ๆ เสียงฉีดน้ำก็ดังขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขายืดตัวขึ้นจากเก้าอี้สาน ชะโงกหน้าหวานผ่านขอบหน้าต่างบานยาวหาต้นตอของเสียง ปรากฏว่าเป็นนายคนสวนยืนรดน้ำต้นกระท้อนสูงสามเมตรด้านหลังห้องของเขาอยู่

"สัดเอ๊ย ตกใจหมด"

(กูยังไม่ทันทำอะไรเลยเพื่อน)

"ไม่ใช่มึงดิ คนที่บ้าน"

คุณหนูคนเล็กลอบมองชายหนุ่มอีกหน วันนี้เลิศสวมชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับสแล็คอย่างเคย ผิดตรงที่ไรหนวดยาวขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ปลายคางมนจึงเหมือนมีสีเขียวแต่งแต้มเอาไว้

(แล้วตกลงมึงเอาไง)

"ฮะ เอา เอ่อ..."

เลิศขยับตัวมนพัทธ์จึงขยับตาม คนสวนเดินไปปิดน้ำและพันสายยางสีขุ่นไว้ที่ท่อนแขนก่อนลากจูงมันไปที่ต้นชาดัดริมรั้ว

"อะ เอามาก็ได้"

(เอนนะ)

"เออ...เอน"

ทศตอบ โอเค แล้วจึงวางสาย ครู่หนึ่งเขาก็ส่งข้อมูลที่ใช้ติดต่อพ่อเล้าขาประจำของคนรู้จักมาให้ แต่มันช่างยากเย็นสำหรับมนพัทธ์เหลือเกินที่จะสนใจ ในเมื่อเจ้าของริมฝีปากที่เฝ้าถวิลหายืนอยู่ตรงหน้า

"ตั้งสติหน่อยสิวะ"

เด็กหนุ่มเพ่นกบาลตนเอง เขาปลดล็อกโทรศัพท์ บังคับฝืนใจให้ต่อบทสนทนากับชายแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักอยู่หลายนาทีจนผู้ค้าอดรนทนไม่ไหว ต้องทำหน้าที่นัดหมายและแจกแจงสถานที่ไว้บำเรอกาม

เป็นแบบนี้ดีแล้ว

มนพัทธ์บอกตนเอง เด็กห้าขวบจูบคุณลุงไม่ได้ เจ้านายจะนอนกับคนสวนไม่ได้ ชีวิตของเขากับเลิศไม่มีทางมาบรรจบกัน ไม่มีทางรัก ไม่มีทางเกลียด พวกเขาเพียงแค่ต้องคลาดกันไปมา เสแสร้งทำเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน ไม่อยู่ในใจ ไม่อยู่ที่ไหนเลย ไม่แม้แต่ในความทรงจำ

จนกระทั่งวันถ่ายรูปครอบครัวมาถึง วันนี้แสงแดดแรงจ้า แผดเผาทุกอณูรูขุมขนคล้ายกับในความฝันของมนพัทธ์ รัศมีจึงเตรียมน้ำกลิ่นอุทัยทิพย์ให้เลิศและทีมงานออแกไนซ์คนละกระติก พวกเขาขนกระถางปูนสูงเท่าเอวไปยังห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ที่พวกเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงมากมายถูกย้ายไปตั้งไว้มุมห้อง

จากนั้นดอกรวงนานาพันธุ์ซึ่งให้สีขาวและม่วงอ่อนก็ทยอยประดับประดาใส่แจกัน พวกเขาตัดแต่งกิ่งก้านของมันให้เป็นพุ่มทรงสวยรับกับโซฟาตัวยาวที่ประยูรกับรัศมีจะต้องนั่งตรงกลาง ขนาบข้างด้วยลูกชายทั้งสองก่อนจะเป็นสะใภ้และหลานสาวคนแรก การถ่ายรูปครอบครัวในวันนี้กวางตั้งใจกว่าใคร เธอเลิกยุกยิกและเอามือไขว้ไว้ด้านหน้า ริมฝีปากกระจับแยกยิ้มโชว์ฟันหลอที่เพิ่งถูกถอนไม่นานให้ตากล้องดู

น่ารัก

หลานสาวของมนพัทธ์น่ารักที่สุดในโลก

"เอาละนะครับ ผมจะนับ 1 2..."

ตึกตัก

ชีพจรของเด็กหนุ่มเต้นระรัว เขาสูดลมเข้าปอดและใช้กระจกเงาบานกลมที่ตั้งอยู่ด้านหลังของตากล้องเป็นจุดทิ้งสายตา แต่แล้วเงาของม่านด้านหลังครอบครัวก็เคลื่อนไหว มันเคลื่อนออกมาเป็นรูปทรงคล้ายกับลูกมักกะลีผล มนพัทธ์กะพริบตาถี่ ใจคิดว่าสายตาล้าหลังจากจ้องบัญชีรับจ่ายของร้านเช่าโค้ทมาทั้งคืน

แชะ

ทันทีที่ชัตเตอร์สับเด็กหนุ่มก็กลั้นหายใจ เขาเห็นร่างของผู้หญิงผมเพ้ากระเซอะกระเซิงพิงอยู่ที่หน้าประตูห้องโถงที่เปิดอ้าไว้ เธอจ้องเขาด้วยดวงตาขาวโพลน ใบหน้าปราศจากจมูกปาก พอเขากะพริบตาอีกทีเธอก็อันตรธาน

"ณัฐออกมาก่อนลูก ให้น้องถ่ายเดี่ยวก่อน เปลี่ยนเก้าอี้ด้วยค่ะ"

รัศมีปรบมือเรียกทีมออแกไนซ์ พวกเขาวิ่งมารุมมาตุ้มสับเปลี่ยนแจกันทั้งซ้ายขวาให้เหลือเพียงกุหลาบขาว จากนั้นก็รูดม่านกันแสงด้านหลังปิดเข้าหากันพอดิบพอดีกับที่ครอบครัวของมนพัทธ์เดินคุยกันถึงกองเฟอร์นิเจอร์มุมห้อง

"อย่าไป"

ลูกชายคนเล็กอ้อนวอน แต่เสียงเซ็งแซ่จากบทสนทนาของประยูรและณัฐกลบมันจนมิด

"พี่ณัฐ"

มนพัทธ์ร้องเรียกอีกหน

เขากลัว

เขากลัวผู้หญิงที่เห็นจะโผล่มาผลักให้เขาล้มอีกหน

"สักครู่นะครับ"

เสียงคุ้นหูเอื้อนเอ่ยพร้อมร่างกายสูงใหญ่เดินอาดๆ เข้ามาบดบังมนพัทธ์กับกระจกเงาด้านหลัง

"มีของที่อยากได้หรือ"

เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองคนสวนตาปริบ ก่อนค่อยๆ ยกมือขึ้นป้องปากหวังจะขอความช่วยเหลือ เลิศเห็นท่าทีแข็งกร้าวของคุณหนูคนเล็กแปลกไปจึงค่อยๆ เอนตัวลงไปเงี่ยหูฟัง

"ผะ...ผมเห็นอีกแล้ว"

เลิศสูดหายใจ เขาแทบไม่อยากได้ยินประโยคหลัง

"ผู้หญิงคนนั้น พิงอยู่ด้านหลังครอบครัวผม"

ชายหนุ่มหันขวับกลับไปมองตำแหน่งที่มนพัทธ์ว่า แต่เขากลับไม่พบใครอื่นนอกจากเหล่าเจ้านาย

"อาจจะเป็นคนของร้านดอกไม้นี่รึเปล่า"

"เธอสวมชุดขาว"

"ขาวหรือ"

"ชายขาด ผมมองไม่เห็นเท้าเธอ"

เลิศสอดส่ายสายตาไปทั่วห้อง เขาไม่เห็นหญิงสาวตามลักษณะที่มนพัทธ์กล่าวเอาไว้

"มันคงจะเป็นผ้ากันเปื้อน คุณมองจากที่ไกลๆ มันเลยอาจจะ... เดี๋ยวผมไปดูให้"

เลิศตั้งท่าจะปลีกตัวห่างแต่มนพัทธ์รีบคว้าแขนเอาไว้

"อย่าไปนะ อย่าเพิ่งไป อยู่กับมนก่อน"

มนพัทธ์เขย่าแขนคนเป็นพี่ระรัว แล้วถือวิสาสะเกาะกุมฝ่ามือร้อนเอาไว้เป็นของตัวเอง ส่วนคนฟังกลับหูอื้อไปชั่วขณะ มนพัทธ์กำลังแทนตัวเองว่า มน กับเขา

"จะ...รีบถ่ายรูปให้เสร็จ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนนะ เดี๋ยวแม่สงสัย"

เลิศไม่รับปาก แต่เขาก็ไม่ได้ขยับตัวไปไหน ชายหนุ่มเพียงแค่เบี่ยงตัวไปทางด้านขวาของฉาก ไม่ให้ร่างกายเทอะทะสะท้อนกับกระจกเงาที่อยู่ด้านหลังของมนพัทธ์

"เงยหน้าขึ้นนิดนึงนะครับ เดี๋ยวรูปไม่สวย"

ช่างภาพฉีกยิ้มและทำเมินฝ่ามือของสองหนุ่มที่เกาะกุมกัน

"เขาบอกให้เงยหน้า" เลิศทวน

"ไม่เอา กลัว"

"งั้นมองแค่กล้อง อย่ามองทางอื่น"

เลิศใช้มือข้างที่ว่างเชยคางของมนพัทธ์ขึ้นพลางบีบกระชับฝ่ามือร้อนที่กุมอยู่จนแน่น

"อะ อืม..."

มนพัทธ์ยอมทำตามอย่างว่าง่าย สถานการณ์ตึงเครียดดูเหมือนจะคลี่คลายแต่แล้วเสียงกัมปนาทก็ดังแทรกอากาศออกมา

"ทำอะไรกัน"