10 ตอน 10.-Cigarette 100%
โดย Kousei2
10.- Cigarette
“อ่ะนี่ ว่าแต่เจ้าพนักงานนั่นไม่อยู่แล้วหรอวะ ถึงได้มาโทรเรียกกันแบบนี้เนี่ย”
ผมรับถุงข้าวกล่องมาจากซามาโทกิที่ถูกผมโทรไปวานให้มันไปซื้ออะไรมาให้ผมกินตั้งแต่เช้า
“ไล่กลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้มันวันจันทร์ ดปโปะเขามีงาน ไม่เหมือนคนว่างงานอย่างแกที่เอาแต่หาเรื่องชกต่อยหรอก”ผมแขวะใส่มันเล่นตามประสาคนป่วยที่อาการเริ่มดีขึ้น ทำเอามันคงอยากง้างหมัดใส่ผมพอดู แต่คงจะไม่สามารถทำได้ในตอนนี้
“ชิ! ถ้าไม่เห็นว่าแกป่วยอยู่ล่ะก็นะ”ซามาโทกิบ่นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเหล่ตาไปมองคนป่วยอยู่แวบหนึ่ง เพื่อจะเริ่มพูดถึงเรื่องบางอย่าง
“แล้วตกลงเมื่อวานเป็นไงบ้างวะ กับเจ้าพนักงานนั่นน่ะ”
คำถามของเพื่อนตัวดีทำให้การรื้อดูของที่สั่งของผมหยุดชะงักลง พลางนึกภาพย้อนตามถึงเหตุการณ์เมื่อวาน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
ภาพที่ผมเห็นเมื่อวานตอนตื่นขึ้นมาเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ ก็คือเจ้าหมาตัวโตขนฟูยุ่งเหยิงสีแดงกำลังนอนขดอยู่บนที่นอนที่คงหามาปูเองข้างเตียงของผม ซึ่งภาพนั้นมันช่างดูไม่ต่างกับหมาที่นอนเฝ้าเจ้าของของมันเลย
หนำซ้ำยังนอนเพลินจนน้ำลายยืดอีก
“ก็น่ารักดี.. ฮ่ะๆ”ผมตอบไปอย่างล่องลอยไปกับความคิดตัวเอง
“หืม? ...เออ ช่างเถอะ ยังไงมันก็เรื่องส่วนตัวของพวกแกนี่ ฉันเองก็บอกไปแล้วนี่หว่าว่าจะไม่ไปยุ่ง งั้นไปล่ะ รีบหายละกัน ฉันขี้เกียจเป็นเด็กส่งของให้แกแล้ว ไอ้กระต่ายป่วย”ซามาโทกิว่าอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะเอ่ยล้อเลียนผมและออกไปโดยทิ้งของที่ผมสั่งไว้ให้เรียบร้อย ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นก็ได้มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น ผมเดาได้ทันทีว่าสายนั่นเป็นของใคร จึงรีบเอื้อมมือไปหยิบมันมารับสาย แต่ด้วยความไม่ระวังและรีบร้อนจนเกินเหตุ ก็ได้ทำให้ข้าวกล่องที่ผมเพิ่งกินไปได้ไม่ถึงครึ่งหกใส่ตัวเข้า
ซวยจริง
(อรุณสวัสดิ์ครับ อาการเป็นยังไงบ้างครับ กินอะไรหรือยังครับ)
แต่ยังไม่ทันที่ความหงุดหงิดจะหมดไป เสียงของคนที่ผมคาดการณ์ไว้แล้วก็ดังขึ้นรัวๆ จนหัวคิ้วสวยที่ขมวดกันได้คลายลง ก่อนจะเกิดรอยยิ้มขึ้นตามมาโดยไม่รู้ตัว
“อรุณสวัสดิ์ครับ และก็ใจเย็นๆ ก่อนก็ได้ เดี๋ยวลิ้นก็พันกันตายหรอก”
(อ่ะ! แฮะๆ ครับ ขอโทษด้วยครับ พอดีสงสัยคง.. ตื่นเต้นไปหน่อยล่ะมั้งครับ)เสียงนั้นฟังดูขัดเขินราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งมีความรัก พอผมคิดไปแบบนั้นก็อดขำไม่ได้ จนคนปลายสายถึงกับต้องถามกลับด้วยความสงสัย
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ ตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้ว ถึงจะยังปวดหัวอยู่บ้างก็เถอะ แต่ไม่ได้หนักอะไรแล้วล่ะนะ สงสัยคงเพราะเมื่อวานฉันได้คนดูแลดีล่ะมั้ง”ผมว่าแบบติดตลก แล้วรอฟังปฏิกิริยาจากคนปลายสาย นึกเสียดายนิดๆ ที่นี่เป็นเพียงการโทรคุยกัน
(งั้นหรอครับ โชคดีจังนะครับ ทั้งคุณและคนดูแลคนนั้น แล้วกินข้าวยังครับ)เขายังคงไม่ละเลยในการถามไถ่ผมด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“กินแล้ว เพิ่งกินไป แต่ตอนนี้ก็คงกินไม่ได้แล้วล่ะ”ผมจงใจพูดกำกวนออกไป พลางก้มมองดูสภาพตัวเองที่ยังไม่ทันได้ทำความสะอาดด้วยรอยยิ้ม
(เอ๊ะ? ทำไมหรอครับ)
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ มันหก เลยอดกินแล้ว แต่โชคดีที่ฉันอิ่มแล้ว ว่าแต่นายเถอะ กินอะไรยังล่ะ”
(กินเรียบร้อยแล้วครับ กำลังจะออกไปทำงานครับ)
“ดีแล้ว ระวังสายล่ะ ถ้ามัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่แบบนี้”ผมแซวเขาเล่น ฝ่ายคนที่ถูกแซวก็เผลอหลุดหัวเราะออกมา จนผมอดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ที่ตัวเองทำเพียงอยู่ในปลายสายแบบนี้
(ครับ คุณก็.. หายไวๆ นะครับ)
“อืม ไปทำงานดีๆ ล่ะ เจอกันตอนที่นายมาถึง รีบวางเถอะ ถ้าสายขึ้นมาจะซวยเอานะ”ผมกล่าวเตือน เมื่อผมเริ่มกังวลหากเขาจะไปสายจนโดนหัวหน้าตัวเองบ่นจริงๆ เข้า และก่อนจะพากันวางสายไป ผมก็เผลอเรียกเขาไว้โดยไม่รู้ตัว บางอย่างในใจอยากจะเอ่ยพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายคำพูดที่ผมเองก็ไม่รู้ก็ได้หลุดหายเข้าไปในลำคอ
และหลังจากที่วางสายไปได้แล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะทำความเข้าใจกับตัวเอง จู่ๆ ก็มีข้อความแปลกหน้าเข้ามาสวนทับ
เมื่อถึงเวลาเลิกงานผมก็รีบเดินทางไปหาเขาที่ห้อง ที่จุดนัดพบเดิมของเรา โชคดีที่วันนี้ไม่มีนัดลูกค้า ทำให้การเดินทางในครั้งนี้ของผมเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด
พอผมมาถึงก็เห็นเขานั่งอยู่บนโซฟาและจ้องมองหน้าจอทีวีอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่รู้ว่าเพราะเขาตั้งใจดูหนังอยู่ หรือเป็นเพราะเขาเหม่ออยู่กันแน่ถึงได้ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเข้ามาในห้องของเขาแล้ว
“เอ่อ จูโตะซัง?”ผมก้าวไปหาเขาใกล้ๆ แต่เมื่อเห็นว่าเขายังคงมองหน้าจอทีวีนั่นอยู่ ใจผมก็เริ่มสงสัย ว่านี่เป็นการจงใจของปีศาจพ่อมดรายนี้หรือไม่ จึงได้ลองเอามือไปวางบนไหล่ของเขา
“เอ๊ะ! ดปโปะ? มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”เขาหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูจะตกใจปนสงสัยจริงๆ เมื่อเห็นแบบนั้นผมจึงคิดว่านี่อาจเป็นเพราะพิษไข้ของเขาก็ได้ ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เลยลองเอามือไปแนบวัดอุณหภูมิบนหน้าผากดู พอพบว่าตัวเขาไม่ร้อนแล้วจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาบ้าง
“กินข้าวยังครับ ถ้ายังผมจะได้ทำให้กิน”ผมวางถุงที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบที่ซื้อมาเตรียมไว้เผื่อบนโต๊ะ พร้อมเช็คดูโน้ตที่จดสูตรมาว่ายังอยู่แน่นอนหรือไม่
“ยัง... เอ๊ะ? นายทำอาหารเป็นด้วยหรอ ดปโปะ”เขาหันมามองผมด้วยความคาดไม่ถึง ที่ผมเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้ทำอาหารให้ใครกินเป็นการส่วนตัวแบบนี้
“ไม่เป็นหรอกครับ แต่พอดีไปขอสูตรมาจากฮิฟุมิมาแล้วล่ะครับ น่าจะพอไหวมั้งครับ.. แต่ถ้ากังวลเราก็เปลี่ยนไปสั่งอะไรมากินกันแทนก็ได้นะครับ เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันครับ”ผมพูดออกมาจากใจจริงด้วยความกังวลว่าหากเขากินมันเข้าไป หรืออะไรที่ผมทำอาจจะทำให้เขาอาการแย่กว่าเดิม แม้ว่าอีกใจหนึ่งก็คิดต่างหวังว่าเขาจะได้กินอาหารที่ผมได้ลงมือทำเองคนเดียวเป็นครั้งแรก
“กินสิ ทำให้กินหน่อยได้มั้ย ดปโปะ ได้สูตรมาแล้วถ้าไม่ทำมันน่าเสียดายนะ”
“แต่ถ้ามันไม่ถูกปากคุณ...”
“ไม่เป็นไร ได้ลองที่นายทำฉันก็ดีใจแล้วนะ”เขาตอบด้วยความจริงใจและดูไร้ความกังวลในเรื่องฝีมือของผม จนผมรู้สึกคล้อยตาม จึงพยักหน้ารับกลับไปเบาๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าตัวเองจะเป็นคนทำให้ โดยตลอดการทำผมแอบรู้สึกแปลกๆ นิดๆ ที่ถูกสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ตลอด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ปล่อยวางมันไป
และการทำอาหารมื้อนี้มันก็ผ่านไปได้ แม้ว่ามันจะดูทุลักทุเลไปบ้าง แต่สุดท้ายผมก็ได้ข้าวห่อไข่สภาพไม่ค่อยสวยเท่าไหร่มาจำนวนสองที่พอดี
“เอ่อ.. ถ้ากินไม่ได้ก็รีบบอกผมทันทีเลยนะครับ ผมจะได้สั่งอย่างอื่นให้คุณกิน”ผมก้มหน้าลงบอกกับเขาด้วยความอายในฝีมือตัวเองที่เทียบจานที่เขาเคยทำไม่ได้เลย เขาที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ยอมตอบอะไร มีเพียงเสียงช้อนและจานกระทบโดนกันเล็กน้อย เป็นสัญญาณว่าเขาคงเริ่มต้นตักกินมันเข้าไปแล้ว
“ดปโปะ”เขาเรียกผมด้วยเสียงอันราบเรียบจนผมเผลอตอบรับด้วยการสะดุ้ง เพราะเอาแต่กังวลว่าอาหารที่ทำนั้นมันจะไม่ถูกปากเขา
“หึๆ ไม่กินล่ะ อร่อยดีออกนะ”เขาว่าด้วยรอยยิ้มขบขันก่อนจะตักมันกินเข้าปากไปอีกคำให้ผมได้เห็นชัดๆ และมั่นใจแล้วว่าข้าวห่อไข่ที่ผมทำมันไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิด และเขาก็ดูจะอร่อยกับมันจริงๆ พอเป็นดังนั้นผมจึงเริ่มตักชิมของตัวเองดูบ้าง
“ผมว่าที่คุณทำมันยังอร่อยกว่าอีกนะครับ”ผมเหลือบมองกลับไป เขาจึงตอบรับด้วยรอยยิ้มให้กับผมแทน
“ก็ช่วยไม่ได้นะ สำหรับฉันมันอร่อยนี่ อีกอย่างนี่ครั้งแรกไม่ใช่หรอ ไม่ได้เลือดก็ดีแค่ไหนแล้ว ขอบคุณนะ ดปโปะ”เขายิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มจริงใจ ที่เดี๋ยวนี้ผมมักจะได้รับมันมาบ่อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยังไม่รู้สึกชินกับรอยยิ้มนั่นสักที
“ครับ.. ผมหิวน้ำ เดี๋ยวจะไปเอาน้ำมาเผื่อนะครับ”ผมรีบร้อนเบี่ยงหลบจากรอยยิ้มนั่นและความรู้สึกบางอย่างด้วยการไปเปิดตู้เย็น เพื่อที่จะหยิบน้ำมาเทรินใส่แก้ว แต่พลันสายตาผมนั้นกลับไปเจอเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน
“จูโตะซัง นี่ข้าวกล่องไม่ใช่หรอครับ”ผมชี้พลางหันกลับไปมองเขาที่กำลังนั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่บนโต๊ะ
“อ่อ ใช่ นั่นข้าวกล่องของนายกับฉันน่ะ ทำไมหรอ”เขาถามกลับหน้าซื่อ ที่ผมดูยังไงมันก็ไม่จริงเลยสักนิด
“ก็คุณมีข้าวอยู่แล้วนี่ครับ แต่มาให้ผมทำให้เนี่ยนะ”ผมถามกลับไป แม้จะรู้ทันความเจ้าเล่ห์ของปีศาจพ่อมดรายนี้เข้าแล้ว
“เอาน่า มานั่งกินเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเล็กน้อยนั่นเลย นั่นเก็บไว้เวฟกินพรุ่งนี้มันก็ยังได้”เขาบอกอย่างไม่ยี่ระ ผมจึงจำต้องเลิกสนใจมันตามที่เขาว่า แล้วกลับไปนั่งพร้อมแก้วน้ำสองแก้ว แล้วนั่งกินมันต่อ จนเมื่อตักคำสุดท้ายเข้าปากไม่นานนักก็มีเหตุให้ผมต้องสะดุ้งอีกครั้ง พลางเหลือบไปมองต้นตอที่คิดว่ายังไงก็ใช่
“หืม?”เขาที่รับรู้อยู่แล้วทำเพียงยกหน้าเงยขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าที่ไม่มีอะไรที่ชวนน่าสงสัย เพียงแต่ผมมั่นใจว่าในใจลึกๆ แล้วเขาคงแอบขำผมน่าดู
“เล่นอะไรของคุณน่ะครับ”ผมวางช้อนหลังจากกินหมดแล้วพลางขมวดคิ้วใส่เขาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะกำมือแน่นด้วยความขึงเครียด ส่วนเขาก็ทำเพียงหลุดหัวเราะใส่ผมเบาๆ ทั้งที่ยังคงทำอะไรบ้าๆ อยู่
“ก็นายกินหมดแล้วนี่ แค่ล้อ ‘เล่น’ นิดๆ หน่อยๆ เอง จะลุกไปก็ได้ไม่ใช่หรอ”เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ และยังคงขยับเท้า ‘เล่น’ อะไรบ้าๆ กับช่วงล่างของผมต่อด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินตามประสาปีศาจพ่อมดผู้ชั่วร้ายคนนี้ จนผมที่โดนกระทำก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่อยากที่จะลุกหนีไปไหน แม้ว่ามันจะชวนทรมานจนต้องเผลองอตัวอยู่บ้างก็ตาม
“นี่ ดปโปะ”เขาเรียกผมที่ครั้นจะดึงสติตัวเองได้ยากด้วยน้ำเสียงที่แสนยั่วเย้า
“ครับ”ผมเองก็ขานตอบเสียงนั้นไปด้วยความสั่นเทาที่ไม่ได้เกิดจากความกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันไปส่งนายแต่เช้าเอง คืนนี้จะค้างมั้ย”เขาถามทั้งที่พยายามบีบบังคับให้ผมยอมตอบด้วยแรงกดดันบางอย่างที่ส่วนอ่อนไหวที่เริ่มตื่นตัวของผม ทำให้คำตอบเดียวที่ผมเหลืออยู่ก็มีแต่...
“ครับ จูโตะซัง”
การขานตอบรับ
ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เข่าของผมขึ้นมายันกับเตียง และถูกดึงรวบให้ล้มตัวลงไปนอนคร่อมเขาไว้ โดยที่ปากผมรับรู้ได้เพียงรสชาติและกลิ่นของบุหรี่ที่ปนเจือจางอยู่ในโพลงปากของงเขาที่เพิ่งทานกลิ่นคาวบางอย่างมาจากตัวผม
“สูบมาหรอครับ”ผมซึมซับดูดดมซอกคอเขาที่มีกลิ่นของควันบุหรี่จางๆ แทรกซึมปนร่วมไปกับกลิ่นผิวกายอันแสนเบาบางของเขา โดยมีเสียงครางตอบรับในลำคอเบาๆ เมื่อผมขบกัดมันเบาๆ ด้วยความระวังไม่ให้ผิวกายของเขาเกิดรอยใดตามที่เราได้ตกลงกันไว้
“ใช่ ก็นายกว่าจะมา.. ฉันก็เลยไปสูบหลังจากช่วยตัวเองเสร็จไปรอบนึง”เขาขยับเคลื่อนกายกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้ผมรู้สึกวูบไหวอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะยกศีรษะขึ้นมาขบกัดสันกรามผมเล่นเบาๆ แล้วไล่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของผมออกดั่งปีศาจร้ายที่หิวกระหาย
ผมเองก็ไม่อยากปล่อยให้เขาต้องลำบากเพียงลำพัง เราจึงต่างร่วมมือกันปลดเปลื้องเสื้อผ้าของกันและกัน โดยที่ปากของเรายังคงผสานเชื่อมไม่แยกห่างกันนัก และในเวลาต่อมาเสื้อผ้าของเราก็หลุดลอยหายไปไหนสักแห่งภายในห้องนี้
น้ำตาหยดใสเอ่อคลอดวงตาสีมรกตที่น่าหลงใหลคู่นั่น เมื่อผมได้ควานคว้าหาจุดอ่อนไหวที่สุดของเขาเจอ และบดเร่งมันจนร่างที่แสนเย้ายวนนั้นได้บิดเกร็งเร้าไปมา แต่ยังคงตอบรับผมเกี่ยวเกาะผมด้วยความยินดี แต่อะไรบางอย่าง...
“นี่ ดปโปะ”
ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันแปลกไปจากทุกที แม้ว่าจะดูเล็กน้อยก็ตามที
“ครับ มีอะไรหรอครับ จูโตะซัง”ผมก้มลงจูบซับที่ปลายคางของเขาก่อนจะขานรับ แต่เขาที่คล้ายจะมีอะไรบางอย่างจะพูดออกมากลับเปลี่ยนใจปกปิดปฏิเสธมันทิ้ง และเปลี่ยนมาเป็นการรบเร้าอย่างผิดสังเกตด้วยการรูดรั้งกายผมอย่างเร่งรีบแทน
และแม้ว่าผมจะสงสัยในความรีบเร่งของเขา แต่ผมก็ยอมตามใจไปกับความดื้อรั้นของปีศาจพ่อมดด้วยการเติมเต็มสวนใส่มันเข้าไป เขาเองก็ยินที่จะตอบรับมันด้วยการบีบรัดผมอย่างแนบแน่น
เรายอมปล่อยให้ช่วงเวลานี้ช่วยลบเลือนทุกสิ่งออกไป จนแม้แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาจากเครื่องของเขา เราก็ยังต่างไม่ได้ยินถึงมัน
หลังจากวันนั้น วันที่เราได้ร่วมกันก่อแรงปรารถนาที่ผิดรูปให้สูงขึ้น ผมก็พยายามอดทนรอช่วงเวลาที่จะได้เจอกันอีกในช่วงเวลานัดเดิมของเรา เพื่อที่จะคอยให้ช่วงเวลาที่รอคอยนั้นช่วยดึงรั้นผมไม่ให้อยู่ในขอบเขตที่เกินเลยไปไกลมากกว่านี้ โดยมันอาจทำให้เขาต้องลำบากขับรถมาส่งผมบ่อยๆ หากผมจะอยู่ต่อในวันอื่นๆ ที่นอกจากวันหยุดสุดสัปดาห์
ซึ่งวันนี้เป็นวันที่เราจะได้เจอกัน แต่โชคร้ายที่ผมต้องมีนัดกับลูกค้าพอดีในช่วงเลิกงานที่บริษัท และมันก็จบลงด้วยการที่ผมต้องไปดื่มร่วมกับลูกค้ารายนั้นตามคาด ดังนั้นกว่าผมจะได้เดินทางไปหาเขารถไฟขบวนสุดท้ายก็ได้หมดลงเสียก่อน จนจำต้องนั่งเปลืองค่าแท็กซี่ไปหาเขาแทน
แต่ก็ช่างน่าแปลก ที่วันนี้ไม่มีการโทรเข้ามาจากสายของปีศาจพ่อมดอย่างที่ผมรอคอย แม้ว่ามันจะดึกแค่ไหนแล้วก็ตาม และเมื่อผมได้ก้าวไปที่ห้องของปีศาจตนนั้น ก็กลับไม่พบร่างหรือกลิ่นไอของปีศาจพ่อมดดังกล่าวนั่นเลย จนเวลาได้ล่วงเลยมาสักพักปลายสายที่ผมรอคอยก็ได้โทรเข้ามา
“ครับ จูโตะซัง”
(เจ้าพนักงานใช่มั้ย)
แต่เสียงและรูปประโยคที่ผมได้ยินก็กลับไม่ใช่เสียงที่ผมรอคอย มันกลับเป็นเสียงของเพื่อนของเขาเป็นคนเอ่ยแทน
“ครับ ใช่ครับ เอ่อ จูโตะซัง...”
(เออ ดี แกอยู่ที่ห้องมันแล้วใช่มั้ย ลงมาเอาตัวมันขึ้นไปทีได้มั้ยวะ แม่งโคตรน่ารำคาญเลยตอนนี้)เสียงเขาสบถออกมา และจากปลายสายนั่นผมก็ได้ยินเสียงของจูโตะซังดังมาออกเป็นเครื่องประกอบ ฟังดูคล้ายกับว่าเพิ่งไปเมามา ผมตอบตกลง แล้วไม่รอช้าที่จะลงไปรับตัวเขาที่แสนหนักอึ้งขึ้นมาวางนอนไว้ที่โซฟา
สภาพเขาช่างไร้สติ เสียงอื้ออึงที่ดังออกมาจากลำคอเขาในเวลานี้ มันก็ทั้งฟังดูน่ารักและน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน
“เพิ่งจะหายดีแท้ๆ ทำไมถึงไปดื่มหนักขนาดนี้ได้ล่ะครับเนี่ย”ผมเอ่ยถามกับคนไม่ได้สติพลางเกี่ยวทัดผมของเขาเล่น ก่อนจะถอดแว่นที่เขาสวมออกมาวางไว้ให้เรียบร้อย
“อืม”
เขาเอนกายพลิกตัวหันออกมาทางผมที่นั่งมองเขาอยู่ข้างโซฟา และไม่นานนักคนที่ไม่ได้สติก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา
“อรุณสวัสดิ์ ดปโปะ”เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างงัวเงียและฟังดูจะยังไม่ได้สติเท่าที่ควร จนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“อรุณสวัสดิ์ครับ แต่นี่ยังไม่เช้าซะหน่อยนะครับ”ผมมองเขาที่ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งลงตรงหน้าผม
“งั้นหรอ.. ฉันเมามากสินะ”เขาถามขึ้นมาลอยๆ จนผมต้องอาสาไปเอาน้ำมาให้เขาได้ดื่มมันเพื่อฟื้นตัวและดึงสติตัวเองใหม่
“ไม่ได้สติเลยล่ะครับ ทั้งที่ผมอุตส่าห์แบกคุณขึ้นมาด้วยซ้ำ”ผมเอ่ยฟ้องถึงความพยายามแสนเหน็ดเหนื่อยของตัวเองให้เขาฟัง เขาที่เริ่มพอจะได้สติกลับคืนมาก็ได้เผลอยิ้มก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“เหนื่อยแย่เลยสินะ ขอบคุณนะดปโปะ”
“ครับ หนักสุดๆ แขนกับหลังผมแทบจะหักเลยล่ะครับ”ผมว่าไปอย่างไม่จริงจังอะไรนัก ก่อนจะเอนหน้ารับสัมผัสจากฝ่ามือที่คั่นด้วยถุงมือสีแดงของเขาที่จับประคองลูบแก้มผมเบาๆ อย่างดูผ่อนคลาย ทั้งที่ก่อนหน้าสีหน้าเขากลับดูซ่อนความทุกข์ทรมานกับอะไรบางอย่างไว้ในใจอยู่เลยแท้ๆ
และในฉับพลันผมก็นึกย้อนไปถึงกล่องพัสดุที่ผมได้แอบเก็บมันไว้ โดยอ้างกับตัวเองว่ามันยังไม่มีโอกาสหยิบมันมาส่งคืนให้เขา ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นมันกลับเป็นเพียงความระอายของผม
โรมี่ คือชื่อของคนรักของคุณ แต่จะมีโอกาสสักนิดมั้ยที่ชื่อของผมจะได้ไปอยู่แทนที่คนๆ นั้น
“จูโตะซัง ผม...”
“หืม? มีอะไรหรอดปโปะ”เขาหยุดการลูบแก้มของผมลง ก้มมองผมที่เผลอเอ่ยลอยๆ ออกไปด้วยความสงสัย และจู่ๆ สายตาของเขาก็ทำให้ผมเกิดความกลัวบางอย่างขึ้นมาในใจ
“ผม.. ขอจูบคุณได้มั้ยครับ”
เขาดูงงงันกับคำขอที่ฟังดูเอาแต่ใจของผม ก่อนจะยิ้มรับและพยักหน้าเบาๆ ดึงตัวผมให้สลับมานอนบนโซฟา โดยมีเขาเป็นคนคร่อมทับร่างของผมอยู่
เราเริ่มด้วยการบรรจงจูบกันด้วยความอ่อนโยน ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเริ่มกลายเป็นฉนวนของไฟกามของเรา มือที่สวมถุงมือสีแดงค่อยๆ ขยับเคลื่อนไปตามร่างกายของผม ก่อนที่มือนั้นจะหยุดลงที่ตัวตนที่เริ่มแข็งขืนของผม
“ไม่ใช่ว่าผมขอแค่จูบหรอครับ”ผมหยอกล้อเล่นกับเขา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสที่ชวนรู้สึกดีนั่น
“อยากให้หยุดหรือไงล่ะ”เขาเอ่ยออกมาพร้อมทั้งระบายยิ้ม และเมื่อเห็นว่าไม่ได้โต้งแย้งหรือขัดขืนใดๆ เขาก็ช่วยเพิ่มระดับไฟกายของเราให้สูงขึ้นไปอีก ผมเองก็ปล่อยให้ได้ทำความคุ้นเคยกับทั้งตัวของเขาเองและตัวตนของผม
“ดปโปะ...”เขาพึมพำบางอย่างออกมาด้วยระดับเสียงที่เบาจนผมไม่สามารถได้ยินมันได้อย่างชัดเจน แต่ดูเขาจะไม่ได้อยากพูดถึงมันอีกในตอนนี้ถึงจะได้โน้มตัวลงมาบดจูบกับผมอีกเพื่อที่เราจะได้เลิกสนใจในสิ่งอื่น
ไฟความต้องการของเราเริ่มจะลุกโชนสูงขึ้น กางเกงของเขาได้ถูกปลดทิ้งออกไป แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้ผสานเชื่อมต่อไฟกายของเราให้หลอมละลาย จู่ๆ ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น จนเขาต้องผละออกจากผมไปชั่วคราว และลุกขึ้นนั่งหันไปมองทิศทางดังกล่าวโดยที่เขานั้นยังคงนั่งคร่อมผมไว้อยู่
“ซามาโทกิหรอ...”
ผมที่ยังไม่รับรู้อะไรเพราะขอบเขตการมองเห็นที่ผมตกเป็นรองอยู่ในขณะนี้ แต่เพราะความเงียบและแรงกดดันน่าอึดอัดบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นและใบหน้าของเขาที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด จนผมต้องยอมดึงตัวเองถอยตัวออกมาจากเขาเพื่อลุกขึ้นมานั่งมองบุคคลที่เข้ามารุกล้ำในพื้นที่ของเรา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เพ่งจุดโฟกัส จู่ๆ ความเจ็บปวดและความมึนจากแรงกระทบก็สวนเข้าใส่แก้มของผมอย่างแรงจนร่างของผมถึงกับต้องล้มลงไปกองกับพื้น
“โรมี่!”เขาที่ได้สติหลังจากที่ผมโดนต่อยก็รีบเรียกชื่อของชายร่างสูงคนนั้น ที่ก้มมองมายังผมด้วยความแววตาที่ดูโกธรเคืองอย่างรุนแรง
โรมี่? ถ้าจำไม่ผิดชื่อนี่มัน...
“...”
เราทั้งสามตกอยู่ในความเงียบ ความเจ็บปวดบนแก้มข้างซ้ายของผมยังคงอยู่พร้อมกับกลิ่นเลือดจางๆ แต่นั่นมันก็ยังไม่เท่ากับใจที่ชาไปแล้วในตอนนี้
“โรมี่ ฉัน...”
“จูโตะ.. นี่คนรักใหม่ของนายหรอ”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงเขา และผมไม่แน่ใจว่าการที่เขาพูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นนั่นมันเป็นอะไรที่เขาจงใจหรือเปล่า มือของชายที่ชื่อว่าเป็นคนรักตัวจริงของเขานั้นกำแน่น คล้ายกับว่าต้องการจะพุ่งมาต่อยผมอีกสักหมัดหลายหมัดข้อหาที่ผมไปยุ่งกับคนของเขา แต่คนที่ผมกังวลกลับดูไม่ต้องการให้ชายคนนั้นทำอย่างนั้น เขาถึงยั้งตัวไว้ได้
“ ปะ เปล่า...”
เสียงอันแหบแห้งของเขานั้นได้ถูกเอ่ยออกมา และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่หัวสมองของผมนั้นว่างเปล่ายิ่งกว่าการร่วมรักครั้งใด ผมที่คิดอะไรไม่ออกก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นปาดคราบเลือดที่มุมปากตัวเองออกและจัดรูดซิปกางเกงตัวเองให้ดี แต่ยังคงนั่งทิ้งสมองอยู่บนพื้นเพื่อเงยหน้ามองชายสองคนตรงหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง
เวลาได้ล่วงเลยไปสักพัก เขาที่เคยนั่งนิ่งสับสนและรับมือกับสถานการณ์ในตอนแรกไม่ถูกนั้นก็ได้คว้ากางเกงมาใส่อย่างรีบร้อนก่อนจะลุกเดินมาประคองตัวผมขึ้น เพื่อที่จะแอบซ่อนเสียงกระซิบบางอย่างกับผม
“ขอโทษนะ ช่วยกลับไปทีได้มั้ยดปโปะ”
“...ครับ”
ผมตอบรับไปง่ายๆ ด้วยใจและหัวที่ว่างเปล่า โชคดีที่กระเป๋าของผมในครั้งนี้มันอยู่ใกล้กับโซฟาและจุดที่ผมยืนอยู่ ผมจึงรีบคว้ามันมาใต้ความเงียบและคำพูดบางอย่างของเขาที่คงหวังจะปลอบประโลมผม แต่ผมในตอนนี้กลับไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย จนเมื่อผมได้เดินออกมาอยู่บนฟุตบาตรตามทางที่เงียบงัน ก่อนจะเริ่มรู้สึกหมดแรงจนต้องขอเอนกายพักร่างทิ้งไว้กับกระจกร้านอะไรสักอย่างที่ปิดไปแล้วในเวลานี้
“จูโตะซัง...”ผมเอ่ยเรียกชื่อเขากับตัวเองราวกับคนโง่ ก่อนที่ขอบตาผมมันจะเริ่มอุ่นขึ้นมา และไม่นานภาพตรงหน้าผมก็เบลอไปด้วยความเปียกชื้น แก้มที่ถูกต่อยไปในตอนนั้นในเวลานี้มันกลับไร้ความรู้สึกเจ็บปวดร้าวอะไร แต่กลับกัน ใจของผมที่ไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนกับอะไรเลยมันกลับชาจนเจ็บแปลบไปหมด
ภาพและเสียงคำตอบว่าผมนั้นไม่ใช่คนที่คุณรักนั้น มันช่างตอกย้อนย้ำความเจ็บร้าวของผมได้เป็นอย่างดี
ผมที่รับรู้ดี แต่เข้าใจดีว่ายังไงสักวันความสัมพันธ์ของเรามันก็ต้องมาจบลงที่ตรงนี้ และเคยคิดว่าถ้าถึงวันนั้นผมคงจะรับมือกับมันได้และทำใจกับมันได้ดีกว่านี้ ยอมก้าวถอยออกมาด้วยตัวเองอย่างง่ายดายมากกว่านี้ ทั้งที่ในความเป็นจริงทั้งหมดนั่น...
เป็นเพียงความคิดโง่ๆ ของผมเอง
เรื่องจริงที่ผมมองข้าม หรืออาจจะพยายามมองข้ามมันไปเพื่อหวังปลอบประโลมใจตัวเอง คือการที่ผมดันพลาดไปมีใจให้กับคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว และเผลอเลินเล่อเพ้อฝันจนฝันนั้นมันย้อนมาแพร่พิษร้ายใส่ตัวผม
จูโตะซังเลือกเขา แน่นอน คนที่เหมาะสม คนที่มาก่อน...
“และเป็นคนที่คุณรัก”
คืน วัน และเวลาได้ไล่ผมให้กลับมาใช้ชีวิตตามแต่ที่มันควรจะเป็นเฉกเช่นเดิม เป็นวันธรรมดาที่ต้องใช้พลังงานทั้งหมดไปกับงานที่แสนเหน็ดเหนื่อยตามเดิมที่ทำมาอยู่ตลอด เพียงแต่วันหยุดที่ผมเคยรอคอยมันไม่ได้มีอีกแล้ว หลงเหลือให้เพียงฝันละเมอเพ้อของตัวเองเท่านั้น
ผมเคยคาดหวังว่าเขาจะโทรมาเออธิบายอะไรบางอย่างให้กับผม หรือมาถามหาความรู้สึกของผม แต่จนแล้วจนรอด ฝันมันก็เป็นได้แค่ฝันเท่านั้น
“เอ๊ะ?”
แล้วก็ไม่รู้อะไรที่ดันพาผมมาเดินอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ผู้คนพลุพล่านหลังจากเลิกงานที่ปกติผมต้องตรงกลับไปที่บ้านตัวเองทันทีที่รู้ว่าไม่มีนัดกับลูกค้าที่ไหน ซึ่งก็ไม่รู้ทำไม แม้ผมจะคิดได้ดังนั้นแล้ว ผมถึงยังคงเลือกที่จะยังไม่ตรงกลับบ้าน และทำสิ่งที่ต่างออกไปคือการเดินไปทั่วคล้ายกับเด็กมัธยมที่ต้องการพบบางสิ่งบางอย่างที่เขายังไม่รู้ แต่ต่างกันที่ผมนั้นรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการ เพียงแต่มันไม่สามารถจะเป็นไปได้
ภาพย้อนคืนในช่วงเวลาที่ผมและเขายังคงสามารถหลบซ่อนความสัมพันธ์ภายใต้ความมืดกันได้อยู่ ผมที่กลับลงมานั่งข้างๆ เขา ก็ได้เห็นเขาที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่งจนกระทั่งถูกผมขัดจังหวะด้วยการออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งเขาที่ดูจะไม่ได้ว่าอะไรก็ทำเพียงยิ้มและเรียกผมไปหา หนังสือเล่มนั้นผมยังคงจำชื่อมันได้เพราะมันเป็นหัวข้อบทสนทนาที่ได้เชื่อมสีสันให้เราในคืนนั้น
และการที่จู่ๆ ผมก็ดันมานึกถึงเรื่องนั้น นั่นก็เพราะว่าร้านด้านข้างทางเดินที่ผมหยุดยืนอยู่ตรงนี้มันคือร้านหนังสือ และสายตาผมมันก็ได้เหลือบไปเห็นชื่อหนังสือที่เหมือนกับหนังสือเล่มนั้น เพียงแต่ปกของมันนั้นดูต่างจากที่เขามีจนรู้สึกแปลกตา
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้เดินเข้าไปในร้านที่ว่า และตรงไปหยิบมันขึ้นมาดูโดยที่ไม่ได้สังเกตถึงอีกร่างหนึ่งจนเผลอไปชนเข้า
“ขะ ขอโทษครับ!”ผมรีบกล่าวออกไปด้วยความร้อนรน ก่อนที่เธอตรงหน้าจะฉีกยิ้มกลับมาว่าไม่เป็นไร ก่อนที่ผมจะสังเกตเห็นว่าสายตาของเธอจ้องมองมาที่หนังสือในมือของผมที่ในชั้นนั้นเหลืออยู่เพียงเล่มเดียวแล้ว
“เอ่อ.. ถ้าต้องการก็เอาไปเถอะครับ”
“เอ๊ะ? แต่คุณหยิบก่อน เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ”เธอปฏิเสธแต่เมื่อสุดท้ายแล้วผมก็ยังคงดึงดันให้เธอรับมันไป เธอจึงยอมรับมันไปโดยมีเสนอว่าจะเลี้ยงเครื่องดื่มให้ผมแทนการขอบคุณ
ผมที่มองเมนูอยู่สักพักก็เลือกได้ว่าจะสั่งอะไรจึงได้บอกไปกับทางพนักงาน แล้วเราก็มานั่งรอมันที่โต๊ะ เธอจึงเริ่มเอ่ยคำขอบคุณกับผมอีกครั้ง และเมื่อเมนูของผมมาถึงเธอก็ได้เอ่ยถามถึงมันทันที
“คุณชอบอเมริกาโน่หรอคะ”
และแทบจะทันทีที่ผมตอบเธอกลับไป
“เปล่าครับ ผมไม่ได้ชอบมันเลย”ผมตอบไปตามความจริงด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่นึกขันตัวเอง
กาแฟคือสิ่งที่ผมพยายามจะหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด เพราะนอกจากจะไม่ชอบในรสชาติของมันแล้ว มันยังทำให้ผมนอนไม่หลับอีก แต่ในความไม่ชอบทั้งหมดทั้งมวลนั้น กลับมีเหตุผลง่ายๆ และฟังดูอาจจะไร้สาระแทรกอยู่ด้วย
รสชาติแสนขมที่แทรกอยู่ในปากนั้นที่ผมเคยได้ลิ้มชิมมัน
“อ่อ.. ค่ะ คงมีเหตุผลที่สำคัญสินะคะ”เสียงเธอที่เปรยขึ้นเรียกดึงสติผมให้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่จมลงไปใต้ความคิดถึงของตัวเอง
“มันอาจจะไม่ใช่เหตุผลสำคัญอะไรหรอกครับ”ผมแย้งเธอกลับไปด้วยอารมณ์ทำใจยอมรับกับบางสิ่ง
“...สำหรับใครบางคนที่ไม่ต้องการเราจริงๆ”
และเมื่อผมเผลอหลุดความอัดอั้นไปให้กับเธอคนแปลกหน้านั้น ทุกอย่างก็พลันเงียบลงทันใด ทั้งความรู้สึก และคำพูดทุกอย่างคล้ายว่ามันได้จมหายไปในห้วงบางอย่าง แม้แต่การที่จะลุกหนีไปจากตรงนี้ผมยังไม่สามารถทำมันได้ด้วยความขลาดกลัวของตัวเอง จึงคิดได้ว่าควรจะขอโทษเธอออกไป แต่เวลานั้นเธอกลับแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ขอโทษนะคะ ที่ฉันสั่งมันก็หวานเกินไปสำหรับฉันเหมือนกันค่ะ”
“...”
“เอ่อ.. จะเป็นการรบกวนเกินไปมั้ยคะ ถ้าฉันอยากจะเล่าเรื่องบางอย่างให้คุณฟัง”เธอยิ้มออกมาแม้ว่าสีหน้าของเธอนั้นดูเหนื่อยอ่อนเต็มที จนผมที่ไม่รู้ว่าเรื่องว่ามันคืออะไรจึงได้ยอมตกลงฟังเรื่องราวของเธอไปด้วยความสงสัย
เธอคนนี้มีสถานะที่แทบจะไม่ต่างอะไรจากผม ‘ชู้รัก’ ของใครบางคนที่เขามีเจ้าของอยู่แล้ว และไม่ได้ต้องการให้ใครล่วงรู้ความสัมพันธ์ทับซ้อนนี้ พอผมได้ฟังเรื่องของเธอไป ผมเองก็ยอมรับว่าตัวเองก็เป็นอะไรที่คล้ายกับเธอ และเมื่อเราต่างได้รู้สถานะที่แสนจะคล้ายกันนั้น เธอและผมก็ได้มาจบลงที่บนเตียงของโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งจนเสร็จกิจของกันและกันเพียงแค่รอบเดียว
และทั้งที่มันเป็นเรื่องบนเตียง แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นอะไรที่โคตรน่าตลกที่เราต่างคิดถึงและเรียกหาคนที่ไม่ใช่คู่นอนของตัวเองจนเสร็จสม
การกระทำของเรามันช่างไร้ความรู้สึกใด ไม่วาบหวาม ไม่ตื่นเต้น ไม่ชวนปรารถนาขออีกครั้งเหมือนที่ผมเคยทำกับเขา ทั้งหมดมันแทบไม่ต่างจากการไปเพราะหน้าที่หนึ่ง ซึ่งก่อนที่เราจะได้จากกันไป ผมก็ได้เผลอเอ่ยถามชื่อเธอ เธอที่กำลังดึงตะขอบรามาเกี่ยวเกาะกันตามเดิมก็แค่นหัวเราะออกมาก่อนจะตอบผม
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ยังไงสิ่งที่เราทำมันก็แค่การหาอะไรแทนที่คนที่เรารักชั่วคราว อีกอย่าง การที่คุณและฉันไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไรกันเลย คุณก็ไม่มีเหตุผลสำคัญที่จะต้องจำมันนี่คะ จริงมั้ยล่ะ”เธอหันมาด้วยรอยยิ้มบาบาง ผมที่ได้ฟังเช่นนั้นก็จึงพยักหน้ารับกลับไปเบาๆ กับข้อเท็จจริงที่เธอกล่าว ก่อนจะออกมาจากห้องของโรงแรมนั่นด้วยความรู้สึกที่ค้างคากับอะไรบางอย่าง
“จูโตะซัง ผมคิดถึงคุณนะครับ...”
“จะไปแล้วหรอ”ผมถามเขาที่กำลังเตรียมกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะยื่นแก้วกาแฟให้เขารับไปดื่ม เขาเองก็ยอมรับมันไปดื่มตามที่ผมหวัง
“ใช่ มันคงไวกว่าที่บอกนะ แต่เอาเถอะ ถึงฉันจะอยู่ต่อมันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนใจนายได้แล้วนี่ จริงมั้ยล่ะ จูโตะ”เขาลุกขึ้นยืนและดึงผมไปกอด ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบผมและยีมันเบาๆ ตามแบบที่เขามักจะชอบทำ
ในตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราก็ได้ตัดสินใจกันแล้วว่าจะสิ้นสุดมันลง ความจริงมันก็ตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้เข้ามาพบภาพไม่น่าดูของดปโปะและผมที่ได้อยู่ด้วยกัน
จริงอยู่ที่ในตอนนั้นผมได้พูดปฏิเสธมันออกไปต่อหน้าดปโปะ ที่ผมนั้นก็รู้ดีว่าเขาคิดยังไงกับผม มันอาจจะฟังดูเหมือนกับว่าผมกำลังจะแก้ตัวกับตัวเอง ก็ใช่ มันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดไป แต่พอพูดออกไปแล้วก็ไม่รู้จะกลับคำกับดปโปะยังไง สุดท้ายผมก็ได้ไล่ให้เขากลับบ้านไป โดยที่ไม่กล้าจะติดต่อกลับไปหา
ส่วนโรมี่ที่แม้จะโมโหจะโกธรผมแค่ไหน เขาก็ได้แต่มองผมอย่างอ้อนวอน จนความรู้สึกผิดของผมมันตีแน่นจนจุกอยู่เต็มอก แม้แต่เสียงก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรกับเขาออกไปได้ จนเมื่อผมได้รับสัมผัสอันเบาบางจากริมฝีปากและหน้าผากของผมจากโรมี่ตามที่เคยหวังแล้ว ในตอนนั้นผมถึงได้เพิ่งมารับรู้ว่าทั้งหมดมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วจริงๆ
‘โรมี่.. ฉันว่า เราจบกันแค่นี้เถอะนะ’
มันคือจูบที่ผมได้รับ และเคยต้องการมันมากแค่ไหน แต่พอได้รับมันจริงๆ ในครั้งนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการเสียแล้ว เขาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ยังไม่ยอมรับมันในทันที แต่พอผมยังคงยืนยันเรื่องนั้นอย่างชัดเจนเขาจึงยอมรับมันอย่างช่วยไม่ได้ และเปลี่ยนคำขอสุดท้ายเป็นการอยู่ด้วยกันอีกเพียงสัปดาห์เดียวก่อนที่เราทั้งคู่จะกลายเป็นอดีตของกันและกันอย่างถาวร
ซึ่งวันนี้เป็นวันที่เขาตัดสินใจจะไป ทั้งที่มันยังไม่ครบกำหนดหนึ่งสัปดาห์ตามที่เขาว่าเลยด้วยซ้ำ
ผมไม่ปฏิเสธหรอก ว่าใจจริงลึกๆ ผมยังอยากจะให้เขาอยู่ต่อ แม้ว่าผมจะไม่ได้รักเขาเหมือนที่เคยแล้วก็ตาม มันอาจจะเพราะเป็นความคิดถึงที่ซ่อนอยู่ของผมที่ปรารถนาจะได้เจอเขามาตลอดเกือบปี โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าการจากครั้งนั้นเทียบระยะเวลากันไม่ได้เลยในครั้งนี้
เขาเองก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะก่อนที่เขาจะเดินทางไป เขาได้ขอนอนกอดผมเป็นครั้งสุดท้าย ผมเองก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องดีก่อนที่เราจะแยกจากกันผมจึงตอบตกลงไป
หลายวันผ่านมาดปโปะและผมก็ยังคงไม่ได้ติดต่อหากัน ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันจนผมต้องไปใช้เวลากับงานเพื่อไม่ได้สนใจกับเขามากเกินไป
ผมคิดว่ามันคือทางเลือกที่ถูกแล้ว ดปโปะควรมีชีวิต มีเส้นทางของเขาเอง ไม่ควรมาทุกข์ทรมานกับผม ยิ่งผมที่เป็นคนทำให้เขาเสียใจ เศร้าใจซ้ำๆ แล้วด้วย
แต่ทุกๆ ครั้งที่ผมคิดแบบนั้น คำพูดถากถางไร้สาระของซามาโทกิมักจะดังเข้ามาอยู่เสมอ จนผมได้แต่แค่นหัวเราะใส่ตัวเอง
ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องมันถึงได้เกินเลยมามากขนาดนี้ มันคงเพราะนิสัยเสียของผมที่ก่อเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น ยิ่งนานวันผมกลับยิ่งเป็นห่วงดปโปะขึ้นทุกที เป็นห่วงในความรู้สึกของเขา และทุกๆ อย่าง จนผมเริ่มคิดว่า ถ้าหากมันเป็นความต้องการที่เขาจะไปจากผมแล้วจริงๆ ผมเองก็จะไม่รั้งมันไว้ต่อ
และความคิดของผมมันก็ยิ่งชัดเจน เมื่อมีกล่องพัสดุถูกส่งมาให้ผม โดยชื่อที่จ่าหน้านั้นมันก็ได้เขียนไว้ด้วยลายมืออย่างชัดเจนว่าเป็นของใครที่ส่งมา
‘ดปโปะ’
ทันทีที่รู้ ผมไม่ลังเลเลยที่จะรีบแกะเปิดมันออกมา ในกล่องนั้นมีของอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรก คือกล่องพัสดุขนาดเล็กกว่ากล่องที่บรรจุมาที่มีเขียนชื่อผู้ส่งว่าโรมี่อดีตคนรักของผม และอีกชิ้นเป็นอะไรที่ผมคุ้นเคยที่สุด
“คีย์การ์ด...”
คีย์การ์ดที่ว่าคือคีย์การ์ดสำรองสำหรับเข้าห้องผมที่ผมเคยได้ให้เขาไป เพื่อยืนยันว่าที่นี่คือจุดนัดพบของเรา แต่ตอนนี้มันได้ถูกส่งคืนมาให้กับผมพร้อมกับโน้ตเล็กๆที่ถูกแปะติดไว้ด้านหลัง ผมจึงรีบกวาดสายตาอ่านมัน
“นี่คือคำตอบของนายสินะ”ผมพึมพำออกมาเบาๆ และโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว ผมก็ได้ผิดคำพูดกับตัวเองด้วยน้ำใสอุ่นๆ ที่หยดลงมา
หลายเดือนต่อมา ความเหนาวเย็นเริ่มวนซ้ำเข้ามาเยือน ผมเองก็ยังคงทำงานทำหน้าที่ขอตัวเองตามเดิม และเมื่อเสร็จจากงานตัวเองแล้ว บ่อยครั้งที่ผมจะขับรถไปที่จุดชมวิวแถวโรงงานผิวผมชายทะเล สถานที่ที่เป็นทั้งจุดชมวิวและฆ่าตัวตายในสถานที่เดียวกัน
รถเริ่มถูกขับเข้าไปใกล้สถานที่ดังกล่าวมากขึ้น และนั่นยิ่งทำให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นว่าตอนนี้กำลังมีใครบางคนยืนอยู่ ณ ตรงนั้น
ผมที่เห็นแบบนั้นจึงรีบลงจากรถไป เพราะเกรงว่าใครที่ว่านั่นจะมาที่นี่เพื่อฆ่าตัวตาย แต่เมื่อได้เห็นแผ่นหลังที่ชัดเจนนั่นผมก็สามารถตอบได้ทันทีว่าคนที่ว่านี่คือใคร เขาคนนั้นรู้ตัวแล้วว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังจึงหันกลับมามองผม และมันก็ยิ่งยืนยันว่าความคิดของผมได้ชัดเจนมากขึ้น
“โดะ-”
“สวัสดีครับ อิรุมะซัง”เขาเอ่ยทักผมก่อนด้วยรอยยิ้มเบาบาง ผมที่ได้ยินแบบนั้น ก็เงียบเสียงลงมองเขาสักพัก ก่อนที่จะตอบกลับไป
“ครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย.. คันนงซากะซัง”
Comments (0)