5 ตอน 5.-Cigarette 100%
โดย Kousei2
5.- Cigarette
หลังจากเสร็จกิจบนโซฟาไปแล้วรอบหนึ่ง รอบที่สองก็เริ่มต่อบนเตียง ตามด้วยสามและสี่ พอได้เสร็จสมจนสมใจเขาแล้ว เจ้าตัวการความดื้อรั้นทั้งหมดทั้งปวงก็ได้ใช้ผมเป็นหมอนข้างนอนกอดโดยที่เราทั้งคู่ยังเปลือยเปล่า
ช่วงเช้าสายของวัน ผมตื่นขึ้นมาในตอนที่เขาหายไปจากเตียงแล้วเมื่อเป็นแบบนั้นผมจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำและกลับมาหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้างเตียงที่เขาน่าจะเป็นคนเอามาให้เปลี่ยนขึ้นมาสวมใส่ แทนเสื้อผ้าชุดเมื่อวานที่เพิ่งผ่านมรสุมหนักมา
จะว่าไปเมื่อคืนนี้ก็...
“ตื่นแล้วหรอครับคันนงซากะซัง ชุดที่ให้ไปใส่ได้พอดีมั้ยครับ”เขาเอ่ยทักขึ้นในขณะที่กำลังเตรียมมื้อเช้าสำหรับสองที่ ในชุดไปรเวทธรรมดา
วันนี้ไม่มีงานสินะ
“เมื่อคืนไม่ใช่ฝันจริงๆ ด้วย...”ผมพึมพำเบาๆ เมื่อเห็นรอยสีกุหลาบตรงท้ายทอยที่ผมแอบทำไว้เมื่อคืน
“คันนงซากะซัง?”
“อรุณสวัสดิ์ครับ!”ผมที่ถูกเขาปลุกจากห้วงความคิดจนเผลอตะโกนตอบกลับไปด้วยสีหน้าตื่นๆ เขาที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับมาด้วยความงุนงง ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา
น่าขายหน้าชะมัด
“ฮ่ะๆ อรุณสวัสดิ์นะครับ นั่งก่อนสิครับ มากินข้าวกัน”เขาส่งยิ้มชวนให้ผมไปนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน พอเห็นแบบนั้นผมจึงตอบรับง่ายๆ ไม่ปริปากโต้แย้งใดๆ ตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา
บรรยากาศที่ตอนแรกผมคาดว่ามันน่าจะมีสีสันมากกว่านี้ ในความจริงมันกลับอึมครึมเงียบงันกว่าที่คิด
อึดอัดจัง
“อิรุมะ-/คันนง-”เขาทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน
“เอ่อ.. อิรุมะซังพูดก่อนเลยครับ”
“คันนงซากะซังดีกว่าครับ เชิญคุณก่อนเลย”เขาปัดมาทางผม จนผมหมดสิทธิ์จะปฏิเสธ
“ครับ”ผมตอบกลับก่อนจะก้มหน้าลงถ้วยข้าวตัวเอง นึกประโยคที่น่าจะเหมาะกับการเริ่มต้นบทสนทนาขณะกินข้าวก่อนเป็นอันดับแรก
“อร่อยดีนะครับ-“
“ขอเนื้อหาจริงๆ ครับ คันนงซากะซัง ไม่ต้องพยายามอ้อมหรอกครับ”เขาดักทางผมด้วยประโยคและน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากตำรวจสอบสวนผู้ต้องสงสัย
“ครับ คือ.. สำหรับเรื่องเมื่อคืน...”ผมพูดตะกุกตะกัก หน้าเห่อร้อนวูบ และผมยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อจริงๆ
ผมรู้เพียงอย่างเดียว ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้แค่ฝันไป
“...”และครั้งนี้เขาก็เงียบไป พอผลมันเป็นแบบนี้ ผมเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองเขา
“คันนงซากะซัง”เขาเรียกผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บอกถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
“คะ ครับ?”ผมกลั้นใจลองเงยหน้าขึ้นไปมอง เขายกยิ้มให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็เพียงไม่นาน เพราะประโยคถัดไปที่เขากล่าวออกมานั้นได้บาดลึกราวกับคมมีด
“เรื่องเมื่อคืน มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบน่ะครับ อย่าไปใส่ใจมันเลยครับ อ้อ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวผมขับรถไปส่ง ส่งคุณหน้าสถานีเหมือนเดิมแล้วกันนะครับ”พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเอาถ้วยข้าวที่กินไม่หมดไปเททิ้งและล้างเก็บ ทั้งหมดนั่นมันราวกับว่าเป็นเขาเองที่ไม่อยากเสวนากับผม
อะไรกัน ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับ อิรุมะซัง
“อิรุ-”
“คุณคงไม่อยากเป็นชู้ใครใช่มั้ยครับ”เขาพูดดักผมอีกครั้งด้วยเหตุผลที่แสนจะฟังขึ้นและเจ็บปวด
“…ครับ”
มันก็จริง ไม่มีใครอยากเป็นชู้คนอื่นหรอก
“ถ้างั้นก็ตามนี้นะครับ ส่วนเรื่องเมื่อคืนคุณก็ลืมๆ มันไปเถอะครับ ไม่ก็คิดซะว่าคุณเองก็ฝันไปก็พอ”เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ได้ใส่ใจกับมันจริงๆ ซึ่งต่างจากผม ที่มันยังคงสัมผัสติดตราตรึงอยู่ในความรู้สึกไม่ไปไหน
สำหรับคุณมันเป็นเรื่องแค่นั้นจริงๆ หรอครับ แค่เรื่องไร้สาระ แค่ความฝัน แค่ที่ระบาย แค่นั้นจริงๆ หรอครับ
“แล้วต่อไปก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก-”เสียงของเขาเงียบหายไปอย่างกะทันหัน เมื่อผมพุ่งตัวไปคว้าแขนเขาไว้ เขาหันกลับมามองผมด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ และคล้ายว่ากำลังไม่พอใจผมอยู่
‘หนึ่งนาที ลองตื้อเขาแค่หนึ่งนาที ถ้าดูท่าไม่ดีก็ไม่ควรไปตื้อเขาต่อ แต่ต้องอย่าลืมรักษาระยะห่างด้วยนะ’จู่ๆ คำแนะนำของฮิฟุมิก็ลอยเข้ามาในหัว
หนึ่งนาที ขอแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น
“คันนงซากะซัง มีอะไรหรือเปล่าครับ”เขาถามกลับด้วยความสุขุม วางท่าทีนิ่งเฉย แต่ฝ่ามือของเขากลับวางลงบนหลังมือของผม ราวกับเนื้อความจริงๆ คือเขาพยายามจะเกลี่ยกล่อมให้ผมปล่อยมือออกจากแขนเขา และด้วยความร้อนรนบวกกับความตกใจทำให้ผมเผลอลั่นคำขอโทษคำโตออกไปอีกครั้ง
“อ๊ะ...”
“คันนง-”
“ขอโทษครับ! ขอโทษจริงๆ ครับอิรุมะซัง ตะ แต่คุณ... คุณก็รู้นี่ครับว่าผมชอบคุณ”ผมยังคงคร่ำครวญเป็นเด็กทั้งที่เข้าใจความเป็นจริงนั่นแล้ว
“ครับ เรื่องนั้นผมต้องขอโทษที่เผลอตัวไปด้วยเหมือนกัน แต่เราควรพอแค่นี้เถอะนะครับ...”เขานิ่งค้างด้วยความตกใจเมื่อผมรั้งเขามาประกบจูบแนบสัมผัสอย่างแผ่วเบา ก่อนจะผละออกไปโดยแทบจะทันทีด้วยขอบตาที่เริ่มร้อนผ่าว
“ผมรู้ครับ.. แต่เป็นผมไม่ได้หรอครับ เป็นผมที่เยียวยาคุณ คอยปลอบคุณ คอยอยู่ข้างคุณตอนคุณไม่สบายใจ แค่ช่วงเวลานี้ก็ได้ครับ แค่ตอนที่... ไม่มีเขา”
เพราะผมเข้าใจดี เข้าใจดีอยู่แล้วว่าต่อให้เรามีความสัมพันธ์ทางกายกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อมต่อกันด้วยความรัก แม้ว่าผมจะต้องการมันจากปีศาจตนนี้ แต่มันคงเป็นไปได้ยาก...
หรืออาจจะไม่มีทางเลยด้วยซ้ำ
“คันนงซากะซัง...”เขามองผมอย่างอึ้งๆ ผมก็อึ้งกับความมักมากของตัวเองเช่นกัน ผมอยากได้เขา แต่เขาเป็นของคนอื่น และเขาคงไม่ได้อยากได้ผม ผมคงเป็นเพียงที่ระบายของเขาเท่านั้น
‘เลิกไม่ได้หรอครับ กับสามีของคุณน่ะ’ผมสะกดกลั้นความสงสัยนี่ไว้ในใจ ไม่กล้าและไม่อยากที่จะเสี่ยงจนทำให้ความสัมพันธ์ที่คลุมเครืออยู่แล้วพังเละไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้มันก็เกินกว่าจะย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นแล้ว
และจากเหตุการณ์เมื่อคืน ที่แม้ว่าเราจะกอดและเติมเต็มให้กันและกัน แต่ก็ไม่มีเลยที่เขาจะเปล่งเสียงเรียกชื่อผมหรือเขาคนนั้น
ราวกับต้องการจะให้มันเป็นแค่เรื่องที่ฝันไปจริงๆ
คุณแค่กำลังต้องการสิ่งที่จะมาเติมเต็ม แต่คุณไม่มีความคิดที่จะเลิกกับ ‘เขา’ และนั่นจึงทำให้ผมไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวคุณ
“อิรุมะซัง”
“...”
“ผมรู้ครับว่ามันไม่ใช่เรื่องดี แต่คุณจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้หรอครับ คุณกำลังเหงาไม่ใช่หรอครับ กำลังเศร้าอยู่ไม่ใช่หรอครับ ผมรู้นะครับว่าเรื่องแบบนี้ มันผิด แต่ผม...”
ชอบคุณเข้าแล้วนี่ครับ
ผมเงยหน้าทำใจกล้าไปสบตากับเขา หนึ่งนาทีของผมกำลังจะหมด ผมจึงรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย ค่อยๆ เลื่อนมือตัวเองลงไปดึงข้อมือของเขาขึ้นมาสัมผัสจูบลงบนฝ่ามือเปลือยเปล่าของเขาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับหลับตาลง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองใบหน้าและท่าทีของเขา
ถ้าดูท่าไม่ดีถือว่าต้องจบ ห้ามต่อรองอีก เพราะมันไม่มีหวังอีกแล้ว
“...!”เขาเผยอปากค้างเล็กน้อย ใบหน้าขาวเกือบซีดแต่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับมีสีแดงจางๆ มาแต่งเติมเพิ่มสีสัน มันช่างงดงามและน่าดึงดูด จนแทบไม่ต่างอะไรกับตาสีมรกตคู่นั้นเลย
ผลออกมาแบบนี้... มันคือยังไงกันแน่นะ
“ปะ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”เขาพยายามดุด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งที่พวงแก้มนั่นประดับประดาไปด้วยสีพีชอ่อนๆ ที่ดูจะลามไปถึงใบหูด้วยเช่นกัน
เขาเขิน?
คุณกำลังเขินอยู่นี่ครับ
“อิรุมะซังครับ”
“ครับ?”เขาขานตอบด้วยความไม่มั่นใจ พร้อมกับผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น สายตาเขาก็ยังจ้องมองมาที่ผมไม่วางตา
“ผมชอบคุณครับ ผมยังชอบคุณอยู่นะครับ อิรุมะซัง”
“...ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ”หลังจากที่เขาเงียบไปสักพัก ขาก็เริ่มเอ่ยสิ่งที่ผมไม่ต้องการได้ยินออกมา
เพิ่งรู้สึกเกลียดคำว่าขอโทษก็วันนี้
“นั่นสินะครับ”ผมก้มหน้ายิ้มจางๆ โดยที่รู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าวยิ่งกว่าเก่า
นั่นสินะ ถึงผมจะชอบคุณ แต่คุณก็ไม่ได้ชอบผม
“คันนงซากะซัง...”
แต่...
“มันไม่มีทางเลยจริงๆ หรอครับ”
ผมห้ามปากตัวเองไม่ได้จริงๆ ขอโทษครับอิรุมะซัง
“...”
“แค่คนที่..จะอยู่ด้วยตอนที่คุณต้องการใครสักคนก็ได้ครับ จะแค่นั้น... ก็ได้ครับ”เพราะมันคงจะดีกว่าที่ถูกตัดหางซะตอนนี้ แต่ถึงอย่างไรความเงียบก็ยังเข้าปกคลุม ไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกจากปากเขา
“อ่า.. ฮ่ะๆ”ผมหัวเราะออกมาอย่างฝืดฝืน ในขณะที่ขอบตาร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นเล็กน้อยที่ขอบตา ผมปล่อยมือจากเขาด้วยความสิ้นหวังหนทาง
“คันนง-”
“ขอโทษที่รบกวนมาตลอดครับ!”ผมชิงขอโทษด้วยความร้อนตัว ก่อนจะคิดได้ว่าผมควรไปจากที่นี่เพื่อให้เขาสบายใจให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตุบ!
“โอ้ย!”ตลกร้ายกรรมซ้ำ ผมที่รีบเกินไปได้เตะเข้ากับขาโต๊ะที่เพิ่งใช้ทานมื้อเช้าด้วยกัน จนถึงกับต้องทรุดตัวลงไปนั่งกุมนิ้วก้อยซ้ายตัวเอง
“คันนงซากะซัง! เป็นอะไรมากมั้ยครับ”เขาตามมาก้มลงดูอาการหลังจากผมเตะขาโต๊ะไปเต็มแรง และจากนั้นเขาก็โพล่งขึ้นมาอย่างน่าหวาดเสียว “เล็บเปิดเลยนี่ครับ!”
“ละ เล็บเปิดหรอครับ”ผมตกใจกับสิ่งที่เขาพูดจนต้องก้มลงดูตาม และก็ตามนั้นเลย ผมคงเตะมันแรงมาก มากจนเล็บนิ้วก้อยมันเผยออ้าออกจนแทบไม่ต่างอะไรกับฝากระโปรงรถ
ดูน่าหวาดเสียวแฮะ
“เจ็บมากมั้ยครับ”เขาจับมือที่ผมใช้กุมมันออก และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ระวังอย่าเพิ่งไปจับมันนะครับ เดี๋ยวอาจจะแย่กว่าเดิมได้”
คุณเป็นห่วงผมด้วย
“จะให้ผมดึงมันออกให้ก็ได้นะครับ คันนงซากะซัง”เขาแสร้งทำเสียงจริงจังจนผมแอบขนลุกวาบ
ขอถอนคำพูด คุณแม่งน่ากลัวกว่าที่คิดอีกครับ อิรุมะซัง
“ยาก็ตามนี้นะครับ พยายามอย่าให้โดนน้ำไปสักเจ็ดวัน และอย่าลืมเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวันด้วยล่ะครับ อาทิตย์หน้าก็มาตามนัดนี้นะครับ ถ้าติดธุระก็รบกวนโทรมาแจ้งก่อนอย่างน้อยสองวันนะครับ”คุณหมอกล่าวรวดเดียวจบ หลังจากที่ผมถูกพามาถอดเล็บนิ้วก้อยที่โรงพยาบาล
หลังจากอิรุมะซังแกล้งผมจนพอใจเขาก็พาผมนั่งรถมาส่งที่โรงพยาบาลเมืองท่าที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเขานัก เพื่อส่งผมให้กับหมอที่นี่รักษาผมต่อ พอเสร็จผมก็เดินกลับมายังจุดที่เขารออยู่ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวจาการฉีดยาชาที่แสนเจ็บเมื่อครู่
“เสร็จแล้วหรอครับ เป็นไงบ้างครับ ทำไมหน้าดูซีดๆ แบบนั้นล่ะครับ”เขาเริ่มถามไถ่รัวๆ ทันทีที่เจอหน้าผม ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยสำรวจดูเท้าข้างที่เพิ่งไปทำการถอดเล็บมา
“ไม่เป็นไรมากครับ หมอถอดเล็บออกไปให้แล้ว แต่แค่ยาชามันยังรู้สึกเจ็บๆ อยู่เลยน่ะครับ”ผมถอนหายใจหนักๆ หลังจากเผลอบ่นให้เขาฟังอย่างลืมตัว
“อ่ะ! เอ่อ ผมต้องขอโทษและขอบคุณด้วยจริงๆ นะครับที่คุณอุตส่าห์ลำบากมาส่ง”ผมก้มศีรษะให้เขาทีหนึ่ง
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องขอโทษหรอก ยังไงวันนี้ผมก็ไม่มีงาน”เขาว่าอย่างไม่ถือสา และหยิบซองบุหรี่ออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะเก็บเข้าที่เดิมเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาล เขตปลอดบุหรี่ที่มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัยเดินผ่านไปผ่านมา เขาที่เห็นว่าผมยืนมองเขานิ่งอย่างคนไม่รู้จะทำอะไรนานสักพักแล้วจึงได้เดินนำผมไปโดยไม่พูดอะไรต่อ เพื่อพาผมไปยังรถตัวเองที่จอดรออยู่ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับและปลดล็อคประตูฝั่งข้างคนขับให้ผม
“เดี๋ยวผมจะขับไปที่แมนชั่นผมก่อน เก็บของเสร็จแล้วผมถึงจะขับไปส่งคุณที่บ้านให้นะครับ”เขาพูเสร็จสรรพก่อนจะสตาร์ทรถเตรียมจะขับออกไป
“คันนงซากะซัง ช่วยหยิบไฟแช็คในเก๊ะให้หน่อยสิครับ ผมคิดว่ามันน่าจะอยู่ในนั้น”เขาบอกหลังจากหยิบบุหรี่ออกมาจากซอง ผมขานรับอย่างว่าง่าย และเปิดเก๊ะหาให้เขา
อยู่ไหนล่ะเนี่ย
“อิรุมะซัง ขอโทษนะครับ แต่ผมหาไม่เจอ คุณเก็บมันไว้ตรงนี้แน่หรอครับ”ผมถามขณะที่ยังตั้งหน้าตั้งตาหามันต่อ แต่หาแล้วหาอีกผมก็ยังไม่เจอไฟแช็คที่ว่า จะเจอก็มีแต่พวกซองเอกสาร แฟ้ม และกล่องถุงยางบาง0.02
“ไม่เจอหรอครับ แต่อันสำรองผมก็ใส่เอาไว้ในนั้นแล้วนะ”เขาว่าก่อนจะเก็บบุหรี่เข้าซอง ปลดสายเบลล์แล้วค่อยยืดตัวเอี้ยวมาทางผมเพื่อช่วยหามัน แต่พอเขาที่มั่นใจว่ามันจะต้องอยู่ในนี้กลับหาไม่เจอก็อดที่จะจิ๊ปากไม่ได้
“หาแบบนี้ไม่ถนัดเลยแฮะ”เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อไปจับเบาะ ยกสะโพกขึ้นผ่านสายตาที่กำลังจับจ้องของผม แต่เขาดูจะไม่ใส่ใจ ยกขายาวๆ นั่นก้าวข้ามมายังเบาะที่นั่งของผม วางเท้าลงพรมปูพื้นรถ และนั่งซ้อนทับตักผมทั้งแบบนั้น...
“เอ่อ อิรุมะซัง?”ผมนั่งตัวเกร็ง พยายามไม่พูดตะกุกตะกักแต่ก็แอบหลุดเสียงหลงกับการกระทำโดยไม่แจ้งล่วงหน้าของเขา มือไม้แข็งนิ่งไม่รู้ว่าควรจะไปวางที่ไหน และยิ่งเขาขยับขยุกขยิกไปมาบนตักผม ส่วนนั้นที่ไม่สมควรตื่นมาในเวลานี้ก็ได้ตื่นขึ้น
ซวยล่ะ
“หืม? คันนงซากะซัง?”เขามุ่นหัวคิ้ว พยายามฝืนพื้นที่อันน้อยนิดเพื่อที่จะหันมามองผม
“ขะ ขอโทษครับ!”ผมแทบจะก้มศีรษะขอโทษ ปากเอ่ยในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับร่างกายของตัวเอง ส่วนนั้นมันยังคงแข็งขืนรับสะโพกแน่นที่กดทับลงมาบนตักผมอย่างน่าไม่อาย ต่างจากเจ้าของมันที่หน้าร้อนหูร้อนจนไม่รู้ว่าควรจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ไอ้ลูกชาย! กลับไปนอนเดี๋ยวนี้!
“นี่คุณ... เฮ้อ เอาจริงดิ”เขาบ่นใส่เบาๆ ก่อนจะจับล็อคต้นขาผม เอนแผ่นหลังลงมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงกระซิบ “ผมไม่ช่วยหรอกนะครับ”
“///”ผมรีบเงยไปสบตากับเขา รอยยิ้มปีศาจเผยออกให้เห็นเด่นชัด หน้าผมร้อนวูบยิ่งกว่าเดิม เขาที่เห็นแบบนั้นก็พ่นหัวเราะออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะลุกย้ายสะโพกกลับไปที่นั่งเบาะคนขับตามเดิม
“คุณมันปีศาจชัดๆ”ผมเผลอบ่นออกมา เขาที่น่าจะได้ยินก็เงียบไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมากดอย่างไม่ใส่ใจ
“คุณรู้ใช่มั้ยครับว่ากระจกรถมันเป็นฟิล์มใส¹”เขาถามขึ้นโดยไม่ได้หันกลับมามองผม
“ครับ”
_________________________
¹ญี่ปุ่นมีกฎหมาย ห้ามรถทุกชนิดติดฟิล์มครึ่งคันหน้ารถ(ทั้งกระจกหน้า ฝั่งคนขับและข้างคนขับ) หรือถ้าจะติดต้องเป็นฟิล์มใสชนิดมองทะลุเห็นคนขับหรือคนนั่งได้
แล้วมันทำไมหรอคะ-
“งั้นก็รีบจัดการกับมันเถอะครับ แถวนี้ไม่มีกล้อง จะทำก็คงไม่มีใครเห็น ถ้าเจ้าของรถคันข้างๆ ยังไม่มาน่ะนะ”
เดี๋ยว?! ทำตอนนี้?
“ผมไม่อยากกลับห้องโดยที่คุณยังแข็งอยู่แบบนั้นหรอกนะครับ ขายหน้าคนอื่นเขาแย่ ทำๆ ไปเถอะครับ ผมไม่ว่าหรอก แต่ช่วยทำให้เสร็จก่อนที่เจ้าของรถคันข้างๆ คุณจะกลับมาดีกว่านะ ถ้าเขาเห็น คุณคงโดนข้อหาอนาจารแน่ครับ”เขาว่าเสียงเรียบโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าจอมือถือ
“ผมไม่ดูหรอกครับ เชิญตามสบายเลย ทิชชู่อยู่หลังเบาะเอื้อมไปหยิบเอาเองนะครับ”ว่าจบเขาก็ใส่แอร์พอร์ต ปรับเบาะเอนลงนอนแบบไม่สนใจผมจริงๆ
ไม่ทางเลือกแล้วจริงๆ ใช่มั้ย
เก้าโมงสิบสองนาที น่าจะเสร็จแล้วมั้ง
“คันนงซากะซัง.. นี่ ยังไม่เสร็จอีกหรอครับ”ผมถามออกไปตรงๆ และอดที่จะแสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาไม่ได้
นี่มันเลยครึ่งชั่วโมงมาแล้วนะ!
“เมื่อคืนก็ไม่เห็นว่าจะเป็นแบบนี้นี่ครับ”ผมปรับเบาะกลับเข้าที่ กดหยุดหนังที่กำลังดูอยู่ และถอดแอร์พอร์ตเก็บเข้าเคส ก่อนจะหันไปเค้นถามเขาด้วยความเคยชิน คนที่ถูกถามได้แต่อ้ำอึ้ง งอตัวเป็นกุ้ง ทั้งที่มืออีกข้างยังคงกำรอบส่วนนั้นอยู่
อย่างกับแฮมเตอร์ขี้กลัวเลยแฮะ
“อ่ะ คือ.. ขอโทษครับ! ผมขอโทษครับที่ทำคุณเสียเวลา ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกครับ แต่.. คือว่า มัน...”เขาเอาแต่อ้ำอึ้ง จนน่าหงุดหงิด และพอผมหลุดเสียงจิ๊ปากออกไป เขาก็มีท่าทีหวาดกลัวแล้วจากนั้นก็เอ่ยขอโทษออกมาอีกครั้งอย่างสิ้นเปลือง พร้อมทั้งมีสีหน้าคล้ายคนกำลังจะร้องไห้แต่ก็ไม่ได้มีน้ำตา
นี่ผมน่ากลัวเกินไปหรืออะไร แทนที่จะน่าแกล้งเหมือนทุกที คราวนี้กลับรู้สึกหงุดหงิดแทนแฮะ
“เครียดหรอครับ”ผมพยายามทำใจเย็นให้เขาสงบสติอารมณ์และลดความตื่นกลัวลง
“คะ ครับ?”เขาเงยหน้าขึ้น กลับมาสบตาผมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เครียดหรอครับ หรือว่าไม่มีอะไรกระตุ้น ถึงได้ช้าแบบนี้”ผมอธิบายอย่างใจเย็น หยิบมวนบุหรี่ขึ้นมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีไฟแช็ค แล้วจึงเก็บกลับเข้าที่เดิม
“อ่า ครับ คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นครับ”เขาเริ่มกลับมาปกติ และดูเหมือนเขาจะลดความกังวลลงไปบ้างแล้ว แต่คงต้องขอเว้นเจ้านั่นที่ยังคงรั้นอยู่ไม่เลิกไม่รา
ท่าจะดื้อน่าดูเลยแฮะ แต่ทางนี้อยากรีบกลับแล้วสิ ถ้ารอนานกว่านี้มันก็คงไม่ไหว
“คันนงซากะซัง ช่วยเอนเบาะลงไปให้สุดทีครับ”ผมชี้สั่ง เขาดูตื่นตกใจและงงงวยสับสน ทำท่าทีเหมือนอยากจะแย้งผมอย่างไงอย่างงั้น แต่พอเจอสายตากดดันของผม สุดท้ายเขาก็จึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย เอนเบาะลงไปจนสุดที่เกือบจะร้อยแปดสิบองศาได้
“จะทำอะไร.. น่าครับ?!”เขาหลุดเสียงหลงทันทีที่ผมตามไปคร่อมบนตัวเขาแบบกลับหัว เข่าของผมวางทาบลงเบาะพนักพิงข้างตัวช่วงบนของเขา สะโพกแอ่นยกขึ้นสูงพยายามไม่วางทับบนหน้าเขา เท้าศอกทั้งสองข้างข้างช่วงล่างของเขา จนเห็นส่วนที่ดื้อรั้นของเขาได้อย่างชัดเจน
“ก็จะช่วยไงครับ”ว่าจบผมก็ตัดจบด้วยการใช้ริมฝีปากงับเบาๆ ที่กลางลำตัวของส่วนนั้น จากนั้นก็ใช้ลิ้นโลมเลียจนมันกระตุกสั่นเล็กน้อยอย่างน่ารังแก
“อ๊ะ! นี่! อย่ามาจับกันสิ!”ผมเอ็ดเขา เมื่อจู่ๆ มือไม้ที่เริ่มอยู่ไม่สุขของเขาจับคว้าลงที่สะโพกของผม พอเขาโดนเอ็ดไปคำโตมือคู่นั้นก็รีบชักหนีกลับไปทันที
“ขอโทษครับอิรุมะซัง!”
“จะจับก็จับขาผมไปครับ ส่วนอื่นห้ามแตะ ถ้าจับนอกเหนือจากนั้นผมจะกัดส่วนหัวของคุณให้ขาดคาปากแน่ครับ”ผมขู่เตือนไปก่อนจะกลับมาสนใจส่วนที่น่ารักน่ารังแกที่เริ่มงอตัวฝ่อลงเมื่อได้ยินคำขู่ของผมเข้าไป
ขี้กลัวก็เป็นหรือไงนะ หึ
“คันนงซากะซัง เจ้าส่วนนี้ของคุณมันตาขาวไปแล้วนะครับ”ผมถามเสียงแสร้งแกล้งหยอกล้อ แต่มือจับไล่ขึ้นลงไปตามขนาดของมันให้ความดื้อรั้นนั่นฟื้นคืนมาอย่างลืมตัว
“ขะ ขอโทษครับ! แต่ถ้าเป็นแบบนั้น คุณไม่ต้องชะ ช่วยแล้ว.. ก็ได้ครับ!”เขาพูดมันออกมาอย่างยากลำบากด้วยเสียงคล้ายคำรามในลำคอ เมื่อผมหาทางทำให้มันฟื้นคืนจนได้สำเร็จ ปลายนิ้วชี้กดวนอยู่บนร่องของส่วนปลายด้วยความเร็วที่ไม่เสมอเท่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ปล่อยออกมาย่อมดีกว่าไม่ใช่หรอครับ... อื้อ”ผมลดใบหน้าลงไปดูดรับส่วนนั้นให้จนมันเริ่มล้นปรี่ออกมา มือที่เปลี่ยนมาขยำต้นขาผมนั้นจะยิ่งขยำรุนแรงมากขึ้นในช่วงที่ผมออกแรงดูดมากขึ้น
หรือว่าจะชอบแบบนี้กันนะ
“อึก..! อิรุมะซัง”เขาครางตอบรับ เมื่อส่วนปลายของเขาถูกดูดแรงๆ ทีหนึ่ง ก่อนที่มันจะถูกครอบครองด้วยริมฝีปากของผมอย่างบรรจงและไร้ความปราณี
เสียงน่าอายชวนรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างดังขึ้นจากแหล่งกำเนิดเสียงที่มีชื่อว่าเราทั้งคู่
กลิ่นที่ยังไม่คุ้นชิน สัมผัสที่เคยรับรู้เพียงแค่ชั่วคืน ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แต่ทำไมผมกลับรู้สึกวูบไหวอย่างประหลาด ภาพจำของเมื่อคืนมันเริ่มหลั่งไหลเข้ามาจนไม่ต่างอะไรกับของเหลวคาวที่กำลังหลั่งเข้าปากผม ไร้ซึ่งความหวานที่ไม่มักชอบอะไรอยู่แล้ว เป็นเพียงรสชาติที่ฝาดลึกปนขม แต่ติดตรึงจนยากที่จะลบเลือน
“อึก!”
และแล้วในที่สุดส่วนที่ดื้อรั้นของเขาก็ยอมสงบลงคาปากของผม เสียงหอบหายใจตามมาพร้อมๆ กับแรงคลายที่ต้นขา ผมขยับย้ายสะโพกลงไปตรงตักเขาโดยระวังไม่ให้อะไรของผมไปปลุกมันให้ตื่นขึ้นอีก จากนั้นก็เริ่มกลืนลบร่องรอยหลักฐานความผิดที่เหนียวหนืดฝืดคอนั่นเข้าไป
กลืนยากกว่าเหล้าเข้มๆ อีกมั้ง
“ขอโทษนะครับ อิรุมะซัง”เขายื่นกล่องทิชชู่มาให้หลังจากที่ผมกลืนมันลงคอไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ดึงรับมันมาเช็ดริมขอบปากของตัวเอง แล้วจึงกลับไปนั่งเบาะฝั่งคนขับตามเดิม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้รงเกียจอะไร และผมก็อยากกลับไปสูบบุหรี่ด้วย”
“ขอโท- ครับ... ขอบคุณครับ”เขาก้มหน้าตอบกลับขณะเก็บกวาดซากร่องรอยที่ยังคงมีหกเหลือด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับความร้อนไว้บนแก้ม ทั้งที่กิจกรรมน่าหวาดเสียวเมื่อครู่ได้จบลงไปแล้วแท้ๆ
ก็ดูน่ารักดีแฮะ
“มี.. อะไรหรือเปล่าครับ อิรุมะซัง”เขาถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่
“อ่ะ... ไม่มีอะไรครับ”ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวก็รีบหันหน้ากลับมาหน้าพวงมาลัยตามเดิม
กิจกรรมไร้สำนึกนั่นได้จบลงไปแล้ว
ความรู้สึกวูบวาบอย่างไร้ทางเยียวยานั่นก็ไม่มีอยู่แล้ว
ช่องว่างระหว่างเราก็ควรกลับมาเหมือนเดิม
แล้วอะไรกันที่กำลังไม่เหมือนเดิม ทำไมหัวใจผมต้องเต้นถี่ด้วยล่ะ
“อิรุมะซัง...”เขาเอียงคอหันมาหาผมด้วยความกังวลที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ต่างกับผมที่พยายามจะปกปิดทุกอย่าง
“คันนงซากะซัง คุณเป็นคนดีนะครับ”
เพราะงั้นอย่ามาชอบคนอย่างผมเลยครับ
“ครับ?”
“คุณน่าจะมีคนดีๆ เข้ามาแน่นอนครับ”
และแน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ผม
“...”
“ช่วย.. เลิกชอบผมเถอะนะครับ”ผมกำพวงมาลัยแน่น ยกยิ้มแสร้งตามปกติ แต่ดูเหมือนผมจะปิดดวงตาสีคลอรีนนั่นไม่พ้น
“แล้ว! ...แล้วมันทำไมล่ะครับ ถ้าผมจะชอบคุณ คุณต่างหากที่ไม่เคยเข้าใจอะไรผมเลย ผมไม่ได้บอกซะหน่อยว่าอยากจะเลิกชอบคุณ ผมบอกคุณตอนไหนหรอครับอิรุมะซัง ตอนไหนกันที่ผมบอกคุณ...”เสียงเขาสั่นจนน่าใจหาย แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมาให้เห็นสักหยด
“คุณ...”
“คุณมันบ้าครับ บ้ามากครับอิรุมะซัง ถ้าคุณจะมาบอกผมแบบนี้ แล้วที่คุณทำกับผมทั้งหมดล่ะครับ เพราะฝันหรอครับ เพราะอารมณ์ส่วนตัว คุณแม่งโคตรเลวร้ายเลยครับอิรุมะซัง คุณบอกให้ผมออกไปจากชีวิตคุณ แต่ตัวคุณต่างหากล่ะครับที่เหงาจนต้องดึงรั้งผมไว้ หรือไม่จริงล่ะครับ”เขาที่ตอนนี้ได้สติแตกเงยหน้ากลับขึ้นมาสบตาผม ความหวาดกลัวดั่งแฮมเตอร์ได้หดหายจนแทบไม่มีเหลือ เขาจับต้นแขนผมคว้าไปใกล้ก่อนจะกดจูบผมทิ้งค้างไว้สักพัก และตอนนั้นนี่แหละ ที่ผมเห็นอะไรบางอย่างไหลซึมออกมาจากตาของเขา
ร้องไห้?!
“เห็นมั้ย คุณก็ไม่ได้ไล่ผมไปตามที่ปากคุณว่านี่ครับ อิรุมะซัง”เขายกยิ้มอย่างเศร้าสร้อย เสียงผมกำลังจมหายไปในลำคอ เรี่ยวแรงที่ดีไม่ดีผมน่าจะมีมากกว่าเขาได้หายไป
ใช่.. ผมไล่คุณไปแบบนั้นแต่ในความเป็นจริงผมทำไม่ได้เลย
“น่าสมเพชชะมัด...”
ตัวผมเนี่ย
“อิรุมะซัง...”เสียงสั่นด้วยความกังวลเมื่อผมรู้สึกถึงความร้อนผ่าวจากใต้ขอบตาตัวเอง
นี่ผมกำลังร้องไห้หรอเนี่ย...
“ขอโทษนะครับ ขอผมเห็นแก่ตัวอีกสักหน่อยนะครับ”ผมก้มลงไปซบลงบนบ่าของเขา ทิ้งเศษซากน้ำตาไว้ที่บ่าอันเปียกชื้น
ปราสาทแก้วกำลังร่วงหล่น
ดวงตะวันที่คอยฉายแสงกำลังถูกกลุ่มเมฆบดบัง
ความเศร้ากับความเหงากำลังคร่ำครวญด้วยน้ำตาที่ไร้เสียง
และความอ้างว้างที่แสนยาวนานกำลังถูกใครบางคนเขามาเติมเต็ม
ไม่มีคำอธิบายความสัมพันธ์ที่ชัดเจน มีเพียงความต้องการและตัณหาของผู้ที่ยินยอมอาบกลบด้วยกลิ่นบาป
Comments (0)