มนพัทธ์ แปลว่า ผูกพันด้วยใจ

รัศมีสะดุดตากับความหมายตั้งแต่แรกเห็น แม้ในหนังสือตั้งชื่อบุตรจะมีชื่อมงคลขึ้นต้นด้วยตัวมอม้ามากมาย แต่สุดท้ายเธอก็ได้ตั้งชื่อลูกชายคนเล็กด้วยความตั้งใจมั่นว่าเด็กคนนี้จะเป็นเหมือนตัวแทนความรักตลอดสิบสองปีของเธอ

และผลพวงจากความรักที่เธอและสามีมอบให้ มนพัทธ์ ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีนั้นก็เติบโตขึ้นเป็นผู้ (เกือบ) ใหญ่ หากลูกชายไม่ขอให้ไล่คนสวนคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ออก รัศมีก็จะพูดได้ว่าลูกชายของเธอโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว

"หนูจะให้แม่ทำอะไรนะจ๊ะ"

หญิงวัยกลางคนถามอย่างไม่เชื่อหู

"ไล่มันออก"

มนพัทธ์ตอบเสียงหนักแน่น

"มน พูดไม่เพราะเลย"

"คำพูดไพเราะไม่จำเป็นกับคนที่ทำกระถางของมนแตก"

รัศมีจวนเจียนจะตอบว่า มันก็เป็นแค่กระถาง แต่ถูกขัดด้วยคำฟ้องร้องที่พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย คนเป็นแม่ส่ายหัวอย่างระอา เธอหันมองหน้าลูกชายที่กำลังเดือดดาลสลับกับ นายเลิศ ผู้ถูกใส่ความอยู่ข้างเดียว

"เธอทำกระถางของน้องแตกจริงหรือ"

มนพัทธ์อ้าปากค้าง เขาแทบไม่เชื่อหูว่าผู้เป็นแม่แทนตนว่า น้อง กับชายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า

"...จริงครับ" เลิศรับสารภาพ

"เธอทำอย่างนั้นทำไม"

เด็กหนุ่มไม่ยอมสารภาพแน่ว่าตนเองพูดเรื่องผีสางตั้งแต่ยังกลางวันแสกๆ เขาจึงรีบสะบัดหน้าไปทางคนสวน ส่งสายตาเหี้ยมแกมอาฆาตมาดร้ายไปให้ หากนายเลิศเอื้อนเอ่ยคำว่า ผี ออกมาแม้แต่คำเดียวเย็นนี้ทั้งบ้านคงจะได้เห็นดีกัน

"คุณหนูบอกว่าเธอเห็น..."

เลิศพูดเว้นจังหวะพร้อมปรายตาคมมาที่เจ้านายตัวน้อยอย่างยียวน และนั่นทำให้มนพัทธ์แทบกระโจนเข้าไปคว้าคอเสื้อเชิ้ตเก่าตัวบางนั้นขึ้นมาดึงทึ้ง

"แมงป่องครับ"

มนพัทธ์ถอนหายใจ

"ผมเลยอาสาจัดการให้ เกรงว่าจะได้รับอันตราย"

มนพัทธ์อยากให้ผู้เป็นแม่รับรู้เพียงเรื่องที่นายเลิศทำทรัพย์สินของตนแตกเสียหายเท่านั้น ไม่คิดที่จะให้ล่วงรู้ไปถึงสิ่งลี้ลับที่คอยวนเวียนอยู่รอบๆ ผู้ชายคนนั้นเลย เพราะถ้าหากนายเลิศพูดออกไป แม่ของเขาก็จะหาว่าเขาตาฝาดและข้อเรียกร้องที่จะให้ไล่คนสวนคนใหม่คนนี้ออกก็จะถูกปัดตกไป เพียงเพราะทุกคนในครอบครัวนี้เชื่อว่า วิญญาณไม่มีอยู่จริง

แต่นั่นไม่ตรงกับสิ่งที่มนพัทธ์เห็น เช่นเดียวกันกับนายเลิศ ชายแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาสมัครงานเป็นคนดูแลสวนโดยที่อายุอานามก็ไม่ได้มาก แถมไม่มีสังกัด ดูอย่างไรก็มีเจตนาไม่ชอบมาพากล ซ้ำร้ายยังมีวิญญาณสาวคอยวนเวียนอยู่แบบนี้อีก มนพัทธ์จึงคิดได้อย่างเดียวว่านายเลิศคนนี้อาจจะเป็นฆาตกร

มนพัทธ์แน่ใจว่านายเลิศเองก็เห็นสิ่งเดียวกันกับที่เขาเห็น อาจจะไม่ได้ด้วยตาเปล่า อาจจะเป็นเพียงความรู้สึก หรือแค่เสียงลอยมาตามลม เพราะไม่อย่างนั้นนายเลิศคงไม่โมโหโทโสจนทำลายทรัพย์สินในบ้านของผู้อื่นแบบนี้

โกรธอยู่แน่ที่โดนจับได้

โกรธอยู่แน่ๆ

มนพัทธ์คิดในใจ

"เห็นมั้ยล่ะ เรื่องแค่นี้เองมน ไม่ต้องถึงขั้นไล่ใครออกหรอกจ้ะ"

คนเป็นแม่พูดต่อ

"กระถางแตกไปแล้วก็ซื้อใหม่ได้"

"ไม่"

ไม่ได้เด็ดขาด หากข้อสันนิษฐานของตนเป็นจริงทุกชีวิตในคฤหาสน์หลังนี้ก็ตกอยู่ในอันตราย ฆาตกรที่กำลังกบดาน หาที่ซ่อนตัวระหว่างอำพรางศพเมื่อเรื่องแดงเข้า การที่จะเลือกปลิดชีวิตคนที่ล่วงรู้ความลับคงจะทำได้อย่างง่ายดาย คงง่ายเสียยิ่งกว่าให้เขาไปจับกบจับแมลงมาทดลองวิทยาศาสตร์เสียอีก

"เอ๊ วันนี้หนูเป็นยังไงนะ ทำไมแม่พูดอะไรก็ไม่ฟังเลย"

"หรือควรจะบอกความจริง"

มนพัทธ์พึมพำ มือข้างนึงยกขึ้นกุมคาง สายตาหลุบต่ำเพื่อคิดหาทางออกให้ทุกคนมีชีวิตรอด

"ความจริง? ความจริงอะไร มน แม่งงไปหมดแล้ว"

คิดตื้นเกินไป

มนพัทธ์ตบเข่าฉาด ไม่มีฆาตกรสติดีที่ไหนยอมเสี่ยงฆ่าเศรษฐีใหม่ที่มีผู้คนมากมายให้ความสนใจอย่างครอบครัวของเขาหรอก เพราะถ้าหากคุณพ่อหรือคุณแม่ของเขาเป็นอะไรไป พวกนักการเมืองท้องถิ่นคงจะรีบวิ่งแจ้นเข้ามาเรียกคะแนนเสียงให้พรรคของตัวเป็นแน่ ยิ่งช่วงนี้การเลือกตั้งยิ่งใกล้เข้ามาสส.มากหน้าหลายตาก็แวะเวียนมาที่บ้านไม่ขาดสาย อันตรายเกินไป ต้องมีใครสักคนในนั้นจำหน้าของนายเลิศได้ และฆาตกรตัวร้ายคงไม่คิดที่จะลงมือฆ่าใครในเร็ววันนี้

ใช่! ต้องเป็นแบบนั้นแน่

"โล่งอก"

รัศมีกับนายเลิศจ้องคุณหนูคนเล็กที่พูดคนเดียวอยู่นานสองนานตาปริบๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศที่ร้อนจัดหรือเป็นเพราะชาคาโมมายล์ที่แม่บ้านคนเก่าคนแก่จัดให้ดื่มทุกวี่วันที่ทำให้มนพัทธ์แสดงอาการแปลกๆ ออกมา

"ได้ วันนี้มนจะยอมให้นายคนนี้อยู่บ้านของเราต่อไป" คุณคนเล็กพูดต่อ

"สักครึ่งเดือน และถ้ามีข่าวอะไรไม่ดีเกิดขึ้นในวันสองวันนี้เมื่อไหร่แม่จะต้องเสียใจที่ไม่เชื่อคำพูดของมน"

เมื่อพูดสิ่งที่ตนเองอยากจะพูดออกไปหมดแล้วมนพันธ์ก็ดันตัวลุกขึ้นจาก ขายาวก้าวดุ่มๆ ขึ้นไปบนห้อง ทิ้งไว้เพียงเสียงกระแทกประตูดังกึกก้องที่แสดงออกถึงอาการไม่พอใจ

"ขอโทษแทนน้องด้วยนะ" รัศมีชิงพูดขึ้นก่อน "เขาก็เป็นของเขาแบบนี้มาตั้งแต่เล็กแล้วล่ะจ้ะ"

"ลูกชายคนเดียวหรือครับ"

"เปล่าจ้ะ คนโตแต่งงานไปอยู่อีกบ้านนึงแล้ว เหลือแต่เจ้าเปี๊ยกนี่แหละที่ยังอยู่แต่ในรัง"

"รังใหญ่เสียด้วย"

นายเลิศพูดติดตลกจนรัศมีหัวเราะคิก

"เมื่อก่อนอยู่กันหลังเล็กกว่านี้อีกนะ แต่เจ้ามนจำอะไรไม่ได้หรอก คนนั้นเกิดมาเขาก็มีพร้อมทุกอย่างแล้ว ไม่เคยต้องไปลำบากอะไร ถ้าน้องเผลอทำตัวไม่น่ารักใส่อีกนายเลิศก็ดุเขาได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ"

"จะดีหรือครับ ขนาดวันนี้ยังเป็นเรื่องใหญ่เลย"

"คนนั้นเขาทำทุกเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่ได้อยู่แล้วจ้ะ ชินกันทั้งบ้านแล้ว รู้นิสัยน่ะ"

เลิศกระตุกยิ้ม เขาเห็นด้วยกับคำพูดนั้นอยู่มาก

"งั้นผมขอตัวไปเก็บกวาดกระถางที่แตกออกจากทางเดินก่อนนะครับ กลัวใครมาเหยียบเข้า"

รัศมีเพียงแค่พยักเพยิดหน้าและหันกลับไปสนใจละครช่วงบ่ายบนทีวีจอยักษ์ต่อ ผิดกับเลิศที่พอเดินพ้นเสาหินต้นยักษ์ไปแล้วก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้ว่าวิญญาณผู้หญิงที่มนพัทธ์พูดนั้นหมายถึงใคร

ฉาย เป็นฉายสุดที่รักไม่ผิดแน่ แต่ฉายในความทรงจำวันสุดท้ายของเขาไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวอย่างที่เด็กหนุ่มประกาศ วันนั้นเธอใส่เสื้อสีฟ้าอ่อนตัวเก่งของเธอ มิหนำซ้ำภรรยาของเขาก็ไม่ได้มีนิสัยชอบหึงหวง เลิศจึงคิดไม่ตกเลยว่าเพราะเหตุใดฉายถึงยังคอยกังวลเรื่องของเขา

เพราะพี่ขายบ้านหรือ

เลิศถามกับเธอในใจ เขาไม่ได้โชคดีอย่างมนพัทธ์ที่ได้เห็นเจ้าของหัวใจยืนอยู่ตรงหน้า รอแล้วรอเล่าก็ไร้วี่แววว่าจะมีคนในความคิดตอบกลับมา ชายหนุ่มเดินกลับไปจุดเกิดเรื่องที่มีเศษดินเผากระจายอยู่เต็มสนามหญ้า เขาออกแรงหวดกระถางใบนั้นเต็มแรง ชนิดที่ไม่คิดหน้าคิดหลังมาก่อนเลยว่าถ้าหากเศษกระถางกระเด็นไปบาดผิวของเจ้านายคนเล็กเข้าจะทำอย่างไร

สมควรแล้วล่ะมัง

เลิศตอบคำถามของตัวเอง เด็กใจร้ายคนนั้นสมควรได้รับผลของคำพูดของตัวเอง

"นายเลิศ!"

คนสวนคนใหม่หลุดออกจากภวังค์ เขาหันซ้ายแลขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง

"นายเลิศทางนี้"

หญิงวัยกลางคนชะโงกหัวออกมาจากขอบหน้าต่าง และเนื่องด้วยสายตาที่ไม่เอาไหนของเขาทำให้ต้องเดินเข้าไปอีกสองสามก้าวเพื่อให้ระบุได้ว่าผู้ที่กำลังสนทนากับเขาอยู่นี้เป็นใคร

"ฉันวานเก็บถ้วยชากับจานขนมเมื่อบ่ายที่ศาลากลับมาให้ทีได้มั้ย ในครัวเพิ่งเริ่มเตรียมอาหารเย็น งานล้นมือไปหมด"

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายที่นอกเหนือจากกระถางต้นไม้และคุณชายมนพัทธ์

"ที่ศาลากลางแจ้งน่ะ" ป้าแก้วรีบเสริม

จากนั้นคนสวนคนใหม่ก็พลันนึกออก

"อ่อ ครับ จำได้แล้ว"

"ฝากทีนะจ้ะ ยกมาวางไว้ตรงม้านั่งนี่ก็ได้ เดี๋ยวแตงมันว่างแล้วมันจะได้เอาไปล้าง"

เลิศก้มหัวลงช้าๆ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าลูกชายคนเล็กของบ้านนี้ได้รับการเลี้ยงดูแบบใด แม้แต่ถ้วยชามรามไหที่เป็นของใช้ส่วนตัวของตัวเองแท้ๆ ยังไม่ต้องมาคอยสนใจ แล้วจะนับประสาอะไรกับเรื่องความรู้สึกของผู้อื่น เมื่อคิดได้ดังนั้นนิ้วแกร่งก็เกี่ยวหูถ้วยชาล้อมขอบทองขึ้นจรดริมฝึปาก ไอความร้อนที่เคยเกาะอยู่รอบผิวเคลือบหายไปจนหมดสิ้นแล้ว

คาโมมายล์

เลิศจำชื่อเรียกของเครื่องดื่มสีอำพันชนิดนี้ได้ เพราะเมื่อครั้งที่มันร้อน มันส่งกลิ่นหอมเย้ายวนไปทั่วบริเวณ จนเขาอดใจต่อไปไม่ไหวที่จะขอลิ้มลองชาชั้นเลิศที่เจ้าของทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ทันทีที่ลิ้นสากสัมผัสกับของเหลวชายหนุ่มก็หน้าเหยเก

"หวาน!"

ชายหนุ่มถ่มบางส่วนทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ประดับที่กำลังเฝ้าประคบประหงม เพราะรสเครื่องดื่มที่มนพัทธ์ทิ้งไว้นั้นมันช่างหวานล้ำ หวานกว่าชาชงสำเร็จเจ้าดังเจ้าไหน หวานกว่าชื่อใหม่ที่ผู้คนย้อมให้ต้นลั่นทมเสียอีก