6 ตอน 6.-Cigarette 100%
โดย Kousei2
6.- Cigarette
“ดีขึ้น.. หรือยังครับ”
แก้วกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ ถูกยื่นไปให้เขา เจ้าของมือเรียวสวยที่ ณ ตอนนี้นั้นเปลือยเปล่าปราศจากถุงมือสีแดงได้รับมันไปเพื่อยกขึ้นจิบดื่ม
เมื่อรสชาติแสนขมที่คุณคุ้นเคยได้ไหลลงสัมผัสลิ้นก่อนผ่านเข้าไปในลำคอ คุณที่แตกร้าวก็เริ่มประกอบผสานกันเข้าไปใหม่ กลับคืนสติของตนเอง คราบน้ำตานั่นก็ได้หายไปกับความชื้นบนบ่าของอีกคน จะเหลือก็เพียงแต่กลิ่นอายความเศร้าที่แม้จะมีรสขมมาคอยกลบก็ไม่มีทางจางหาย
“อืม ขอบคุณนะครับ”เขาฝืนยิ้มออกมาและไม่ได้เงยหน้ามาสบตากับผมแบบทุกที
และในเมื่อมันเป็นแบบนั้นผมจึงเลือกที่จะไม่ตอบรับอะไรเขากลับ ทำเพียงทิ้งสะโพกนั่งลงบนโซฟาข้างๆ เขา เขารับรู้แต่ก็ไม่ได้เขยิบหนี ยอมปล่อยให้ความเงียบไหลผ่านไปอย่างน่าอึดอัด จนเมื่อผมจะเอ่ยปากพูดเขาก็ได้สวนตามขึ้นมาเสียก่อน
“อิ-”
“ขอโทษด้วยนะครับ”เขากล่าวอย่างราบเรียบ จ้องมองลงไปในแก้วกาแฟราวกับกำลังหนีจากสายตาของผมและไปสบมองกับตัวเองผ่านแก้วกาแฟ
คุณขอโทษอีกแล้ว คุณบอกเองไม่ใช่หรอครับ ว่าผมไม่ควรจะขอโทษอะไรพร่ำเพรื่อ ทั้งที่คุณพูดเองแท้ๆ
“อิรุมะซัง นี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับ ที่ผมรู้สึกเกลียดคำว่า ‘ขอโทษ’”ผมอัดอั้นจนเผลอพูดมันออกไปตรงๆ หลังจากปล่อยทิ้งลมหายใจออกมาหนักๆ เขาที่ได้ยินดังนั้นก็เงียบไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาจนแก้วกาแฟในมือสั่นตามเสียงหัวเราะที่คล้ายกับการพ่นลมหายใจออกมามากกว่า
“งั้นหรอครับ ผมนี่จริงๆ เลย เอาซะคุณพนักงานจอมขอโทษถึงกับเกลียดคำขอโทษซะเองเลย แย่เลยนะครับ”เขาหันมายิ้มยียวนหยอกล้อผมโดยไม่รู้ตัว แล้วต่อมาก็กลับไปยิ้มด้วยกลิ่นอายความเศร้ากับแก้วกาแฟตัวเองตามเดิม
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ว่าเวลามีคนคุยด้วยแต่คนๆ นั้นไม่ยอมมองหน้ากันมันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง
แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็ไม่ได้มีความกล้าพอที่จะไปบีบบังคับเขา
เวลายังคงดำเนินต่อไปด้วยความเงียบตึงเฉกเช่นเคย มันชวนให้รู้สึกอึดอัด แต่รอบนี้ผมจะไม่ผลีผลาม จะรอเวลาที่คุณสบายใจและอัดอั้นจนเกินพอ เพราะไม่เช่นนั้น ตัวคุณที่เพิ่งร้อยเรียงประกอบใหม่หลังจากดื่มซึมซับรสขมเข้าไป อาจจะได้กลับร้าวรานเหมือนเช่นเคยก็ได้
“คันนงซากะซัง...”เสียงอันอ่อนล้าเรียกผมกลับอย่างแผ่วเบา แต่ก็ยังคงจับจ้องมองลงไปในแก้วกาแฟราวกับตัวตนจริงๆ ของผมอยู่
ในแก้วกาแฟนั่น
“ครับ อิรุมะซัง”ผมขานตอบด้วยโทนเสียงที่ดังขึ้นกว่าปกติ แต่ไม่ใช่ระดับตะโกนหรือตะคอก เพียงแต่เรียกกระตุ้นให้เขากลับมามองที่ ‘ผม’ จริงๆ และก็ดูจะได้ผล เขาหันกลับมาสบตาผมแล้ว และครั้งนี้เขาก็ไม่ได้ปล่อยเวลาทิ้งไปเปล่าๆ เขาเริ่มพูดสิ่งที่อยากจะพูดราวกับกลัวว่าคนที่รอฟังจะเสียเวลาไปเปล่าๆ หากไม่เริ่ม
“คุณพูดถูกครับ ผมไม่ได้มีความกล้าที่จะไล่คุณไปจริงๆ นั่นแหละครับ”
รู้แล้วล่ะครับ
“ผมไม่ได้เก่งเหมือนที่ปากพูดเท่าไหร่หรอกครับ”
ดีใจด้วยครับ ที่รู้ตัว
“เพราะฉะนั้น-”
“ถ้าจะขอโทษผมไม่รับหรอกนะครับ”ผมสวนส่งไปก่อน เพราะจากที่เห็นสีหน้าเขาคล้ายกับว่ามีบางอย่างค้างคาใจ และอะไรหลายๆ อย่างตีวนเต็มไปหมดจนผมไม่อาจจะคาดเดาได้ และพอหลังจากที่ผมพูดออกไปแบบนั้นแล้ว เขาก็เงียบลงสนิท
“คุณพูดเองนะว่าไม่ควรจะขอโทษส่งๆ และคุณเองก็ไม่ได้ผิดหรอกครับ”ผมพูดออกไปโดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริงของผมหรือเปล่า หรือมันเป็นเพียงคำปลอบโยนเพื่อให้เขาสบายใจ
“ครับ งั้นคันนงซากะซัง-”
“ถ้าจะขอโทษอีกผมก็จะขอไม่รับเหมือนเดิมนะครับ”ผมรีบดักทางเขาเผื่อไว้ แต่เขาทำเพียงหัวเราะตอบกลับเบาๆ แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
“เปล่าครับ แค่อยากจะให้ช่วยฟังอะไรหน่อยน่ะครับ และหลังจากนั้น.. ก็ตามใจคุณเถอะครับ”เขาจบประโยคด้วยการยกแก้วกาแฟดื่ม ก่อนจะวางแก้วที่เหลือกาแฟเพียงก้นแก้วไว้บนโต๊ะตามเดิม
เรื่องอะไรกัน แล้วที่ว่าตามใจนั่นหมายถึงอะไรกันแน่ครับ
แต่ไม่ทันจะเรียบเรียงสติเพื่อเอ่ยปากถามหรือตอบรับยินยอมรับฟัง เขาก็เริ่มต้นด้วยการพ่นลมหายใจออกมา และเริ่มเล่าเรื่องราวของเขากับสามีคนนั้น...
“ผมกับเขาเจอกันเมื่อไม่กี่ปีก่อน...”เขาทิ้งช่วงไปสักพักราวกับต้องการจะละส่วนสำคัญบางอย่างออกไปก่อนจะเริ่มเล่าต่อ
“เขามีธุระแถวที่ผมไปพอดี เราเลยเจอกันครั้งแรกที่นั่น”เขาจบประโยคนั่นด้วยการมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย
‘ครับ’ ผมขานตอบรับในใจด้วยใจที่แปรปรวน และคล้ายกับว่าเวลามันจะค่อยๆ ช้าลงอย่างน่าอึดอัดชวนทรมานใจแปลกๆ
“เขาเป็นลูกครึ่ง.. ไม่สิ ลูกเสี้ยวน่ะครับ โรมี่เขาบอกว่าเขาทำธุรกิจส่วนตัวและก็มีธุระที่นี่ก็เลยต้องมาอยู่ญี่ปุ่นสักเดือน...”เขาพักสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะเล่าต่อ
“วันแรกที่เจอกันก็รู้สึกเหมือนอะไรหลายๆ อย่างมันลงตัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกแบบนั้น เขาเองก็ช่างพูดช่างคุยดีนะครับ รู้สึกไม่เบื่อเลย ช่างสังเกต รู้ที่รู้ทางไม่ทำให้ผมอึดอัดเลยล่ะครับ”พอเล่าจบเขาก็เผลอหลุดยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ผมยังไม่เคยได้รับมาก่อน รอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความรัก ความคิดถึง ความโหยหา ความเปล่าเปลี่ยว และอะไรอีกหลายๆ อย่างซ้อนทับกันจนผมแยกไม่ออก แต่นั่นกลับทำให้ความอิจฉาที่ไม่สมควรมีถูกขุดขึ้นอยู่ภายในใจ
“รีบเล่าต่อสิครับ”ผมเผลอหลุดคำเร่งรัดเขาเข้าโดยไม่รู้ตัว เขาที่พอได้ยินแบบนั้นก็หันมามองผมวูบหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนรอยยิ้มที่น่าอิจฉานั่นเป็นรอยยิ้มฝืดฝืนแทน
ขอโทษนะครับ อิรุมะซัง
“...นั่นสินะครับ เอาเป็นว่าทุกอย่างมันก็ลงตัวไปหมด วันนั้นเราคุยกัน ไปดื่มด้วยกัน และจบลงที่เซ็กส์...”พอมาถึงประโยคนี้เขาก็หยุดลงกะทันหันด้วยสาเหตุบางอย่างที่ผมพอจะเดาได้ แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่สนใจส่วนนี้ และข้ามไปยังส่วนที่เขาเล่าออกมาแทน
“เจอกันวันแรกคุณก็.. เอ่อ ‘นอน’กับเขาแล้วหรอครับ”ผมถามออกไป โดยพยายามเลี่ยงคำที่ออกจะตรงไปตรงมาเหมือนกับเขา
“ครับ ก็สำหรับผม ผมว่าสัมผัสทางกายมันสื่อถึงกันได้เร็วกว่านั่งจิบกาแฟถามไถ่กันอีกนะครับ ...ถึงนั่นจะเป็นครั้งแรกของผมกับผู้ชายก็เถอะ”เขาว่าด้วยน้ำเสียงที่ค่อยๆ เบาลง คล้ายกับกำลังเหนียมอาย
แต่ถึงงั้นก็เถอะ...
ผมโต้แย้งในใจ เพราะไม่อยากจะไปขัดการเล่าของเขาเพิ่ม เพื่อให้เรื่องราวที่แสนยาวนานนี้มันได้จบลงไวๆ
ผมไม่ได้ต้องการฟังเรื่องราวความรักของคุณ ผมแค่ต้องการรู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณต้องโศกเศร้าถึงเพียงนี้ และทำไมคุณถึงต้องโหยหาเขามากถึงเพียงนี้
“เดือนกว่าๆ ที่เราได้อยู่ด้วยกันทุกอย่างก็ดีไปหมด.. อาจจะใช่ทั้งหมด แต่หลายๆ อย่างก็คือดีเลย จนผมคิดว่าผมคงรักเขาเข้าแล้ว ส่วนเขาก็บอกรักผมก่อนได้สักพักแล้ว เราเลยตัดสินใจคบกัน และพอดีกับช่วงที่งานเขายังไม่เสร็จเลยต้องอยู่ต่อ”เขาหยุดพักครู่หนึ่ง แววตาเขาวูบไหวเล็กน้อย ที่ถ้าหากไม่สังเกตคงไม่มีทางเห็น
“ช่วงเขายังอยู่ที่นี่มีหลายครั้งเลยที่เขาชวนไปอเมริกาด้วยกัน เพราะที่ทำงานหลักเขาอยู่ที่นั่น ครอบครัวเขาก็ด้วย แต่ผมก็ปฏิเสธไป”
“ปฏิเสธหรอครับ”ผมถามอย่างใคร่รู้ เพราะเขาก็ดูจะรักสามีคนนั้นอยู่พอควร แต่ทำไมถึงปฏิเสธไปล่ะ
“อืม หลายๆ อย่างน่ะนะ จนสุดท้ายเขายอมแพ้ และเปลี่ยนมาเป็นจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่แทน แต่เขาต้องเคลียร์งานที่นั่นก่อนถึงจะมาอยู่ด้วยกันได้ และพอถึงเวลาที่เขาต้องกลับ...”
“ถึงตอนนั้นแล้วทำไมหรอครับ”ผมก้มหน้าลงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาเงียบไปสักพักหนึ่งจนผมแอบหวั่นใจว่าจะทำให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า
“ถึงตอนนั้นเขาก็ยังไม่ได้ขาดการติดต่อแบบตอนนี้หรอกครับ วันนั้นพอเขาลงเครื่องเสร็จก็รีบโทรมาหาทั้งที่ตอนนั้นที่นั่นมันคือเวลาตีสอง เราโทรคุยกัน แต่พอยิ่งโทรก็ยิ่งรู้สึกคิดถึงล่ะมั้ง เราเลยเปลี่ยนมาเป็นวิดีโอคอลหากัน บางวันก็คุยเล่นเรื่อยเปื่อย บางวันก็เซ็กส์โฟนกัน”คุณเม้มปากเล็กน้อยหลังจบประโยคนั้น ราวกับเป็นอาการขัดเขินที่คุณแสดงออกมา ส่วนผมนั้นถ้าหากมีน้ำอยู่ในปากมีหวังสำลักแน่นอน
“ตอนแรกทุกอย่างมันก็ดีอยู่หรอก แต่พอผ่านไปสักพักก็จะมีช่วงที่เขาขาดการติดต่อ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน แต่รอบนี้มันจวนจะปีแล้ว โรมี่ก็ยัง...”น้ำเสียงเขาแอบสั่นคลอ เสียงก็เริ่มเบาหวิว ไม่มีน้ำตา ยังไม่มี แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไง
“คุณ...”เสียงผมเองก็จมหายเข้าไปในลำคอ มองเขาผ่านม่านตา และผมคิดว่าถ้าดึงเขาเข้ามากอดอีก คราบความเปียกชื้นบนบ่าผมได้กลับมาอีกแน่
ผมไม่รังเกียจน้ำตาหรือน้ำมูกคุณ แต่ผมรังเกียจช่วงเวลาที่ทำให้คุณเจ็บปวดอยู่แบบนี้
“ผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะครับ”ผมกลั้นใจตัดจบมันแบบไม่ไยดีในความบอบช้ำของคุณ เพราะถ้าผมไม่ทำแบบนี้ มันคงเป็นผมเองที่จะบอบช้ำภายในจิตใจ
จะว่าไปธุรกิจอะไรมันจะไม่มีเวลาให้กันขนาดนั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องโทรมาหาบ้างไม่ใช่หรอ
อยากถาม แต่จากที่ดู.. ตอนนี้อย่าดีกว่า
“คุณ.. จะเอาน้ำมั้ยครับ”
“อืม ขอบคุณนะครับ”เขาปล่อยมือจากแก้วกาแฟที่คาดว่าเมื่อครู่คงกะจะยกดื่มดับกระหายหากผมไม่ถามออกไป ผมกลับมาพร้อมแก้วเปล่าสองใบกับน้ำเหยือกเย็นจากตู้เย็น เทรินให้ทั้งผมและเขาก่อนจะยกแก้วขึ้นจิบดื่มแก้ขัดความอึดอัดที่เริ่มกลับมาก่อตัว และเขาเองก็คงเช่นกัน...
“คุณเคย...”
“...”
“เคยมีความคิดที่จะเลิกกับเขามั้ยครับ”
ผมหลับตาปี๋และเผลอกลั้นหายใจไปวูบหนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงทีเดียว เขาคงจะเห็น ถึงได้นิ่งไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมากับท่าทีแสนประหลาดสำหรับเขา จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบจากแววตาที่เศร้าสร้อย
“ครับ...”ผมขานตอบกลับอย่างโง่เง่า ก่อนจะยกแก้วน้ำดื่มกลบเกลื่อนความรู้สึกภายใน
ถ้าความรู้สึกมันถูกชะล้างได้ง่ายๆ ก็ดีสิ
“...อิรุมะซัง”
“ครับ?”เขาหันกลับมาตามเสียงเรียกของผม
“ผมขอ.. ชิมกาแฟของคุณจะได้มั้ยครับ”
แก้วน้ำผมถูกวางลงพอๆ กับจังหวะที่เขาพยักหน้ารับ แล้วยื่นแก้วกาแฟมาให้ แต่ผมก็ส่ายหน้าตอบ กลั้นใจดึงความกล้าขยับเข้าไปหาเขาเพื่อสื่อสารบางอย่าง เขากับผมสบตากันได้สักพักเจ้าของตามรกตก็เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะขบขันเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นมันคงจะจางไปเยอะแล้วนะ”เขาว่าทีเล่นก่อนจะหลับตาลงและเผยอปากค้างไว้รอ
“ครับ ผมเองก็ไม่ได้ชอบกาแฟเท่าไหร่หรอกครับ”จบการหยอกล้อก็ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ ต่อ ช่องว่างระหว่างความน่าอึดอัดก็ถูกความใกล้ชิดทางกายซัดซาไป ความเงียบถูกก่อกวนด้วยเสียงที่น่าอายที่ออกมาจากปากของเราทั้งคู่ ผลัดกันลิ้มชิมรสชาติกันและกันจนพอใจ
“กาแฟ.. จางไปแล้วจริงด้วยครับ”ผมประคองแก้มเนียนของเขาและเกลี่ยเล่นเบาๆ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจหรือปฏิเสธ กลับกันเขายกมือมาประคองหลังมือผมกลับอย่างอ่อนโยน
“บอกแล้วไง แล้วชิมพอยัง”เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยลูบลงบนผิวหลังมือของผม มองสบดั่งกำลังร่ายมนต์สะกดผมไว้อยู่
“ขอมากกว่าชิมได้มั้ยครับ”
ด้วยความดื้อรั้นและความตะกละตะกลามไม่รู้จักพอของผม ทำให้เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้อย่างคนนึกขบขัน
“ได้อยู่หรอก แต่รอบนี้ขออะไรอย่างสิ”
“ครับ? อะไรหรอครับ”ผมถามออกไปทันที แต่เขากลับกดศีรษะผมลงให้ซุกซอกคอของเขา ปล่อยให้ผมแทะเล็มอย่างละโมบ
“ถุงยาง.. มีมั้ยครับ ถ้าไม่มีก็ลงไปซื้อข้างล่างตึก”
ผมได้ยินแบบนั้นก็ได้สติคืนแบบยังงงๆ เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะหยิบของบางอย่างมายัดใส่มือของผม มันคือคีย์การ์ดกับกระเป๋าตังค์
“ซื้อมาตามที่จะใช้นั่นแหละครับ ในนี้น่าจะพอ”
“อิรุมะซัง?! เรื่องเงินผมจ่ายเองได้ครับ แค่นี้ผมก็รบกวนคุณมากแล้ว”ผมยัดกระเป๋าตังค์คืนเขา เขามุ่นคิ้วใส่แต่ก็ยอมรับคืน
“งั้นเดี๋ยวมานะครับ”ผมรีบลุกขึ้นเตรียมจะลงไปซื้อของจำเป็น แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวไปไหน แขนผมก็ถูกกระตุกให้กลับลงไปนั่งด้วยแรงของอีกคน
“คุณ...!”ด้วยความตกใจผมจึงเผลอตะเบ็งเสียงใส่เขา แต่พอรู้ตัวก็รีบลดเสียงลงทันทีกับจังหวะที่เขาจับล็อคต้นแขนผมและดึงให้เอนตัวไปใกล้ ก่อนจะกระซิบลงข้างหู
“รหัส จะไม่เอาหรือไง”
“คะ ครับ”ผมขานรับอย่างยากเย็น ทำได้เพียงเหล่หางตาไปมองปีศาจจอมยั่วยุอารมณ์ที่กำลังเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
“รหัส จำนะครับ คุณพนักงาน”เสียงที่ชัดเจนดังลงข้างหูดั่งมนต์ต้องสาป ลมหายใจผมเริ่มติดขัด เมื่อเขาเริ่มบอกรหัสห้องกับผมทีละตัวและสลับกับการแทะเล็มใบหูผมอย่างเอร็ดอร่อยจนสติผมแทบจะละลายหายไป และกว่าจะได้สติคืนมาก็เมื่อเขาเลื่อนมือลงมาวางทับหลังมือผมและกดเบาๆ ให้มือที่กำไว้ของผมคลายลง
“ถ้ากลับมาแล้ว อย่าลืมล็อคประตูนะครับ ผมจะรอในห้องนอน รีบมาล่ะครับ”รอยยิ้มปีศาจกรีดกราย ก่อนจะผละไล่ผมออกไปอย่างไม่ไยดีทั้งยังคงรอยยิ้มไว้อยู่
...ยั่วชิบ!
“อืม.. เดี๋ยว คันนง-”
“ซื้อมาแล้วครับ ล็อคประตูแล้วด้วย เรียบร้อยหมดแล้วครับ”ผมรายงานอย่างร้อนรน วางกล่องถุงยางไว้ข้างเตียงและกลับมาลิ้มรสชาติที่หลงใหลจากโพลงปากของเขาต่อ ลิ้นเราทั้งคู่สลับกันไล่ต้อนอย่างไม่มีใครยอมใคร เสื้อผ้าค่อยๆ หลุดลุ่ยออกไปทีละชิ้นสองชิ้นจนเราต่างก็เปล่าเปลือย
“อื้ม! เดี๋ย.. สต๊อป!”เขาเอ่ยเสียงดุเตือนขึ้นเมื่อผมเริ่มลงมือไล่ต่ำไปยังสะโพกเขา เขาจับมือผมรั้งค้างไว้สักพัก เราสบตากัน แต่ไม่ใช่ความหวือหวา เป็นเพียงความไม่ชอบใจของผมเท่านั้น
“อย่าใจร้อนสิ แล้วก็อย่าขมวดคิ้วด้วย ไม่ได้จะห้ามซะหน่อย แค่ขอเวลาสักนิด”เขาที่ดูออกว่าผมกำลังไม่พอใจยกมืออีกข้างมาคล้องคอบีบนวดท้ายทอยของผมเบาๆ ให้ผ่อนคลายลงบ้าง
“ครับ แต่ผมโดนคุณยั่ว.. ตั้งแต่ก่อนลงไปซื้อของแล้วนะครับ”ผมโต้กลับอย่างงอแง แต่เขาก็ยังคงใจเย็นแล้วยกตัวขึ้นมาจุ๊บปลายจมูกผมเบาๆ ทีหนึ่ง
“หึๆ ครับ รู้ครับ แต่แป๊บเดียวจริงๆ พอดีลืมหยิบมาด้วย ของที่จำเป็นน่ะ”เขาคลายมือที่บีบนวดตรงท้ายทอยและเปลี่ยนเป็นการไล่ไล้ปลายนิ้วลงไปตามซี่โครงข้างลำตัว เพื่อเป็นการปลอบประโลมผมด้วยวิธีของเขา ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจก่อนจะยอมลุกให้เขาไปหยิบของที่ว่า ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมของนั่น
“เจลหล่อลื่น นี่ไงของจำเป็น”เขาชูมันขึ้นให้ดูด้วยรอยยิ้มยียวน ก่อนจะก้าวขึ้นเตียงด้วยเข่าเพียงข้างเดียว และก้มลงเอ่ยถามที่ข้างหู
“อยากให้นอน.. หรืออยากให้ขึ้น”
“อยาก.. ให้ขึ้นครับ”ผมตอบออกไปด้วยสมองที่ว่างเปล่าและติดขัด เขาที่รับฟังคำขอของผมก็เริ่มต้นผลักร่างผมให้ล้มตัวลงนอนแทน ก่อนจะก้มหน้าลงมาไซร้ใบหูและลำคอของผมไปพร้อมๆ กับเลื่อนมือข้างหนึ่งลงต่ำไปกอบโกยชิ้นส่วนของผมให้อย่างเพิ่มเติมชีวิต ลมหายใจผมติดขัด ร้อนรนแต่ก็ยินดีไปกับมัน และเมื่อเขาหยอกเย้าทายทักส่วนล่างจนพอใจ เขาก็เอื้อมไปหยิบกล่องถุงยาง จัดการแกะเปิดมันอย่างร้อนรน แล้วลงมือครอบสวมมันให้อย่างคล่องแคล่วเมื่อมันได้ที่
“ใจเย็น แค่นี้อย่าเพิ่งกระตุกสิ ยังไม่เริ่มกันเลย”เขาพูดด้วยเสียงยียวนยั่วร้ายพร้อมกับค่อยๆ กดปลายนิ้วชี้ลงบนส่วนปลายที่แข็งขืน ผมเม้มปากและกำหมัดแน่น เมื่อเขาเริ่มต้นยกสะโพกขึ้น เทเจลหล่อลื่นลงบนฝ่ามือตัวเองจนบางส่วนไหลหกเลอะลงบนตัวของผม ก่อนจะชำแรกกายด้วยนิ้วเรียวสวยที่น่าหลงใหล เปิดทางบรรจงทำให้คุ้นชิน เล้าโลมและหยอกเย้าด้วยตัวเอง โดยที่ผมทำได้เพียงมองภาพตรงหน้าอย่างรอคอยและทรมาน
พอเริ่มได้ที่ก็เริ่มชโลมตัวตนผมที่ถูกครอบคลุมด้วยเจลหล่อลื่นจนทั่วเหนอะ เขาก้มลงมาสบตากับผมราวกับกำลังถามคำถามที่ไร้คำตอบ และเราก็ต่างทราบคำตอบกันดีอยู่แล้ว
ผมต้องการคุณ ขอร้องล่ะครับ
ผมเริ่มคร่ำครวญอยู่ในใจ และเพียงไม่นาน สะโพกสวยก็ยกกดลงรับตัวตนของผมเข้าไปอย่างเปรมปรีดิ์จนสุด เขาค้างคาอยู่ภายในชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มขยับบรรเลงความอัดอั้นด้วยตัวของเขา
เสียงครางรับเบาๆ ในลำคอของเขาไม่ว่าฟังกี่ทีก็ช่างเซ็กซี่ ใบหน้าสวยเชิดขึ้นตอบรับร่างกายตนเองอย่างไม่รังเกียจหรือปฏิเสธ ท่วงท่าและลีลาของเขามันคอยกระตุ้นและดึงดูดจนยากจะละสายตา
แผ่นอกของเขาแอ่นเอนรับความรู้สึกอย่างไม่สนใจสิ่งใด จนผมอดไม่ได้ที่จะยกมือเอื้อมไปหยอกล้อแตะสัมผัส ตัวเขาสะดุ้งใส่เล็กน้อย ปรายตาลงมองผมทั้งยังคงเชิดหน้าอยู่ ผมสบตาโต้ตอบอย่างยำเกรงว่าอาจจะถูกตำหนิโทษ
“ดี...”แต่เขากลับทำเพียงมอบคำกล่าวปลอบประโลมผมสั้นๆ และจับมือผมให้กลับไปละเลงบนตัวเขาอีกรอบ โดยรอบนี้ตัวตนเขาเองก็ไร้ที่ว่าง
และผมก็แทบไร้สติเมื่อถูกตามรกตของพ่อมดล่อลวงไปพร้อมกับปลายลิ้นที่แลบออกมาไล่เลียริมฝีปากตัวเองดั่งปีศาจที่พบพานเหยื่อตัวโปรด จากนั้นเขาก็วาดรอยยิ้มออกราวกับกำลังขบขันกับท่าทีอ่อนหัดของผม กายเขาโน้มลงมาใกล้ แทะเล็มใบหูผมไม่ต่างจากอาหารจานโปรด ปลายนิ้วเกี่ยวเกาะหยอกล้อไตติ่งอ่อนไหวของผมอย่างเอาคืน สะโพกแน่นยังคงควบควงไม่ขาดจนผมเริ่มจวนจะไม่ไหวเขาถึงเปลี่ยนระดับเป็นการควงเบาๆ ให้ผมยังยั้งต่อไปได้ด้วยความทรมาน
“ใจเย็นสิครับ อ่อนหัดจริงนะ หึ ห้ามไปก่อนล่ะ ผมยังไม่ถึงไหนเลย”เขากล่าวเตือนอย่างยั่วเย้า และทั้งที่มันเป็นการตำหนิ แต่ผมกลับยินดีเกินกว่าที่ควร
“คะ ครับ ขอโทษคระ- อึก!”ผมที่เผลอหลุดคำขอโทษออกมาถูกเขาตักเตือนด้วยการกดจิกปลายเล็บลงกับติ่งไตบนแผ่นอกของผม
“ไม่ต้องขอโทษ ผมไม่ใช่ลูกค้าหรือเจ้านายคุณซะหน่อย อยู่กับผม.. อย่าขอโทษพร่ำเพรื่อเลยครับ แค่ถ้าผมบอกให้คุณทำคุณก็แค่ทำ และถ้าคุณบอกให้ผมทำผมก็จะทำตามให้เองครับ”เขาปรายตามองเป็นการยืนยันหลักประกันอย่างยั่วเย้า
“งั้น.. ขอจูบได้มั้ยครับ”ผมมองสบร้องขอความเมตตาจากเขา เขาเองก็ไม่ได้ใจร้ายเกินที่จะปฏิเสธคำขอจากปากของผม และโน้มใบหน้ามาใกล้ชิด ประกบจูบให้ด้วยความวูบวาบ เราเกี่ยวตวัดรับกันแทบทุกส่วน แลกเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกผ่านร่างกายอย่างไร้สำนึกศีลธรรม
เราต่างมัวเมา เมามาย และดำดิ่งในราคะไปด้วยกัน...
“จะไปไหนหรอครับ”เสียงนั้นถามขึ้นเมื่อผมลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าตัวเดิมหลังจากเสร็จกิจกรรมกันไปแล้วสองรอบ
“สูบบุหรี่น่ะ”ผมบอกไปสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปนอกระเบียงพร้อมบุหรี่หนึ่งซองกับไฟแช็ค จุดบุหรี่หลังจากเลื่อนประตูกระจกปิดเรียบร้อย แล้วสูบรับพิษเข้าปอดแทนอากาศเมืองโยโกฮาม่า ก่อนจะหลับตาลงนึกย้อนเรื่องราวเก่าๆ ในอดีต
‘เอกสารอะไรวะ’ซามาโทกิโยนเอกสารที่ว่านั่นลงบนโต๊ะตรงหน้า ซึ่งเป็นเอกสารที่ผมวาน(สั่ง)ให้ลูกน้องซามาโทกิช่วยสืบหามาโดยที่ไม่ได้บอกเจ้าตัว
‘ธุระนิดหน่อย’ผมตอบส่งๆ ไปอย่างไม่แยแส ทั้งที่รู้ว่ามันคือเอกสารอะไร แต่ก็ยังทำเฉไฉ
‘งั้นก็ให้ทาสแกจัดการดิวะ’
‘แบ่งๆ กันน่า เรื่องแค่นี้อย่างกดิ’
‘เออๆ คราวหน้าก็บอกกันก่อนละกัน ว่าแต่ไอ้หมอนี่มันใครวะ ข้อมูลในเอกสารยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกทะแม่งๆ’มันว่า และก่อนที่เอกสารบนโต๊ะจะถูกแย่งเอาไปผมก็รีบฉวยไว้ก่อน
‘เสือก’และตอบกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า เสียงโวยวายดังขึ้นแต่ผมหาได้สนใจ ปรายตาลงมองชื่อที่ถูกระบุไว้ในเอกสาร
โรมี่ โซคลิฟฟ์...
ก๊อกๆ
เถ้าบุหรี่ร่วงลงระเบียงของห้องผมในจังหวะเดียวกันกับเสียงเคาะกระจก ประตูบานเลื่อนนั่นถูกเปิดออกโดยคนที่คาดคิด
“ขอโทษที่รบกวนครับ พอดีผมจะสั่งอะไรมากิน คุณจะเอาอะไรมั้ยครับ”
“อะไรก็.. อยากกินราเมน แต่ไม่ต้องสั่งหรอก เดี๋ยวออกไปกินด้วยกัน ขอสูบก่อนสักแป๊บ”ผมยกมวนบุหรี่ที่สูบไปได้ครึ่งหนึ่งให้เขาดู เขาพยักหน้ารับและเลื่อนประตูปิดเข้าที่ตามเดิม ส่วนผมก็กลับมาสนใจบุหรี่ในมือต่อ มองเถ้าบุหรี่ที่หากยิ่งสูบก็จะยิ่งร่วงหล่น ผมเคาะเถ้ามันลงกับถาดเขี่ยบุหรี่ มองมันอย่างเลื่อนลอยก่อนจะเลือกวางมันลงกับถาดเขี่ยบุหรี่ แต่ไม่ได้เขี่ยดับมัน เพียงวางให้มันปล่อยควันพิษลอยไปตามลมเพียงเท่านั้น
Comments (0)