1.- Cigarette

 

 

เสียงรถไฟออกจากสถานีพุ่งตรงไปยังสถานีต่อไป ทำงานอย่างตรงไปตรงมาไม่มีเบื่อตามหน้าที่ของมัน...

น่าหงุดหงิด

เสียงผู้คนรอบกายพูดคุยกันในระหว่างเดินไปเดินมา ทั้งเสียงหัวเราะ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งความเบิกบาน ทุกอย่างมันช่าง...

น่ารำคาญ

ลิสต์รายการสินค้า รายชื่อลูกค้า สถานที่นัดพบที่ไกลจากที่พักที่คงเรียกได้ว่า ‘บ้าน’ ได้มากกว่าบ้านของตัวเองจริงๆ แบบนี้มันก็ช่าง...

น่าหดหู่

จากคุยงานกับลูกค้าที่เคียะบะคุระ¹ ที่ชินจูกุ พอตกลงสัญญาอะไรเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าคู่เจรจาคนนี้ก็ยังไม่ยอมกลับ และยังคะยั้นคะยอจะพาผมไปเลี้ยงโซปรันโดะ²ที่ร้านประจำที่อยู่โยโกฮาม่าตามประสาคนใจป้ำ ขี้อวด

แล้วจะทำยังไงได้ล่ะ ทำได้แค่ยอมไปตาม ผมมันก็แค่พนักงานกินเงินเดือนทั่วๆ ไป ที่ต้องยอมก้มหัวรับใช้บริษัทเพียงเพื่อจะได้รับเงินกลับคืนมาตามความเหน็ดเหนื่อยที่เสียไปเท่านั้น ไม่ได้หวังอะไรมากมาย เพราะมันไม่มีอะไรให้หวังอยู่แล้ว

สถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่เคยเลยที่จะทำให้ผมรู้สึกดี

แค่ยืนอยู่หน้าร้านผมก็พะอืดพะอมแล้ว แต่ดูท่าไอ้เจ้าคนเมามีดีแค่เงินในกระเป๋าตังค์หนาและเป็นลูกค้ารายสำคัญจะหาได้สนใจไม่ กวักมือเรียกคนที่ไม่อยากไปให้เข้าไป จัดการเลือกเด็กให้ตัวเองและเลือกให้ผมคนนึง

หญิงสาวคนที่ว่าทำหน้าที่ได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง อาบ ถู นวด และปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวเขา ส่งเสียงร้องครางแหลมที่ฟังดูก็รู้ว่าเธอแกล้งทำ

มันช่างน่าหนวกหูมากกว่าจะเป็นเสียงร้องหวานหูชวนไพเราะ

เมื่อเสร็จกิจ ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินออกไปแบบไม่หันหลังกลับ

มันดีที่ได้ปลดปล่อย แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึก...

“อ้วก!”

กลิ่นคาวและอาการคลื่นเหียนตีวนในช่องกระเพาะและลำคอผสมปนเปกับกลิ่นน้ำหอมชวนฉุนจากสาวคนนั้น ทำให้เขาเลือกที่จะระบายมันออกตรงตรอกเล็กๆ ที่พอให้แค่คนเดินผ่านได้ แต่มันก็ยังคงเปลี่ยวอยู่ดี และแถมยังมีกลิ่นของบุหรี่ที่ยังคงเหลือทิ้งไว้...

“อึ๋ย! นี่คุณ! ทำไมมาอ้วกขวางทางกันแบบนี้ล่ะ ชิ! ให้ตายสิ! คนกำลังสูบบุหรี่เพลินๆ ” เสียงที่ฟังดูมีเอกลักษณ์และฟังดูลื่นหูกว่าสาวที่เพิ่งนอนด้วยก่อนหน้านี้พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจเขา แถมยังสบถศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่หาได้ยากในประเทศญี่ปุ่น

“What the hell is it doing?” ชายร่างสูงโปร่งคนนั้นยังคงร่ายศัพท์ภาษาอังกฤษพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะดับบุหรี่ที่จุดสูบอยู่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่แบบพกพา เขาหันมาสบตากับผมที่ยังคงมึนเบลอหลังจากเพิ่งอ้วกไป นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอประกายทาบทับลงมาชวนให้สะกดใจ

“…อึก!” จู่ๆ ใบหน้าผมก็เห่อร้อนขึ้นมา

“นี่คุณน่ะ ช่วยหลบไปจากตรงนั้นหน่อยได้มั้ยครับ ไม่งั้นผมจะเหยียบหัวคุณผ่านไปแทนนะ”

ช่างเป็นคำพูดคำจาที่ฟังดูเสียดสีคนที่สูงน้อยกว่าแบบผมมาก ช่างต่างจากภาพลักษณ์ภายนอกนั่นจริงๆ

สูงตายห่าล่ะ!

แต่สุดท้ายผมก็ยอมถอยหลบให้ชายปากเสียที่ดันมายืนหลบสูบบุหรี่ในตรอกเล็กๆ นี่ได้กระโดดข้ามกองอ้วกออกมา พอเขาข้ามออกมาได้ก็รีบตรวจเช็ครองเท้าคัทชูหนังสีน้ำตาลที่ดูจะมีราคาว่ามันได้รอดพ้นจากอาเจียนนั่นมั้ย ซึ่งโชคดีที่มันรอด เขาพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ไม่วายที่จะตวัดสายตากลับมายังผมด้วยความขุ่นเคืองที่ยังเหลืออยู่

“ผมว่าคุณควรเรียกรถกลับได้แล้วนะ ไม่รู้หรือไงว่าแถวนี้ตอนกลางคืนมันอันตราย พวกค้ายา ค้ามนุษย์มันเกลื่อน ผมไม่อยากมาทำคดีคนตายขี้เมาแบบคุณเพิ่มหรอกนะ”

เขาบ่นอะไรสักอย่าง แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้เข้าหัวผมเลย

มึนหัวชะมัด เหมือนจะยังออกไม่หมดด้วย... ไม่ไหวแล้ว…!

ผมรีบดึงตัวเขาออกจากจุดนั้นแล้วแทนที่ด้วยอาเจียนกองใหม่แทน ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเขาทำหน้ายังไง

“Shit! อีกแล้ว? นี่คุณ! ตกลงไปโดนตัวไหนมาเนี่ย ไม่ใช่ว่าใช้ยาเสพติดแปลกๆ หรอกนะ ไม่งั้นผมจะพาคุณไปตรวจปัสสาวะตอนนี้แน่”

ค่อยยังชั่ว คงออกมาหมดแล้วล่ะตอนนี้

“มีน้ำ... มั้ยครับ” ผมที่ยังคงมีสภาพไม่น่าดูหันไปขอสิ่งที่ต้องการจากชายแปลกหน้าด้านข้างแทน เขาถอนหายใจ แล้วเดินไปที่ตู้กดน้ำกดออกมาหนึ่งขวด แต่ไม่ยอมส่งมันมาให้ผม

“เงินไงคุณ นี่อย่าบอกนะว่าคิดจะให้ผมจ่ายให้?” ชายแปลกหน้าคนนั้นแบมือมาตรงหน้าผม ผมจึงควักตังค์ให้ไปด้วยแบงค์พันเยน

“ไม่มีเศษ ช่วยทอน…” พูดยังไม่ทันขาดคำเขาก็ฉวยเอาธนบัตรพันเยนจากมือผมไป

“งั้นก็ไม่ต้องทอน” เขากล่าวอย่างหน้าด้านๆ เก็บเงินส่วนนั้นใส่ลงในกระเป๋าตัวเอง

“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ! ตังค์ทอนล่ะ!”

น้ำเปล่าขวดละร้อยกว่าเยน แต่กลับรวบแบงค์พันเยนผมไปหน้าตาเฉยเนี่ยนะ?!

“ก็คุณไม่มีเองนี่ คิดซะว่าค่าเซอร์วิสเล็กๆ น้อยๆ แล้วกันนะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เดี๋ยวผมโทรเรียกแท็กซี่ให้เลยละกัน ดีมั้ยพ่อคนขี้เมา” ชายเจ้าของความเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายทั้งปวงฉีกยิ้มที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นยิ้มที่อ่อนโยน แต่บอกเลย นั่นมันโคตรตรงข้ามสุดๆ !

ดีกะผีสิ!

 

ฟู่...

ควันบุหรี่ลอยคลุ้งในอากาศ บุหรี่มวนที่สี่ของวัน เขาเหม่อมองไปตามควันสีเทาที่ค่อยๆ จางหายไปที่ระเบียง

หลังจากเลิกงานเขาก็กลับมาทำกิจวัตรประจำวันเดิมๆ กินข้าว อาบน้ำ และออกมาสูบบุหรี่ที่นอกระเบียง แต่ทำทั้งหมดที่กล่าวไปแล้วก็ไม่สามารถเติมเต็มเขาได้เลย

โทรศัพท์ที่ไม่มีสายเข้าจากคนที่รอคอยมาเป็นระยะเวลานาน ทำได้เพียงเลื่อนสไลด์ดูรูปภาพเก่าๆ ที่ยิ่งดูยิ่งเปล่าเปลี่ยวจนต้องโยนมันไว้ข้างเตียง และเริ่มทำสิ่งที่คุ้นเคย

มือปัดป่ายไปตามร่างกายของตัวเอง ลูบไล้และรีดเค้นหาความสุขในตัวเอง พยายามจะลืมเลือนเรื่องราวต่างๆ ชั่วคราว โดยการเลื่อนมือลงต่ำใช้นิ้วเรียวของตัวเองควานหาสิ่งที่จะมาเติมเต็มและทดแทนความอ้างว้างได้ และเมื่อสุขสมจนสำเร็จเขาก็ทิ้งตัวอย่างอ่อนแรง หอบหายใจกระเพื่อมขึ้นลง

ในใจของเขากลับมาเปล่าเปลี่ยวอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็กลับมีรอยยิ้มขบขันออกมาเล็กน้อยอย่างที่ไม่ได้มีมานานแล้ว

“แกล้งเขาแรงไปมั้ยนะ ชายขี้เมาคนนั้น”

 

“ดปโปะจิน เป็นอะไรของนาย ทำหน้าตาอย่างกับจะฆ่าคน.. เดี๋ยวนะ! อย่าบอกนะว่านายโกรธที่ฉันไม่ได้ทำข้าวเย็นให้น่ะ แต่นายบอกเองนะว่า ‘วันนี้ไม่ต้องทำให้-’ ”

“ไม่ใช่” ผมเผลอกดเสียงต่ำสุด คีบข้าวเข้าปากคำนึงก่อนจะระบายความอัดอั้นให้ฮิฟุมิฟัง

“เมื่อวานแย่สุดๆ ฉันโดนเชิดเงินไปน่ะสิ” ผมกำตะเกียบแน่น ใช้มันเป็นที่ระบายอารมณ์แทน

“เชิดเงิน?! เรื่องใหญ่เลยนะ! แล้วแจ้งตำรวจไว้ยัง?” เพื่อนของผมถามอย่างร้อนรนเสียยิ่งกว่าตัวผู้เคราะห์ร้ายเสียอีก

“ยังไม่ได้แจ้ง อีกอย่างฉันก็โดนไปแค่ไม่กี่เยนเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ”

อืม คงไม่มีทางได้เจอกันอีกแล้วล่ะ กับชายใส่แว่นหน้าสวยที่มาพร้อมความเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายทั้งปวง

“แล้วจำลักษณะของเขาได้ใช่มั้ย” ฮิฟุมิยังคงถามต่อ ส่วนผมก็พยักหน้ารับไป

ไม่ลืมหรอกคนๆ นั้น ชายที่ไม่รู้จักแม้กระทั้งชื่อ

“ก็ดีแล้ว ถ้าเจอจะได้เลี่ยงๆ ถูก ไม่ก็ถ้าเจอก็ไปหาตำรวจให้เขาช่วยแทน นายยิ่งหน้าตาไม่สู้คนอยู่ด้วย”

“รู้แล้วล่ะน่า” และแล้วบทสนทนาของพวกเราก็จบลง เมื่อผมต้องแยกย้ายไปทำงานที่บริษัท ส่วนฮิฟุมิก็กลับห้องตัวเองที่อยู่ข้างห้องผม เพราะรายนั้นทำงานกลางคืน

เสียงทักทาย

เสียงตอกบัตร

เสียงแป้นพิมพ์

เสียงโทรศัพท์เข้า

บทสนทนากับลูกค้า

เสียงคำบ่นด่าของหัวหน้าหัวล้าน

อ่า... ความเครียดนี้มันหนักชะมัด วันนี้คงต้องไปโรงพยาบาลตามเคยสิน่า

 

“เซนเซย์³... เอ๊ะ?” ผมที่เปิดประตูเข้าไปตามคิวปกติ แต่แล้วผมก็ต้องหยุดชะงักที่หน้าประตู เพราะนอกจากเพื่อนสนิทตัวเอง (ที่เป็นคิวก่อนผม) และหมอจาคุไร ผมกลับได้พบคนที่ไม่คาดคิดคาดฝันว่าจะได้เจอกันอีก

ไอ้คนเชิดเงินนิสัยเสียคนนั้นนี่!

“อ้าว? ดปโปะจิน! พอดีเลยๆ นี่เพื่อนใหม่ล่ะ เขาเป็นคนรู้จักของเซนเซย์ ชื่อ อิมุระจิน”

ผมที่ทำหน้าเครียดเกือบหลุดขำ เมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของเขา ตอนถูกเรียกว่า ‘อิรุมะจิน’

อิรุมะงั้นหรอ...

“นี่ อิรุมะ จูโตะ เป็นคนรู้จักของฉันเอง ส่วนนั่นคันนนซากะ ดปโปะ” คุณหมอทำการแนะนำตัวใหม่ให้กับเขาและผม

เจ้าของใบหน้าสวยเยาว์วัยใต้กรอบแว่น

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คันนงซากะซัง” เขาระบายยิ้มตามปกติ และดูเหมือนจะจำผมไม่ได้ ไม่น่าแปลกหรอก ตอนที่เราเจอกันมันก็ออกจะมืด แสงไฟก็ไม่ค่อยจะมีอีก

“…”

“คันนงซากะซัง?” เขาเรียกผมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมตอบเขากลับ ผมหลุดจากความคิดในหัวด้วยความร้อนรนจนเขาหัวเราะออกมาเบาๆ

“ใจเย็นก่อนก็ได้นะครับ” เขาเปิดรอยยิ้มสวยกับเสียงหัวเราะอันไพเราะ จนผมรู้สึกเสียใจที่เผลอไปมอง

อย่าไปมองดิ ถ้าจะใจเต้นเพราะเรื่องแค่นี้!

“คะ ครับ ยินดี.. เช่นกันครับ อิรุมะซัง...” ผมพูดเสียงค่อยอย่างดูยากลำบาก พร้อมก้มหน้ายื่นนามบัตรให้ และหวังว่าจะได้นามบัตรจากเขาเองเช่นกัน แต่เขารับไปดูแป๊บเดียวแล้วเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อตรงอกแทน

“ขอบคุณครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” อิรุมะซังลาด้วยรอยยิ้ม แต่ก่อนจาก มือเรียวสวยก็วางลงที่บ่าของผม ที่ตามมาด้วยเสียงกระซิบสำหรับสองคนที่ข้างหู

“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ สำหรับค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ เมื่อตอนนั้น คุณพนักงานขี้เมา”

 

“อิรุมะครับ ครับ ได้ครับ ขอบคุณครับ” พอวางสายเสร็จ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าก็หุบลง แล้วจุดบุหรี่สูบ ปล่อยควันจางๆ ให้ลอยหายเป็นไอ ในห้องสำนักงานสีหม่นที่มีเฟอร์นิเจอร์พอประมาณ ซึ่งทั้งหมดที่ว่านั่นไม่ใช่ห้องของเขา

“โอ้.. มาเร็วจริงนะ พ่อตำรวจชั้นเลว”

ยังไม่ทันที่ควันบุหรี่จะถูกสูดจนเต็มปอด ชายผู้ซึ่งเป็นเจ้าของห้องก็เข้ามา ส่งเสียงกวนบาทาจนเขาอดจะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้

“ก็ดีกว่าเจ้าคนมาช้า ที่คงมัวแต่เอากำลังไปต่อยตีกับคนอื่นแทนที่จะใช้สมองล่ะนะ” เขาเองก็ไม่น้อยหน้า จิกกัดกลับด้วยรอยยิ้มแสร้งทำ เล่นเอาคนที่ถูกด่าอ้อมๆ ว่า ‘โง่’ หัวคิ้วกระตุก

“แก! ว่าไงนะ!”

“ไม่ไหวๆ นี่อย่าบอกนะว่านอกจากจะใช้กำลังเป็นอย่างเดียวแล้ว... หู-ก็-ตึง-น่ะ” เขาเสกสร้างรอยยิ้มเย้ยหยัน ราวผู้ชนะ ทำให้คนตรงหน้าพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อเขา จนทั้งสองเตรียมง้างหมัดจะซัดหน้ากัน แต่ก็ถูกใครบางคนขัดไว้ซะก่อน

“พอได้แล้ว จูโตะ ซามาโทกิ”

ดูท่าจะโชคไม่ดี ที่วันนี้ไม่ได้ซัดหน้ากัน

“ชิ! /ชิ!” ทั้งคู่ส่งเสียงขัดใจออกมาพร้อมกัน แต่ก็ยอมแยกและกลับไปนั่งลงกับที่ของตัวเอง

“แล้วที่เรียกมามีอะไรล่ะ” ตำรวจชั้นเลวที่ว่าเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา ก่อนจะปล่อยควันสีเทาจางที่ไม่น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดออกมา

“อ่อ ว่าจะให้แกไปช่วยจัดการอะไรให้หน่อยน่ะ เป็นงานที่แกถนัดเลยล่ะ” ซามาโทกิเหยียดยิ้มชั่วร้ายหลังแขวะนายตำรวจชั้นเลวไป เขาที่ได้ฟังแบบนั้นก็เข้าใจได้ทันที เพราะเขาก็อยู่กับมันมานาน

ช่วยไม่ได้นี่นะ นี่คือ ‘งาน’ ของเขา

“ก็ได้ บอกรายละเอียดมาสิ เพื่อนกันจะยอมคิดราคาพิเศษให้ก็ได้นะ”

“หึ ชั่วร้ายจริงๆ เลยว่ะ”

 

ฟุบ!

ทันทีที่กลับถึง ‘บ้าน’ ที่เป็นห้องที่อยู่ในแมนชั่น⁴ เขาวางกระเป๋าลงบนโซฟา ถอดเสื้อนอก ตามด้วยถุงมือสีแดง เข็มกลัดสามเหลี่ยมตรงปกคอเสื้อและเนคไท ปลดเข็มขัด และจบลงด้วยเสื้อผ้าที่เหลือ จนตัวเองเปลือยเปล่า ปล่อยให้น้ำเย็นชำระล้างร่างกายและจิตใจ

ความจริง... ในด้านจิตใจมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก นอกจากความผ่อนคลายเพียงชั่วครู่ แต่มันก็ยังดีกว่าจมอยู่กับความฟุ้งซ่าน แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

หลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จเขาก็เปิดดูรายงานทั้งหมดด้วยความเบื่อหน่ายและเปล่าเปลี่ยว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูลิสต์รายชื่อคนโปรด

‘Romy-B’

“ฉันควรจะทำยังไงกับนายดี โรมี่”

 

 

100% complete

If anything goes wrong, I apologize here.

See ya

 

 

 

 

 

__________________________

¹ เคียะบะคุระ หรือที่เรียกกันว่าเลาจน์ โดยจะมีสาวนั่งดริงค์มาคอยบริการ สามารถแตะเนื้อต้องตัวได้นิดหน่อย แต่จะไม่มีการขายบริการ

²โซปรันโดะ หรือ อาบ อบ นวด ซึ่งจะต้องเลือกสาวๆ จากรูปภาพ ต่างจากไทยที่ชี้จากตู้เลย

³ เซนเซย์ ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ครู อาจารย์ ซึ่งคนญี่ปุ่นจะใช้เรียกบุคคลที่ทำงานด้านการสอน และบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้วยเช่นกัน เช่น นักเขียน หมอ ฯลฯ

⁴ แมนชั่น คือที่อยู่อาศัยที่มีโครงสร้างเป็นเหล็กหรือเหล็กเสริมคอนกรีต หรือสำหรับคนไทยก็คือคอนโด ซึ่งจะมีราคาสูงกว่าอพาร์ทเม้นท์