2 ตอน 2.-Cigarette 100%
โดย Kousei2
2.- Cigarette
เหนื่อยชะมัด
หลังจากเมื่อคราวนั้นที่เจอเจ้าคนหน้าสวยนิสัยเสียนั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้บอกกับคุณหมอหรือฮิฟุมิเรื่องที่เคยเจอกับอิรุมะซังมาก่อนแล้ว และอิรุมะซังคนนั้นนั่นแหละที่เป็นคนเชิดเงินไป
และวันนี้เขาก็ต้องไปตามนัดลูกค้าที่โยโกฮาม่านั่นอีก ดีหน่อยที่นัดคราวนี้มันเป็นแค่เคียะบะคุระ ไม่ใช่โซปรันโดะนั่นแล้ว
การคุยงานกินเวลาไปแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง และอีกหนึ่งชั่วโมงคือเวลาเมา
พอเละเทะกันได้ที่ก็แยกย้ายกันกลับ ผมก็เดินโซซัดโซเซไปตามทาง เพื่อจะขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายกลับ แต่แล้วคราวนี้ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ผมดันไม่ดูทางสัญญาณไฟจราจร จึงทำให้รถที่วิ่งผ่านมาเกือบชนผมเข้า
“ดูตาม้าตาเรือบ้างสิ!” เสียงที่คุ้นเคยดังกลบความตกใจของผมไป และด้วยความคุ้นเคยที่ว่าผมจึงลองเงยหน้าขึ้นไปดู และ...
“คุณ...”
“นี่คุณอีกแล้ว?” เขาพ่นลมหายใจ ก่อนจะสางผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ
ชายในชุดสูทสีดำ เจ้าของกรอบแว่นกับถุงมือและรองเท้าหนังสีแดงก้าวเท้ายาวๆ มาทางผม
“คุณเป็นอะไรมากมั้ย” อิรุมะซังถามผมด้วยประโยคที่ผมไม่คาดฝัน
“ไม่เป็นไรครับ”
อิรุมะซังก็ดูใจดีกว่าที่-
“ดีแล้วครับ ไม่งั้นการตายของคุณคงทำให้ผมเสียการเสียงานแน่ครับ”
ไม่น่าเผลอไปชมเลย เสียดายความคิดชะมัด
“แล้วนั่นจะไปไหนหรอครับ” คนช่างพูดแต่ไร้ซึ่งความเกรงใจคนอื่นถามขึ้นมาจนอยากตอบไปตรงๆ ว่า
‘ไม่ใช่เรื่องของคุณ’
“กลับบ้าน... จะไปขึ้นรถไฟ”
แต่ในความเป็นจริงผมคงตอบได้แค่นี้
“บ้านที่ชินจูกุ?” เขายังคงถาม ผมก็พยักหน้าตอบเบาๆ
“ให้ตายเถอะคุณ ไม่รู้หรอว่าเดินไปตอนนี้น่ะไม่ทันรถไฟแล้ว เรียกแท็กซี่เถอะ ง่ายกว่าอีกนะ เดี่ยวผมเรียกให้มั้ย” ไม่พูดเปล่า เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะกดโทรเรียกแท็กซี่ให้ แต่ไม่ทันได้กดเรียกผมก็สวนกลับไปก่อน
“ไม่ต้องครับ คุณ... ไม่ต้องมาช่วยผมหรอก ขอบคุณสำหรับความหวังดีสุดๆ ขอบคุณครับ อิรุมะซัง” ผมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยด้วยความระแวง
หัวคิ้วของเขาขมวดชนกัน ตาเรียวคู่สวยทอประกายสีเขียวมรกตจ้องมองชายอีกคนที่เดินห่างออกไป และก่อนที่จะจากกันไปไกล เขาก็กลับขึ้นรถแล้วใส่เกียร์ถอยหลังจนเกือบชนชายคนนั้น ก่อนจะลดกระจกลง
“นี่คุณทำบ้าอะไรน่ะ!” พนักงานหนุ่มเลือดร้อนโวยวายใส่ด้วยความตกใจ
“ขึ้นรถมา เร็วครับ ไม่งั้นรอบนี้ผมชนคุณแน่ คันนงซากะซัง” เขาเริ่มที่ประโยคแกมข่มขู่บังคับ ก่อนจะจบลงที่ประตูรถที่ปิดลง ท้องถนนในยามค่ำคืนที่ดูร้างเพราะไร้ผู้คน และในตอนนี้รถก็แล่นไปตามถนนโดยมี ‘พวกเขา’ นั่งอยู่
เสียงเพลงอังกฤษแนวคลาสสิกที่เปิดคลอไปตามถนนที่มีแสงไฟสาดผ่านเป็นระยะๆ เสียงร้องคลอตามทำนองเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นของน้ำหอมในรถหรือจากคนข้างๆ ไม่มีการพูดคุยสนทนาใดๆ ตลอดจนจบการเดินทางที่ดูจะแสนยาวนาน เมื่อถึงที่หมายผมก็เปิดประตูรถแลกำลังจะก้าวออกไป แต่ก็ถูกเจ้าของเสียงชวนสะกดฉุดรั้งเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนครับ คันนงซากะซัง” เขายื่นขวดแก้วขนาดเล็กให้กับผม ข้างในบรรจุของเหลวบางอย่างเอาไว้
“นี่คือ...”
“ของแก้เมาค้างครับ มันน่าจะช่วยคุณได้ในตอนเช้า เผื่อว่าคุณจะแฮงค์น่ะครับ”
อะไรกัน.. นิสัยเสีย ปากร้าย แต่ก็ดูใจดีกว่าที่คิด...
“คันนงซากะ!”
“คะ ครับ!” ผมหลุดกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง เสียงเรียกที่สุดแสนจะน่ารำคาญจาก (ไอ้) หัวหน้าหัวล้านนั่น
“ไหนล่ะเอกสาร จะส่งมั้ย ไม่ได้เรื่องจริงๆ ”
แกเองก็ดีแต่ด่าลูกน้องนั่นแหละวะ
“ครับ” ผมขานรับ หยิบเอกสารไปส่ง แล้วกลับเข้าโต๊ะทำงาน ฝังชีวิตลงกองงานที่น่าหดหู่ตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี พอทำงานครบแปดชั่วโมง ผมก็รีบเก็บของหวังจะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด
ถ้าไม่ถูกขัดเสียก่อน...
“นี่ๆ คันนงซากะซัง” เสียงเล็กแหลมเรียกให้ผมหันหลังกลับ
“มีอะไร.. หรือเปล่าครับ”
“วันนี้พวกเราว่าจะไปดื่มกันล่ะ คันนงซากะซังจะไปด้วยมั้ยคะ” เธอช้อนมองขึ้นมาอย่างออดอ้อน
เธอคนนั้นที่ว่า คือสาวสุดน่ารักประจำฝ่ายขาย ผู้ชายเกือบทั้งบริษัทต่างก็พยายามทำคะแนนกับเธอ แต่เธอก็ดูจะไม่ได้สน และผมเองก็ไม่ได้สนเธอด้วย
“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมมีธุระ” ผมรีบให้คำตอบเป็นข้ออ้างง่ายๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปร่วมวงสนทนากับใครให้มากนัก เพราะผมจำมันได้ดี ครั้งนั้นที่ผมเผลอตอบตกลงไป พอไปถึงทุกคนก็เริ่มแสดงฤทธิ์ที่ถูกขุดขึ้นมาจากแอลกอฮอล์ บ้างก็โวยวาย บ้างก็ด่าหัวหน้าตัวเอง บ้างก็หยอดคำนู้นคำนี้ใส่กัน และบ้างก็เอาแต่ละลาบละล้วงไร้ซึ่งความเกรงใจอีกฝ่ายด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
ซึ่งสำหรับผมมันน่าอึดอัด และการกลับบ้านไปนอนคือหนทางที่ดีที่สุดของชีวิต!
“เห๊.. ไม่ได้จริงๆ หรอ งั้นฉันก็ไม่อยากไปแล้วสิ” เธอดัดเสียงแหลมเล็กเป็นท่าไม้ตายสุดท้ายที่จะทำให้พวกผู้ชายรอบๆ เปลี่ยนมากดดันให้ผมไปด้วยแทน
จนได้
เสียงเฮฮาปาร์ตี้สังสรรค์ที่โคตรจะไม่สบอารมณ์ และเหล่าไฮยีน่าที่จ้องจะตะครุบเหยื่อที่ตัวเองหมายตา ไม่ว่าจะชายหรือหญิง
กูกลับได้ยังวะ
“นี่ๆ คันนงซากะซังไม่มีคนที่สนใจบ้างหรอคะ” เธอคนนั้นยังคงมีความพยายามที่จะคุยกับผมให้ได้
“ไม่” ผมตอบสั้นๆ วางกำแพงสูงแบบไม่ได้ตั้งใจ ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ไม่สนใจแม้เสียงหัวเราะจากสาวฝั่งตรงข้าม หรือสาวที่หน้าเสียไปจากคำตอบของผม
คนที่สนใจ.. นั่นสิ จะไปมีได้ไง...
‘คันนงซากะซัง’ เสียงทุ้มนุ่มหวาน ที่ฟังยังไงก็คือเสียงของผู้ชายดังขึ้นในโสตประสาท
อ่า.. หรือจะมีแล้วกันนะ จะว่าไปร้านที่เรามาดื่มกันก็อยู่แถวใจกลางโยโกฮาม่านี่ และที่เรามากันที่นี่ก็เพราะบรรดาคนส่วนใหญ่เบื่อร้านแถวนั้นแล้ว (แถวชินจูกุ) จึงเลือกมาเปลี่ยนบรรยากาศกันที่นี่ ที่โยโกฮาม่า สถานที่ที่ทำให้ผมได้เจอกับเจ้าคนกวนประสาทสวมถุงมือสีแดงนั่น
จะว่าไป.. ตอนที่เจออิรุมะซังก็เจอเขาแถวสถานบันเทิงนี่ หรือว่าเขาจะไปใช้บริการแถวนั้นกันนะ
บ้าจริง! อดคิดไม่ได้เลย
“นี่ๆ เมื่อกี้ฉันไปห้องน้ำมาล่ะ แล้วได้ยินเรื่องสุดยอดมาด้วยล่ะ เห็นว่าใกล้ๆ นี่มีการจับแก๊งค้ายากันอยู่ด้วย” เสียงของผู้หญิงพูดขึ้นดึงความสนใจของผมไป
แก๊งค้ายาหรอ เรื่องน่ากลัวแบบนั้นหวังว่าจะไม่ต้องไปยุ่งหรอกนะ
“อิรุมะซังครับ ขอโทษด้วยครับ อีกคนดันหนีไปได้ครับ” ตำรวจยศน้อยกว่ารายงานเขาหลังจากการล่อซื้อจับกุมพวกแก๊งค้ายารายใหญ่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีทางเลยที่จะจับมันได้ เพราะมันมีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง แต่ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนตัวดีของเขา และเพราะพวกมันดันรนหาที่ตายไปยุ่งกับน้องสาวของมันเข้า แน่นอน มันย่อมจบไม่สวย
ก็นะ ยุ่งกับเรื่องทรามๆ จะไปจบดีได้ยังไงล่ะ
ตัวเขาเองก็เช่นกัน…
“เฮ้อ... กว่าจะหลุดจากพวกนั้นได้ คราวหน้าจะต้องรีบกลับให้เร็วกว่านี้ให้ได้เลย คงต้องหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้แล้วสิ...”
เขาบ่นเสียงเบาๆ ไปตามทาง และเพราะความมึนเมาทำให้คราวนี้เขาดันเลือกใช้เส้นทางเดินมาผิดแบบมหันต์
“เสร็จแล้ว?” เสียงเย็นคุ้นหูดังขึ้นอยู่ในระยะที่ไม่ไกลนัก
ไม่หรอกมั้ง...
“เออ เวรเอ้ย! ถ้ามันไม่คิดจะจับเนมุไปกูก็ไม่ต้องมาเสียเวลากระทืบมันจนตายแบบนี้หรอก ป่านนี้โยนให้แกจับยัดลูกกรงแล้ว ชิ! แม่งเอ้ย! ค่อยโยนให้ปลาแถวนี้ก็ได้วะ” เสียงนั้นพูดขึ้นอย่างเลือดเย็น ก่อนจะดับความร้อนในใจด้วยควันบุหรี่
กะ กระทืบจนตาย? โยนให้ปลา? แย่แล้ว! ถ้าพวกมันรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ผมคงถูกพวกมันฆ่าตายแน่ ต้องรีบหนี-
“หืม? เดี๋ยวก่อนซามาโทกิ แกได้โทรเรียกลูกน้องแกมายัง”
“หืม? ยังนะ ทำไมวะจูโตะ”
จูโตะ? ทำไมชื่อนี้คุ้นจัง.. แต่เดี๋ยวก่อน! นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น! ต้องรีบหนี! แต่จะหนีไปที่ไหนล่ะทางนี้ทางตัน ถ้าจะหนีก็ต้องออกจากตรอกที่ซ่อนนี่ แต่ถ้าออกไปตอนนี้พวกมันเจอตัวผมแน่!
จะว่าไปกูหลงมาที่นี่ได้ไงวะ!
‘ถ้าเจออะไรก็โทรหาตำรวจล่ะ’
ใช่! ตำรวจ! ฮิฟุมิก็บอกอยู่นี่ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้โทรหรือไปหาตำรวจ
แกร๊ก
เอ๊ะ? ของแข็งเย็นๆ นี่มัน...
“ขอโทษนะครับ คุณมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงนี้หรอ... ครับ? คันนงซากะซัง?!”
เขาดูตกใจ
“อิรุมะซัง?!”
ผมเองก็เช่นกัน
หัวที่ว่างเปล่าของผมตอนนี้รับรู้ได้เพียงแค่วัตถุสีดำวาวที่จ่อปลายกระบอกปืนที่ข้างขมับขวาของผม ที่เพียงแค่ลั่นไกวัตถุชิ้นเล็กนั่นก็จะเจาะผ่านกะโหลกเข้ามานอนฝังอยู่ในสมองผมทันที
ถึงผมอยากไปนอน แต่ก็ไม่ได้หมายถึงอยากนอนสนิทไร้ชีพจรแบบนั้นหรอกนะ!
“อึก...”
“เฮ้ย! จูโตะ! เจอใครวะทำไมไม่ยิง!” เสียงที่เลือดเย็นยิ่งกว่าของชายอีกคนดังขึ้น และนั่นทำให้เขาได้สติและลดกระบอกปืนลง
ไม่ใช่ว่าญี่ปุ่นมีกฎหมายห้ามครอบครองอาวุธปืนหรอกหรอ! ตกลงเขาเป็นใครกันแน่ถึงได้ถือมันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ยากูซ่า?!
“คนรู้จัก” เขาตอบชายอีกคนที่กำลังเดินมาทางนี้
ต้องรีบหนี แต่จะหนียังไงล่ะ ถ้าเขายังยืนปิดทางหนีของผมไว้แบบนี้! หรือจะโทรเรียกตำรวจดี?
“จะทำอะไรน่ะครับ” เขาทักขึ้นพร้อมกับฉวยเอาโทรศัพท์ผมไปโดยที่ผมไม่ทันระวัง
เวรล่ะ! เขารู้แน่ว่าผมจะโทรหาตำรวจ! นะ หนีๆ ต้องรีบหนี!
“อ่ะ นี่ครับ” เขาส่งโทรศัพท์ฝาพับรุ่นเก่าของผมคืนให้ผมด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ
เดี๋ยว? คืนทำไม ทำไมคืน? จะไม่ทำอะไรเลยหรอ แล้วรอยยิ้มนั่นมันอะไร!
ผมก้มมองจอโทรศัพท์ตัวเองที่มีเบอร์โทรแปลกหน้าอยู่ในหน้าปุ่มกด
เบอร์ใครวะ?
“ทำไมคุยนานจังวะจูโตะ เพื่อนแก?” ชายอีกคนเดินมาปิดหนทางหนีที่ริบหรี่ของผม และวางแขนพาดบ่าของอิรุมะซัง พร้อมคาบบุหรี่ไว้ มองผมที่อยู่ต่ำกว่า
ชายเลือดเย็นคนนั้น!
“ดูเหมือนเขาจะกำลังโทรหาตำรวจน่ะ เลยให้เบอร์ไป หึๆ” เขาหัวเราะในลำคอ อย่างกับว่ามันตลกมากนักแหละ
ไม่กลัวโดนจับเลยหรือไงครับ!
“อ่อ งั้นหรอ ตำรวจนี่... ไม่ใช่ว่าแกหรือไงวะ จูโตะ” ชายคนนั้นพ่นควันบุหรี่มาทางผม จนผมสำลักจนแสบคอ
แค่กๆ ดะ เดี๋ยว? เมื่อกี้ว่าไงนะ?
“หึๆ ก็นั่นแหละ ถึงได้ให้เบอร์ไปไง” เขาพูดติดตลก จากนั้นก็ยกนิ้วเรียวสวยชี้มาที่โทรศัพท์ของผม “ถ้ามีอะไรก็โทรได้นะครับ แล้วรบกวนเมมชื่อไว้ด้วยก็ดีนะครับ คันนงซากะซัง”
รอยยิ้มของเขานี่... ไม่ชวนให้รู้สึกดีเลยสิน่า
“คะ ครับ” ผมเผลอตอบรับเสียงหลง แต่ยังไม่กล้าที่จะสบตาคู่สวยแต่น่ากลัวนั่น
แย่ล่ะ.. ตายแน่.. ตำรวจ? คนๆ นั้นเนี่ยนะ?
“แต่เขาตายแล้ว... อุ๊บ!” ผมเผลอหลุดปากออกไป แต่พอนึกขึ้นได้ก็รีบปิดปากตัวเองทันที และพอคิดว่าคงเดินหน้าไปไม่ได้ ผมจึงคิดสั้นถอยหลังกลับไปทางตันแทน แต่ก่อนที่ผมจะได้ก้าวไปเกินหนึ่งก้าว แขนของผมก็ถูกคว้าเอาไว้ก่อน
“งั้นผมว่าผมพาคุณกลับดีกว่าเนอะ คันนงซากะซัง” เขายังคงยิ้ม เป็นยิ้มที่ผมอ่านไม่ออกเลยว่าจะมาไม้ไหนอีก
นี่ผม.. คงจะได้นอนแล้วจริงๆ ใช่มั้ย นอนแบบสนิทไม่ฟื้นน่ะ
“เอาสักหน่อยมั้ยครับ” เขายื่นซองบุหรี่มาให้ผม แต่บอกเลยว่าผมไม่ขอรับ ไม่ใช่ว่าเกรงใจ แต่กลัวว่านั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะได้ถือมันก่อนตาย
ขอกอดกระเป๋าแบบเดิมดีกว่า
“อะ เอ่อ อิรุมะซัง.. นี่คือ...” ผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเขาขับมาแถวริมถนนเหนือชายฝั่งริมทะเล ซึ่งอีกฝั่งเป็นโรงงานที่ตอนนี้ปิดทำการแล้ว และตลอดทางที่นั่งมา ถนนเส้นนี้ดูร้างผู้คนและรถคันอื่นนอกจากเรา
เขาบอกว่า ‘ตอนกลางคืนถนนเส้นนี้แทบจะร้างเลย นานๆ ทีก็จะมีรถขับผ่าน และตอนนี้ก็มีเพียงพวกเราที่ใช้มัน’
ทางเปลี่ยว.. ง่ายต่อการ ‘ฆ่า’ ใช่มั้ยครับ
“…!”
พอรถมาจอดริมถนนที่ ณ เวลานี้ร้างเปลี่ยวที่ดูเหมือนจะเป็นจุดชมวิวของทะเลอ่าวโยโก เขายังมีหน้ามาบอกอีกว่า ที่นี่นอกจากมันจะถูกใช้เป็นจุดชมวิวแล้ว ยังถูกใช้เป็นสถานที่ฆ่าตัวตายยอดนิยมด้วย และพอผมจะเปิดประตูรถลงไป เขาก็รีบล็อคประตูได้อย่างทันท่วงที พร้อมพ่นควันบุหรี่ออกทางกระจกข้างของเขาที่เปิดออกรับกลิ่นอายทะเล ก่อนจะหันมายกยิ้มอย่างปีศาจร้ายที่กำลังสนุกเมื่อได้เห็นเหยื่อตัวเองดิ้นรนหาทางหนีเอาตัวรอด... ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้!
ฆ่าหมกป่า? ไม่สิๆ ฆ่าทิ้งโยนลงทะเล?
ผมแค่อยากนอนนะ! แค่อยากพัก! ไม่ได้อยากจะนอนไม่ฟื้นไปเลยหรอกนะ! ผมยังมีสถานที่ที่อยากไปอยู่ ต้นอิชิเวเรีย¹ที่เลี้ยงไว้ที่บ้านมันก็ยังต้องการให้ผมไปดูแล (และบ่นใส่) อยู่นะครับ!
“คันนง-”
“ผมแค่อยากกลับบ้านไปนอนเท่านั้นเองครับ!!”
“…”
“อ๊ะ...”
เวรล่ะๆ เวรละ! ดันเผลอหลุดปากไปอีกจนได้ พูดไปแบบนั้นไม่ใช่ว่าเขาจะโกรธจนรีบฆ่าผมตอนนี้เลยหรอกนะ!
“ขอโทษครับๆ ขอโทษจริงๆ ครับ ผมแค่อยากออกจากงานเลี้ยงบ้าๆ นั่น และกว่าจะออกมาได้ก็โดนให้ดื่มไปตั้งหลายแก้ว ทั้งๆ ที่วันนี้ไม่มีงานที่ต้องส่งวันจันทร์แท้ๆ ผมก็แค่อยากกลับบ้านไปนอนเท่านั้นเองครับ ผมไม่ได้ตั้งใจไปแอบฟังหรืออะไรหรอกนะครับ ที่ผมโทรหาตำรวจก็ เอ่อ นั่นผมแค่กลัวว่าจะถูกฆ่า เจ้าต้นอิชิเวเรียที่ผมเลี้ยงผมยังต้องกลับไปดูแลมัน ผมยัง-”
“อุ๊บ! หึๆ ฮะ.. ฮ่ะๆๆ โอ้ย! บ้าจริงคุณ! นี่คุณ..โอ้ย! ผมขำจนปวดท้องเลยนะเนี่ย ฮ่ะๆๆ” เขาที่พยายามจะกลั้นหัวเราะแต่มันก็หลุดจนต้องกุมท้องแทน เพราะเขาดันหัวเราะมากไป จากในรถที่มีแต่ความอึดอัดก็กลายเป็นเสียงหัวเราะใสดังขึ้นมาแทน
“คะ ครับ?”
อะไร มันตลกตรงไหน ก็คุณจะฆ่าปิดปากผมไม่ใช่หรอ
“ก็ เฮ้อ.. โอเคครับ ให้ตายสิ ผมไม่ได้หัวเราะขนาดนี้มานานแล้วนะครับเนี่ย ต้องขอบคุณคุณเลย คันนงซากะซัง”
“…”
ผมไร้คำพูด ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือตื่นตระหนกแบบเมื่อครู่ แต่เพราะดันเผลอไปมองรอยยิ้มและฟังเสียงหัวเราะที่ไร้การปกปิดเสแสร้งแบบทุกที
“สะ-”
“อ่อ ผมไม่ได้จะฆ่าคุณหรอกนะครับ แต่ถ้าเป็นเพื่อนผมคนนั้นก็ไม่แน่นะ หึๆ ว่าแต่เมื่อกี้จะพูดอะไรหรอครับ”
“ปะ เปล่าครับ!”
เกือบไปๆ เกือบไปแล้วสิ เมื่อกี้เกือบชมเขาไปว่า ‘สวย’ ซะแล้วสิ
“หืม? ยังเมาอยู่หรอครับ ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะ” เขาเอียงศีรษะไปแนบกับพวงมาลัยแล้วหันมามองผม ที่แม้แต่ตัวผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหน้าแดง
“เอานี่มั้ย น่าจะช่วยได้นะ ของแก้แฮงค์น่ะครับ” เขายื่นขวดจิ๋วที่บรรจุของเหลวที่เคยให้ผมกินมาให้ ซึ่งเป็นของใหม่ยังไม่ได้เปิด
ไม่น่าจะมีพิษหรอกมั้ง
“ขอบคุณครับ...” ผมรับมาเปิดดื่มทันที
“ไง ดีขึ้นมั้ยครับ” เขาส่งรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นกว่าทุกทีมาให้ผม
มันแปลก แปลกมาก แปลกที่ทำไมเขาถึงยิ้มแบบนั้นมาให้ผม และแปลก...
ที่หัวใจผมดันเต้นแรงแบบนี้
นี่มันคนที่จ่อปืนใส่หัวผมเลยนะ! ทำไมถึงต้องไปใจเต้นด้วยล่ะ!
“คุณ...”
“หืม? ผมทำไมหรอครับ”
“เมื่อกี้.. ที่คุณทำนั่นมัน... เขาตายใช่มั้ยครับ” ผมหลุดปากอีกแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ เพราะถ้าเขาฆ่าคนๆ นั้นได้ เขาก็สามารถจะฆ่าผู้เป็นพยานแบบผมได้
“อ่อ.. ครับ แต่ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ คนๆ นั้นก็แค่คนในแก๊งค้ายาที่หลบหนี.. ไม่สิครับ ที่ผมจงใจปล่อยให้หลุดไปต่างหากล่ะครับ หึๆ” เขาหัวเราะชั่วร้ายในลำคอขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง
“จงใจหรอครับ”
ทำไมล่ะ คนอย่างคุณเนี่ยนะจะปล่อยไปง่ายๆ ดูจะไม่ใช่สไตล์คุณเลยนะ ขนาดผมที่ไม่ได้ทำอะไรผิดยังโดนคุณตามลากตามแกล้งเลยเนี่ยนะ
ไม่ยุติธรรมสุดๆ!
“ครับ ก็มันดันไปมีเรื่องกับราชาเมืองท่าของที่นี่เองนี่ครับ ราชาเมืองท่าที่นี่ ถ้าใครไปยุ่งกับน้องสาวเขาเข้าล่ะก็.. บอกเลยครับว่าไม่ตายดี ยิ่งคิดจะจับน้องสาวเขาเพื่อไปขายแล้วล่ะก็... ถึงตายเลยครับ”
“ตายเลย? เอ๊ะ? เดี๋ยวนะครับ ที่ว่าขายนี่หมายถึง...”
“ค้ามนุษย์ไงครับ หึ แก๊งค้ายานั่นเป็นรายใหญ่ที่แม้แต่ตำรวจอย่างผมก็ยุ่งไม่ได้ครับ เพราะแบ็คเขาใหญ่กว่าผมมาก และนอกจากค้ายา พวกมันยังค้ามนุษย์และพวกอวัยวะเถื่อนกันด้วยน่ะครับ แต่ดันมีพวกมันคนนึงดันพลาดคิดจะไปจับน้องสาวของราชาเมืองท่าเข้า และนั่นทำให้ฝั่งนี้ฉุนขาด เลยสะดวกต่อการกวาดล้างของพวกผมน่ะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับเคยชินจนชินชา แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมตาฝาดไปเองหรือเปล่า เพราะช่วงเสี้ยววินาทีผมดันเห็นแววตาของความโกรธแค้นซ่อนอยู่ใต้เลนส์แว่นของเขา...
“แต่โชคดีที่เธอคนนั้นปลอดภัย ยังไม่ได้โดนจับตัวไป ไม่งั้นทั้งเมืองได้ลุกเป็นไฟแน่ครับ”
“อ่ะ! ครับ!” ผมหลุดจากภวังค์อย่างตื่นตกใจ เขาที่เห็นท่าทีอันน่าหัวเราะของผมเขาก็ยิ้มออกมา
“สงสัยอะไรอีกมั้ยครับ คุณพนักงาน”
“เอ่อ.. ไม่ ไม่ครับ แต่เอ่อ.. ถ้าคุณไม่ได้จะฆ่าผมแล้วคุณพาผมมาที่นี่ทำไมหรอครับ”
“หืม? อยากให้ผมฆ่าหรอครับ”
“ปะ เปล่า! ไม่ใช่นะครับ!” ผมตอบอย่างร้อนรน แต่เขากลับหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อแกล้งผมได้สำเร็จ
“ขอโทษนะครับ พอดีไม่ได้เจอเรื่องดีๆ นานไปหน่อย โชคดีจังครับที่ได้มาเจอคุณ เอาเป็นว่าที่ผมพาคุณมาก็...”
“…”
อะไรล่ะ รีบๆ พูดมาสิ
“ไม่มีครับ” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมเดาใจเขาไม่ถูก
“ห๊า?”
“หึๆ ใจเย็นสิครับ ผมก็บอกอยู่ว่าผมเองก็ไม่รู้หรอกครับ แต่ที่รู้ๆ คุณคงไม่ใช่พวกที่เอาเรื่องพวกนี้ไปบอกใครอยู่แล้วสินะครับ เพื่อนคุณก็ไม่น่าจะมีเยอะด้วยสิ คงมีแค่เซนเซย์กับอิซานามิซังใช่มั้ยครับ แต่ถึงจะเอาไปบอกใครหรือแจ้งตำรวจ เชื่อเถอะครับว่าคุณนั่นแหละที่จะไม่รอด รู้มั้ยครับว่าเพราะอะไร” เขาขยับโน้มกายมาเกือบชิดกับหน้าผม จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวเขา
“คะ ครับ?”
“ก็...”
มือของเขาลูบไปตามแขนของผม จากนั้นก็ลากลงมาตามท่อนแขนลงไปที่มือของผม สัมผัสที่หลังมือผมช้าๆ แล้วจึงค่อยๆ พลิกฝ่ามือผมให้ไปแนบประสานกันกับมือเขา จากนั้นก็บีบมือผมเบาๆ ทีหนึ่งก่อนจะปล่อยให้เป็นแค่การประสานกันธรรมดา ผมเผลอหยุดหายใจไปพักหนึ่ง หัวใจเต้นสูบฉีดอย่างไร้ที่มา ดวงตาคู่สวยช้อนมองผมราวกับผมเป็นเหยื่อชั้นดี และโดยไม่รู้ตัวหรือเผลอไผล ใบหน้าของเราก็ได้ขยับมาใกล้กันมากกว่าเดิม...
ถ้าเป็นแบบนี้... ผมจะยอมไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยก็ได้นะครับ
“ลายนิ้วมือคุณอยู่บริเวณนั้น อยู่ในรถคันนี้ และอยู่.. กับผม” เขาดึงมือผมไปสอดใต้เสื้อ ผ่านช่องว่างระหว่างกระดุม ฝ่ามือของผมแตะสัมผัสแผ่นอกของเขาบางนิ้วโดนติ่งไตของเขาเข้า เขาดูนิ่งเฉยและยิ้มยียวนกวนประสาท จนพอผมลองไปสะกิดมันเบาๆ เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย และจ้องผมอย่างคาดโทษ
“ก็ตามนั้นแหละครับ ต่อให้คุณเอ่ยปากบอกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ยังไง คุณก็ไม่รอดหรอกครับ คันนงซากะซัง” เขาดึงมือผมออก จากนั้นก็ผละออกไปจากผม พร้อมรอยยิ้มยียวนเจ้าเล่ห์
“งั้นเป็นอันตกลงนะครับ คุณไม่บอก เราไม่พูด เราทั้งคู่ก็จะไม่ซวย เอาล่ะ คุณบอกว่าอยากนอนนี่เนอะ ถ้าผมขับไปส่งคุณตอนนี้คงสักเที่ยงคืนตีหนึ่งแน่กว่าคุณจะได้นอน” เขากลับไปจับพวงมาลัย และเปลี่ยนเกียร์ขณะพูด
“งั้น.. คุณไปนอนบ้านผมแล้วกันเนอะ” เขาหันมายิ้มหลังประโยคกึ่งบังคับ
น่าหมั่นไส้ แต่...
“ครับ”
ช่วยไม่ได้
แมนชั่นหรู ระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม ลิฟต์ต้องสแกนผ่านบัตรถึงจะใช้ได้ ประตูห้องใช้ทั้งคีย์การ์ดและต้องใส่รหัสก่อนถึงจะเปิดเข้าไปได้ ห้องภายในกว้าง ดูหรู และน่าจะแพงกว่าห้องเขามาก ดูไม่สมกับตำรวจธรรมดา...
“วางกระเป๋าก่อนก็ได้นะครับ ผมไม่ขโมยหรอกครับ เห็นกอดไว้นานละ” เขาหัวเราะเบาๆ ชี้นิ้วเรียวใต้ถุงมือสีแดงมาทางกระเป๋าที่ผมกอด ผมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะวางมันลงที่โซฟาห้องนั่งเล่น ผมนั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีเขาก็กลับมานั่งข้างผมในชุดนอนแล้ว
“นั่งเกร็งเชียวนะครับ หึๆ ไปอาบน้ำสิครับ นี่ชุดสำหรับเปลี่ยนครับ ตัวคุณดูไม่ค่อยต่างจากผมเท่าไหร่ น่าจะใส่ด้วยกันได้นะครับ เสื้อผ้าคุณถอดวางไว้ในตะกร้าได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมซักให้ครับ”
“ขอบคุณครับ” ผมรับเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมา
“ห้องน้ำอยู่ตรงนู้นนะครับ จะใช้อะไรในนั้นก็ได้ตามสบาย ยกเว้นแปรงนะครับ” เขาอธิบายเพิ่มเติม ผมพยักหน้ารับแล้ลุกขึ้นไปอาบน้ำตามที่ว่า พออาบเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เขาให้มา มันเป็นแค่เสื้อยืด กางเกงผ้ายืดใส่สบาย แต่ไม่มีกางเกงชั้นใน
แหงสิ! จะไปมีได้ยังไง! มันไม่ใช่ของที่จะใช้ร่วมกันหรอกนะ!
ว่าแต่กางเกงนี่... เลยข้อนิดๆ แฮะ แต่ดีที่ผมกับเขามีความสูงที่ไม่ต่างกันมากนัก ไม่งั้นคงได้ใส่กางเกงขาลากพื้นแน่
“โอเคมั้ยครับ” เขาหันมาถาม
“ครับ ใส่ได้อยู่ครับ” ผมก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ไม่กล้าเงยขึ้นไปสบตากับเขา แต่นั่นคงทำให้เขาหงุดหงิด
“นี่ เงยหน้าหน่อยสิครับ ถ้าผมยังสวมสูททำงานออกตรวจอยู่ล่ะก็ ป่านนี้คุณโดนผมสอบสวนข้อหาทำตัวน่าสงสัยแน่ครับ”
“ขอโทษครับ ก็ผมเป็นแบบนี้นี่ครับ จะให้ทำไงได้ล่ะครับ ขอโทษด้วยครับ ขอโทษครับ”
“คันนงซากะซัง” เขากุมหน้าผาก ยกมือขึ้นเบรกผมไว้
“…”
“ก่อนอื่นนะครับ ไม่ต้องขอโทษซ้ำซากขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมฟังแล้วปวดหัวแทน” เขาส่ายหน้าเบาๆ พอผมได้ฟังเช่นนั้นก็เตรียมจะขอโทษใหม่อย่างลืมตัว แต่ดูเขาจะรู้ทันและดึงผมลงไปนั่งบนโซฟาข้างๆ จนผมต้องเผลอเงยขึ้นไปสบตากับเขา
“นี่ไงครับ แค่นี้ก็ได้แล้ว เนอะ” เขายิ้ม เป็นยิ้มที่ดูจริงใจที่สุด จนผมเผลอมองมันนาน
“เอาจริงๆ ...”
เขายังคงไม่ถอยไป หนำซ้ำยังโน้มหน้ามาใกล้ จนเป็นผมเองที่ต้องถอยออกไปเล็กน้อยด้วยความที่ไม่ชิน
“คุณเอง.. ก็หน้าตาดีนะครับ” เขาเสยผมหน้าของผมขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่จะได้มองใบหน้าที่ไร้ผมที่ปรกหน้าผม เขาจ้องราวกับกำลังหาตำหนิบนใบหน้าผม
ตาสีมรกตที่กำลังสำรวจใบหน้าผมอยู่ในตอนนี้ มันช่างไม่ต่างอะไรเลย กับการที่ค่อยๆ ถลกผิวหนังผมออกทีละชิ้นๆ ทั้งอึดอัด ทั้งไม่สบายใจ หวาดกลัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
“น่าแปลกนะครับ ทั้งที่มีรอยคล้ำใต้ตา แต่นี่มันกลับทำให้คุณดูมีอะไรมากกว่าที่เห็น น่าดึงดูด.. หรือเปล่านะ” เขายังไม่เลิกสำรวจ ลูบไล้ไปตามใต้ตาคล้ำจากการนอนไม่พอ ความเครียด และความเหนื่อยล้า พอผ่านไปสักพักเขาก็ยังไม่เลิกพินิจพิจารณา ผมจึงเริ่มทำใจ
ไหนๆ ผมก็หนีไปจากสัมผัสนี่ไม่ได้แล้ว ผมจึงลองมองช้อนกลับไปสบตาคู่สวยนั่น เขาเองก็ไม่ลังเลเลยที่จะสบตาผมกลับ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาเริ่มดูกระวนกระวาย หรืออาจจะเป็นความประมาทก็ได้ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอก แต่นั่นทำให้เขายอมผละออกไปจากการสำรวจหน้าผม
“ผ้าห่มอยู่นั่นนะครับ คุณนอนบนโซฟาแล้วกันนะ ถ้าหนาวก็ปรับแอร์ได้นะครับ รีโมทอยู่ตรงนั้น ฝันดีครับ” เขาพูดรัวๆ แล้วปิดประตูห้องนอนไป ทิ้งเพียงผมที่นั่งค้างอยู่บนโซฟา
นั่น... มันบ้าชะมัด
แต๊กๆ
เสียงแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กดังขึ้นรัวๆ แต่ตัวอักษรในหน้าจอช่างไร้ความหมายใดๆ เป็นเพียงตัวอักษรตัวเดียวที่ถูกจิ้มแป้นรัวๆ ติดๆ กัน
ตั้งแต่ที่ผมกลับมา ผมก็เริ่มรู้สึกว่าบางอย่างมันเริ่มจะแปลกไป ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผ่านมาจนถึงคืนวันศุกร์ผมก็ยังไม่อาจให้คำตอบกับตัวเองได้ ว่าทำไมตลอดที่ผ่านมาผมถึงนึกถึงแต่ใบหน้าสวยใต้กรอบแว่น ที่มีเจ้าของเป็นบุคคลผู้ชั่วร้ายแสนจะนิสัยเสียคนนั้น
“เวทย์มนต์หรอ หรือยาหลอนประสาท ทำไมถึงต้องไปนึกถึงเขาด้วยนะ ถึงจะสวยแต่นิสัยก็แย่สุดๆ เลยด้วยเนี่ยนะ ขนาดที่ทำงานจนถึงที่นี่ ทำไมต้องไปคิดถึงเขาด้วยล่ะ” ผมที่ตอนแรกว่าจะมาดูการเจริญเติบโตของต้นอิชิเวเรียและบ่นความอัดอั้นจากที่ทำงานให้มันฟัง แต่สุดท้ายก็จบลงที่เรื่องของใครบางคนที่ติดอยู่ในหัวผมไม่ไปไหน ราวกับว่ามันเป็นภาพหลอน
อิรุมะ จูโตะ...
“เฮ้อ... ฉันควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย”
เมื่อสิ้นหนทางผมจึงต้องนั่งขอความช่วยเหลือทิ้งๆ กับต้นอิชิเวเรียที่เลี้ยงอยู่ ทั้งๆ ที่มันก็ให้คำตอบกับผมไม่ได้
คิดบ้าอะไรของเราวะเนี่ย
“เฮ้อ... ทำตัวเป็นสาวน้อยไปได้”
“ข้าแนะนำให้เจ้าไปหาเธอคนนั้นซะ”
แต่ในขณะที่ผมนอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะให้หัวมันเย็นลง จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมา ทั้งๆ ที่ห้องก็น่าจะมีแค่ผมเท่านั้น...
“ต้นไม้พูดได้?!”
“อุ๊บ! …ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะดังลั่นอยู่ข้างหลังผม มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยจนไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าใคร
“ฮิฟุมิ!” ผมตวาดใส่เสียงดัง ไอ้คนเล่นไม่เป็นเวล่ำเวลาก็ไม่วายจะสำนึก
จะว่าไปมันก็มีกุญแจห้องนอนผมนี่ อย่าบอกนะว่าเข้ามาแอบฟังตั้งแต่ต้น?
“ฮ่าๆ โทษทีๆ ก็นายเอาแต่บ่นพึมพำอยู่นี่ ว่าแต่เจอปัญหาหัวใจกับใครมาล่ะ”
นั่น! มันแอบฟังอยู่จริงๆ ด้วย!
“มาๆ วันนี้อย่าลืมนัดกันนะ หม้อไฟกับเบียร์คือของคู่กัน!” ฮิฟุมิพูดถึงนัดที่ผมเองก็ลืมไปแล้ว เพราะมัวแต่นึกถึงหน้าใครบางคน
‘พ่อพนักงานขี้เมา’
“เฮ้อ... มันก็ช่วยไม่ได้นี่ มีเพื่อนเป็นโฮสต์ ที่ทำงานก็มีแต่เรื่องเครียด น่ารำคาญ น่าหงุดหงิด ชวนปวดหัว จะเมาบ้างก็ไม่แปลกนี่ครับ” ผมบ่นพึมพำคนเดียว เมื่อจู่ๆ สมองมันก็พาไปนึกถึงเขาอีกครั้ง
“หืม? ว่าไงนะดปโปะจิน” ฮิฟุมิที่ง่วนอยู่กับการเตรียมหม้อไฟหันมาถามผม ผมจึงปฏิเสธไปทันที และผ่านไปสักพักก็มีเพื่อนร่วมวงมาเพิ่ม
“ขอโทษทีนะทั้งคู่ พอดีติดอีกเคสนึง”
“มะ-”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เซนเซย์ ดปโปะจินกำลังนึกถึงสาวอยู่พอดีครับ” ฮิฟุมิพูดแซวจนผมต้องรีบไปตะครุบปากมันไว้
ไม่ใช่สาวโว้ย! เขาก็มี ‘ไอ้นั่น’ เหมือนกัน!
“สาว?”
ดูท่าคุณหมอจะไม่เก็ตมุกของฮิฟุมิ ซึ่งนั่นก็ดีแล้วล่ะ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ มากินหม้อไฟกันเถอะครับ!”
ในคืนวันศุกร์ที่ฝนตกลงมาทั้งวัน รถที่เขาขับกลับมาต้องเปิดที่ปัดน้ำฝนในวันที่ไม่มีใครข้างกาย มีเพียงเสียงเพลงเป็นเพื่อนอย่าง Salted Wound ของ Sia จากลำโพงรถที่ถูกหรี่เสียงลงจนเสียงฝนที่น่าหงุดหงิดแทบกลบเสียงมิด
เพลงที่เขาเปิดในตอนนี้มันช่างไม่เข้ากับสภาพอารมณ์ของเขาตอนนี้เอาเสียเลยจริงๆ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงยังต้องเปิดมันฟังวนซ้ำอยู่ร่ำไป
ทำนองเพลงและเนื้อเพลงที่ดูทั้งเศร้าและสุขสม มันช่างต่างจากเขาในตอนนี้ ที่ทั้งเศร้าและเดียวดาย ไร้ซึ่งความสุขครั้นในอดีต ที่ ณ ปัจจุบันมันได้กลับมาเปล่าเปลี่ยวอีกครั้ง...
รถยนต์แล่นไปบนถนนที่เปียกแฉะไปด้วยสายฝนในหน้าฝน แล่นไปอย่างไร้จุดหมาย แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งคนขับและรถที่ถูกขับ เขาหวังเพียงจะดับไอความเศร้าหม่นของตัวเองลงได้ น่าเสียดาย พิพิธภัณฑ์ศิลปะพวกนั้นได้ปิดทำการไปแล้วในเวลานี้
โทรศัพท์ที่ถูกโยนลงเบาะข้างยังคงไร้เสียงเรียกเข้าที่คิดถึง ขอบตาเขากำลังร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่ได้ เขาว่าอีกไม่นาน น้ำอุ่นใสที่เขาไม่อยากมีมันต้องร่วงหล่นไม่ต่างจากเม็ดฝนเป็นแน่ เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาขอเพียงสิ่งใดหรือใครสักคนมาเยียวยาเขาได้ในตอนนี้ก็พอ...
และในจังหวะที่เพลงได้เปลี่ยนไปเล่นเพลง Cry About It Lover ของ Katy Perry เมื่อนั้นก็มีสายเข้ามาได้ตรงจังหวะ หัวใจเขาบีบรัดรุนแรง เต้นเกร็งจนล้นปรี่ จนเกือบเหยียบเบรกกะทันหันเพื่อที่จะรับมัน แต่ในความจริงเขาทำได้แค่มองทางแล้วเอื้อมมืออีกข้างไปรับสายมัน (เป็นพฤติกรรมอันตราย ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง วิธีที่ถูกต้องคือ ต้องหาที่จอดรถก่อนจะรับโทรศัพท์) และยกมาแนบหูอย่างคาดหวัง
“สวัสดีครับ” เขาเผลอพูดด้วยโทนเสียงที่ฟังดูอบอุ่นและอ่อนโยนที่สุดที่หาได้ยากยิ่ง เขาไม่ได้มองว่าปลายสายเป็นใคร เป็นคนที่เขาคาดหวังหรือเปล่า เพราเขาแค่คาดหวังเท่านั้น
(ขอโทษครับ! ผมขอโทษจริงๆ ครับ ผมเผลอกด- ไม่ใช่สิ! คือผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ! แค่อุบัติเหตุครับ! ขอโทษด้วยจริงๆ ครับอิรุมะซัง!)
และเขาก็ต้องกัดริมฝีปากล่างแทน
อ่า... คาดหวังไปผิดๆ อีกแล้วสิเนี่ย
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องขอโทษหรอก” เขาพยายามที่จะไม่ทำให้เสียงตัวเองสั่น ใจอยากลองขับรถแบบเหยียบคันเร่งสักสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยที่ไม่เหยียบเบรกดู เผื่อว่านั่นจะทำให้เขาได้พบกับคนที่ต้องการเจอจริงๆ
ถึงแม้วันนั้นจะเป็นวันงานศพเขาเองก็ตาม
(ขอโทษครับๆ อ่ะ! ขอ- เอ่อ ครับ)
“ครับ งั้นผมวางก่อนนะ-” เขาที่อารมณ์ไม่ดีรีบพูดปิด หวังเพียงได้จบบทสนทนานี้เร็วๆ แต่แล้วก็ต้องถูกขัดเสียก่อน
(ผะ ผมขอไปบ้านคุณได้มั้ยครับ!) ปลายสายตะโกนออกมาเสียงดังจนผมต้องถอยหน้าห่างจากโทรศัพท์ และรีบเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง
น้ำตาหายร่วงหล่น ฝนเริ่มซา และผมที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม จึงตอบกลับไปว่า...
“ครับ”
ว่าแต่อุบัติเหตุที่ไหนคือการโทรมาตอนเกือบเที่ยงคืน
100% complete
Thank you for coming in and reading.
_____________________
¹ต้นอิชิเวเรีย คือ ไม้อวบน้ำประเภทหนึ่ง มีลักษณะใบเป็นรูปไข่แกมรูปแถบ นิยมปลูกไว้ปประดับ
Comments (0)