9 ตอน 9.-Cigarette 100%
โดย Kousei2
9.- Cigarette
‘ดปโปะ ขอโทษทีนะ วันนี้ไม่ต้องมานะ’
ข้อความที่เด้งบอกจากมือถือทำเอาผมที่เฝ้าหวังเวลาเลิกงานถึงกับรู้สึกหมดแรง ทั้งที่นี่มันเพิ่งเป็นเวลาพักกลางวันแท้ๆ
“...ครับ ต้องตอบไปแบบนี้สินะ”ผมพูดพึมพำกับตัวเองราวกับกำลังชั่งใจกับข้อเท็จจริงข้อนี้
สุดท้ายผมก็เลือกที่จะไม่ตอบกลับข้อความ เพียงรับรู้และตั้งใจทำงานที่แสนวุ่นวายไปตามวันศุกร์ตามปกติ และกลับบ้านตัวเองไป
“กลับมาแล้ว”ผมเปิดประตูเข้าไปด้วยสภาพที่อ่อนแรงหลังจากการทำงานเหมือนเช่นทุกที แต่ครั้งนี้เสียงตอบกลับของฮิฟุมิกลับไม่เข้าหูผมเลย ผมเพียงแค่ขยับร่างกายเข้าห้องล้มตัวนอนกับเตียงพอดีตัวของผมแทน
โทรศัพท์ถูกยกขึ้นมาเปิดดูรายชื่อของข้อความนั่นอีกครั้ง และก็เป็นที่ยืนยันว่าคามสัมพันธ์ของเราไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่านี้
ไม่มีข้อความใดเพิ่มเติมขึ้นมา
ไม่มีการอธิบายอะไรมากไปกว่านั้น
ไม่มีสายเรียกเข้าของ ‘ปีศาจพ่อมด’
นี่คือข้อเท็จจริงที่ผมไม่ควรลืม หรือคิดอะไรมากไปกว่านั้น.. อย่างที่ควรจะเป็น
ข้าวห่อไข่มื้อนั้นอาจจะเป็นเพียงของรางวัลสำหรับความเชื่อฟังแสนเชื่องว่านอนสอนง่ายจากเขาก็ได้ ไม่ใช่อะไรที่ผมต้องคาดหวังเป็นพิเศษ
“ฮิฟุมิ วันนี้ฉันกินข้าวด้วยนะ”ผมเปิดประตูห้องไปบอกฮิฟุมิที่คงกำลังจะเตรียมมื้อเย็นสำหรับหนึ่งที่เหมือนปกติในทุกวันหยุดที่ผมจะหายไปอยู่ที่ห้องของจูโตะซัง และกลับอีกทีก่อนวันเริ่มต้นทำงาน แต่ไม่ใช่สำหรับวันศุกร์นี้ วันนี้ที่ผมไม่ได้ออกไปค้างที่ไหน และนั่นคงสร้างความแปลกใจให้กับฮิฟุมิ
“วันนี้วันศุกร์ไม่ใช่หรอ นายไม่ไปที่บ้านของแฟนนายคนนั้นหรอ เห็นปกติจะไปนี่”ด้วยความเงียบที่น่าอึดอัดบนโต๊ะกินข้าว ฮิฟุมิคงอดไม่ได้ที่จะหลุดปากถามเพื่อนตัวเองที่ทำหน้าเหมือนคนโดนหักอกมา
“อ๊ะ! โทษที เมื่อกี้นาย.. ว่าอะไรนะ”คำโกหกถูกปล่อยออกมา ทั้งที่ผมได้ยินคำถามนั่นได้อย่างชัดเจนดีอยู่แล้ว
“หืม? หรือพวกนายทะเลาะกันอยู่หรอ ขอโทษทีนะ แต่ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยก็บอก-”
“ขอโทษทีฮิฟุมิ ฉันอิ่มแล้วน่ะ ขอบคุณสำหรับอาหาร”ผมร้อนรนลุกขึ้นเก็บถ้วยชามที่ยังกินไม่หมด ก่อนจะเข้าห้องตัวเองไปด้วยความรู้สึกผิดและสับสน
“นานแล้วนะ...”เสียงหนึ่งบ่นลอยๆ ออกมาหลังจากหยิบมือถือขึ้นมาดู
“ครับ?”ชายอีกคนหันมาทางเขาด้วยความสงสัย เขาจึงเลิกสนใจมันและกลับไปโฟกัสกับงานตรงหน้าต่อ
“เปล่าหรอก ว่าไงบ้าง”
“ครับ...”รายงานผู้เสียชีวิตที่ถูกพบยังคงถูกรายงานอย่างต่อเนื่อง การเสียชีวิตของคนพวกนี้สำหรับเขามันช่างง่ายแสนง่ายในการหาตัวคนร้าย แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นผลดีต่อชีวิตเขาหากพูดออกไปหรือตัดสินใจที่ผิดพลาด
“ขอบคุณมาก”และพอเสร็จงานก็ได้เวลากลับซะที กลับไปที่ห้องของตัวเอง ปล่อยวางทั้งความยุติธรรมและความอยุติธรรมที่พบเจอมาทิ้งให้หมด และใช้อารมณ์เข้าครอบงำความคิดทั้งหมดของตัวเองแทน
“ขอโทษทีนะที่โทรมาแบบนี้”
หลังจากผมใช้สมองกับอารมณ์ไปหมด ผมก็ใจเย็นลงและตัดสินใจจะไปขอโทษฮิฟุมิในวันพรุ่งนี้ แต่ก่อนที่ผมจะได้นอนนั้นก็มีสายเรียกเข้าดังขึ้นเสียก่อน
“ใครมันโทรมาดึกดื่นแบบนี้เนี่ย ไม่รู้จักเวลานอน- สะ สวัสดีครับ!”ผมที่รู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียกับการโทรมารบกวนเวลานอนดึกดื่นป่านนี้ถึงกับต้องสะดุ้งตัวเด้งขึ้นนั่งและรับสายเมื่อรู้ว่าใครคือคนที่โทรเข้ามา
‘ปีศาจพ่อมด’ คือชื่อของจูโตะซังที่ผมเมมไว้
ทำไมถึงโทรมากันล่ะ
(ขอโทษนะที่โทรมาแบบนี้ ดปโปะ)
“ไม่เป็นไรครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาคงมีธุระสำคัญอะไรล่ะมั้ง อย่าคิดเข้าข้างตัวเองโง่ๆ อะไรนั่นอีกเลย
(เปล่า ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอก แค่เห็นนายไม่ตอบน่ะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย พอดีวันนี้ฉันติดงาน เลยไม่อยากรบกวนเวลาให้นายรอน่ะ)
โทรมาเพื่อจะอธิบายงั้นหรอ?
(ดปโปะ? โกรธอะไรหรือเปล่า)เสียงนั้นเรียกย้ำอีกครั้ง เมื่อผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“ครับ? คะ ครับ เปล่าครับ ผมไม่ได้...”
ไม่ได้โกรธ...
คำง่ายๆ ที่ควรพูดออกไป แต่จู่ๆ คำๆ นั้นก็จุกอยู่ในลำคอ ไม่สามารถพูดมันออกไปได้ เพราะความสับสนในตอนนี้
(ดปโปะ นายโอเคมั้ย)เขาถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป และเพราะตอนนี้ผมรู้สึกสับสนว้าวุ่นใจมากเกินไปหรือเปล่า ผมถึงเผลอหลุดปากเก็บความเห็นแก่ตัวของตัวเองไว้ไม่มิดอีกแล้ว
“ผม.. อาจจะโกรธครับ หงุดหงิดด้วย.. จนวันนี้เผลอไปใส่อารมณ์กับเพื่อนอีกแล้วล่ะครับ...”
ผมรู้ รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่ในตอนนี้ผมกลับโทษใส่เขาอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งที่คนที่สมควรจะถูกกล่าวโทษดุด่าอะไรมันควรจะเป็นผมเองมากกว่า ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เลย
(ดปโปะ ฉัน-)
“ขอโทษครับ! ขอโทษ..จริงๆ ครับ ผมว่าผมคงเพ้อเจ้อไปเอง สงสัยผมจะง่วงมากแล้วล่ะครับ ฮะ ฮะ คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความผิดคุณ... ขอโทษครับ ผมต้องวางสายก่อนแล้วน่ะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ”ผมรีบตัดสายทิ้งทันทีอย่างไม่สุภาพ โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของเขาเลย
แต่มันก็ควรจะเป็นแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ ระหว่างเรากับเขามันจะมีอะไรมากไปกว่าชู้กับแขกคนพิเศษได้กันล่ะ อย่างน้อยก็คงไม่ใช่สำหรับเขา
สถานะ ไม่ใช่แฟน ไม่ได้เป็นเจ้าของกันและกัน ได้เจอกับเพียงแค่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากเป็นการพบเจอกันนอกเหนือจากนี้ เราก็ไม่ต่างกับคนแปลกหน้าที่ ‘แค่’ รู้จัก
ไม่ใช่คนรัก เป็นเพียงชู้รักที่ต้องหลบซ่อนเพียงเท่านั้น
“น่าสมเพช”
ตัวผม.. ตัวผมที่ในความเป็นจริงมันอาจช่างต่างจากที่คุณคิด เพราะในทุกๆ ครั้งที่เราสัมผัสกัน ทุกๆ การเชื่อมต่อ ทุกๆ น้ำเสียงของคุณ ผมก็ได้แต่สาปแช่งคุณอย่างเห็นแก่ตัว ว่าขอให้สามีคุณไม่กลับมา ขอให้ทั้งคู่เลิกกัน ขอให้หมดสิ้นความรักต่อกัน และขอให้คุณรักผมแทน...
มันคือความปรารถนาอันเสื่อมทรามของผม ที่คุณคงไม่รู้
“ผมนี่มัน.. โคตรเห็นแก่ตัวเลยครับ ขอโทษนะครับ จูโตะซัง”
“...”
สุดท้ายกว่าจะหลับลงได้ก็เกือบเช้า
ผมถอนหายใจหลังจากเห็นสภาพตัวเองในกระจก ขอบรอยคล้ำใต้ตาที่ลึกคล้ำจนน่าขนลุก กับสภาพที่ดูคล้ายซากศพเดินได้ ทำเอาจิตใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วของผม กลับห่อเหี่ยวลงยิ่งกว่าเก่า
ตั้งแต่วันศุกร์วันนั้น จนถึงวันอาทิตย์วันนี้ผมก็ไม่ได้ติดต่ออะไรหากันอีก ที่แน่ๆ คือเขาไม่ได้โทรมาหาถามไถ่อะไรเพิ่มเติม ผมเองก็ไม่กล้าโทรไปหาเขา เพราะเรื่องในครั้งนั้นที่ผมเผลอไปตำหนิโทษเขาทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย และด้วยวันนั้นที่ผมเผลอทำไม่ดีกับผู้ที่หวังดีไป เช้าวันต่อมาผมก็จึงไปขอโทษฮิฟุมิและเล่าเรื่องของตัวเองกับเขาให้ฟังโดยไม่ได้บอกชื่อเจ้าตัว พอฮิฟุมิรับรู้ก็แนะนำให้ผมออกห่างกับเขาทันที เพราะสิ่งที่ผมทำมันมีแต่จะแย่ลง ผมเองก็รับฟังเงียบๆ แต่ในใจรู้ดีว่าคงไม่คิดจะทำตาม... สำหรับในตอนนี้
เช้าสายของวันนี้ฮิฟุมิจึงชวนผมและคุณหมอออกไปนั่งตกปลากัน ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่าที่ฮิฟุมิทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงสภาพจิตใจของผม เราตกลงกันว่าจะไปนั่งกินเค้กที่ผมชอบกันหลังจากตกปลาเสร็จ
“ก็ไม่เห็นติดต่อมาเลยแฮะ เราทำผิดไปแล้วยังจะมาคาดหวังบ้าบออะไรไปอีกล่ะเนี่ย เลิกคิดบ้าๆ ได้แล้วดปโปะ”ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง สมาธิไม่ได้จดจ่อที่โต๊ะสำหรับรอเมนูที่สั่งไป สมองล่องลอยและเอาแต่คิดนู้นนี่ แม้กระทั่งตอนที่ตกปลาผมยังนั่งเหม่อจนทำปลาหลุดไปซะทุกรอบ แถมซ้ำเพราะผมนอนไม่พอ จึงเกือบตกบ่อลำบากคุณหมอและฮิฟุมิอีก
ผมว่าผมควรจะโทรหาเขา เพื่อสิ้นสุดอาการคิดมากนี้ แต่พอจะทำเข้าจริงผมก็ลังเลจนเก็บมันไว้ทีหลังทุกที
“ดปโปะคุง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”คุณหมอที่สังเกตอาการผิดปกติมาได้สักพักก็อดถามด้วยความเป็นห่วงออกมาไม่ได้ ส่วนฮิฟุมิก็ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ผมเองก็ทำเพียงปฏิเสธและโกหกไป
ผมไม่กล้าบอกคุณหมอ แต่ฮิฟุมิก็แนะนำว่าบอกเผื่อไว้ดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นผมเองก็ไม่อยากให้เขารับรู้ ว่าผมให้คนอื่นรับรู้แล้ว และจากครั้งแรกๆ ที่เราเจอกันดูท่าว่าทั้งสองจะรู้จักกันมาก่อนด้วย ผมจึงขอให้ฮิฟุมิเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
“จะว่าไปเราก็ไม่ได้หาเวลาว่างออกมาหาอะไรกินข้างนอกนานแล้วเนอะ”ฮิฟุมิที่กลัวว่าที่โต๊ะนี่จะกร่อยและอึมครึมก็จึงเริ่มเปิดประเด็นขึ้น ผมเองก็พยายามจะไม่คิดอะไรฟุ้งเฟ้อ และพยายามไหลไปตามบทสนทนาในตอนนี้ จนกระทั่ง...
“สวัสดีครับ ใครครับ”ผมเอ่ยทักไปก่อนด้วยความรวดเร็วและไม่ทันได้เช็คดูก่อนว่าเป็นใครที่โทรมา เกิดความเงียบไปสักพักหนึ่ง ทำเอาผมเผลอคิดไปว่านี่อาจเป็นการโทรแกล้งของพวกชอบโทรป่วนก็ได้ จึงคิดจะตัดสายไป แต่ก่อนจะได้ทำอย่างนั้นปลายสายก็พล่งขึ้นมาเสียก่อน
(ฉันเอง อิรุมะ จูโตะ)
จูโตะซัง?!
ผมตกใจกับเสียงที่ได้ยินจนแทบไม่อยากเชื่อ เลยลองถอยโทรศัพท์ออกมาเพื่อยืนยันว่าเบอร์ที่โทรมานี่คือจูโตะซังจริงๆ
‘ปีศาจพ่อมด’ และนี่คือชื่อที่โชว์ขึ้นในภาพหน้าจอเล็กๆ นี่ เป็นที่ยืนยันแล้วว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆ ไม่ได้ละเมอไป
(รบกวนอะไรนายอยู่หรือเปล่าเนี่ย ดปโปะ โทษทีนะ)
“ไม่ครับไม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมขอตัวจากคุณหมอและฮิฟุมิ ลุกออกไปคุยโทรศัพท์ในที่ๆ เงียบที่สุดที่พอจะหาได้
(เปล่า แค่อยากจะขอเวลานายสักรู่ ไม่นานหรอก)
นี่เขาจะมาไม้ไหนกันแน่เนี่ย
“ครับ”ผมควบคุมเสียงให้นิ่ง ทั้งที่ตอนนี้หัวใจผมเต้นโครมครามจนน่ารำคาญ
(ฉันว่า.. เราหยุดกันมั้ย)
เอ๊ะ? หมายถึง...
“ขอโทษนะครับ พอดีตอนนี้ผมอยู่ข้างนอก เลยได้ยินไม่ค่อยชัดน่ะครับ...”ผมโกหกออกไป ทั้งที่ผมเองก็ได้ยินมันชัดและเข้าใจมันได้ทันทีว่า ‘หยุด’ ที่เขาหมายถึงนี่คืออะไร และหวังว่าเขาจะเปลี่ยนคุยหรือนัดคุยวันอื่นเพื่อที่เราหรือแค่ผมจะได้ยื้อเวลาต่อ
(หยุดที่ว่า หยุดเรื่องเราน่ะ นายทรมานไม่ใช่หรอ ฉันไม่อยากให้นาย.. มาทรมานเรื่องของฉันหรือเราเพิ่ม ฉันเห็นแก่ตัวนะที่รั้งนายไว้แต่ก็มาพูดเอาแต่ได้แบบนี้ ฉัน...)เสียงปลายยสายที่ฟังดูอ่อนแรงและดูฝืดเฝือนกว่าปกติทำเอาผมที่อยากปฏิเสธกลับทำได้เพียงยืนเงียบฟังเขาเท่านั้น แต่แล้วจู่ๆ เสียงนั้นก็ขาดหายไป จนผมคิดไปว่าเขาคงตัดสายทิ้งไปแล้วแหละ จึงถอยโทรศัพท์กลับมาเพื่อจะมองดูชื่อที่เมมไว้ แต่ก็พบว่าสายมันยังไม่ได้ถูกวางเลยด้วยซ้ำ แต่จะเรียกยังไงก็ไม่มีข้อความตอบกลับ
“จูโตะซัง?!”ผมลองเรียกดูอีกครั้ง แต่ก็ไร้การตอบกลับ จนใจผมอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ ตัดสินใจจะขอตัวลาจากฮิฟุมิและคุณหมอที่ได้แต่นั่งงงและรีบนั่งแท็กซี่ไปหาเขาโดยทันที
พอมาถึงที่หมาย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ไร้เสียงใดหรือสิ่งใดตอบกลับราวกับไร้ผู้อาศัย ดังนั้นผมจึงลองเปิดประตูเข้าไปสำรวจในห้องนอนของเขา และก็ปรากฏร่างของคนที่ผมตามหา
“จูโตะ!”ผมที่เห็นเขานอนกองอยู่ที่พื้นข้างเตียงก็รีบตรงปรี่เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง เพราะมันไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะมานอนกองอยู่ตรงนี้ได้เพราะเหนื่อยจัดหรืออะไร และก็จริง ตัวเขาร้อนจี๋
“เป็นไข้?”
ผมที่มีสภาพร่างพอๆ กับเขากว่าจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอนดีๆ ได้ก็กินแรงไปส่วนหนึ่ง น่าแปลกด้วยซ้ำที่ขนาดนี้ก็ยังไม่ตื่น
ผมมองใบหน้าของเขาที่ดูซีดเซียวจนน่ากังวล และยังคงหลับไม่มีสติ ผมยกมือขึ้นมาจับประคองใบหน้าของเขา ยกนิ้วโป้งลูบเกลี่ยผิวแก้มที่ร้อนระอุเบาๆ เพรากลัวว่าเขาจะตื่น
“ปีศาจพ่อมดอย่างคุณก็เป็นไข้ได้ด้วยสินะครับ”ผมอมยิ้มขำก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นไปหาผ้ามาชุบน้ำเช็ดตัวให้เขา แต่ผมยังไม่ทันจะได้เช็ดตัวให้เขาประตูก็ถูกเปิดออกเป็นครั้งที่สองนับจากผม
“หืม? เจ้าพนักงาน? ไม่ใช่ว่าวันนี้แกไม่อยู่หรอวะ”
“ซามาโทกิซัง?”ผมหันไปมองบุคคลที่ยืนแช่อยู่ที่บานประตูก้มมองผมที่กำลังจะถกเสื้อคนป่วยขึ้นเพื่อเช็ดตัว แต่จากสายตาคนอื่นมันคงจะดูคล้ายกับว่าผมกำลังจะทำมิดีมิร้ายกับคนป่วย...
“ผะ ผมแค่จะเช็ดตัวให้เขาเท่านั้นนะครับ!”ผมรีบอธิบายออกไป เพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจอะไรไปผิดๆ และอาจจะทำให้เขารู้ถึงความสัมพันธ์ลับของเรา
“เออๆ ไม่ได้จะว่าอะไรนี่ นี่ยากับข้าวมัน ฉันแค่มาเพราะมันโทรมาบอกว่าวันนี้แกไม่อยู่เท่านั้นแหละ เรื่องพวกแกฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งอะไรมากด้วย จะคบจะอะไรกันก็ช่างหัวพวกแกเถอะ แต่ฝากแกยัดข้าวให้มันกินด้วยล่ะ น่าจะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า”ว่าจบเขาก็ปิดประตูออกไป โดยที่ผมยังไม่ทันได้แก้ตัวหรืออ้างอะไรออกไป เพียงแค่รับยากับข้าวกล่องจากเขาเท่านั้น
“...หรือเพราะจะโดนจับได้แล้วกันนะ”
“ดป...”คนบนเตียงส่งเสียงออกมาเบาๆ เป็นสัญญาณว่าคงจะตื่นแล้ว
“ตื่นแล้วหรอครับจูโตะซัง หิวมั้ยครับ ซามาโทกิซังเขาฝากข้าวกับยามาให้พอดีน่ะครับ กินนข้าวก่อนนะครับจะได้กินยา”
“ขอน้ำหน่อยสิ”เขาพูดขึ้นอย่างอ่อนเพลีย ผมที่กำลังจะเตรียมข้าวให้ก็รีบพยักหน้ารับและลุกไปเอาน้ำมาให้ คนป่วยรับแก้วน้ำไปยกดื่มได้สักพักก็หันมาขอยาจากผมต่อทันที ทั้งที่ข้าวก็ยังไม่ได้กิน
นี่ตกลงว่าลืมที่ผมบอกไปแล้วหรือไง หรือป่วยแล้วดื้อเงียบกันครับ
“กินข้าวก่อนครับ นี่มันบ่ายสองแล้ว กินข้าวจะได้กินยานะครับ”ผมไม่รอให้คนป่วยเอ่ยปากดื้อรั้นอะไร และรีบแกะเปิดยัดกล่องข้าวใส่มือเขาทันที เขาเองก็ยอมรับไปกิน แม้จะมุ่นคิ้วเล็กน้อยอย่างดูไม่พอใจ
“เลิกจ้องกันสักทีเถอะน่า”เขาพูดออกมาเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังถูกผมจ้องอยู่
“ขอโทษครับ”ผมรีบก้มหน้าลงทันทีที่รู้ตัว แต่ก็ไม่ได้ลุกไปไหน และเพราะแบบนั้นเลยแอบรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย
“ขอบคุณนะ ดปโปะ”ในช่องว่างแห่งความน่าอึดอัด จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น และแม้ว่ามันจะเบาแต่เพราะตอนนี้ทั่วทั้งห้องมันถูกฉาบย้อมไปด้วยความเงียบ เสียงนั้นจึงสามรถส่งผ่านเข้าหูผมมาได้อย่างง่ายดาย
“ครับ?”ผมตกใจกับคำพูดของเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง จนถึงกับเผลอยกยิ้มออกมาตอนที่เงยหน้าขึ้นไปมองเขา จนเขาทำท่าจะดีดหน้าผากผม แต่ก็หยุดไว้
“ขอบคุณนะ ที่มาที่นี่น่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยินดีที่จะมาเองนะครับ”ผมยิ้มรับออกมาเพื่อให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น แล้วรับเปลี่ยนกล่องข้าวเป็นเม็ดยาแก้ไข้ให้เขาแทนเมื่อเขาอิ่มแล้ว
“หึ”
“ขำอะไร”เขาหันขวับมาทางผมเมื่อผมเผลอหลุดเสียงหัวเราะออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวคิ้วสวยที่เคยมุ่นอยู่แล้วเมื่อครั้นตอนกินยามันก็มุ่นขมวดกันยิ่งกว่าเดิม จนผมอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้กับมุมนี้ของเขา
“ขอโทษครับ แค่คุณทำหน้าเหมือนเด็กไม่ชอบกินยาเลยน่ะครับ ฮะ ขอโทษครับ จะไม่หัวเราะอีกแล้วครับ”ผมยิ้มออกมาขณะพูด จนคนฟังดูจะไม่ค่อยพอใจจึงยกมือมาบีบจมูกผมเบาๆ (เบาในแบบของเขา)
“อุก ผมเจ็บนะครับ”ผมช้อนมองขอความเห็นใจจากปีศาจพ่อมด
“ถ้าฉันไม่ป่วยจะกัดจมูกนายให้ขาดเลยคอยดู”เขาขู่ผมทีเล่นตามประสา แต่ก็ช่างเป็นคำขู่เล่นที่ฟังดูน่าสยดสยองพอดู และพอเขาเห็นผมเงียบไปแบบนั้น คนขี้แกล้งก็เผยเสียงหัวเราะออกมาก่อนที่จะหยุดไปเพราะอาการปวดศีรษะจากพิษไข้
“ไหวมั้ยครับ จูโตะซัง”
“ไหว.. ขอนอนสักแป๊บก็คงจะดีขึ้น”เขาว่าก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวนอน ผมที่มองเขาอยู่สักพักก็เพิ่งนึกอะไรได้
“จูโตะซัง ผมยังไม่ได้เช็ดตัวให้คุณเลย อยากจะขอรบกวนสักหน่อยน่ะครับ”
“เช็ดตัว? ...หึ เป็นเด็กดีจังเลยนะ อุตส่าห์ขออนุญาตก่อนด้วย ทั้งที่เคยจับฉันแก้ผ้ามาแล้วแท้ๆ เลยนะ”เขาเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้มขบขันกับการกระทำของผมที่ขาสื่ออกมาจนหน้าผมเห่อร้อนตามประโยคที่น่าอายของเขา
“จูโตะซัง!”
“ฮะๆ ล้อเล่น ได้สิ แต่ขออะไรเพิ่มหน่อยสิ ได้มั้ย”เขาพลิกตะแคงข้างหันมาทางผม พร้อมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบผมของผมเล่นเบาๆ โดยที่ผมเองก็ยินยอมและเผลอเคลิ้มไปตามสัมผัสสบายๆ ของเขา
“ครับ? อะไรหรอครับ”
“ช่วยเอาเสื้อผ้าตัวใหม่มาเปลี่ยนให้ฉันทีสิ ชุดนี้มันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะ อยากเปลี่ยน”เขาว่าก่อนจะหาวออกมาทีหนึ่ง ด้วยท่าทางที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของผมเป็นอย่างมาก
ฤทธิ์ยากับพิษไข้คงทำให้เขาง่วงแล้วสินะ
“ได้ครับ สักครู่นะครับ”ผมยิ้มรับ ก่อนจะลุกขึ้นไปหาเสื้อผ้ามาให้เขาเปลี่ยน แต่พอกลับมาที่เตียงเพื่อที่จะเช็ดตัวให้ก็ปรากฏว่าเขาได้หลับไปแล้ว
“พอดูแบบนี้แล้ว ก็ดูน่ารักขึ้นเยอะเลยนะครับ คุณปีศาจพ่อมด”
“ดป.. ดปโปะ นี่!”เสียงเรียกที่มาพร้อมกับแรงเขย่าทำให้ถึงกับต้องสะดุ้งตื่นขึ้น เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่ผมหลับไป...”
“ใช่ นายหลับ หลับเพลินเลยด้วย แต่ยังไงก็ช่วยจัดการกับคราบน้ำลายนั่นหน่อยสิ เยิ้มเชียว”เขาที่นั่งห้อยขาอยู่บนเตียง ยกนิ้วชี้เรียวสวยแตะลงบนมุมปากของตัวเองที่สะอาดเอี่ยมไร้คราบอะไรอย่างที่บอก เขาก้มลงมองผมที่นั่งอยู่บนที่นอนชั่วคราวที่ผมปูรองนอนไว้ที่ข้างเตียงเขา ผมมองเขากลับอย่างไม่เข้าใจในการกระทำนั่นสักพัก ก่อนจะเพิ่งมารู้ว่าที่เขาหมายถึงคืออะไร
“อ๊ะ! ขอโทษครับ!”ผมรีบยกแขนเสื้อขึ้นหวังจะใช้มันปาดเช็ดคราบน้ำลายของตัวเอง แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบลวกๆ นั้น เขาก็ยื่นกระดาษทิชชู่มาให้กับผมได้ทันเวลา
คราบน่าอายนั่นถูกเช็ดออกไปแล้ว แต่ไอความร้อนจากใบหน้าผมที่เกิดจากความอับอายยังคงอยู่ โชคดีที่เขาไม่เอ่ยแซวอะไรผมมากไปกว่านี้ นอกจากรอยยิ้มจางๆ นั่น ไม่งั้นมีหวังผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
“นอนพักบ้างมันก็ดีนะ แต่พรุ่งนี้นายต้องไปทำงานไม่ใช่หรอ ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ระวังจะพลาดรถไฟขบวนสุดท้ายเอานะ”เขากล่าวเตือนสติผม ผมที่ตอนแรกยังรู้สึกงัวเงียอยู่บ้างเล็กน้อยก็ถึงกับตื่นสนิทเมื่อเขาพูดแบบนั้น สายตาผมรีบหันไปดูเวลา และพบว่านี่มันดึกมากแล้วจริงๆ
“จริงด้วยครับ!”ผมลุกขึ้นอย่างร้อนรน รีบเก็บที่นอนชั่วคราวที่ผมถือวิสาสะใช้มัน
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ยังทันน่า ที่นอนนั่นเดี๋ยวฉันเก็บเองก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ คุณป่วยอยู่ แถมผมเองด้วยที่แอบเอามันมาใช้ตอนคุณหลับอยู่ด้วย”ผมพูดพลางเก็บที่นอนอย่างทุลักทุเล
“ไม่หรอก นายจะใช้ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร นายอุตส่าห์ช่วยฉันไว้ตั้งหลายเรื่อง แถมนายเองก็แก้ผ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉันเรียบร้อยแล้วด้วยนี่”เขาว่าแซวผมขำๆ จนผมทำได้เพียงบ่นพึมพำกับคำพูดชวนน่าอายของเขา
“จะว่าไปคุณกินข้าวเย็นยังครับเนี่ย”
จู่ๆ ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ผมเผลอหลับไปก็ประมาณช่วงเย็น และเราก็น่าจะยังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลยด้วยซ้ำ
“ฉันกินแล้ว โทรบอกซามาโทกิแล้ว แล้วนี่ของนาย ฉันกินยาแล้วด้วย ไม่ต้องห่วง”เขาบอกราวกับคาดเดาคำถามของผมได้
“แล้วนี่...”ผมมองเขาสลับกับถุงที่มีกล่องข้าวใส่อยู่ข้างใน
“ของนายไง ฉันให้ซามาโทกิซื้อมาเผื่อนายด้วยน่ะ ยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่มั้ยล่ะ”เขาบอกก่อนจะกลับไปล้มตัวนอน ด้วยความที่พิษไข้ยังคงเกาะกินเขาอยู่ ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปแตะหน้าผากเช็คอุณหภูมิพิษไข้ของเขา
“ไม่ร้อนเท่าตอนแรกแล้วนะครับ ยังปวดหัวอยู่มั้ยครับ”
“นิดหน่อย ขอบคุณนะดปโปะ”เขายิ้มออกมาด้วยความจริงใจและดูอ่อนโยนขึ้นกว่าทุกที จนอุณหภูมิในร่างกายของผมมันกลับร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
“ติดไข้จากฉันซะแล้วหรือไง... ก็ไม่นี่”เขาพูดขณะเอื้อมมือมาแตะสัมผัสลงบนหน้าผากผม และคงเพราะการกระทำแบบนั้นของเขาจึงทำให้ผมเผลอพูดอะไรออกไปโดยไม่ทันคิด
“พรุ่งนี้ผมขอมาหาคุณอีกได้มั้ยครับ”
“...”
เวรแล้วไง! ดปโปะ! พรุ่งนี้มันวันจันทร์ไม่ใช่หรอวะ ไม่มีทางที่เราจะได้เจอกันในวันพรุ่งนี้หรอกนะ ถึงจะอยาก แต่อย่าคิดเลยว่าเขาจะอนุญาต
“อืม.. เอาสิ ถ้าไม่รบกวนนายเกินไปล่ะก็นะ”
เอ๊ะ? ได้จริงๆ หรอ ไม่ใช่ว่านี่มันเป็นการล้ำเส้นของเราหรอกหรอครับ ผมไม่ได้ฟังผิด หรือเพราะคุณป่วยอยู่กันแน่ครับ
“ครับ ขอบคุณครับ”
“อืม แต่ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ระวังจะพลาดรถไฟจริงๆ นะ”เขาเตือนผมที่ไม่ทันระวังเรื่องเวลา ที่พอได้ยินแบบนั้นผมก็รีบเก็บข้าวของของตัวเองเตรียมจะออกไป แต่ก่อนที่จะได้ออกไปผมก็โดนเสียงหนึ่งเรียกไว้ซะก่อน
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ ดปโปะ”
“ครับ!”ผมขานตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป
“เอ่อ.. คุณ คุณคะ! ขอโทษนะคะ!”
หลังจากที่ผมลงมายังชั้นหนึ่งและกำลังจะออกจากตัวแมนชั่นนี้ไป จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเรียกรั้งไว้เสียก่อน
“ครับ?”ผมหันไปหาเธอด้วยความสงสัย เธอดูท่าจะเป็นพนักงานของแมนชั่นนี้ หากดูจากชุดยูนิฟอร์ม แต่เธอมีอะไรกับผมกันล่ะ หรือเห็นว่าผมเข้าออกที่นี่บ่อยทั้งที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่เลยดูน่าสงสัย...
“ขอโทษที่รบกวนนะคะ ไม่ได้มีเจตนาอะไรไม่ดีหรอกนะคะ แต่เห็นว่าคุณมาที่นี่บ่อย แล้วก็น่าจะสนิทกับอิรุมะซังใช่มั้ยคะ”
“ครับ ใช่.. ครับ ทำไมหรอครับ”
หรือจะมีใครสงสัยในเรื่องพวกเราอีก นี่ผมทำให้จูโตะซังรู้สึกแย่หรือเปล่านะ
“พอดีว่ามีของมาถึงอิรุมะซังน่ะค่ะ แต่วันนี้ยังไม่เห็นเขาลงมาเลย และถ้าหากไม่เป็นการรบกวนเกินไป ก็อยากจะฝากคุณเอาไปให้เขาหน่อยได้มั้ยคะ”เธอว่าด้วยรอยยิ้มไมตรีดูไร้เจตนาแอบแฝง ก่อนจะเลื่อนกล่องพัสดุขนาดเล็กให้กับผม ผมเลยเผลอไปเห็นข้อความจ่าหน้านั่นเข้า
From Romy…
ถึงผมจะไม่เก่งภาษาอังกฤษอะไรมากนัก แต่ข้อความบนกล่องนี่ก็ไม่ได้ยากอะไรมากนัก
‘For my apology, I’ll soon meet you. My love.’
“ขอโทษนะคะ หากเป็นการรบกวนคุณเกินไป”
“ไม่เป็นไรครับ ผม.. จะเก็บไว้ให้เขาพรุ่งนี้เองครับ”ผมพูดตอบ ก่อนจะออกไปจากตัวแมนชั่นนี่พร้อมกล่องพัสดุที่ถือกลับมาที่บ้านด้วย
“เขาจะกลับแล้วสินะ...”
ถ้าเขากลับมา ผมคงหมดความหมายสำหรับคุณด้วยหรือเปล่านะ
Comments (0)