ช่วงเช้าแสนวุ่นวายเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ชเนย์ตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องไปเตรียมอาหารจำนวนมากให้เจ้านรกและเหล่าผู้บังคับบัญชา แต่เมื่อกำลังจะก้าวออกจากห้องสายตาก็เหลือบมามองอเวเค่นที่ยังคงหลับปุ๋ยอยู่ เป็นนักฆ่าแต่ขี้เซากว่าที่คิด

ตอนนอนเงียบๆ ก็น่าเอ็นดูดี ผิดกับตอนตื่นลิบลับ

กลิ่นยาสูบของตนคงลอยไปแตะจมูกคนหลับเข้า แค่ขยับเข้าไปใกล้อเวเค่นก็พลิกตัวหลบไปอีกทาง แต่ดูท่าทางแล้วคงยังไม่น่าจะตื่นง่ายๆ

“จะทำอะไรกินดีล่ะเนี่ย?” ถึงจะบอกว่าให้คิดเองแต่ก็นึกอะไรไม่ค่อยออกอยู่ดี ด้วยข้อจำกัดเรื่องวัตถุดิบ

ถ้าโดนจับได้ขึ้นมาจะโดนคุณไคม์ลงโทษมั้ยหว่า?

อเวเค่นงัวเงียหน้าทำหน้ามึนเหมือนคนนอนไม่พอ หลังจากตื่นมาสักพักก็เริ่มบิดขี้เกียจและรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยเพราะนอนพื้นทั้งคืน สายตากวาดมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเจ้าของห้อง มีเพียงกระดาษที่เขียนโน้ตทิ้งเอาไว้ให้ไปเจอกันที่ห้องครัว

ชายหนุ่มลุกขึ้นเก็บหมอนและผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเปิดประตูเดินตรงไปห้องครัวทันทีแม้จะอยู่ในสภาพที่ยังไม่เรียบร้อยดีก็ตาม

ชเนย์ที่กำลังวุ่นวายกับงานครัวเหมือนเชฟในโรงแรมชะงักไปนิดหนึ่งที่อีกคนบุกมาที่ครัวโดยยังไม่ทันทำอาหารเสร็จดี

“อาหารยังไม่เสร็จเลยครับ คุณไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า” พ่อครัวมองคนที่ทำหน้าง่วงมาก ดูไปแล้วคงยังเมาขี้ตาอยู่เป็นแน่

อย่าบอกนะว่าเดินตามกลิ่นมาถึงนี่?

“หิวแล้ว...”

“เดี๋ยว! อันนั้นยังกินไม่ได้!” ชเนย์พุ่งไปห้ามคนที่กำลังจะเอาเนื้อที่เตรียมไว้ในใช้จานหลักมากินดิบๆ พ่อครัวดันหลังและปิดประตูห้องครัวล็อคไว้ไม่ให้เข้าเพราะโดนป่วนจนไม่เป็นอันทำงาน ก่อนจะหันไปทำอาหารเช้าของทุกคนต่อ

พอโดนไล่ อเวเค่นก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง จัดการทำธุระส่วนตัวตอนเช้า พอสติกลับมาเข้าที่ก็มองตัวเองในกระจกแล้วเอาหัวโขกกำแพงไปทีหนึ่งเป็นการเรียกสติ และย้ำเตือนบอกตัวเองในใจว่ามาที่นี่เพื่ออะไร

“ผิดแผนไปกันใหญ่แล้ว อย่าได้คิดไปสนิทสนมจริงจังกับหมอนั่นเชียวนะ...” เขาพูดกับตัวเอง เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินเอื่อยเฉื่อยไปตามโถงทางเดิน

สองชั่วโมงผ่านไป

แม้จะไม่อยากเจอหน้าพ่อครัวตัวดีเท่าไหร่ แต่ท้องว่างๆ นี้กำลังนึกถึงอาหารชั้นเลิศที่รออยู่จนเท้าพาตัวเองมาหยุดที่หน้าห้องครัวอีกแล้ว

“เสร็จแล้วครับ กำลังคิดว่าจะไปเรียกอยู่พอดีเชียว” ชเนย์ยิ้มให้เมื่อเห็นอเวเค่นเดินเข้ามา โต๊ะกลางห้องครัวถูกจัดให้เป็นระเบียบกว่าปกติเพื่อให้นั่งทานได้สะดวก “เชิญคร้าบ~”

อเวเค่นเดินตรงมานั่งบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ก่อนจะนั่งลง

“ไม่คิดว่าคุณจะบ้าจี้ทำฟูลคอร์สตามที่ขอจริงๆ นะ จะเรียกว่ามีสปิริตดีมั้ย?”

เอ่ยชมแถมจิกกัดพ่อครัวไปหนึ่งที ชเนย์หัวเราะและเสิร์ฟจานแรกลงตรงหน้าชายหนุ่มทีละอย่างตามลำดับ ครั้งนี้ใช้ฟูลคอร์สเต็มสูบทั้ง 12 คอร์ส

“แฮมแคนตาลูปครีมชีสแอปเปิ้ลมายองเนสครับ” เริ่มจากค็อกเทลฟู้ดขนาดพอดีคำแฮมที่ม้วนอยู่ใต้ก้อนแคนตาลูปกลมๆ ชิ้นเล็กราดด้วยซอสรสแปลกสามถึงสี่ไม้วางลงมาก่อน แค่นี้ก็ทำเอาอเวเค่นสีหน้าเปลี่ยนแล้ว จานที่วางถัดๆ กันมานั้นมีเพียงช้อนๆ เดียววางไว้ แต่ในช้อนพูนไปด้วยไข่มุกสีดำแวววาว

“คาเวียร์ครับ” ไข่ปลาสเตอร์เจี้ยนล้ำค่าจากทะเลดำที่เรียกกันติดปากว่าคาเวียร์ ราดด้วยว้อดก้าจนส่องประกายเมื่อโดนแสง

ปกติอเวเค่นมักจะทานเร็วจนเป็นนิสัยติดตัว แต่คราวนี้เขาใช้เวลาละเลียดลิ้มรสชาติอาหารชั้นเลิศที่ชเนย์บรรจงทำขึ้นมาทีละจานอย่างตั้งใจ รสชาติของแฮมกับแคนตาลูปที่เข้ากันได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ ซอสที่แตกต่างกันทำให้เกิดความหลากหลายของรสชาติในทุกคำที่ได้ทาน และเมื่ออาหารจานต่อมาถูกส่งเข้าปาก เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปลาสเตอร์เจี้ยนที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบว้อดก้า

กลายเป็นรายการชิมอาหารเหมือนรายการเชฟกระทะเหล็กไปตั้งแต่เมื่อไหร่...

เมื่อสองจานแรกหมดไปชเนย์ยกจานว่างเปล่าทั้งสองออกและแทนที่ด้วยสลัดไข่ราดน้ำมะกอกที่ดูธรรมดาแต่เมื่อเข้าปากไปกลับช่วยตัดความฝืดเค็มที่ปลายลิ้นของคาเวียร์ได้พอดีและต่อด้วยซุปสองชนิด ซึ่งซุปข้นครีมข้าวโพดอันคุ้นตาในถ้วยใบน้อยถูกเสิร์ฟมาก่อน และตามด้วยซุปคอนซูเม่ใสที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางสารอาหาร

“เมื่อวานน่าจะเหนื่อยมาทั้งวัน ต้องบำรุงหน่อยนะครับ” แอบหยอกด้วยคำพูดอย่างเอ็นดู แม้จะทำเป็นสนใจอาหารมากกว่าคนทำ แต่คำพูดนั้นทำเอาคนกินชะงักมือที่กำลังจะตักซุปเข้าปากค้างไปครู่หนึ่ง ทว่าชเนย์ก็แอบสังเกตเห็นอยู่ดี

อเวเค่นจัดการซุปทั้งสองด้วยเร็วกว่าสองจานแรกเล็กน้อยเพราะอยากทานจานหลักเร็วๆ จนซุปเลอะมุมปากอีกคน

“ทานช้าๆ ก็ได้ครับไม่ต้องรีบร้อน” หยิบผ้าเช็ดปากยื่นส่งให้ อเวเค่นรับมาเช็ดและวางช้อนตักซุปลง ชเนย์เก็บถ้วยและเสิร์ฟอาหารลำดับต่อไป เห็นภาพเมื่อกี้แล้วก็อยากแกล้งเอามือไปเช็ดปากให้อยู่หรอก แต่กลัวว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายจะระแวงเขาอีกน่ะสิ

“ปาป่าว วาวา อยี๋ ครับ” ถัดมาคือเมนูปลา นั่นแปลว่าอีกไม่กี่จานก็จานหลักที่เขารอคอย จานนี้เป็นเมนูออกทางจีน ปลาวาวาสุดแพงและขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณรักษาโรคบำรุงร่างกายมากมาย ทำให้อเวเค่นแอบคิดว่ากำลังโดนแซวทางอ้อมอีกแล้ว

หนุ่มผมแดงแอบจิกสายตาใส่พ่อครัวที่หันมายักคิ้วพลางยิ้มยั่วโมโหให้คนทาน จานปลาเลยโดนสำเร็จโทษแทนคนปรุงด้วยการถูกกินเข้าไปอย่างดุดันแทนการละเลียดกินซึ่งผิดธรรมเนียมการทานฉบับฟูลคอร์สขึ้นทุกที แต่ชเนย์ก็ไม่ถือเรื่องวิธีรับประทานอาหารของคนตรงหน้าหรอก ออกจะสนุกที่ได้ดูปฏิกิริยาคนโดนหยอกซะมากกว่า

“เพนเน่ อัลเฟรโด้ครับ” พาสต้าแบบหลอดหน้าตาคล้ายขนมราดด้วยซอสสีขาวเป็นจานถัดไป รสหนักข้นของมันทำเอาสติแทบเตลิดไปกับรสชาติล้ำลึก แต่ออกเลี่ยนนิดหน่อย ดีทีปริมาณต่อจานไม่เยอะมาก ไม่งั้นคงกินไม่หมดแน่นอน ชเนย์ตัดเลี่ยนให้ด้วยซอร์เบต์ถ้วยจิ๋วให้ล้างปากและไปเตรียมจานหลักมาให้

“สเต็กอกเป็ดซอสเชอร์รี่ครับ” หนึ่งในจานหลักวางลงมาตรงหน้าอเวเค่น ส่วนอกเป็ดเนื้อแน่นโดนอบจนนุ่มราดซอสรสเปรี้ยวนิดหวานหน่อยสีแดงและตกแต่งสวยงาม คราวนี้อเวเค่นโดนความเย้ายวนของสเต็กเบนความสนใจไปจากพ่อครัวจนหมด มีดและส้อมถูกหยิบขึ้นมาเป็นอาวุธที่พร้อมจะจัดการเป้าหมายที่แสนน่าอร่อยให้เรียบแล้ว

แต่พ่อครัวกลับดึงจานหลักออกทำให้ส้อมวืดจากเป้าหมายไปจิ้มผ้าปูโต๊ะแทน

“เผลอทำซอสเลอะขอบจานจนได้ สงสัยผมจะรีบร้อนทำไปหน่อย อ่ะนี่ครับเชิญทานต่อได้เลย”

ถึงจะแอบค้อนที่โดนแกล้งต่อเนื่อง แต่ด้วยความน่ากินของอาหารตรงหน้ากลับทำให้เขาลืมความหงุดหงิดเมื่อครู่จนเกลี้ยง อเวเค่นค่อยละเลียดเนื้อเป็ดชุ่มซอสเข้าปาก สีหน้าพอใจจนเก็บไม่อยู่ทำเอาชเนย์เผลออมยิ้มตาม เหตุผลที่เขาชอบทำอาหารก็เพราะชอบเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขจากสิ่งที่เขาทำนี่แหละ

จานต่อไปตามมาติดๆ เมื่ออเวเค่นจัดการเช็ดปากของตน

“สเต็กสันในราดซอสครีมเห็ดครับ” จานหลักที่รอคอยมาถึง แม้ชื่อจะบอกว่าซอสครีมเห็ด แต่กลิ่นที่ลอยมาแตะจมูกกลับปะปนด้วยแอลกอฮอล์อันคุ้นเคย

“เนื้อเกรด A5 ดีที่สุดเท่าที่หาได้ หมักให้นุ่มด้วยไวน์แดงและย่างพร้อมกับราดมะกอกต่อเนื่อง ก่อนยกขึ้นจานและราดด้วยซอสครีมเห็ดครับ” เสียงซู่ซ่าของเนื้อบนกระทะเสิร์ฟร้อนๆ ยิ่งชวนน้ำลายสอ ดวงตาสีทองเป็นประกายเห็นได้ชัดจนไม่รู้สึกว่าเป็นบุคคลอันตรายสักนิด ทั้งๆ ที่กินไปตั้งหลายจานแต่เหมือนกระเพาะจะไม่ถูกเติมเต็มง่ายๆ เนื้อชั้นดีที่ถูกปรุงมาอย่างดีเช่นกันถูกตัดพอดีคำ และทันทีที่ส่งเข้าปากความชุ่มฉ่ำของเนื้อเกรด A5 ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีก็ทำให้คนทานถึงกับหลุดปากเอ่ยชมว่าอร่อยออกมาได้ในที่สุด

“ทานมาตั้งหลายจานในที่สุดก็ยอมชมฝีมือผมจนได้นะครับ” ชเนย์ยิ้มอย่างพอใจ

แม้จะได้ยินคำบ่นๆ เหมือนพยายามจะแก้ต่างแก้ตัวเรื่องที่ชมไป แต่อเวเค่นก็ยังไม่ยอมหยุดกินสเต็กจานนั้น ปริมาณที่ไม่มากเกินไปทำให้ถูกกินหมดไปในเวลาไม่นาน ชเนย์รอให้นักฆ่าหนุ่มเคลิ้มไปกับรสชาติไร้ที่ตินั้นสักพัก

“ของหวานเลยนะครับ?”

“...อื้อ” เหมือนสติของอเวเค่นเพิ่งจะกลับมาจึงรีบพยักหน้าตอบ

“โดโบส ทอร์ทาครับ” พ่อครัวเดินไปหยิบจานเค้กน่ารักจานหนึ่งเดินมา เค้กฟองน้ำทาทาบด้วยครีมเนยช็อกโกแลตสับหว่างถี่ๆ ชิ้นน้อยวางลงตรงหน้า เสิร์ฟคู่ไอศกรีมรสเชอร์รี่ตัดกันลงตัวพอดี

“สุดท้ายนี้ ชามิ้นท์ร่วมกับ petit four นะครับ” ชากลิ่นหอมเย็นถูกยกมาพร้อมกับเค้กชิ้นเล็กพอดีคำรูปร่างน่ารักต่างกันไปทั้งสิ้นสี่ชิ้น แต่ละชิ้นคือชั้นขนมปังบางเรียบทาด้วยซอสราสเบอร์รี่ขั้นไว้เป็นชั้นๆ เป็นการปิดท้ายที่เรียบง่ายและทิ้งกลิ่นหอมโหยให้ชวนคิดถึง

“หวังว่าจะถูกปากนะครับ?” ชเนย์ยิ้มกว้างให้อีกคนแม้จะดูไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่ก็ออกมาดีมั้ง

รายการของหวานปิดท้ายถูกเสิร์ฟจนครบ แม้อีกฝ่ายดูจะไม่มีท่าทีสนใจพวกของหวานมากนัก แต่อเวเค่นก็ไม่ทำให้พ่อครัวชเนย์ผิดหวัง ทั้งเค้กทั้งชาและขนมปังหรือแม้กระทั่งไอศกรีมก็ถูกทานจนหมดไม่มีเหลือ

ถือว่าทำผลงานได้ประทับใจอีกฝ่ายรึเปล่านะ

“ชเนย์...”

“อะไรเหรอครับ?”

“...คุณน่าจะไปสมัครเป็นเชฟที่ภัตตาคารที่ไหนสักแห่งมากกว่าจะมาขลุกอยู่ที่นี่ซะอีกนะ”

หลังจากปล่อยให้บรรยากาศเงียบมาสักพักจนเผลอคิดว่าอีกฝ่ายคงหลับคาโต๊ะอาหารไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ออกมาจากปากนักชิมและเป็นครั้งแรกที่ได้ยินอีกฝ่ายยอมเรียกชื่อจริง ทำเอาเจ้าของชื่ออดที่จะอึ้งนิดๆ ไม่ได้

“...ขอบคุณนะครับ” โดนชมตรงๆ แบบนี้ก็เกิดอาการประหม่าเล็กน้อย

“แต่ก็ดีแล้วล่ะที่คุณอยู่ที่นี่...”

“เอ๊ะ?”

“ไม่มีอะไร ขอบคุณสำหรับมื้ออาหารแสนวิเศษนะ” อเวเค่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขายาวเร่งก้าวเร็วกว่าจังหวะการเดินตามปกติ ทิ้งให้พ่อครัวหนุ่มยืนอึ้งต่อ

เพราะมัวแต่อึ้งเลยลืมไปเลยว่าจะให้อีกฝ่ายมาล้างจานกองพะเนินเป็นค่าทำอาหาร ชเนย์ถอนหายใจสบถเบาๆ ว่าพลาดแล้ว คนกินก็เดินตัวปลิวไปไกล ทว่าแค่ครู่เดียวอเวเค่นก็เดินจ้ำอ้าวกลับมาแบบงงๆ

“เอาของของผมคืนมาได้แล้ว” พยายามปั้นหน้าเป็นปกติและทวงของคืน แต่ถึงสีหน้าจะเป็นปกติแค่ไหน ก็ยังเห็นใบหูเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ

สีหน้าของอีกฝ่ายดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะอยากแกล้งต่อแต่ก็ต้องทำตามสัญญาอยู่ดี ระหว่างความคิดสองขั้วกำลังตบตีกันอยู่นั้นชเนย์เผลอจ้องอีกฝ่ายมากไปหรืออะไรไม่ทราบ แต่อเวเค่นดูอยู่ไม่สุขและเริ่มเก็บสีหน้าไม่อยู่

“อย่าผิดสัญญาสิ!” หนุ่มตัวเล็กกว่าแผดเสียงใส่

“เปล่าๆ คือ...ขอพักแป๊ปหนึ่งสิครับ” สิ้นประโยคก็เหมือนขาสองข้างมันอ่อนแรงซะดื้อๆ ชเนย์ทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงซะตอนนั้นราวกับฟ้ากลั่นแกล้ง “ยืนทำมาตั้งแต่เช้ามืดยังไม่ได้พักเลย”

“คุณโอเคมั้ย?” อเวเค่นที่ตอนนี้ทำหน้าบอกไม่ถูกยื่นมือไปแตะไหล่คนที่นั่งพับกับพื้น มือใหญ่ยื่นมาบีบมือคนปลอบเบาๆ พร้อมเงยหน้าขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายจนอเวเค่นคิดว่าจับนานไปแล้วนะ

“ผมคงไปเอาของให้ไม่ได้ถ้ายังเคลียร์จานในซิงค์ไม่เสร็จ” อเวเค่นหันไปทางอ่างล้างจาน ที่พูดได้เต็มปากเลยว่างานช้าง ชายหนุ่มผมแดงถอนหายใจก่อนพยุงคนตัวใหญ่กว่ามานั่งพักเอนหลังที่เก้าอี้ ก่อนจะถอดสูทตัวนอกออกแล้ววางไว้แถวๆ นั้น ถลกแขนเสื้อขึ้นพับถึงข้อศอกแล้วเดินตรงไปที่ซิงค์

ชเนย์มองดูอีกคนยืนล้างจานด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แถมหวิดจะทำจานหลุดมือตกพื้นให้เสียวไส้หลายรอบ

เข้าไปช่วยดีกว่ามั้ยเนี่ย... ถ้าทำจานแตกคงไม่ทำให้หมดสิทธิ์แข่งหรอกมั้ง แต่กันไว้ก่อนคงจะดีกว่า

“ขอบคุณที่ช่วยครับ แต่ผมทำต่อเองก็ได้” พอพักให้ขาพอจะมีแรงบ้างแล้วจึงลุกไปที่อ่างล้างจาน

อเวเค่นหันมามองหน้านิ่งเชิงถามว่าไหวแน่แล้วหรือ แต่พอเห็นหน้าอีกคนแล้วชเนย์เผลอนึกถึงตอนที่โดนเรียกชื่อเมื่อครู่จึงเบนสายตาไปทางอื่น เขินอยู่บ้างที่จู่ๆ ก็ไม่โดนกวนใส่แล้ว แต่แบบนี้ก็ออกจะแปลกไปนิด