7.- Cigarette

 

 

                ช่วงนี้ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ไป ไม่ใช่กับผมหรอกนะ แต่เป็นเพื่อนสนิทตรงหน้าผมต่างหาก

            ฮิฟุมิ มีอะไรติดหน้าฉันหรือไงดปโปะเงยหน้าขึ้นมาถาม หลังจากกลืนข้าวลงไปแล้ว พอผมถูกถามแบบนั้นก็รีบตั้งสติโกหกปัดๆ ปฏิเสธไปว่าเปล่า เขาเองพอได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ตงิดใจสงสัยอะไรและกลับไปก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ส่วนผมเองก็กลับก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามวิถีวงจรเดิมของมันจนกระทั่งเสียงไลน์จากแท็บเล็ตของดปโปะดังขึ้น

            ขอบคุณสำหรับอาหารดปโปะพนมมือพูดขึ้นหลังจากจ้วงข้าวเข้าปากไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงไลน์แจ้งเตือนจากเครื่องตัวเอง พอเก็บถ้วยชามเสร็จเจ้าของเครื่องก็คว้ามันเข้าห้องตัวเองไปทันที

            และนั่นเป็นความแปลกเพียงส่วนหนึ่ง เพราะนอกจากนั้นยังมีเรื่องแปลกชวนให้ตกใจอยู่หลายอย่าง ยกตัวเองเช่น มีครั้งหนึ่งหลังจากที่ดปโปะกลับมาก็พบกล่องถุงยางที่เปิดใช้แล้วตอนที่กำลังจะเอาเสื้อผ้าไปซัก และพอบอกหมอนั่นไปก็มีท่าทีร้อนรนจนสามารถจับสังเกตได้ง่ายๆ

            เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ เพื่อนจะมีแฟนก็ไม่แปลก อายุก็จะย่างเข้าสามสิบกันแล้ว จะรักใครชอบใครมันก็ไม่แปลก แต่ทั้งที่มีแฟนคนแรกทั้งทีแต่กลับไม่ยอมบอกเพื่อนสนิทคนนี้เนี่ยนะ!

            แบบนี้มันน่าน้อยใจนะ

            ดปโปะจิน เดี๋ยวนี้มีแฟนแล้วหรอ

            สุดท้ายผมก็เผลอถามออกไปในช่วงเวลามื้อเช้าของวันใหม่ก่อนการเริ่มต้นไปทำงานของดปโปะ คู่สนทนาที่เมื่อได้ยินคำถามผมก็ถึงกับพ่นน้ำที่เพิ่งยกดื่มออกจากปากก่อนจะไอออกมาสักสองสามทีทั้งน้ำตาเรื่อๆ

            อ้า! ดปโปะจิน! ดีนะทีนายไม่พ่นลงข้าว ว่าแต่ไหวมั้ยเนี่ยผมที่ทำท่าจะเดินไปดูอาการสภาพเพื่อนตัวเองก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยการส่ายหน้าและยกมือบอกเชิงว่าไม่เป็นไร พอเห็นแบบนั้นผมก็กลับไปทิ้งสะโพกลงนั่งตามเดิม

            ว่าแต่นายถามบ้าอะไรออกมาเนี่ย

            เอ๊ะ? ก็เดี๋ยวนี้นายดูแปลกๆ ไปนี่ วันหยุดทีไรเป็นได้หายไปตลอดแหละน่า แต่มีแฟนทั้งทีบอกกันหน่อยก็ได้นี่สุดท้ายผมก็หลุดปากอย่างอดน้อยใจไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือสีหน้ากับท่าทางประหลาด ที่ตอนแรกมันก็เป็นสีหน้าที่ดูตกใจที่อาจจะเพราะเขินหรืออะไร แต่ต่อมาเพียงไม่นานมันก็กลายเป็นสีหน้าที่คล้ายความกังวลและปากที่อ้าพะงาบๆ ไม่มีเสียงบ่นหรือเสียงอะไรเฉกเช่นทุกที

            และในท้ายสุด มันก็จบลงที่ความเงียบกับคำลาก่อนไปทำงานเหมือนเช่นทุกครั้ง...

 

            แปลกใจจังนะครับ ที่คุณทักมาแบบนั้นเขาพูดขณะคุมพวงมาลัยบนท้องถนน

            พูดแบบปกติเถอะครับ ผม.. คิดว่าผมชอบแบบนั้นมากกว่าผมส่งผ่านตัวประโยคท้ายด้วยเสียงที่เบาลง แต่ก็คงดังพอที่เขาจะได้ยินมันจากในรถที่มีเพียงสองเรา

            แล้ว-”

            ผมขอเปิดเพลงนะครับผมสวนกลบไปอย่างจงใจ เขาเงียบไปสักพักก่อนจะเป็นคนเอื้อมมือไปเปิดเพลงให้แทนผม ความเงียบที่น่าอึดอัดได้ไหลผ่านไปพร้อมกับการเคลื่อนตัวของรถที่เรานั่งอยู่ แต่พอถึงช่วงไฟแดงที่รถต้องหยุด ความเงียบที่นอกจากเสียงเพลงนั้นก็ได้ถูกทำลายลงโดยเขา

            ไม่ใช่ว่านายกำลังเลี่ยงคำถามฉันอยู่หรอน้ำเสียงราบเรียบที่เคยชวนฟังนั้น บัดนี้มันเปลี่ยนกลายเป็นน้ำเสียงรีดเค้นราวกับกำลังสอบสวนผู้ต้องสงสัยอยู่

            ผมไม่ใช่นักโทษหรือคนร้ายอะไรนั่นสักหน่อยนะครับ

            แต่นายก็กำลังเลี่ยงคำถามฉันกับหลบตาฉันอยู่นะ ดปโปะเขาผ่อนเสียงที่ฟังดูเคร่งเครียดนั่นลง ก่อนจะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปภายในลานจอดรถของร้านๆ หนึ่ง พอผมจะเริ่มแย้งเขาก็เริ่มใส่เกียร์และจอดรถลงที่นั่น

            ที่ๆ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเรา

            ทำไมคุณถึงมาจอดที่นี่ล่ะครับ

            และเป็นไปไม่ได้เลย ว่าการมาที่นี่จะเป็นการมาเดทหรือเป็นการมานั่งชิลร้านกาแฟ เพราะหนึ่งในข้อตกลงของเรา คือการที่จะไม่มีการไปเดทกัน หรือไปในสถานที่ที่อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดกัน

            มันถือเป็นข้อตกลงที่ผมจะต้องสลักไว้บนตับ¹

            ก็จะโยนนายลงถ้านายยังตอบคำถามฉันไม่ได้ นายเป็นคนโทรมาบอกให้ฉันเองไม่ใช่หรอว่าให้มารับ แต่ทำไมตลอดทางนายต้องทำหน้าอย่างกับว่าฉันไปลักพาตัวนายมาด้วยล่ะ คนเขาอุตส่าห์ขับรถไปรับเขาพูดอย่างหัวเสีย ผมที่ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาก็เผลอสะดุ้งออกมาเล็กน้อย และไม่กล้าที่จะเงยขึ้นไปสบตากับเขา

            ขะ ขอโทษครับ พอดีผมแค่มีเรื่องกับเพื่อน.. นิดหน่อยน่ะครับผมก้มหน้างุด กอดกระชับกระเป๋าตัวเอง เพราะคำตอบของผมทำให้เขาพ่นลมหายใจออกมา

            งั้นนี่คงเป็นสาเหตุที่คุณโทรให้ผมมารับสินะครับ ผมไม่ใช่ที่ปรึกษาชีวิตคุณหรือหมอรักษาใจคุณซะหน่อยนะครับเขาจงใจใช้คำพูดสุภาพกับผม

            แต่มันก็จริง คุณพูดถูก นอกจากจะไม่ใช่หมอรักษาแล้ว คุณเองก็อาจจะเป็นคนที่คอยราดน้ำเกลือลงบนแผลผมด้วยซ้ำ

            “…”

            แล้ว...เขาที่เห็นผมเงียบไปก็เริ่มเกริ่นขึ้นนำ

            ครับ?”

___________________

¹ 肝に銘じるแปลตรงตัวว่า สลักไว้บนตับ เป็นสำนวนภาษาญี่ปุ่นที่แปลเป็นภาษาไทยว่า จำขึ้นใจ

            มีเรื่องอะไรกับเพื่อนนายล่ะน้ำเสียงเขาผ่อนลง และจากที่ฟังมันไม่ใช่น้ำเสียงขู่บังคับให้ตอบ ประโยคนี้เป็นเพียงประโยคที่พยายามจะทำให้ผมสบายใจในแบบของเขาเท่านั้น และผมเลือกที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้

            โดนจับได้.. ล่ะมั้งครับ

            แต่ผมก็เลือกที่จะตอบมันออกไป เขาเงียบ ไม่มีการขานตอบกลับใดๆ แค่เงียบเพื่อให้ผมได้มีเวลาคิดที่จะเล่าหรือไม่เล่า

            เพื่อนผม... เอ่อ.. ฮิฟุมิน่ะครับ เขาสงสัยว่าผมมีแฟนผมอธิบายในส่วนหนึ่ง นั่งตัวเกร็งกับความเงียบที่ถูกใช้เป็นคำตอบอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เขาจะเริ่มเคาะประตูความเงียบด้วยคำถามที่ผมไม่อาจจะเข้าใจและอาจจะเข้าใจ

            แล้วนายตอบไปว่าอะไร

            ไม่.. ไม่ครับ ไม่ได้ตอบอะไรสิ้นคำตอบของผม เขาพยักหน้ารับแทนเสียงขานตอบ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะกำลังปลอบประโลมผมด้วยความเงียบของเขาก็ได้

            ขอบคุณ...

            ครับ?”

            ขอบคุณนะครับ ที่ไม่ได้ตอบอะไรไป

            และคงเป็นอีกครั้งที่ผมคิดผิด

 

            เขาหน้าแดง ผมยิ้มอย่างขบขันแต่ใบหน้าก็แดงไม่ต่างจากเขามากนัก อุณหภูมิในร่างกายเราแข่งกันสูงขึ้น แต่ไม่เกี่ยวกับไข้ เป็นเพียงรสอารมณ์ที่ลุกร้อนระอุ สายตาต่างสบกันอย่างหยอกล้อและไม่ยอมแพ้

            ผมไม่ต้องพูดอะไร หรือมีความจำเป็นใดๆ ในการเอื้อนเอ่ยสนทนากันในตอนนี้ ตอนที่เขาโน้มลงมามอบรสจูบให้แทนคำพูด มือเรียวสวยที่ผมหลงใหลวางจับทาบทับมือผมที่วางยันเคาน์เตอร์ห้องครัว รอยยิ้มของเขาในยามนี้เปรียบดั่งผู้ชนะ ลิ้นร้อนซึมแทรกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวใดๆ

            มือเรียวสวยข้างหนึ่งเคลื่อนเปลี่ยนไปลวงคลำหาบางสิ่งใต้สาบกางเกง รูดรั้ง หลอกล้อ จนผมจวนจะไม่ไหวกับการกลั่นแกล้งนี้เขาถึงยอมหยุด

            ริมฝีปากเราผละแยกออกจากกัน ผมมองการกระทำของเขาด้วยความตื้นตันและตื่นเต้นกับความวาบหวามที่เขากำลังจะมอบให้

            กางเกงผมถูกล่นลง เพื่อให้เขาพานพบกับบางส่วนที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ผิวผ้าของผม เราเริ่มย่อตัวลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นเย็นๆ จับประคองมันอย่างเอ็นดูและปลอบประคองดูแลมันอยู่ภายในปากด้วยความเมตตา

            การกระทำราวปีศาจร้าย แต่นั่นกลับเป็นการปลอบประโลมผมได้ดีที่สุด

            เวลาแห่งความใคร่ล่วงเลยมาได้สักช่วงเวลาหนึ่ง ความรู้สึกผมกำลังถึงขีดสุด และมันก็ได้เอ่อล้นอยู่ภายในปากและหกเลอะนอกปากเขาไปบางส่วน

            ดวงตาสีมรกตคู่สวยยกช้อนสบขึ้นมองผมอย่างหลอกล่อจนในที่สุด ในเวลาต่อมาเราก็...

            ตื่นแล้วหรอ อรุณสวัสดิ์นะ ดปโปะเสียงที่ผมได้ยิน แม้ฟังดูมันจะมาจากบุคคลคนๆ เดียวกัน แต่น้ำเสียงที่ได้ยินในตอนนี้มันกลับเรียบเฉยกว่านั้น

            แสงสาดสว่างลงผ่านเข้าไปใต้เปลือกตาของผม ความรูสึกแสบตาเกิดขึ้นอย่างฉับพลันจนเผลอยกมือขึ้นมาปิดตามสัญชาตญาณ  ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความจริง

            ...ไม่ใช่ความฝันแบบเมื่อครู่

            อะ อรุณสวัสดิ์ครับผมขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากด้วยความสะลึมสะลือของคนเพิ่งตื่นนอน ก่อนจะพบว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น

            ฝันดีมั้ยคำพูดหรือประโยคที่เขากล่าวในตอนนี้ ฟังดูแล้วมันก็คล้ายกับว่าเป็นเพียงประโยคถามตอบสนทนากันธรรมดาๆ แต่นั่นมันไม่จริงกับเขาคนนี้ เพราะมันดูจงใจแต่ก็ไม่เกินจากความเป็นจริงที่เป็นอยู่ จนหน้าผมเห่อร้อนออกมา

            อ่ะ! คือ...

            นายดูฝันดีมาก ฉันเลยไม่อยากปลุกน่ะ วันนี้จะกลับบ้านดึกมั้ย ถ้าจะกลับดึกฉันอาจจะไปส่งได้เขาค่อยๆ หย่อนสะโพกลงมานั่งใกล้ๆ ข้างเตียงและเกือบจะแทบติดผิวกายผม เมินเฉยกับคำอธิบายของผมอย่างน่าน้อยใจ ผมปล่อยให้เขานั่งรอคำตอบสักพักขณะนิ้วเรียวสวยใต้ถุงมือสีแดงยกขึ้นกดทับแนบลงบนส่วนปลายที่มีน้ำไหลซึมผ่านทะลุผิวผ้า

            ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวอีกสักพักผมก็คงกลับแล้ว...ผมกลั้นใจตอบส่งกลับไปด้วยลมหายใจที่ติดขัด และหอบถี่เบาๆ สายตาเจ้าเล่ห์แต่ก็งดงามที่กำลังมองดูท่าทีของเหยื่ออย่างผมนั่นก็กลับทำให้ผมไร้แรงต่อต้าน มีเพียงแรงขับเคลื่อนบางอย่างที่โหมลุกขึ้น จนผมอดที่จะบ่นในใจไม่ได้

            ช่างไร้ความปราณี

            เขาย้ำกดที่ส่วนปลายไม่นานก็เปลี่ยนล้วงลับหายไปใต้กางเกง รูดรั้งสักพักก่อนจะขยับตัวโน้มมาใกล้ชิด และกัดขบริมฝีปากของผม แม้ว่าผมจะอ้าปากรอรับแต่เขาก็ไร้ซึ่งความสนใจ กัดขบผมแต่กลับไม่ยอมสอดเข้ามาเกี่ยวตวัดกัน จนผมต้องอาศัยจังหวะที่เขาเลินเล่อเอื้อมมือไปคลำหาก่อนจะบีบคลึงมันจนทำให้เขาหยุดชะงักการกระทำของตัวเองพร้อมกันเสียงหลงที่เปล่งออกมาเบาๆ

            วันนี้ไม่มีงานหรอครับผมเอ่ยถามขณะที่เขากำลังปลดกางเกงสแล็คของตัวเองลง

            มี งานด่วนด้วยแหละเขาตอบอย่างตรงไปตรงมา จนผมอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่รั้งเขาไว้แบบนี้

            งั้น...

            แต่ช่างเถอะ สายบ้างสักวันก็ไม่เป็นไรหรอก เลิกคิดเรื่องไร้สาระซะทีเขาเอ่ยเตือนพร้อมกับขยับกายกลับลงมาบนเตียง เพิ่มเติมคือการวางตัวทาบทับตักของผมและปล่อยให้ส่วนหนึ่งของผมแทรกเข้าไปตอบรับความคาดหวังของเขาจากภายใน ฝ่ามือของเขาทั้งสองสอดประสานกันคล้องอยู่รอบคอของผมที่ท้ายทอย

            มันเป็นความร้อนดั่งไฟที่เผาไหม้กาย หรือเป็นเพียงความอบอุ่นที่ได้รับมาผมก็ไม่อาจจะตัดสินได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้นั่น.. มีเพียงสิ่งเดียว

            คือผมที่กำลังเสพติด...

 

            ตลอดระยะทางกลับบ้านซึ่งเป็นอพาร์ทเม้นของผมกับฮิฟุมิ ผมก็ได้นั่งครุ่นคิดอยู่นาน จนในที่สุด ผมก็ได้คำตอบบางอย่าง ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู เดินเข้าห้องไป พร้อมกล่าวออกไปอย่างทุกทีหลังเรียกกำลังใจตัวเองเสร็จ

            กลับมาแล้ว

            กลับมาแล้วหรอ ดปโปะจินฮิฟุมิชะเง้อหน้าออกมาทักตอบกลับด้วยรอยยิ้มแบบทุกที ที่พอผมเห็นผมกลับยิ่งรู้สึกละอายใจ

            มือของฮิฟุมิดูเหมือนกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่าง ผมถอดรองเท้าวาง และเดินขึ้นพื้นต่างระดับไปถามเพื่อตัวเอง

            ทำอะไรอยู่น่ะ

            กำลังทำมิลล์เค้กน่ะ ก็วันนี้นายกลับมาพอดีนี่ฮิฟุมิตอบแบบปกติ ทั้งที่ผมเป็นคนทำผิดต่อฮิฟุมิ แต่เขาก็ยังคงยิ้มให้ผม

            ฮะ ฮิฟุมิ!”

            ฮ๊ะ? เหว๋อ! ตกใจหมดดปโปะ! เกือบหกแน่ะ แล้วมีอะไรเขาหยุดตีส่วนผสมที่เกือบทำมันหกร่วงลงพื้น เพราะตกใจกับเสียงของผมที่ออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

            อ่ะ ขอโทษที คือ เรื่องเขา น่ะ เขากับฉัน.. ตอนนี้มันยังอธิบายอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามันอธิบายได้แล้ว ไว้วันนั้นฉันจะบอกนายทันทีเลยนะ คือ.. เอ่อ ขอโทษนะผมก้มหน้าลง ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าฮิฟุมิไม่มีทางที่จะโทษผมเพราะเรื่องแค่นี้ แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม ผมก็อดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้อยู่ดี

            เฮ้ย! ดปโปะจิน ไม่เห็นจะต้องขอโทษเลย ฉันต่างหากเล่าที่จุ้นวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง เรื่องส่วนตัวของนายแท้ๆ

            ไม่หรอก...

            เพราะใจจริง ผมก็อยากจะระบายความอึดอัดให้กับใครสักคนรับฟัง แต่เรื่องราวที่ว่านั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องทุกข์ในที่ทำงานหรือเรื่องอะไรนั่นแบบทุกที มันไม่ใช่เรื่องราวที่พุ่งมาให้ผมรับ แต่เป็นอะไรที่ผมพุ่งเข้าไปรับมันจนก้าวขาไม่ออกเองต่างหาก...

 

            แกร๊ก

            วัตถุสีดำทมิฬทรงยาวถูกวางให้ขนานกับพื้นซีเมนต์อย่างระมัดระวัง พร้อมกับร่างในเสื้อฮู้ดสีดำไม่ต่างกัน นอนขนานตามลงไป เสียงปลดล็อคกลไกอะไรบางอย่างดังขึ้นสำหรับการเตรียมการขั้นตอนต่อไป

            เขาปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอเหมือนเวลาตักอาหารเข้าปาก ทำใจให้นิ่ง ท่องทวนคำสั่งที่ได้รับมาให้ขึ้นใจโดยไร้ความรู้สึกใดๆ มาให้รบกวน

            รถตู้สีดำติดฟิล์มทึบถูกขับออกไปตามเส้นทางที่คาดการณ์หลังจากออกมาจากตัวอาคารที่ห่างออกไปราวแปดร้อยยี่สิบกว่าเมตร และอีกประมาณสิบเมตรถัดไปมันก็จะหายไปจากระยะสายตา ความเร็วคงที่อยู่ที่ประมาณเจ็ดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง กระจกรถคาดว่าคงเป็นแบบกันกระสุน แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว

            ลมอยู่ที่หนึ่งส่วนสาม ระยะเล็งพอเหมาะ

            ฟุบ!

            และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมาตัวเครื่องยนต์รถก็ถูกเจาะจนเกิดการระเบิดอย่างกะทันหัน

            ความอลหม่านวุ่นวิ่งเข้ามา รถถูกหยุด บุคคลที่ยังหลงเหลือสติรีบก้าวลงมาจากตัวรถที่กำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง เพื่อหวังจะมีชีวิตรอด แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง เมื่อไม่ทันไรที่ได้ก้าวเท้าลงมาจากตัวลง สีแดงก็ถูกระบายไปที่จุดบนศีรษะ คนต่อมาและต่อมา

            และทุกอย่าง.. ก็หยุดลงด้วยโศกนาฏกรรม

            (What’s your status?)เสียงหนึ่งดังขึ้นจากปลายสายที่เพิ่งกดติดต่อกับใครบางคนผ่านมือถือ ขณะก้าวลงมาตามบันได

            “Guess what?”

            (Miss?)

            “Fuck no, friend. You’re fuckin’ wing, but to conclude, I asked for farewell banquet for me.”

            (Hell yeah!)

            และปลายสายก็ถูกตัดไปพร้อมๆ กับรองเท้าทั้งสองข้างที่เหยียบสัมผัสกับพื้นอาคารหลังขั้นบันไดสุดท้าย

            กระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกวางเก็บไว้ท้ายรถ แต่ก่อนที่เจ้าของรถจะขึ้นไปนั่งฝั่งที่นั่งคนขับสายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่ทำให้เขาทั้งยิ้มและรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

            จะว่าไปก็ไม่ได้ติดต่อไปหาเลยนี่ เมื่อไหร่งานบ้านี่จะจบกันนะ

            กลับไปคราวนี้.. มีหวังโดนโกรธสุดๆ แน่เลย

            แต่หวังว่ามันจะไม่มากเกินไปนะ จูโตะ