เมื่อครั้งยังเป็นเพียงเด็กชายเลิศฝันถึงชีวิตแสนสุขสบาย เขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ มีคนรับใช้ที่ชี้นิ้วสั่งได้ดั่งใจนึก ชีวิตแบบ มนพัทธ์ หากเป็นเช่นนั้นพออายุได้ 25 ปีเลิศก็จะได้เป็นผู้บริหารในบริษัทหลักทรัพย์ร่วมเป็นหุ้นส่วน เมื่อย่าง 30 ก็จะมีทายาทที่แสนน่ารักสักสองถึงสามคนวิ่งวุ่นอยู่รอบบ้าน มีฉายคอยกำราบ และมีเขาที่กำลังตอกตะปูสร้างบ้านต้นไม้ให้ลูกๆ ป่ายปีน

ช่างสมบูรณ์แบบ

ชีวิตที่ชายหนุ่มฝันกลางวันถึงนั้นช่างสุขสันต์จวบจนนิรันดร์แตกต่างกับโลกแห่งความจริงที่เลิศกำลังเผชิญอยู่โดยสิ้นเชิง

"ผมมีคลาสบิซิเนส และมีพรีเซนต์เทชั่น หมายถึงคุณต้องเลือกเสื้อผ้าจากในตู้ให้ผมให้ดูภูมิฐาน อาจารย์ของผมเป็นคนอังกฤษ"

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหนุ่มผิวขาวซีดกังวานอยู่ในหัวของเลิศ เช้านี้ มนพัทธ์ ยังคงความน่ารำคาญดั่งเช่นทุกวัน นอกจากคอยเจ้ากี้เจ้าการ จัดแจงตารางเวลางานของคนสวนให้กลายเป็นบุรุษพยาบาลจำเป็นแล้ว มนพัทธ์ยังได้รับอภิสิทธิ์ให้เรียกใช้เลิศได้ตามใจทำให้ชายหนุ่มได้กลายเป็นคนรับใช้ประจำตัวไปโดยปริยาย

"และผมอยากได้ขนมวาฟเฟิลกับชา...ตอนบ่ายโมง" มนพัทธ์กำชับ

เป็นเหตุให้พ่อบ้านจำเป็นต้องจรลีออกมาจากห้องสีขาวสลับดำที่ไม่ว่าจะตะแคงมองอย่างไรก็น่าขัน เขาเบื่อหน่ายเหลือทนกับการดูแลคุณหนูเอาแต่ใจ ทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำลามไปถึงแบกหามไปไหนต่อไหน

"ผมอยากไปที่สระว่ายน้ำ"

"อุ้มผมสิ"

และอีกหลายต่อหลายคำสั่งการที่ทำให้เลิศหัวหมุนจนทำให้เขาลืมเรื่องฉายไปได้ชั่วขณะ เขาไม่ได้รำพึงถึงยอดดวงใจมาช่วงหนึ่งแล้ว ทุกชั่วโมงทุกนาทีของชายหนุ่มหมกมุ่นอยู่กับการหวาดระแวงที่จะโดนเจ้านายเรียกใช้

ดีแล้ว เลิศคิด

ทุกอย่างเป็นไปตามที่พ่อหม้ายไร้ลูกติดคาดการณ์เอาไว้ เลิศต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ไม่มีฉายตามคำสัญญาที่ชายหนุ่มได้ให้ไว้กับภรรยา แต่รังที่เคยอบอวลด้วยความรักของพวกเขานั้นโศกเศร้าเกินไป เลิศทนดูมันไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงซอกหลืบเล็กๆ ของเสาบ้านชายหนุ่มก็จะได้ยินเสียงหัวเราะของยอดรัก เดินเข้าไปในครัวก็เห็นภาพเธอยิ้มร่าอย่างมีความสุข

ขายมันทิ้งซะคงดีกว่า

พ่อหม้ายไร้ลูกติดที่ทำงานเป็นพนักงานขายให้บริษัทปุ๋ยมานานคิดทบทวนร่วมหลายเดือน เขาไม่เหลือญาติสนิทที่พอจะให้ความช่วยเหลือได้เหลืออยู่ ครั้นจะแบกหน้ากลับไปอาศัยกับพ่อบังเกิดเกล้าเลิศก็ทำไม่ได้ ชายหนุ่มจึงขายเรือนหอของตนเองทิ้ง เงินที่ได้จากการขายครึ่งหนึ่งเขามอบให้ครอบครัวของฉาย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเขาเก็บมันไว้เป็นเงินออมในธนาคาร กระนั้นเลิศก็ยังต้องการที่พักพิง ในทีแรกเขาคิดจะหาบ้านเช่าสักหลังแต่เลิศกลับคิดว่าเพียงแค่นั้นมันไม่พอ

เลิศต้องการเริ่มชีวิตใหม่ อาชีพใหม่ เขาจะใช้ชีวิตที่ฉายต้องร่วมยินดี ไม่ให้เหลือห่วงมารั้งเศษเสี้ยวของเธอไว้กับโลกใบนี้ และดูเหมือนฟ้าเองก็เป็นใจ เลิศเจอใบประกาศของรัศมี มันแปะอยู่บนเสาทุกต้นที่เลิศวิ่งผ่าน เธอให้บ้าน ให้อาหารสามมื้อ แลกกับการดูแลสวนขนาดสองไร่หนึ่งปี เลิศโทรศัพท์หาเธอทันทีพร้อมแนบรูปภาพของผักสวนครัวที่เคยปลูกในที่ดินส่วนตัวไว้ด้านหลังใบสมัคร แต่เลิศคิดไม่ถึงว่างานของคนสวนจะรวมถึงการเป็นพี่เลี้ยงเด็กอายุยี่สิบสามปีอย่างมนพัทธ์ด้วย

"วาฟเฟิลกับชาครับ"

เลิศพูดกับหญิงวัยกลางคนที่ก้มหน้าก้มตาคนเนื้อปลากับพริกแกงให้ผสมกันเป็นเนื้อเดียว เธอเงยหน้าสบตานายคนสวนและพยักพเยิดหน้าให้หญิงสาวที่นั่งดูละครช่วงบ่ายผลัดมาทำหน้าที่แทน

"อีแตง ไปทำขนมให้คุณมนซิ"

เจ้าของชื่อหน้าเหยเก เธอกลัวจะพลาดฉากสำคัญหากเธอลุกออกจากม้านั่งในนาทีนี้

"วุ้ย ไม่เอาด้วยหรอกป้า ฉันดูละครอยู่"

แก้วครางในลำคอ

"งั้นเอ็งก็มาคนไอ้นี่ให้ข้า เย็นนี้ข้าจะทำห่อหมกของโปรดให้คุณผู้ชายท่าน"

หญิงสาวเกิดความลังเลใจ เธอไม่อยากขยับตัวไปไหนอีกทั้งยังไม่อยากให้มือเหม็นกลิ่นคาวปลา จนแก้วเอาทัพพีตีข้างหูจับดัง แก๊ง แก๊ง แก๊ง แตงจึงรีบรับเอาทั้งหม้อทั้งทัพพีไปผสมอาหารต่อ

"อะๆ ฉันทำแล้วป้า ไม่ต้องเคาะเรียกเหมือนหมูเหมือนหมาก็ได้น่า"

"รู้ตัวก็ดีแล้ว เออ ว่าไปช่วงนี้คุณมนเธอกินจุจริง กินขนมวันละตั้ง 3 มื้อเชียว"

เลิศยกคิ้วค้าง ผู้อาศัยทุกคนในบ้านสังเกตได้ว่ามนพัทธ์ในช่วงหกสัปดาห์มานี้นอกจากน้ำหนักตัวที่พุ่งพรวดแล้วแก้มที่เคยตอบก็ตุ้ยนุ้ยเป็นทรงกลม

"เธอก็เป็นของเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอป้า ฉันเห็นคุณมนนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในบ้าน แถมเรียกหาขนมทั้งวัน ช่วงนี้มาถี่หน่อยเพราะเธอเดินเหินไม่ได้นี่ล่ะ ฉันเคยเห็นนะ เธอมีตู้เย็นสำหรับเก็บขนมของตัวเองตั้งเอาไว้บนห้องนอนด้วย เรียกใช้เราแบบนี้แสดงว่าขนมในตู้ของเธอคงไม่เหลือแล้ว" แตงเสริม

ถูกต้อง เลิศพูดกับแตงในใจ

เขาเคยเห็นเจ้าตู้เย็นที่แตงว่า มนพัทธ์มักจะกลิ้งจากอีกฟากหนึ่งของเตียงมาเปิดมัน หรือบางครั้งก็จะสั่งให้เขาหยิบขนมสักชิ้นออกมาจัดเตรียมไว้ให้บนที่นอน

"ก็จริงของเอ็ง"

เลิศปลีกตัวออกจากครัว ไปพลิกดูใต้ใบของต้นชาดัดที่มีอยู่ริมรั้ว ปล่อยให้สองสาวต่อบทสนทนาอันไม่สิ้นสุดเกี่ยวกับมนพัทธ์

ไม่มีเพลี้ย

เลิศรายงานตนเอง เดือนนี้เข้าหน้าร้อน คนสวนอย่างเลิศจึงไม่ค่อยมีตารางงานมากนักนอกจากกวาดใบไม้แห้ง ตัดแต่งกิ่งไม้และกลับมานั่งจุมปุ๊กอยู่ในห้องนอนของตัวเอง จนกระทั่ง

"นายเลิศ!"

เสียงกัมปนาทของเด็กหนุ่มตะโกนเรียกจากชั้นสอง ไม่รู้อะไรดลใจให้ รัศมี เจ้าของบ้านมอบห้องหมายเลขหนึ่งศูนย์หกที่อยู่ใต้ห้องนอนของลูกชายให้คนสวนคนใหม่พอดิบพอดี

"วาฟเฟิลของผมล่ะ!"

หนวกหูฉิบ

ชายหนุ่มสบถในใจ เลิศเพิ่งเข้ามานอนซุกในผ้านวมขณะรอขนมของมนพัทธ์ในห้องได้ไม่ถึงห้านาทีคุณหนูจอมโวยวายก็ตะโกนเรียกหา เลิศเลิกผ้าห่ม ผลักหน้าต่างบานยาวออกดัง พลั่ก ก่อนชะโงกหน้าผ่านช่องเล็กๆ โต้กลับคนเป็นนาย

"ป้าแก้วทำให้อยู่!"

โอ้ เขาลืมคำว่าครับ

"...ครับ"

มนพัทธ์เงียบเสียงลง เลิศเดาว่าเจ้าตัวคงร้อง อ้อ ในลำคอและกลับไปทำธุระของตนเองอย่างเคย ซึ่งธุระที่ว่าเห็นทีคงจะเป็นการเรียนออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ วิดีโอ หรือเทคโนโลยีอะไรสักอย่างที่ยากเกินกว่าเลิศจะเข้าใจ

พอถึงวันพุธของสัปดาห์ถัดไปเลิศจึงเริ่มหายระคายหู ไอ้เด็กนั่น ได้ฤกษ์ถอดเฝือกที่แขนขวา มนพัทธ์กลับจากโรงพยาบาลด้วยพวงแก้มปูดราวกับลูกมะนาว สองแขนหนีบไม้ค้ำยันมาด้วยหนึ่งคู่ เลิศคาดว่าคุณหมอคงจะให้เด็กหนุ่มเริ่มทำกายภาพบำบัด นั่นนับว่าเป็นโชคดีของเลิศ ต่อแต่นี้คนสวนคนใหม่จะได้ตารางเวลาเดิมของตนเองคืน ไม่มีการแบกหาม ไม่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้า มีเพียงพลั่ว เสียมและปุ๋ยดั่งที่เคยเป็นมา

"แขนกูไม่เท่ากัน!"

เลิศได้ยินเสียงมนพัทธ์ตะโกน มันดังออกมาจากทางสระว่ายน้ำ ในทีแรกเลิศคิดว่าเด็กหนุ่มด่าทอ วิญญาณ ที่เจ้าตัวอ้างว่ามันผลักจนตกบันได แต่พอเดินเข้าไปเงี่ยหูฟังใกล้ๆ จึงได้รู้ว่ามีบรรดาเพื่อนของมนพัทธ์นั่งฟังกันหน้าสลอนอยู่ริมขอบสระ

"ธรรมดาน่า พอไม่ได้ขยับนานๆ กล้ามเนื้อมันก็ลีบไง ออกกำลังกายหน่อยก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว มึงโทรจองเทรนเนอร์เลย ที่กูเคยให้เบอร์ไปอะ คนนี้ดีนะบิ้วกล้ามกูขึ้นเป็นลอนเลย"

คนที่สูงที่สุดพูดพร้อมเอนตัวไปด้านหลัง เขาแขม่วหน้าท้องให้กล้ามเนื้อที่อัดแน่นบริเวณนั้นปูดขึ้น

"เออ เดี๋ยวกูโทรไปคุย...แล้วนี่จะไปเจอกันที่ร้านเลยปะ หรือใครจะไปพร้อมกัน บอกก่อนว่าไอ้พวกที่เปียกน้ำไปแล้วกูไม่ให้ยืมเสื้อผ้านะโว้ย"

"ใจมันรักว่ะ ขายังพันเฝือกอยู่เลยเสือกชวนไปบาร์ซะและ" เด็กหนุ่มอีกคนล้อเลียน

"เอาปากแดกไม่ได้เอาตีนแดกหนิ"

บรรดาเด็กหนุ่มทั้งสามหัวเราะครืนให้เจ้าของปากกรรไกร

"ไปเจอกันนู่นแล้วกัน กูขอกลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดีก่อน"

"หน้าที่อะไรวะ" มนพัทธ์ถาม

"แดกข้าวกับครอบครัวดิ แม่กูซีเรียสนะเว้ย วันไหนไม่ได้กินข้าวพร้อมกันเขาจะอกแตกตายให้ได้"

"เห็นด้วยกับไอ้ทศ กูขอสี่ทุ่ม ขอไปทวงกุญแจปอร์เช่กับป๊าก่อน"

"สี่ทุ่มถึงหรือสี่ทุ่มออก"

"สี่ทุ่มถึงดิวะ"

พวกเขาคุยกันตามประสา ลูกคนรวย ที่ไร้สิ่งใดมากวนใจนอกเสียจากครอบครัวของตนเอง เลิศทนฟังได้เพียงอึดใจเดียวเขาก็เดินเลี้ยวไปอีกทาง เขากลับไปจัดการพวกมดคันไฟที่ยกขบวนหนีฝน มันต่อแถวเดินตามกันต้อยๆ เข้าไปในคฤหาสน์ เลิศไม่มีทางเลือกเหลือมากมายนักนอกเสียจากใช้น้ำยากำจัดแมลงที่รัศมีซื้อไว้ให้ฉีดพ่นไว้ตามรอยแตกของปูน งานนี้กินเวลาค่อนข้างมาก กว่าที่งานจะแล้วเสร็จฟ้าก็เริ่มสลัว

"เอ้า พ่อเอาลุงหมายไปด้วยเหรอ"

เสียงมนพัทธ์กระจองอแงดังลอดออกมาจากหน้าต่าง

"กลับมากี่โมงละเนี่ย มนต้องออกไปข้างนอกนะ นัดพวกนั้นไว้แล้วด้วย"

เลิศส่ายหัวด้วยความระอาใจ เขาตั้งหน้าตั้งตาตักพะแนงไก่จากสำรับราดบนข้าวสวยในจานของตนเองต่อโดยไม่สนใจเสียงไม้ค้ำยันที่เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาใกล้

"นายเลิศ"

เด็กหนุ่มเรียกแม้ยังไม่เห็นหน้าค่าตาของคนสวนคนใหม่เสียด้วยซ้ำ

"อีกซักพักพ่อเขาคงกลับมาแล้วมั้ง ลองโทรไปถามก่อนดีมั้ยลูก"

มนพัทธ์ครางในลำคอ

"ไม่เอาหรอก ขี้เกียจคุยกับพ่อ ถ้ากลับช้านักมนให้นายเลิศไปส่งก็ได้ เหลือรถอยู่คันนึงพอดีนี่"

เจ้าของชื่อละสายตาจากแตงกวาบนจาน เขาชะโงกมองผู้เป็นนายสองคนที่ถกเถียงกันเรื่องคนขับรถอยู่นานสองนาน ผลสุดท้ายเลิศก็ต้องก้มหน้ารับหน้าที่เป็นคนขับรถตู้คันหรูไปส่งคุณหนูคนเล็กที่ตึกแถวในซอยคับแคบแห่งหนึ่งตอนสี่ทุ่มไปโดยปริยาย

ระหว่างทางทั้งคู่พูดคุยกันแทบนับคำได้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นบทเรียนแอปพลิเคชันที่มนพัทธ์สอนสั่งเลิศ เช่นว่า กดตรงนี้สิ!หรือ ไม่ใช่ ย้อนกลับไป ชายหนุ่มสับสน เขาไม่เคยขับรถโดยต้องพึ่งระบบนำทางมาก่อน

"แล้วคุณขับรถไปขายปุ๋ยได้ยังไง คุณเคยเป็นเซลล์ไม่ใช่เหรอ"

เด็กหนุ่มกังขา

เลิศงึมงำในลำคอตอบว่า "เขาโทรคุยเอาทั้งนั้น"

"อะไรนะ" มนพัทธ์ตะแบง

"โทร... ผมโทรศัพท์ถามทางจากลูกค้า"

เด็กหนุ่มเบือนหน้าออกไปด้านนอกรถ คอยมองตึกรามบ้านช่องที่สูงชะลูดขึ้นเรื่อยๆ แถมมีไฟประดับระยิบระยับแทนใบหน้าของคนสวน เขาไม่ได้โกรธเกลียดเลิศเพียงเพราะเรื่องการขับรถ แต่มนพัทธ์โกรธเกลียดตนเองที่มักเป็นฝ่ายลอบมองริมฝีปากของชายหนุ่มขณะสนทนา

มนพัทธ์หวาดระแวงว่าจะถูกนายเลิศจูบ แต่อีกใจหนึ่งกลับสงสัยใคร่รู้ว่าถ้าหากได้สัมผัสไออุ่นจากชายหนุ่มอีกสักหนจะเป็นเช่นไร ริมฝีปากที่เคยร้อนเหมือนมีใครเอาพริกขี้หนูมาชะโลมเอาไว้จะหายปลิดทิ้งหรือไม่ หรือเขาจะได้รับเพียงสายตาเหยียดหยามกลับคืน

ทันทีที่ถึงหมายมนพัทธ์ก็รีบไถตัวลงจากรถพร้อมไม้ค้ำยัน มันส่ายง่อนแง่นไปมาและตีกระจกดัง ปั่ก ไปทีหนึ่ง

"ถ้าจะกลับแล้วเดี๋ยวโทรไป"

"คุณมีเบอร์โทรศัพท์ผมหรือ" เลิศประหลาดใจ

"เอ้อ จริงด้วย ไม่มีหรอก แล้วใช้เบอร์อะไรล่ะ"

ชายหนุ่มทอดถอนใจ เขาล้วงเอาโทรศัพท์รุ่นดึกดำบรรพ์จากกระเป๋าเสื้อส่งให้มนพัทธ์ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูเป็นผู้บันทึกหมายเลข

"เก่าจัง เก่ามาก ผมเพิ่งเคยเห็นรุ่นที่มีปุ่มกดครั้งแรกเลย"

มนพัทธ์แสดงความเห็นพร้อมลูบเครื่องมือสื่อสารอันหนาเตอะของเลิศ

"ผมซื้อให้ใหม่มั้ย"

"ผมไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าอยากจะได้เครื่องใหม่"

คนฟังลากเสียง อืม ยาวยืด นาทีนี้เขาอารมณ์ดีเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียงกับคนสวนหัวแข็ง

"แต่ผมอยากซื้อให้นี่ คุณจะใช้หรือไม่ใช้ก็เรื่องของคุณเถอะ ผมไม่ได้เดือดร้อน"

พูดจบคนตัวเล็กก็พยุงสังขารของตนเข้าไปในร้าน เข้าไปเพลิดเพลินกับรสขมของสุราและบาร์เทนเดอร์ตัวสูงชะลูดผู้มีใบหน้าหล่อเหลา เขาเล่นหู เขาเล่นตา เคลื่อนย้ายตัวตามจังหวะเพลงไปมาจนสุดท้ายนายบาร์เทนเดอร์ก็จูงเขาเข้าไปในห้องน้ำวีไอพี

"ดูดปากแรงๆ ได้มั้ย"

มนพัทธ์ร้องขอระหว่างนั่งขาอ่อนอยู่บนคอห่าน คู่ขาที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหากันเล็กน้อย

หล่อจัง มนพัทธ์เริ่มสติหลุด

แต่ไม่เท่านายเลิศ

เศษเสี้ยวหนึ่งของเด็กหนุ่มกังขา จากนั้นยอดนักบริการก็พรมจูบไปทั่วพวงแก้มและปากเรียวเล็ก บางจังหวะก็ขบเม้ม ตามด้วยโลมเลียอย่างถึงใจ

แต่มันไม่หาย!

มนพัทธ์สมองปูด ริมฝีปากของเขายังร้อนเหมือนถูกอังไฟ

ไม่ได้การ เด็กหนุ่มคิด เขาต้องการใครสักคนมาล้างรอยจูบของไอ้คนสวนคนใหม่ แต่กว่าสติสัมปชัญญะที่ กระเจิดกระเจิงไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จะกลับร่องกลับรอย มนพัทธ์ก็ได้ยินเสียงตนเองพูดกับเงาดำมืดที่โอบอุ้มอยู่ข้างกายว่า

"จูบหน่อยได้มั้ย"

และด้วยดวงตาของคนเมามายเด็กหนุ่มก็ไม่วายเห็นเงาดำข้างกายนั้นเป็นนายเลิศ