3.- Cigarette

 

 

“ครับ ผมบอกไปแบบนั้น แต่จะไปรู้ได้ไงว่าคุณหมายถึงวันนี้เลย” เขาพิงขอบประตูกอดอกมองผมอย่างตำหนิในชุดทำงานของเขา

ดูจะเหวี่ยงๆ แฮะวันนี้

“ขะ ขอโทษครับ!” ผมที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร จึงรีบก้มศีรษะขอโทษแบบแทบเก้าสิบองศา เสียงถอนหายใจของเขาดังตามมาอย่างเอือมระอา

“เข้าไปก่อนสิครับ เดี๋ยวจะชงกาแฟให้คุณก่อนก็ได้” ขนาดเวลาเร่งรีบของเขา เขายังคงทำตัวมีน้ำใจให้กับผม (ในบางเรื่อง) ผมที่ได้ยินดังนั้นก็เตรียมจะตอบตกลง แต่พอเห็นเขาในชุดทำงานปกติแบบนี้ผมจึงรีบปฏิเสธไปแทน

“หืม? ทำไมล่ะครับ ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้รีบขนาดนั้น คุยกันก่อนแล้วค่อยไปก็ได้ครับ คุณเองก็มาตั้งไกล พักก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้ครับ”

พูดงี้คือเตรียมไล่ผมกลายๆ สินะ

“ครับ”

แต่ก็ดีกว่าโดนไล่กลับไปตั้งแต่ตอนนี้ล่ะนะ

 

สภาพห้องดูจะ... รกกว่าคราวนั้นอีกแฮะ ตอนนี้มีทั้งขวดไวน์ แก้วไวน์ กระป๋องเบียร์ หลากหลายสิ่งแห่งความมึนเมาวางกองระเกะระกะ ที่เขี่ยบุหรี่ก็มีบุหรี่เหลือทิ้งเกือบสิบมวน และจะว่าไปถ้าดูดีๆ ตาเขาก็ดูบวมๆ ด้วยนี่...

อย่าบอกนะว่าร้องไห้?

“เอ่อ... คุณโอเคหรือเปล่าครับ” ผมทำใจห้ามไม่ให้ถามไม่ได้ เขาหันมามองผมขวับจนผมสะดุ้ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจหนักๆ พร้อมสางผมหน้าตัวเอง

“นี่ผม.. แย่มากเลยหรอครับ” เสียงเขาดูอ่อนล้าอย่างถึงขีดสุด เป็นน้ำเสียงที่ผมไม่เคยคิดว่าเขาจะมีด้วยเหมือนกัน

คนอย่างคุณก็มีมุมนี้ด้วยแฮะ

“เอ่อ...”

แต่จะให้ตอบว่าอะไรดีล่ะ บอกว่า ‘ใช่ แย่มากครับ’ แต่มันจะดีหรอ มันจะไม่เสียมารยาทใช่มั้ย แต่ถ้าตอบว่า ‘ไม่ครับ’ มันก็คงต่างจากความเป็นจริงพอสมควรเลยสินะ จะให้ตอบว่ายังไงดีล่ะ

“ไม่เป็นไรครับ พอจะรู้คำตอบแล้วล่ะ” เขาตอบทั้งที่ไม่มองหน้าผมเหมือนทุกที

ดูลังเล ขาดการตัดสินใจ ดูร้อนรน และดูเหมือนว่ากำลังจะมีน้ำตา...

“…!”

“อ่ะ! เอ่อ ขอโทษครับๆ ขอโทษจริงๆ ครับ คือคุณดูเหมือนจะร้องไห้อยู่ ผมเลยเผลอ.. ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ! ขอโทษด้วยครับ!” ผมรีบขอโทษขอโพยเมื่อผมดันถือวิสาสะไปสัมผัสกับใต้หัวตาหลังแว่นของเขา เขาดูตกใจและนิ่งเงียบไป มองหน้าผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง แม้ว่าผมจะชักมือออกจากสัมผัสที่หัวตาที่มีเพียงน้ำตาหยดเดียวแล้วก็ตาม

จริงด้วย คุณดูแย่จริงๆ คุณดูแย่มาก อิรุมะซัง เหมือนกับแจกันที่ถูกปิดฝาแต่น้ำยังคงถูกเติมเข้าไปจนมันเริ่มร้าว และนี่คงเป็นเครื่องหมายความบอบช้ำในใจของคุณ ...น้ำตาหยดเดียว

“คุณ.. คันนงซากะซัง”

“คะ ครับ!” ผมตกใจที่จู่ๆ เขาก็เรียกชื่อผม แม้จะเป็นน้ำเสียงที่อ่อนล้าเกินจะรับไหว

“ผมจะไม่ถามคุณแล้วกันนะครับว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ แต่คุณจะกลับเลยมั้ยครับ”

“…”

ผมนิ่งค้าง ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาไม้นี้ ช่างเป็นวิธีการไล่ที่สุภาพ แต่กลับกรีดไปทั่วทั้งหัวใจจริงๆ

“หรือถ้าคุณจะอยู่ต่อก็ได้นะครับ” เขาบอกทั้งที่ยังคงไม่สบตากับผม แต่ไม่เป็นไร เพราะเพียงแค่นั้น เพียงแค่เขาพูดประโยคนั้น หัวใจของผมก็กลับมาสมานกันได้อีกครั้ง รอยยิ้มที่ไม่ควรมีของผมมันก็ผุดขึ้นมา และผมก็ได้ตอบตกลงไปอย่างไม่ลังเล

“งั้น.. ไปรอผมที่นี่แล้วกันนะครับ ไปถึงแล้วก็รีบบอกว่าผมให้มารอนะครับ ไม่งั้นระวังจะซวยเอา” เขาเขียนแผนที่ง่ายๆ ที่พอเข้าใจได้ยัดใส่มือผม เขียนชื่อสถานที่ที่ว่านั่นง่ายๆ ว่า ‘สำนักงาน’ แค่นั้น จากนั้นเขาก็ขับไปส่งผมแค่กลางทาง และปล่อยให้ผมเดินไปต่อเองคนเดียว ส่วนเขาก็ขับไปที่ทำงานต่อ

 

แสบ.. แสบมาก อิรุมะซัง คุณมันชั่วร้ายที่สุด!

ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงเขียนชื่อสถานที่ที่ให้ผมมารอนี่แค่ว่า ‘สำนักงาน’ ...

เพราะที่นี่มันดันเป็นสำนักงานของยากูซ่าน่ะสิ!

ตอนมาถึงก็ไม่อะไร แต่พอจะเข้ามายังตัวสำนักงานก็โดนชายตัวโตน่ากลัวสองคนกันไว้ทันที ยังดีที่ผมจำได้ว่าให้บอกชื่อของอิรุมะซังก่อนถึงจะเข้าไปได้

ดูท่าเขาจะเป็นคนสำคัญของที่นี่พอสมควรเลยแฮะ เบื้องลึกเบื้องหลังของเขามันเป็นยังไงกันแน่เนี่ย!

“หึๆ ยังอยู่จริงด้วยสินะครับ” เสียงที่ผมรอคอยดังขึ้นอยู่ฝั่งประตูห้อง ผมรีบหันหน้าไปตามเสียงและตามคาด

อิรุมะซัง! คุณมาแล้ว! ผมไม่ต้องนั่งตัวเกร็งรอที่ห้องนี่แล้ว!

“เฮ้ย จูโตะ แก... หมอนี่ใครวะ” ชายอีกคนที่ผมเองก็คุ้นเสียงเขาเดินตามมาด้วย พอผมเห็นเขาผมก็จำได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

ชายเลือดเย็นโคตรน่ากลัวคนนั้น!

“คนรู้จักฉันเอง คันนงซากะซัง คันนงซากะ ดปโปะ” เขาแนะนำตัวให้แทนผม ชายคนนั้นก็ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ

“ตำรวจชั่วเหมือนแก? หน้าตาดูไม่ใช่เลยว่ะ” ชายคนนั้นใช้นิ้วโป้งชี้มาทางผม อิรุมะซังหัวเราะเบาๆ กับคำถามที่สำหรับเขามันแสนตลกขบขัน

ดูท่าจะดีขึ้นแล้วสินะ

“เปล่า ไม่ใช่หรอก พนักงานบริษัทน่ะ อย่างคันนงซากะซังน่ะ ไม่มีทางที่จะเป็นตำรวจชั่วแบบฉันได้หรอก หึๆ ” เขากลับมายิ้มและหัวเราะที่ดูเจ้าเล่ห์ตามเดิม ไร้ซึ่งร่างที่เปราะบางคล้ายต้องการคนมาปลอบประโลมเหมือนในเมื่อเช้า

แต่.. ดูคุณจะภูมิใจน่าดูเลยนะ กับการเป็นตำรวจชั่วน่ะ

“อ่อ พนักงานนี่เอง ว่าแต่ฉันกับแกเคยเจอกันใช่มั้ยวะ” เขาจุดบุหรี่สูบก่อนจะถามผม

“ก็ที่แกเจอวันนั้นไง ตอนที่จัดการไอ้พวกค้ายาเวรนั่น ก็หมอนี่แหละที่ฉันพากลับ” อิรุมะซังตอบคำถามแทนผมที่อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง

“แกนี่เอง แล้วแกมาทำอะไรที่นี่วะ” เขายังคงตีวนกลับมาถามคำถามผม ที่ได้แต่นั่งอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ได้จนชายคนนั้นตรงมากระชากคอเสื้อผมไปเค้นถามแบบเอาเรื่อง ผมแทบจะไหว้ขอชีวิต แต่อิรุมะซังที่ยืนอยู่ข้างหลังชายคนนั้นกลับทำเพียงยืนสูบบุหรี่แล้วหัวเราะเบาๆ

ช่วยผมด้วยสิครับ!

“เอาน่าๆ ซามาโทกิ ฉันเป็นคนบอกให้คันนงซากะซังมารอที่นี่เอง” ในที่สุดเขาก็ช่วยมาห้ามปรามก่อนที่ผมจะโดนเหวี่ยงหมัดใส่ แล้วไม่รู้ว่าทำไมหลังจากนั้นผมก็ถูกพาตัวไปนั่งดื่มที่โต๊ะเหล้าเบียร์ร้านหนึ่งแทน...

เอ๊ะ?

 

“เฮ้อ เบื่อจริงๆ นะ ทั้งยาทั้งพวกค้ามนุษย์ เมื่อไหร่พวกสวะนั่นจะหายไปให้หมดโลกกันน้า.. เอ๊ะ? เป็นอะไรไปครับ เอาอีกมั้ยครับ” เขายื่นขวดเบียร์มาทางผมและทำท่าจะเทให้ ผมทำเพียงแค่ปล่อยให้เขาเทแอลกอฮอล์ลงแก้วผม ขณะที่สายตาผมมองไปที่ขวดเหล้าและเบียร์ที่เขาดื่มไป ก่อนจะกลับไปสบใบหน้าสวย

แพขนตาที่เริ่มปรือตก แก้มสีแดงระเรื่อ รอยยิ้มที่ปกปิดอารมณ์ที่แท้จริง คุณฉาบย้อมมันด้วยของพวกนั้น เพื่อให้ตัวเองยังดูโอเคที่สุดเท่าที่จะทำได้

“จูโตะ นายควรพอได้แล้วนะ” ชายอีกคนที่ผมเพิ่งเคยเห็น ลูกครึ่งอเมริกา-ญี่ปุ่น ชื่อ ‘ริโอ’ เขาเตือนเพื่อนตัวเองด้วยความเป็นห่วง

ไม่แปลกหรอก อิรุมะซังเขาดื่มไปตั้งหลายขวด และจากที่ผมเห็นเมื่อเช้าเขาก็ดื่มไปแล้วตั้งเยอะ พอมาตอนนี้ก็ยังจะดื่มอีก ราวกับว่าไม่อยากจะรับรู้อะไรในโลกอีกเลย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมสบายดี เนอะ คันนงซากะซัง” เขาหันมาถามผม คงเพราะคิดว่าผมอยู่ข้างเดียวกับเขา แต่เปล่าเลยครับ เพราะผมก็เห็นด้วยกับริโอซัง

“ผมว่าริโอซังพูดถูกนะครับ อิรุมะซัง คุณพอเถอะครับ คุณดื่มหนักเกินไปแล้วนะครับ”

ผมน่ะไม่เป็นไร แต่คุณดูท่าจะไม่ไหวแล้วนะครับ

“อะไร คุณก็เห็นด้วยกับหมอนี่หรอ” เขาขมวดคิ้ว แล้วเบนสายตาหนีจากผมไปอย่างผิดหวัง

ตอนนี้คุณไม่ร้องไห้ ไม่ได้ร้องไห้หรือขอบตาแดงระเรื่อ แต่คุณกำลังเมามาย หน้าแดงหูแดงก่ำ กลิ่นแอลกอฮอล์กลบกลิ่นน้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ ของคุณไปหมด อารมณ์คุณก็ดูจะแปรปรวนง่าย อย่างก่อนหน้านี้ แค่ซามาโทกิซังว่าคุณเรื่องที่อายุมากกว่าแต่กลับตัวเตี้ยกว่า คุณก็ยังฉุนจนเกือบชกกันเลย ...ทั้งที่ตรงนี้ผมตัวเตี้ยที่สุดแท้ๆ

“พอเถอะครับ เขาพูดกันเพราะเป็นห่วงคุณนั่นแหละ” ผมยังคงไม่ละความพยายาม ริโอซังที่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ส่วนซามาโทกิซังก็กำลังคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะบาร์ โดยที่ไม่ได้สนใจเพื่อนที่มาด้วยกันเลย

หรืออาจจะเอือมแล้วกันนะ

“...ทั้งที่หมอนั่นยังไม่มาสนใจฉันเลยเนี่ยนะ” เขาพูดพึมพำอะไรบางอย่างโดยที่ผมจับประโยคไม่ได้ จึงลองถามกลับไป แต่เขาก็ปฏิเสธเสียงแข็งกลับมาว่าไม่มีอะไร จากนั้นไม่นานเขาก็เป็นคนลากผมกลับ แต่ไม่ได้จะพากลับชินจูกุ เพราะที่ๆ เขาพากลับคือห้องสุดหรูของเขาต่างหาก...

 

พอกลับมาถึงที่ห้อง เขาก็เข้าห้องนอนของตัวเองไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ผมเปลี่ยน แล้วก็กลับเข้าไปในห้องนอนตัวเองใหม่อีกรอบ

ผมเข้าห้องน้ำสำหรับแขกเพื่อจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่พอสังเกตเห็นว่าเขาดันไมได้ให้ผ้าขนหนูมา จึงว่าจะไปขอผ้าขนหนูจากเขาใหม่

“…”

เสียงอะไรน่ะ

“อ๊ะ! ...”

พอเดินเข้าไปใกล้เสียงนั้นก็ยิ่งชัดขึ้น ทำนองจังหวะเสียงที่คุ้นหู ทำให้เท้าผมหยุดชะงักลงที่หน้าประตูห้องนอนของเขา มือขวากำรอบลูกบิดประตู เงี่ยหูฟังเสียงทำนองขึ้นลงจากภายในห้องที่ดูจะปิดประตูไม่สนิทจนเสียงนั้นลอดผ่าน

ผมกลืนน้ำลาย และรอบรวมความกล้าที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อเปิดมันออก...

“อิรุมะ.. ซัง...” ผมเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า

นิ้วเรียวสวยไร้ถุงมือสีแดง เสื้อผ้าที่ยังไม่ถอดออกสักชิ้น นอกจาการร่นกางเกงลงจนถึงข้อเท้าที่ถูกปิดคลุมด้วยถุงเท้าครึ่งน่อง พร้อมกับสายรัดถุงเท้าที่น่องขาสวย ใบหน้าที่แดงก่ำที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดขึ้นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะว่ากำลังสุขสมอยู่กันแน่ ร่างกายที่กำลังตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัด นิ้วเรียวยาวที่เห็นไม่ครบเพราะบางนิ้วกำลังสอดคาอยู่ภายในช่องทางด้านหลัง

หัวใจผมสูบฉีดอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าว จังหวะการเต้นของหัวใจคล้ายกับคนที่เพิ่งออกกำลังกายมา ผมยังคงกำลูกบิดแน่นแทนการระบายความใคร่ที่กำลังเริ่มปะทุขึ้น

ผิดจากที่คาด...

“มีอะไร คันนงซากะซัง” อิรุมะซังพยายามทำตัวสุขุม ทั้งที่ในใจทั้งอายและกระวนกระวาย เขารีบหันหลังดึงกางเกงขึ้นสวมให้เป็นปกติ และถามโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองเลยด้วยซ้ำ

“ผมมาถามหา... เอ่อ เรื่องผ้าขนหนูน่ะครับ อิรุมะซัง” ผมเริ่มพูดติดขัด และถ้าเขาหันมา เขาคงรู้ได้ทันทีเลยว่าผมกำลังตื่นตัว ตื่นตัวครั้งแรกกับผู้ชายทั้งที่ไม่ได้แม้แต่สัมผัสอะไรกัน

“อ่อ อืม เดี๋ยวเอาไปให้” เขายังคงไม่ได้หันกลับมามอง ซึ่งนั่นก็ดี เพราะผมเองก็ไม่สามารถอธิบายถึงอาการตื่นตัวในครั้งนี้ได้ จึงรีบเดินกลับห้องอาบน้ำสำหรับแขก เลื่อนปิดประตูกระจกฝ้า แต่ไม่ได้ล็อคทั้งประตูกระจกฝ้า และประตูที่กั้นอีกทีข้างนอกห้องนี้ ผมถอดเสื้อผ้าออกอย่างร้อนรน เปิดน้ำเย็นชโลมทั่วกายให้เย็นลง แต่อาการตื่นตัวก็ยังคงอยู่ แก้ไม่ได้ นอกเสียจากว่า...

“คันนงซากะซัง.

“....! คะ ครับ!”

“ผมเอาผ้าขนหนูมาให้ครับ” เขาส่งมันให้ผ่านประตูกระจกฝ้าที่เปิดแง้มๆ ออกมารับผ้าขนหนู จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าห้องนอนตัวเองทันที เขาอาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังจัดเตรียมผ้าห่มให้แขกนอนบนโซฟาตัวเดิม

ความเงียบภายในห้องนอนเก็บเสียงทำให้ใบหน้าเขาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ชวนใจเต้นด้วยความตื่นกลัวและอับอายอย่างถึงที่สุด

“แย่ที่สุด” เขาทำได้แค่บ่นกับตัวเอง และยกแขนข้างหนึ่งวางพาดก่ายหน้าผากตัวเอง

คงต้องรีบหาทางทำอะไรสักอย่างกับอาการบ้าๆ นี่แล้วสิ

 

“ครับ?!”

“ไปนอนด้วยกันสิครับ”

หลังจากผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนโซฟาอยู่นานสองนาน จู่ๆ ก็มีร่างใต้ความมืดยืนมองอยู่ข้างโซฟาที่ผมนอนอยู่ พร้อมกับคำชวนที่ฟังดูน่าตกใจยิ่งกว่าจากเจ้าบ้าน

“ผมรู้นะ...” เสียงแหบกระเส่าพูดรบเร้าอยู่ข้างหูราวกับเชิญชวนให้ร่างกายผมตื่นตัวอีกครั้ง ขาข้างหนึ่งของเขาวางเขาทาบลงบนโซฟา แล้วค่อยๆ ลากเข่าขึ้นมาชิดตรงกึ่งกลางตรงหว่างขาของผม จากนั้นก็ฉีกยิ้มราวกับยมทูตที่จะมาพรากเอาชีวิต “นะครับ คันนงซากะซัง ช่วยผมสักนิดสักหน่อยเถอะครับ”

ไม่ว่าเปล่า เขากดน้ำหนักลงทับบนส่วนที่อ่อนไหวที่กำลังกลับมาตื่นตัวของผมช้าๆ ก่อนจะกดลงมาอย่างรุนแรงจนผมน้ำตาเล็ด

“อิรุมะซัง...” ผมร้องเรียกขอให้เขาหยุด เขาแสยะยิ้ม แต่ก็ยอมถอย

“ว่าไงครับ จะไปนอนด้วยกันมั้ยครับ คันนงซากะซัง”

แย่ล่ะ ครั้งแรกกับผู้ชายของผมกำลังจะเสียไปให้กับปีศาจตรงหน้างั้นหรอ

อึก...

“ไปมั้ยครับ” เขายังคงยิ้ม ส่วนผม...

“ครับ”

คงไม่สามารถปฏิเสธน้ำผึ้งจากกับดักของปีศาจไปได้หรอก

 

“คันนงซากะซัง! อื้ม... ดี ดีครับ เอาอีกครับ ขอ.. แรงอีก... ขอร้องล่ะครับ” เสียงครางหวานดังกระเส่าถี่อยู่ใต้ร่างของผม เขาสูญเสียการควบคุม และครวญครางอย่างสุขสมปนทรมาน

เขากำลังร้อนรน ต้องการ และปรารถนา...

คนที่แสนจะเย่อหยิ่ง ยียวน ปากเสียคนนั้นกำลังร้องขอสิ่งที่ต้องการจากผม

ผมยกยิ้มมุมปาก ก้มมองคนที่กำลังสิ้นสภาพ และมอบสิ่งที่เขารอคอยให้เป็นรางวัล ปลดปล่อยคาวกามสุขให้เป็นของแถม

เสียงลมหายใจดังถี่ของเราทั้งคู่ และจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหวานที่เรียกชื่อผมอีกรอบ

“คันนงซากะซัง.. ดปโปะซัง ผมรักคุณ”

และใช่...

ทั้งหมดคือความมโนของผม

เรื่องจริงก็คือ หลังจากที่ผมล้มตัวลงนอน ก็พบว่าแอร์ที่เปิดอยู่มันเสีย เพราะไม่ว่าจะปรับยังไงมันก็ยังคงเย็นจนผมเห็นไอออกมาจากช่องลมของแอร์ ไม่พอ แอร์ที่เปิดอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ยังมีน้ำหยดลงมา จนสุดท้ายผมก็ต้องไปขออิงอาศัยนอนในห้องนอนของอิรุมะซังและเขาก็ตอบตกลงง่ายๆ โดยที่ในความเป็นจริงไม่มีทั้งบทวาบหวามบนโซฟาและบนเตียง ผมเป็นเพียงแค่หมอนข้างใบโตของเขาเท่านั้น เพื่อให้เขาหลับ...

ครับ หลับ หลับไปเลย หลับสนิท ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแกล้งหรือจงใจ ที่ปล่อยให้คนที่ดันตื่นตัวเพราะถูกขาของคนที่หลับอยู่ถูไถไปมาราวกับจงใจ และให้ผมนอนแน่นิ่งเป็นหมอนข้างต่อไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย และกว่ามันจะสงบ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาไปตีสองกว่า ส่วนเวลาในตอนนี้ที่ผมตื่นคือตีห้าครึ่ง

ก็ถ้ามันไม่ตื่น ผมก็คงได้นอนหลับสนิทแบบเต็มอิ่มไปแล้ว

“ตื่นแล้วหรอครับ คันนงซากะซัง หลับสบายมั้ยครับ” เขาถามเมื่อออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัวที่พันแค่ครึ่งท่อนล่าง โชว์ต้นขาสวยชวนมอง แว่นตาไม่ได้สวม เผยให้เห็นใบหน้าสวยที่เกลี้ยงเกลา และผมที่เปียกชื้นที่ส่วนปลายจนมีน้ำหยดลงมาตามผิวกายที่ชวนดูเซ็กซี่ ทรงผมที่ยังไม่ผ่านการจัดทรงนั่นก็ชวนให้ผมใจสั่นอยู่ไม่น้อย จนผมเกือบลืมประโยคคำถามของเขาเมื่อครู่

“ครับ ก็ดีครับ”

ไม่ใช่หลับสบายดีหรอกนะครับ แต่มัน ‘ตื่น’ ดีน่ะครับ ตื่นจนผมแทบไม่ได้นอนเลยครับ!

“ครับ ก็ดีแล้ว งั้นไปอาบน้ำสิครับ เสื้อผ้าของคุณผมเอาไปซักแล้ว อยากจะใส่อะไรก็รื้อดูได้ในตู้ดำนะครับ อย่าไปเปิดตู้สีน้ำตาลนั่นล่ะครับ เพราะนั่นมันมีแต่ของใช้ส่วนตัว แล้วก็อย่าลืมเก็บเข้าที่ด้วยล่ะครับ อย่าทำให้รกมากล่ะ”

เขาชี้สั่งราวกับเป็นแม่ผม ผมพยักหน้าและทำท่าจะเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ แต่หางตาพยายามเหลือบไปมองผิวกายที่เปลือยเปล่าของอีกคน ที่ดูจะไม่ได้ใส่ใจการมีอยู่ของผมสักเท่าไหร่ ไม่รู้จงใจ หรือไม่สนใจกันแน่

แต่ก็นั่นแหละ ไหนๆ ก็ไม่สนแล้ว ถ้าขอดูนิดหน่อยคง...

“อยากดูหรือเปล่าครับ”

“ครับ.. ห๊ะ! ครับ?”

เสียงรายเรียบแอบแฝงความทะเล้นที่ผมฟังยังไงก็ชวนให้เผลอคิดเข้าข้างตัวเอง หรือผมฟังผิด ยังไงก็แค่ฟังผิดแหละน่า

“ผมหมายถึง อยากให้ผมช่วยดูให้มั้ยครับ เผื่อว่าคุณจะหาไม่เจอ หาเสื้อผ้าแค่นี้ทำไมนานจังครับ” เขาติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้าย ท่อนล่างสวมแค่กางเกงชั้นในขาสั้นสีเทาเข้มโชว์ขาเรียวยาวสวยและเนื้อผิวนูนที่หลบซ่อนอยู่ภายในนั้น และถุงเท้ากับสายรัดน่องชวนเซ็กซี่จนผมแทบอยากตื่นตัว...

“อุ๊บ! ว่าแล้วเชียวว่าทำไมคันนงซากะซังถึงหายังไม่เจอ” ปีศาจในคราบมนุษย์ฉีกยิ้มเยาะเย้ยที่ดันเปี่ยมด้วยเสน่ห์ใส่ผม

“ครับ?” ผมเงยมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ใจกระวนกระวายราวกับกลัวว่าเขาจะอ่านความคิดผมออก

“คันนงซากะซัง... ‘เปียกชุ่ม’ แล้วนะครับ” เขาก้มลงมากระซิบข้างหูผม เฉียดผ่านแก้มกันไปนิดเดียว หัวใจผมสูบฉีดอีกรอบอย่างรุนแรงไม่ต่างกับอาการหอบหลังวิ่งมาราธอนมา

ลำคอขาวน่ากัดและฝังรอยสีแดงเป็นจ้ำๆ ต้นขาสวยที่มีกล้ามเนื้อประดับอย่างพอเหมาะที่ย่อตัวลงมาให้ผมเห็นและสามารถสัมผัสมันได้เพียงเอื้อมมือก็ช่างเย้ายวนและ...

“นี่ มองอะไรอยู่น่ะ คันนงซากะซัง” เขาตีหน้ายุ่ง ลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อผ้ามาโยนบังหน้าผม ทั้งกางเกงและเสื้อ

“แล้ว...”

“ไม่มีอันเดอร์แวร์ให้หรอกนะครับ แต่พอมีบ๊อกเซอร์อยู่ จะเอามั้ยครับ เป็นของใหม่สำรองของผมเอง เพราะงั้นหายห่วงครับ”

“ครับ ขอบคุณครับ” ผมกล่าวก่อนที่จจะแอบลอบมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มจางๆ โดยที่ผมก็ยังไม่รู้ว่านั่นคือรอยยิ้มสำหรับอะไร ความอ่อนโยน ความเอ็นดู หรือแค่นึกสนุก

ปีศาจตนนี้อาจจะคงสนใจแค่ว่าจะแกล้งยั่วยุอารมณ์ผมยังไงเท่านั้นล่ะมั้ง ยั่วให้ปะทุ แล้วก็จากไป แกล้งให้อยาก แล้วค่อยผลักไสไล่ส่ง

ผมเดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมอุปกรณ์ครบชุด ทั้งผ้าขนหนูและเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน บริการอย่างดีพร้อมเซอร์วิสอาหารตายามเช้า แล้วก็...

“เปียกอยู่จริงๆ ด้วย นี่เราเป็นอะไรวะเนี่ย”

สงสัยว่าผมคงต้องจัดการเวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักแล้วล่ะ

 

“นั่งลงสิครับ กินข้าวก่อนจะได้มีแรงเดินกลับ”

ทันทีที่ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็เปิดประตูออกมาจากห้องนอนและก็ได้กลิ่นกระตุ้นกระเพาะได้เป็นอย่างดีจากบริเวณห้องครัวที่โต๊ะสำหรับนั่งทานข้าว ซึ่งบนโต๊ะนั้นมีมื้อเช้าวางอยู่ พอเขาที่กำลังจัดเตรียมโต๊ะเห็นผม เขาก็กล่าวประโยคที่ผมแยกไม่ออกระหว่างใจดีหรือตีเนียนไล่ผมกลับ

แต่ก็ไม่รู้ทำไม ยิ่งนานวันเข้าผมยิ่งปฏิเสธชายคนนี้ไม่ลง

อาหารรงหน้าเป็นมื้อง่ายๆ สไตล์อเมริกัน อย่างขนมปังปิ้ง ไข่คน ผักสลัด (ที่ผมเรียกชื่อไม่ถูก) และไส้กรอก

“ขอโทษทีนะครับ พอดีผมลืมถามว่าจะเอาไข่คนหรือไข่ดาว กินได้ใช่มั้ยครับ”

“ครับ กินได้ครับ” ผมตอกลับ ระหว่างกินก็เผลอเหลือบมองคนตรงหน้าที่ดูจะตั้งใจกินด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

ดูจะอารมณ์ดีขึ้นแล้วจริงๆ สินะ จะว่าไปพวกซากกองขวดเหล้าเบียร์กับถาดเขี่ยบุหรี่ที่อัดแน่นไปด้วยบุหรี่หลายมวนก็ไม่มีแล้วเช่นกัน

“จ้องอะไรขนาดนั้นครับ” พอรู้สึกตัวอีกที สายตาของเราทั้งคู่ก็ประสานกันจนผมหลบแทบไม่ทัน

ครั้งนี้เขาเหยียดยิ้มเอ็นดู ขณะที่อีกคนแก้เขินด้วยการกระดกน้ำแอปเปิ้ลจนสำลักอย่างน่าสงสาร จนเขาที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะมาช่วยประคองผมแล้วตบหลังเบาๆ แถวๆ กระดูกสะบักให้ผมไออกมาจนหายสำลัก

“จะว่าไปก่อนหน้านี้คุณก็เอาแต่หลบตาผมนะ แต่ดูคุณตอนนี้ดูจะมีความกล้ามากขึ้นแล้วนะครับ น่ารักดีนะครับ”

“ครับ?” คนถูกชมเงยกลับไปมองอย่างไม่เข้าใจ

“รีบกินเถอะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่หน้าสถานี หรือจะเดินกลับก็ได้นะครับ จากนี่ถึงบ้านคุณ อาหารที่กินไปก็คงย่อยพอดี” เขาพูดติดตลก หยอกล้อจนผมมองว่ามันอาจจะเป็นนิสัย (สันดาน) เสียของเขาก็ได้

“ไม่ทันย่อยหมดผมก็ตายแล้วล่ะครับ เดินจากนี่ไปถึงที่นั่นขาผมคงได้หักก่อนพอดี” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาคงจะได้ยินเลยหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

“ก็จริงของคุณ”

“คุณก็รู้นี่ แล้วทำไมถึงชอบมาแกล้งผมจัง หรือคุณจะชอบผม” ผมที่ดันเผลอทำตัวคุ้นชิน ดันเผลอหลุดพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไปต่อหน้าปีศาจร้ายตรงหน้านี่เข้า

“หึ ฮ่ะๆ นี่คุณคิดแบบนั้นจริงหรอครับ”

เวรล่ะ กูพูดอะไรออกไปวะเนี่ย ถ้าโดนเข้าใจผิดอะไรแปลกๆ เข้าล่ะ แต่เดี๋ยว? ไม่ใช่ว่าสาเหตุที่ผมมาที่นี่ก็เพราะเขาหรอกหรอ

“นี่ คันนงซากะซัง” เสียงของปีศาจเรียกขึ้นพร้อมรอยยิ้มด้วยความเห็นใจ

“ครับ?”

“คุณชอบผมหรอครับ”

ตึง!

ตอนนี้มันช่างคล้ายกับมีอะไรแข็งๆ หนักๆ หล่นลงมาทับ

“คะ-”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอกนะครับ”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบก็ถูกเขาแย่งด้วยประโยคหักใจกันดิบๆ

“ครับ? ทำไมล่ะ”

ผมหลุดปากออกไปอีกครั้ง เขาส่งยิ้มเจือจางที่ปนความเศร้าเสียใจแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วเขาก็ลุกขึ้นไล่ให้ผมไปเตรียมตัวเพราะเขาจะไปส่ง พอนั่งรถไปจนถึงหน้าสถานี ผมก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากพูดประโยคที่น่าจะไม่สมควรออกไป ก่อนที่จะลงจากรถ

“อิรุมะซัง”

“…”

“คุณมันเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายที่สุด” ผมพูดโดยที่ไม่กล้าหันไปมองหน้าเขา

ปีศาจที่แกล้งให้อยาก แล้วตัดสิ้นความหวังทิ้งไป

“…ขอบคุณครับ”

ปีศาจนั่นฉีกยิ้มอีกครั้ง แต่ไม่บ่งบอกอารมณ์ที่แท้จริงใดๆ ออกไป

 

“ดปโปะจิน! นายไปไหนมาน่ะ แล้วทำไมเสื้อผ้านายถึง...”

ทันทีที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไป เสียงดังน่าหนวกหูในยามเช้าแสนเซ็งก็ดังขึ้นจากเพื่อนสนิทที่สุดของผมที่ดูจะเพิ่งกลับขึ้นมาจากร้านสะดวกซื้อ

“ไปดื่ม”

ผมไม่ได้โกหกนะ ไปดื่มมาจริงๆ แต่หลังจากนั้นก็ไปค้างที่ห้องอิรุมะซัง

‘แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอกนะครับ’

“ไม่ได้งั้นหรอ...”

“หืม? ดปโปะ...”

“ไม่ได้อะไรกันเล่า ทั้งที่คนที่เป็นคนเริ่มก็ไม่ใช่ผมซะหน่อย คุณไม่ใช่หรอที่มาก่อกวนวนเวียนผมก่อนน่ะ แล้วทีแบบนี้ทำไมคุณถึง...” ผมทิ้งตัวลงนั่งพิงกำแพงและทึ้งหัวตัวเอง บ่นพึมพำกับความในใจที่ไม่น่าจะส่งไปถึงคนที่นึกถึงได้ ฮิฟุมิที่เห็นดังนั้นก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะรวบรวมความกล้าถามเพื่อนสนิทของตนด้วยความเป็นห่วง

“ดปโปะ เป็นอะไรน่ะ หรือเรื่องที่ทำงาน?”

“…ถ้าใช่ก็ดีสิ”

เรื่องงานยังพอเข้าใจได้ แต่เรื่องนี้มันยากเกินกว่าจะเข้าใจด้วยซ้ำ

“เอ๊ะ?”

ปกติถ้าเป็นเรื่องที่ทำงานผมก็มักจะบ่นหรือระบายความอัดอั้นในใจให้กับฮิฟุมิหรือไม่ก็ต้นอิชิเวเรียฟัง แต่นี่ดันเป็นเรื่องของปีศาจตนนั้น เรื่องของอิรุมะซัง

“ปีศาจนั่น...”

“ปีศาจ?”

“มะ ไม่มีอะไร”

เดี๋ยวสิ ถึงฮิฟุมิมันจะไม่เคยคบกับใคร แต่หมอนี่ก็น่าจะรู้เรื่องความรักดีกว่าผมแน่ เพราะอาชีพที่ใกล้ชิดกับพวกผู้หญิง แล้วผู้หญิงก็น่าจะรู้จักความรักหรือเคยผ่านมันมามากกว่าผมแน่

“ฮิฟุมิ มีเรื่องจะถามสักหน่อย”

 

ฟู่...

ควันบุหรี่ลอยฟุ้งกระจายตามลม และทิศทางของผู้สูบที่เพิ่งกลับมาจากการไปเก็บพวกคนปลายแถวเลี้ยงไม่เชื่อง

“อะไรวะ วันนี้โดดงานหรอ ตำรวจชั้นเลว” ในห้องทำงานประจำหรือจะเรียกว่าห้องนั่งเล่นก็ย่อมได้ เพราะมันไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์มากนัก และทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบว่ามีผู้อาศัยอื่นมาถึงก่อนแล้ว

“ห้องตั้งกว้าง แบ่งๆ กันใช้คงไม่ถึงตายหรอกน่า ซามาโทกิ” ร่างนั้นนั่งสูบบุหรี่และปล่อยควันออกไปในช่วงสายของวัน

“กวนกันแต่เช้าเลยนะแก” ถึงจะว่างั้น แต่ก็ทิ้งตัวลงนั่งโซฟาข้างตัวเพื่อนอีกฝั่ง

“อ่า...”

ครั้งนี้มันโคตรน่าแปลก ที่นายตำรวจชั้นเลวตรงหน้าไม่มีท่าทีจะโวยวายหรือเถียงกลับ หรือแม้แต่วางมาดชั่วร้าย ทำเพียงแค่ส่งสายตาเลื่อนลอยขณะสูบบุหรี่

“เฮ้ย เป็นอะไรไปวะ กระต่ายป่วยแล้วหรอ” เขาลองล้อคนตรงหน้า ซึ่งปกติคนตรงหน้าต้องพอใจไม่พอใจและเตรียมง้างหมัดใส่เขา แต่ครั้งนี้อีกคนทำเพียงจิ๊ปากเบาๆ

“เฮ้ย ฉันไม่อยากติหวัดหรอกนะ จะป่วยก็ไปนอนพักอยู่บ้านไป”

“ไม่ แล้วก็ไม่ได้ป่วย หยุดบ่นได้แล้วน่า” เขาตอบปัดๆ อย่างรำคาญ ซามาโทกิที่เห็นแบบนั้นก็ยอมเลิกกวน

“แล้ววันนี้ไม่มีงาน?”

“ไม่มีงานที่กรม แต่มีธุระคุยกับพวกเบื้องบนนิดหน่อย” เขาตอบไปตามความเป็นจริง งานทุจริตที่เขาคุ้นเคยที่สุด

“อ่อ”

“ซามาโทกิ แกว่าฉันเหมือนปีศาจหรือเปล่าวะ”

จู่ๆ คำถามที่ไม่คาดคิดก็หลุดออกมาจากปากเขา ซามาโทกิที่ได้ยินดังนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาจนบุหรี่ในมือเกือบหลุดมือ

“อะไรวะจูโตะ ไปโดนใครเขาด่ามาหรือไง อ่อนไหวง่ายจริงนะพ่อตำรวจชั้นเลว”

ชิ! น่ารำคาญชะมัด มันรู้ดีเกินไปแล้ว

“เออ! ตอบๆ มาเถอะน่า” เขาสูบบุหรี่เข้าไปแล้วพ่นออกมาเพื่อระบายอารมณ์

“เออ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าระดับแกจะเป็นปีศาจมั้ย ฉันรู้แค่ว่าแกชั่วสุดๆ เลยว่ะ แล้วไง ไปเจอเด็กที่ไหนด่ามาวะ” ซามาโทกิยังคงไม่วายถามเซ้าซี้จนจูโตะเริ่มแสดงท่าทีหงุดหงิด เขาเขี่ยบุหรี่ลงถาด แล้วเก็บของบอกลาเพื่อนตัวดีของตัวเอง เพื่อที่จะหนีคำถามด้วยการไปทำงานต่อ

“ขอให้ไม่ต้องมีเหตุที่ต้องเจอกันอีกเลยดีกว่านะ”

 

100% complete

The character matches the character or not.

You can tell and blame me.

I'm all ears.