​มนพัทธ์เดินตามติดชายหนุ่มที่เพิ่งทิ้งไออุ่นไว้บนฝ่ามือ เขาตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ต้อยๆ จนหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องนั่งเล่น แต่ฝ่ายถูกตามกลับไม่ทันสังเกตเห็น เพราะขณะนี้สมองของเลิศเอาแต่คิดวกวนเรื่องอาการป่วยของผู้เป็นบิดา ชายหนุ่มไพล่แขนข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง แล้วโน้มตัวเตรียมเขียนวันที่จะเดินทางกลับอยุธยาลงบนกระดานแผ่นยักษ์

กระดานแผ่นนี้คล้ายกับตารางงานของบรรดาลูกจ้างในคฤหาสน์ ใช้สำหรับบันทึกว่าใครไปทำอะไรเมื่อไหร่เพื่อบอกกล่าวคนร่วมชายคา ดังเช่นตัวหนังสือยึกยือของหมายที่เขียนเอาไว้ว่า '30 หมาย รพ บ่ายโมง' หมายถึงวันที่สามสิบคนขับรถหมายจะกลับจากโรงพยาบาลตอนบ่ายโมง เลิศเห็นตัวอย่างจากชายวัยกลางคนเขาจึงเขียนตัวหนังสือตัวเอียงลงข้างๆ กัน แต่แล้วเสียงทุ้มนุ่มของมนพัทธ์ก็ดังขึ้นจนสติของคนสวนกระเจิดกระเจิง

"พี่เลิศ"

คนตัวโตสะดุ้งโหยง ตาคมปรายมองเด็กหนุ่มที่สูงเพียงใบหูของตนเอง

"ตามมาหรือ"

เลิศหันซ้ายแลขวา พร้อมจะดันให้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างกันให้พ้นตัว แต่มนพัทธ์กลับขืนพละกำลังที่หัวไหล่ เขาวางฝ่ามือลงบนมือหยาบกร้านและออกแรงบีบเล็กน้อยให้คนเป็นพี่คลายกังวล

"เดี๋ยวมน...ไม่สิ ผม...เกริ่นให้ก่อน รออยู่ตรงนี้นะ ซักพักจะออกมาตาม"

เลิศเบิกตาโพลง เขาเพิ่งล้มเลิกความคิดที่จะให้มนพัทธ์แจ้งข่าวให้ผู้เป็นนายทราบ ด้วยเกรงว่าความสนิทชิดเชื้อจะทำให้รัศมีเคลือบแคลงใจ แต่ดูท่าว่าจะไม่ทันเสียแล้ว ไม่กี่อึดใจต่อมาคุณนายของบ้านก็เดินนวยนาดพ้นมุมโถงทางเดินเข้ามาใกล้ ในมือป้อมถือจานข้าวเหนียวทุเรียนเหลืองอร่าม มันส่งกลิ่นรัญจวนไปทั่วจนทำให้มนพัทธ์ผู้เป็นลูกย่นจมูกหดหนี

"อี๋" เขาบ่น

"ทำไมแม่เดินเอาทุเรียนมากินในนี้ เดี๋ยวกลิ่นมันก็ติดโซฟาหรอก"

คนเป็นแม่ปัดมือไล่ เธอไม่สนใจเด็กหนุ่มเจ้าระเบียบ แล้วดื้อแพ่งนำจานอาหาร อันตราย สำหรับมนพัทธ์เข้าไปทานในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มทั้งสองเห็นดังนั้นจึงเดินตามติดหญิงสาว จนเมื่อเธอหย่อนสะโพกผายลงบนโซฟาเลิศถึงเริ่มเอ่ยธุระของตนเอง

"ผมจะมาขอลาครับ"

หญิงวัยกลางคนสำรวจชายหนุ่มที่มีตำแหน่งเป็นคนดูแลสวนตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังโน้มจากพนักพิงของโซฟาสุดหรูมาเพ่งดูสีหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่มอกสามศอก

"จะลาไปไหน"

ลูกชายคนเล็กที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกันยกขาไขว้ เขาล้วงมือเข้าไปในโหลแก้ว หยิบช็อกโกแลตก้อนหนึ่งขึ้นมาแกะใส่ปาก พลางช้อนตาใสมองคนที่ยืนหัวโด่ เด็กหนุ่มรู้ล่วงหน้าผู้เป็นมารดาอยู่ก่อนแล้วว่านายคนสวนมีกงการส่วนตัวที่ต้องไปทำ แต่มนพัทธ์กลับยังไม่รู้ว่ากงการที่ว่านั้นคือสิ่งใด เขาจึงขอนั่งหน้าสลอนชนิดจำยอมโดนว่ากล่าวว่าสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน

"ลากลับบ้านครับ น้องชายเพิ่งโทรมาบอกข่าวว่าพ่อของผมป่วย"

"ตายแล้ว"

รัศมีวางจานขนมหวานลงบนโต๊ะ

"เป็นอะไรมากรึเปล่า"

"กระเพาะอักเสบครับ เห็นหมอว่าแกทานข้าวลำบาก ผมกับน้องก็แยกกันอยู่กับพ่อมาหลายปี แทบไม่รู้ข่าวคราวอาการป่วยอะไรเลยเพราะแกหัวดื้อ"

"อ้อ ที่เธอเขียนว่าคุณแม่เสียแล้วใช่มั้ยนะ ถึงว่าไม่มีใครคอยบอก"

แม่ก็ตายแล้วเหรอ

มนพัทธ์แสดงความเห็นในใจ เขาพินิจพิเคราะห์ใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉยราวกับปูนปั้น ตะแคงดูอย่างไรนายคนสวนก็ไม่แสดงท่าทีเศร้าใจออกมาแม้แต่น้อย

"ครับ กลับไปหนนี้เลยจะไปสะสางเรื่องทางบ้านด้วยครับ"

แก้มกลมที่เคี้ยวขนมหนึบเหนียวในปากสะบัดหันมองผู้เป็นมารดา ใจลุ้นว่าเธอจะอนุญาตหรือไม่

"สามสี่วันเลยหรือจ๊ะ เอ... เธอไปหลายวันแบบนี้เห็นทีต้นไม้คงจะขาดน้ำไปหลายต้นเลย"

เลิศก้มหน้าเล็กน้อย ใจขุ่นเคืองรัศมีที่เห็นค่าอาการป่วยของผู้เป็นบิดาไม่เท่ากับต้นไม้

"ล้อเล่นน่ะ ไปได้จ้ะ ไว้คุณพ่อหายดีค่อยกลับมาก็ได้จ้ะ เรื่องต้นไม้ทุกวันนี้เราก็ใช้สปริงเกิ้ลรดน้ำกันอยู่แล้วนี่ใช่มั้ย ยกเว้นต้นไหนที่ต้องดูแลมากหน่อยเธอก็ฝากคนอื่นไว้ก็แล้วกัน เขียนโน้ตไว้ในครัวก็ได้จ้ะ"

เลิศเงยหน้าสบตาตกใจ สองมือประนมไหว้ จากนั้นจึงขอตัวไปพับผ้าผ่อนใส่กระเป๋า เตรียมออกเดินทางให้ทันรถตู้สระบุรี-อยุธยารอบหกโมงเย็น

"แล้วไปยังไง" มนพัทธ์โพล่ง

เสียงแหบชะงักฝีเท้าของเลิศ เขาหมุนตัวกลับมาประจันหน้าเด็กหนุ่มที่เคยทำหน้าที่เมียบนเตียง

"คง...แท็กซี่ครับ"

คุณหนูขาน อ่อ พยายามเงียบเชียบ ไม่ให้เสียงก้นบึ้งจากหัวใจตะโกนแข่ง 'ห้ไปส่งที่คิวรถตู้ไหม' เพราะถ้าหากเป็นแตง แก้ว หรือหมาย มนพัทธ์คงไม่ทีทางหยิบยื่นน้ำใจไมตรี ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวช็อกโกแลตในปากแล้วปล่อยให้นายเลิศไปตามทาง

มนพัทธ์ใช้เวลาช่วงบ่ายอยู่ที่ชั้นล่างของคฤหาสน์ เขาคอยสอดส่ายสายตา ชะเง้อชะแง้มองหาร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มผู้มีผิวคล้ำแดดกับดวงตาดุดันผ่านหน้าต่างบานนั้นทีบานนี้ที จนช่วงบ่ายสามโมงคนที่ถวิลหาก็โผล่หน้ามาให้เห็น ในมือของเขาหิ้วกระเป๋าทรงหมอนใบใหญ่ไว้หนึ่งใบ คาดว่าข้างในคงเต็มไปด้วยเสื้อผ้าและบรรดาของใช้

ไปกี่วันวะเนี่ย

มนพัทธ์พูดกับตนเอง

เด็กหนุ่มขยับตามนายคนสวนที่ย่างสามขุมผ่านหน้าไป เลิศไม่ทันสังเกตเห็นคุณหนูคนเล็กที่อยู่อีกด้านของกระจกใส เพราะเขามัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปที่หน้าถนน หมายจะดักแท็กซี่ให้ได้สักคันแล้วรีบขึ้นรถตู้กลับอยุธยา เขาอยากกลับไปให้ทันมื้อเย็นของครอบครัวให้พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน

"ไปซะแล้ว..."

มนพัทธ์คราง รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ร่ำลานายคนสวนไร้หัวใจ

หน็อย เดินดุ่มๆ ไปไม่หันมามองเลยนะ

เด็กหนุ่มกำกำปั้นแน่นจนมือทั้งมือสั่น

"จริงสิ!"

เนื้อในอกของมนพัทธ์เต้น เขาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อออกมาส่งข้อความหานายเลิศ คล้ายเป็นคำสั่งให้ชายหนุ่มห้ามทิ้งร้างคนในคฤหาสน์

+66907124028: อย่าลืมของฝากนะ!

เด็กหนุ่มรอข้อความตอบกลับจากเลิศร่วมหลายชั่วโมง เขานอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนุ่มหกฟุต หูคอยเงี่ยฟังว่าจะมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นเมื่อใด แต่นอกจากสายเรียกเข้าจากเพื่อนผู้หายสาบสูญอย่างจ๋ายแล้ว โทรศัพท์ของมนพัทธ์ก็ไร้เสียงโต้ตอบใดๆ อีก จนคนเฝ้ารอผล็อยหลับโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำชำระเหงื่อไคล

ค่ำนั้นมนพัทธ์ฝัน ในห้วงนิทรานั้นเขาเห็นตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่บนที่นอน มีแดดบ่ายคล้อยสาดผ่านผ้าม่านโปร่งแสงเข้ามาในห้อง เรี่ยวแรงทั้งหมดหดหาย สิ่งที่ขยับได้มีแค่ดวงตา เขากลอกมันไปมา จนสำนึกได้ว่ารอบด้านนี้เป็นห้องนอนของตนเอง เด็กหนุ่มพยายามหยัดตัวขึ้นแต่ไม่เป็นผล ครั้นจะตะโกนเรียกรัศมีผู้เป็นแม่เสียงในลำคอกลับเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ดั่งใจ

'แม่!'

ในความฝันมนพัทธ์ตะโกนเรียกบุพการี ใจหวังให้รัศมีวิ่งหน้าตั้งเข้ามาดูแล แต่อึดใจหนึ่งประตูที่ทำจากไม้สักสีโอ๊คอย่างดีก็แง้มออกเสียก่อน ทว่าบุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในห้องเป็นยายแก่หลังค่อม สวมเสื้อตัวยาวสีดำกรอมเท้า ผมของเธอขาวแทบทั้งหัว มันรกรุงรังเหมือนขาดการหวีแปรงมาหลายเดือน เธอเดินลากผ้าฝ้ายยับย่นกับพื้นไม้ขัดเงา ก่อนจะปีนขึ้นมาบนเตียงของมนพัทธ์ หัวใจดวงน้อยของเด็กหนุ่มร่วงไปถึงตาตุ่ม เมื่อยายแก่คนดังกล่าวตวัดขาขึ้นคร่อมร่างอันแน่นิ่ง มันทำให้ขนอ่อนของเด็กหนุ่มลุกชันยามเนื้อหนังสีกับผิวเหี่ยวย่น เธอโน้มลงมาจ้องหน้าเด็กหนุ่มแทบประชิด ด้วยดวงตาขุ่นมัวสีเขียวอ่อนจ้องร่างแข็งทื่อเขม็ง จากนั้นก็แลบลิ้นสากเลียไปทั่วใบหน้าของมนพัทธ์

ขยะแขยง

ตากลมพยายามหลับ เขาไม่อยากเห็นภาพตรงหน้า ยิ่งกลิ่นน้ำมันบนเส้นผมของหญิงแก่ปรกพวงแก้มและจมูกอยู่ยิ่งชวนให้คุณหนูคนเล็กคลื่นไส้ อวัยวะร้อนละเลงของเหลวจนใบหน้าจิ้มลิ้มของมนพัทธ์จนชุ่มชื้น ใจเขาอยากชกหน้ายายแก่คนนี้แทบบ้า แต่ร่างกายกลับสั่งไม่ได้ดั่งใจ

ไอ้เวรเอ๊ย!

เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด เขาต้องทนรับสัมผัสน่ารังเกียจจากปลายลิ้นแหลมที่แหย่เข้ามาในรูหูจนน้ำตาคลอหน่วย

ใครก็ได้...ช่วยด้วย

ในที่สุดเปลือกตาที่หนักอึ้งก็ยอมปิด พร้อมคิ้วโก่งที่ขมวดเข้าหากัน

พี่เลิศ!

มนพัทธ์ตะโกนชื่อของนายคนสวนกังวานไปทั่วหัวใจ จากนั้นเด็กหนุ่มก็สะดุ้งตื่น เขาลุกขึ้นมานั่งหอบได้ไม่เท่าไหร่คุณหนูคนเล็กที่ยังผวากับฝันร้ายก็สติกระเจิดกระเจิง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"เชี่ย"

มนพัทธ์ผวา เขาตกใจเสียงเคาะประตูของสาวใช้

"คุณมนคะ คุณนายเธอให้มาตามไปทานข้าวเย็นค่า วันนี้มีสตูเนื้อด้วยนะคะ"

เด็กหนุ่มมองลอดส่องใต้ประตู ขณะนี้ภายในห้องนอนของเขามืดสนิท เงาของแตงที่ยืนอยู่หลังบานไม้จึงไหวไปมาเพราะเธอเอาแต่แกว่งแขวนรอผู้เป็นนายให้ขานรับ

"พะ...พี่แตงเหรอ"

"ค่า คุณนายยังบอกอีกนะคะว่าให้รีบลงมาเดี๋ยวกับข้าวจะเย็นซะหมด"

มนพัทธ์ขาน อื้อ แล้วรีบวิ่งปรู๊ดไปล้างหน้าล้างตา วันนี้เขาใช้ผ้าขนหนูถูใบหน้าแรงกว่าวันไหนๆ เพราะสัมผัสชื้นจากความฝันน่าขยะแขยงยังติดอยู่บนเนื้ออุ่น คล้ายกับความรู้สึกของวันแรกที่ถูกนายคนสวนบดเบียดริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา เพียงแต่ลิ้นสากของยายแก่ในฝันน่าสะอิดสะเอียนกว่าถึงร้อยเท่า มันพานให้มนพัทธ์ทานอาหารไม่ลง เขาเอาแต่เขี่ยข้าวสวยกับแครอทไปมาจนประยูรผู้เป็นพ่อเอ็ดตะโร

"กินก็กินให้มันๆ ดีสิ!"

ลูกคนเล็กถอนใจ นิ้วเรียวรวบช้อนส้อมแล้วขอตัวขึ้นห้องนอนโดยที่กับข้าวไม่พร่อง เขานอนกลิ้งไปกลิ้งมา ข่มตาเท่าไหร่ก็ยากจะหลับ อาบน้ำก็แล้ว เกากีตาร์โปร่งก็แล้ว ฝันร้ายก็ยังคงเกาะติดอยู่ในความทรงจำ มนพัทธ์ไม่กล้าเอ่ยปากบอกมารดา ยิ่งกับประยูรผู้เป็นบิดายิ่งไม่คิดจะระบายความกังวลใจให้ได้ยิน หากไม่นับนายคนสวนที่เพิกเฉยข้อความของเขา ที่พึ่งเดียวของมนพัทธ์ตอนนี้จึงมีแค่ จ๋าย เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมที่ครอบครัวรับเช่าพระเครื่อง มนพัทธ์ส่งข้อความไปหาจ๋ายว่า 'กูฝันร้าย คราวนี้กูโดนยายแก่เลียไปทั้งตัว' อึดใจเดียวจ๋ายก็โทรศัพท์มาหา น้ำเสียงกระตือรือร้นอยากฟังเรื่องชวนขนลุกที่ปลายสายฝันถึงเต็มแก่

(มึงเห็นหน้าป่ะ!)

"เห็นดิไอ้เหี้ย ขนลุกฉิบหาย เหมือนยายแก่ตามหนังสือนิทานกริมม์เลย แต่เป็นเอเชียน บรึ๋ย"

(มึงอ่านอะไรก่อนนอนมารึเปล่า)

"ไม่ได้อ่าน"

มนพัทธ์ตอบเสียงแข็ง นอกจากหน้าต่างข้อความของเลิศแล้วก็ไม่มีสื่งอื่นใดที่ทำให้มนพัทธ์สนใจ

(ดูหนังล่ะ)

"ไม่ได้ดู"

(งั้นคงเป็นยายซักคนที่มึงเห็นแล้วเก็บมาฝันนั่นล่ะ)

"แต่มันเหมือนจริงมากเลยนะเว้ย ความรู้สึกที่ลิ้นลากผ่านคือเหมือนโดนจริงๆ เลยอะ แล้วในฝันกูขยับตัวไม่ได้ เหมือนโดนผีอำ กลัวฝันอีกว่ะ นอนหลับไม่ได้เลย"

(ถ้ากลัวมากนักก็ไปนอนห้องแม่มึงไป)

"รำคาญคุณประยูร"

ยิ่งนึกหน้าตาแก่พุงพลุ้ย จมูกงุ้ม เดินเอามือไพล่หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องประกอบ คนเป็นลูกอย่างมนพัทธ์ก็มีน้ำโห

(งั้นไปนอนห้องพระ)

"ไม่มีโว้ย"

เด็กหนุ่มหยุดคิดครู่หนึ่ง

"แต่บ้านมึงมีนี่"

(ฮะ)

"กูขอไปนอนบ้านมึงซักพักได้ปะ กูกลัวผี"

ปลายสายโพล่งออกมาทันที

(หา! มึงจะบ้ารึไง ยี่สิบสามแล้วนะไม่ใช่ปอสอง)

"ยี่สิบสามแล้วนอนบ้านเพื่อนไม่ได้เหรอวะ กูพูดจริงๆ นะบ้านกูไม่มีพระเลย หิ้งพระก็ไม่มี แม่กูเขาทำบุญทำทานอย่างเดียว ไม่ได้ไหว้ ไม่ได้บูชาอะไร ให้หลับตอนเนี้ยยังไงกูก็หลับไม่ลง แถมยังกลัวจะเห็นอีก บ้านมึงมีพระนี่ กูขอเช่าซักองค์ก็ได้"

(เช่าพระ มึงเนี่ยนะ นึกยังไง)

"นึกกลัวผีไง"

(ถ้าจะเช่าต้องเช่าพรุ่งนี้ พ่อกูนอนไปแล้ว จะค้างก็มาซะพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ไม่ให้อยู่นานนะ คนเยอะ อึดอัด บ้านกูยิ่งแคบๆ อยู่)

"เออได้ มึงตื่นกี่โมง"

(เก้าโมงก็ลงมาเฝ้าเก๊ะแล้ว จะมาเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน แม่เขาจะได้เตรียมข้าวให้ถูก)

"คงไปเช้าๆ แหละ เหงา"

(เอาอะไรมาเหงา ทุกทีกูก็เห็นมึงอยู่บ้านเงียบๆ คนเดียวได้สบายใจ)

"ก็บ้านมันไม่น่าอยู่แล้วนี่หว่า"

มนพัทธ์มองไปรอบห้อง แม้จะเปิดไฟสว่างจ้าแต่บรรยากาศกลับวังเวงขึ้นมากะทันหัน

"เดี๋ยวกูไปเล่าให้ฟังพรุ่งนี้"

(เอ้อ อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนนะ ถ้านึกบทสวดไม่ออกก็กูเกิลเอา อาจารย์พรหมสิทธิ์บอกไว้ว่า...)

"ใครวะ"

(มึงฟังซี่! ผีในโลกเนี้ยนะมีอยู่สองอย่าง ผีเจ้ากรรม กับ ผีโดยกำเนิด ผีเจ้ากรรมพลังก็จะออกไปตามแรงกรรม พระเพอะเอามาห้อยมันก็สู้ไม่ถอยเลยนะว้อย แต่ถ้าผีโดยกำเนิดก็จะแพ้นั่นก็จะแพ้นี่ จากที่มึงเจอมา มึงคิดว่าไอ้ที่มึงเห็นเนี่ยมันเป็นแบบไหนล่ะ)

มนพัทธ์คิดไม่ตก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเผชิญกับสิ่งใดอยู่ มันเป็นเรื่องลึกลับ เหนือธรรมชาติหรือบางทีอาจเป็นเรื่องที่สมองของเขาคิดขึ้นเองเด็กหนุ่มก็ไม่อาจรู้ได้

"กู...กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่...กูไม่อยากเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว"

จ๋ายตอบเพียง ก็จริงของมึง จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็ร่ำลากัน พอมนพัทธ์เตรียมจะปิดโทรศัพท์ แจ้งเตือนข้อความใหม่จากเลิศก็ดังขึ้นเสียก่อน นายคนสวนไร้หัวใจคนนั้นส่งข้อความมาหาเขาว่า จะกินอะไร เพียงแค่นั้นก็ทำให้มนพัทธ์คลี่ปากคว่ำเป็นรอยยิ้ม

ชายหนุ่มที่อยู่อีกฝั่งของหน้าต่างสนทนาพ่นควันออกเป็นสาย มันลอยฟุ้งอยู่บนอากาศ ลอยสูงขึ้นไปถึงหลังคาของบ้านสองชั้น แล้วสลายหายไปทันทีที่เลิศแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี

"เหม็นฉิบ"

เลิศไอโคลก ชายหนุ่มไม่ได้อัดนิโคตินลงปอดมาเป็นเวลานาน เพราะฉายยอดรักได้ร้องขอเอาไว้ เพื่อให้ผู้เป็นสามีมีสุขภาพที่แข็งแรง พร้อมจะสร้างครอบครัวอบอุ่นด้วยกันในอนาคตอันใกล้ มาวันนี้ไม่มีฉายผู้แสนดีอยู่ในโลกใบนี้แล้ว เลิศจึงขอสูบบุหรี่ที่เธอแสนชังให้หนำใจ แต่แล้วโทรศัพท์รุ่นเก่าของเลิศก็สั่น มันนำข้อความที่มนพัทธ์ฝากถึงนายคนสวนมาให้ช่วงห้าทุ่มสิบห้านาที

+66907124028: โทรได้มั้ย มีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง

นิ้วหยาบกร้านปาดคราบน้ำมันที่ติดอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ เวลานี้ทั้งห้องมืดสนิท มีแต่แสงไฟจากหน้าจอมือถือเท่านั้น ยิ่งตัวอักษรเล็กจิ๋วพวกนั้นพร่าเลือนด้วยคราบน้ำมัน ยิ่งทำให้เลิศมองไม่ถนัดแม้จะดึงโทรศัพท์เข้ามาเพ่งใกล้ๆ

"โทร?" เลิศพยายามอ่าน "โทรหรือ ตอนนี้มัน..."

ชายหนุ่มมองตัวเลขบอกเวลา ขณะนี้น้องชายที่นอนอยู่เตียงติดๆ กันคงจะหลับใหล เลิศจึงตอบข้อความของมนพัทธ์กลับไปด้วยคำพูดแสนเย็นชา

+66846245137: ดึกแล้ว ไว้คุยพรุ่งนี้

เลิศขยี้มวนบุหรี่กับรางหน้าต่าง จากนั้นก็ปามันลงถังขยะที่อยู่มุมห้อง พร้อมๆ ข้อความจากคนดื้อดึงที่อ่านไม่รู้ความ

+66907124028: ฝันว่าถูกยายแก่เลีย หยะแหยง นอนหลับไม่ลงเลย

+66846245137: คนแก่ก็เอาเหรอ

+66907124028: ทุเรศ ใครจะไปมีอารมณ์กับคนแก่

+66846245137: นอนเถอะ ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้

มนพัทธ์เงียบหายไปหลายนาที มันนานพอที่ชายหนุ่มจะลงกลอนหน้าต่างแล้วกลับมานอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง พอล้วงเอาโทรศัพท์ที่นอนอยู่ก้นกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูเวลา ข้อความจากมนพัทธ์ก็ปรากฏขึ้น

+66907124028: กลัวฝันเรื่องเดิม

เลิศเคยฝันถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำซาก มันเกิดขึ้นช่วงผ่านงานเผาศพของฉายไปได้ไม่กี่สัปดาห์ ในความฝันเขาได้หนุนนอนตักภรรยาแสนสวยริมบึง ผึ่งแดดอุ่นกลิ่นหอมเหมือนมันเป็นดินแดนแห่งสุขล้นนิรันดร์ จนกระทั่งร่างกายของหญิงสาวที่นอนหนุนค่อยๆ สลายกลายเป็นธุลี เหลือเพียงชุดตัวยาวแสนสวยปลิวตกลงบนใบหน้าหล่อเหลา พอลุกขึ้นมองหาภรรยาก็เจอแต่หัวกะโหลกต่างตักที่ใช้หนุน

เลิศนอนหลับไม่ลงอยู่หลายคืน เขากระสับกระส่ายกลัวจะได้เห็นร่างกายของฉายกลายเป็นเถ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งความอ่อนเพลียที่สะสมมาหลายวันสั่งให้เขาหลับ เลิศไม่ฝันถึงเรื่องเดิมอีก ต่อให้คืนถัดมาจะพยายามนึกถึงความดีของฉายไว้ในหัวมากมาย แต่พ่อหม้ายเมียตายอย่างเลิศก็ไม่ได้อภิสิทธิ์ที่จะได้เห็นหน้าค่าตาของภรรยา

+66846245137: นอนซะเถอะ ต่อให้ฝันร้ายแค่ไหนพอถึงตอนเช้าเราก็ต้องตื่น

เด็กหนุ่มเงียบหายไปอย่างเคย เลิศคิดว่ามนพัทธ์คงจะผล็อยหลับไปจึงเตรียมกางมุ้งนอน ทว่าขณะที่เปลือกตากำลังจะหลับสายเรียกเข้าจากมนพัทธ์ก็ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มชั่งใจอยู่นานกว่าจะรับสาย เขากลัวผู้เป็นน้องชายจะตื่นขึ้นกลางดึก

"ฮัลโหล" ชายหนุ่มพูดเสียงกระซิบ

(นอนไม่หลับ กลัวฝัน กลัวเห็นผี)

เลิศระบายลมหายใจ จนปลายสายได้ยินเสียงลม พรืด จากลำโพง

(ถอนหายใจทำไม ก็คนมันกลัวนี่)

"ตอนที่บอกว่าโดนผลักไม่ยักกลัว ก็เห็นหลับสบายดี"

เขาลุกขึ้นนั่ง หย่อนขาลงจากเตียง จากนั้นก็คว่ำหน้าจอที่มีแสงส่องคลำทางไปถึงประตู

(กลัวสิ บอกตอนไหนว่าไม่กลัว แต่หนนั้นหลับลงไง มันหลับไปเอง เพราะขาหักด้วยมั้ง คงเหมือนร่างกายต้องซ่อมแซมตัวเองอะไรอย่างนั้น แต่หนนี้มันไม่เหมือนกันนี่)

"นับแกะ"

(โบราณ)

"กลัวนักก็หอบหมอนไปนอนห้องคุณนายซี่"

ปลายสายทำเสียงฟึดฟัด

(ได้นอนข้างล่างแน่ ปวดหลัง แถมเกิดใครซักคนตื่นมาเหยียบมนกลางดึกจนท้องแตกจะทำยังไง)

เลิศหลุดหัวเราะ เขานึกภาพมนพัทธ์โดนประยูรผู้เป็นพ่อเหยียบเอาที่ท้องเจ็บจุกจนตัวขดงอ

(ห้ามขำนะ!)

เลิศใช้กำปั้นปิดปากตัวเองเอาไว้

"อุ๊บ ไม่ขำแล้ว"

(แล้ว...ทำอะไรอยู่ทำไมถึงยังไม่นอน)

"พี่หรือ"

(อื้ม)

"จะนอนอยู่แล้วแต่มีคนโทรมากวน"

(อ้าว)

มนพัทธ์พูดฟังไม่ได้ศัพท์ แต่เลิศแน่ใจว่าเป็นคำก่นด่าเขาจึงไม่ขอฟังซ้ำรอบสอง

(แล้วจะกลับเมื่อไหร่)

"คงอีกสองวัน"

(ต้นไม้จะเฉาตายแล้ว)

เด็กหนุ่มโกหกหน้าตาย เพราะมันเป็นเขาต่างหากที่เฉา

"มันไม่ได้เฉาเร็วขนาดนั้นเสียหน่อย"

(ก็เห็นจริงๆ นี่)

"เด็กเลี้ยงแกะ"

(ชิ)

เลิศฟังแล้วก็เห็นภาพมนพัทธ์ทำปากยื่นเหมือนปากเป็ด โดยที่ชายหนุ่มไม่มีทางรู้ว่าคุณหนูคนเล็กอยากตะโกนคำว่า คิดถึง ให้เลิศฟังจนกว่าหูจะแตก

"นอนเถอะ ดึกแล้ว"

(บอกว่า...ฝันดีหน่อย)

มนพัทธ์กลั้นใจพูด แต่คนเป็นพี่กลับงงงวย

"ต้องอวยพรด้วยหรือ"

(น่ะ แน่สิ สมัยนี้ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนั้น)

คนฟังคิดตาม เขาไม่แน่ใจนักว่าจะมีบุญบารมีไปปกป้องฝันของใครได้

"ขออวยพรให้ฝันดี"

(ฝันดีนะเฉยๆ ก็พอแล้ว! ตาลุงนี่)

ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ เขาอับจนปัญญาจะเข้าใจวัยรุ่นหัวร้อน

"สามสิบยังไม่เป็นตาลุงเสียหน่อย"

(ก็ดูพูดจาเข้าซี่ เร็ว บอกมนว่าฝันดีก่อน)

"อืม...ฝันดี"

คนฟังคลี่ยิ้ม เขากลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงหกฟุตเกือบสิบตลบเพราะขวยเขินเสียงทุ้มผ่านโทรศัพท์ของนายคนสวน

(พี่เลิศก็...ฝันดีนะ)

"ขอบคุณครับ"

มนพัทธ์กดวางสายจากนั้นก็ซุกหน้ากับหมอนขนเป็ด ปากอ้าร้อง อ๊าก ออกมาเสียงดังพร้อมขาสองข้างดิ้นกระแด่วเหมือนปลาขาดน้ำ คืนนี้เขาไม่มีทางฝันร้ายเป็นรอบที่สอง เพราะเขาได้รับคำอวยพรจากปากของชายหนุ่มที่ตะแคงฟังยังไงก็ฟังเหมือนเสียงจากสวรรค์

ไม่มีทาง

คืนนี้เราไม่มีทางฝันร้ายอีกแน่

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเลิศกับครามหัวหมุนกันตั้งแต่ไก่โห่ คนหนึ่งทำอาหาร คนหนึ่งทำความสะอาดบ้าน จากนั้นก็ช่วยกันเคลื่อนย้ายตู้เตียงพร้อมเสื้อผ้าเก่าเก็บแยกเป็นกองไว้กลางบ้าน

"ฮู่ว เหนื่อยฉิบหาย"

ครามยกคอเสื้อยืดพัดคลายร้อน เขาถอดถุงมือเปื้อนฝุ่นโยนไว้บนชั้นวางทีวี จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้ามาร่วมวงกินข้าวกับพ่อและพี่ชาย

"ฉันจะเอาพวกตู้เนี่ยไปให้เขาขายนะพ่อ ไอ้เงินที่ขายได้พ่อก็เก็บไว้ ส่วนไอ้พวกเสื้อผ้าสมัยเด็กก็จะฝากเขาไปบริจาคบนดอย"

"เออ ดีๆ เข้าใจคิดดี"

ชายแก่ยกมือสั่นเทาตบบ่าของลูกชายคนเล็ก

"แล้วตกลงมึงเอาไง"

ครามทิ่มคางมาที่เลิศ

"พ่อทั้งคนใครจะดู มึงดู หรือกูดู ถ้าให้กูดู กูจะเอาพ่อไปอยู่เชียงใหม่ด้วย ส่วนบ้านหลังนี้ก็ปล่อยเช่าเอา"

เลิศถอนใจ เขาคลุกข้าวกับพะแนงไก่แล้วตักมันเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ แทนคำตอบ

"ปล่อยเช่าเขาทำของพังเราก็ต้องมาซ่อม เสียดายเงินเปล่า"

ชายแก่ปราม

"บ้านมันก็ผุพังตามกาลเวลานั่นแหละพ่อ ทิ้งเอาไว้ไม่ทำห่าอะไรเลยก็มีแต่รายจ่าย อย่างน้อยให้คนที่เขาไม่มีบ้านมาเช่าเราก็ยังได้ตังค์ ไม่ได้จะขายทั้งโฉนดให้เขาเสียหน่อย อีกอย่างเจ้าบ้านนั่นมันชื่อไอ้เลิศนู่น"

คนถูกพาดพิงรีบยกน้ำในขันดื่ม

"แล้วพ่ออยากไปรึเปล่า ทำไมมึงไม่ถามเขาบ้าง"

ครามใกล้จะชวนพี่ชายให้ลุกขึ้นมาสวมนวมกันอยู่รอมร่อ แต่ถูกเสียงแตรของรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านเรียกความสนใจของชายทั้งสามเสียก่อน

"สวัสดีค่ะ มีคนอยู่บ้านมั้ยคะ"

ครามที่นั่งอยู่ด้านนอกสุดลุกขึ้นพรวด นิ้วป้อมของเขาทั้งสางทั้งจัดผม ส่องกระจกแคะขี้ตาแล้วชะโงกไปดูหน้าแขกที่มาเยี่ยมเยียน

"ครับ มาหาใครครับ"

"หาลุงตุ่ยค่ะ ป้าเล็กแกกลัวลุงตุ่ยทานข้าวไม่ได้เลยให้เอาข้าวต้มมาให้ค่ะ"

เธอยกถ้วยข้าวต้มไก่ร้อนๆ ไว้ตรงหน้าต่าง ทำให้ครามต้องรีบถูมือชื้นเหงื่อกับชายเสื้อ

"เอ่อ เอ่อ ซักครู่นะครับ มือผมสกปรก"

หญิงสาวส่ายหัวเตรียมปฏิเสธแต่ชายหนุ่มกลับตะโกนลั่น

"ไอ้เลิศ! ไปหยิบถ้วยมาถ่ายที"

คนเป็นพี่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่จึงต้องจำยอมทิ้งช้อนและหมูสวรรค์ทอด จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดเข้าครัว ไปหยิบถ้วยพิมพ์ลายดอกส่งให้หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่สบตาเขาเพียงเดี๋ยวเดียวก็เอียงอาย

"เอ้า"

เป็นครามที่ต้องรับภาชนะไปใส่อาหารร้อน แล้วจัดแจงให้ชายหนุ่มนำกลับไปให้ชายชราที่นั่งเคี้ยวฟักทองต้มจิ้มน้ำพริก

"ใคร" คนเป็นพ่อถาม

"ไม่รู้สิ เห็นบอกว่าป้าเล็กให้เอามาให้"

"ขี่รถเครื่องมาเรอะ กูได้ยินเสียงบีบแตร"

เลิศส่ายหัว

"เสียงรถบ้านเรา เขาบีบ ไม่รู้ใจกล้ามาจากไหน"

ชายชราจ้องหญิงสาวที่ยืนคุยกับครามอยู่หน้าบ้านพร้อมหลับตานึก แม้หูตาจะเริ่มฝ้าฟางแต่ตุ่ยมีความจำที่โดดเด่นกว่าใครมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม

"อีฝ้ายมั้ง ของอีนิด เห็นว่าได้เป็นพยาบาล"

"จำไม่ได้หรอก"

"อีนิดมันเป็นน้องอีเล็กไง บ้านอยู่ตรงศาลเจ้านู่น"

"ผมจำไม่ได้"

เลิศปรายตามองหญิงสาวที่น่าจะชื่อ ฝ้าย อีกหน แต่สาวเจ้าจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว เลิศจึงรีบก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารในจานต่อ พอเธอกลับไปครามก็ถูกแมงโม้สิง เขาเที่ยวโพนทะนาพื้นเพสาวเจ้าให้พ่อและพี่ชายฟังจนเลิศปวดหู

"เอาแต่พูดข้าวไม่ได้แดกพอดี"

เลิศตักมะระใส่ปากน้องชายไปหนึ่งคำ แต่ความขมฝาดของมันไม่ระคายลิ้นของครามเลยสักนิด คนเป็นน้องยังคงจ้อต่อ รำพึงรำพันถึงความสะสวยของเธอเปรียบเทียบกับแม่ จนเลิศต้องยกจานข้าวเปล่าของตนเองหนีเข้าไปในครัว

ทว่าระหว่างก้มหน้าล้างจาน ปรายตาคมกลับสังเกตเห็นสิ่งหนึ่งสะท้อนกับแสงแดด ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขารีบล้างฟองขาวกับน้ำสะอาดแล้วเดินสาวเท้าเข้าไปใกล้ตู้เก็บจานเซรามิกใบสวยของมารดาผู้ล่วงลับ

"หืม?"

ประตูตู้นั้นทำจากบานกระจกสี มองเผินๆ จานทุกใบถูกตั้งวางเป็นระเบียบอย่างดียกเว้นชั้นวางอันกลางของตู้ที่หนึ่ง มันมีบางสิ่งเอียงห้อยย้วยลงมาสะท้อนกับแสงไฟ เลิศเพ่งพินิจ เขาสาวเท้าเดินเข้าไปเปิดบานกระจก แล้วล้วงหยิบวัตถุปริศนาที่ปรากฏว่ามันเป็นสร้อยห้อยจี้พระที่ทำจากทองคำไม่กี่สลึง

 

 

sds

sds

มีคนสังเกตด้วยยย ดีใจมากๆ เลยค่ะ! ตอนนี้กำลังจะเริ่มเข้าเฟท 3 แล้วนะ! กระดึ๊บๆ กันไปเรื่อยๆ เลย