เวลาเดินเร็วราวกับจะเร่งให้รุ่งเช้าอันแสนสำคัญรีบมาถึงโดยไว

แม้กระนั้นทั้งตัวปราสาท โถงรวมผล หรือแม้แต่ผืนน้ำด้านนอกไปจนกระทั่งเมืองเซฟิลที่จะเป็นสนามรบก็เงียบสงัดเหมือนท้องทะเลก่อนพายุโหม

เจ้านรกนั่งอยู่กับไคม์เพียงสองคนที่ห้องอาหาร เหล่าปีศาจชั้นสูงที่อยู่ใต้อาณัติของเขาได้ปรี่ไปเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง ทว่า แม้จะไร้เงาของสมาชิกคนอื่นๆ แต่อาหารบนโต๊ะกลับมากมายกว่าวันไหนๆ ที่ผ่านมา

ซาชิมิจากวัตถุดิบชั้นเลิศที่คนทั่วไปไม่มีทางจะได้ลิ้มรส ปูจักรพรรดิที่แค่นึ่งก็เพียงพอต่อการเป็นอาหารชั้นหนึ่ง สลัดไข่โรยด้วยคาเวียร์ และอีกหลายเมนูที่ดูราวจะจงใจเรียงรายมาเหมือนตั้งใจจะมอบแด่ราชาในวันประกาศชัยชนะ ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดดึงดูดใจท่านเจ้าได้เท่ากับแจกันใสทรงสูงที่มีดอกเบญจมาศสีขาวปักอยู่อย่างเดียวดาย

“ความหมายของดอกไม้คือความภักดีครับ” ไคม์พูดทำลายความเงียบหลังจากที่กลืนอาหารลงคอไป “เผื่อว่าใต้เท้าอยากจะรู้”

แววตาของเจ้านรกฉายแวววูบไหวเพียงชั่วขณะ ซึ่งแน่นอนว่าทุกการกระทำของนายเหนือหัวอยู่ในสายตาของไคม์ตลอดเวลา ร่างสูงใหญ่ละสายตาออกจากดอกไม้ที่กลางโต๊ะอาหารเพื่อจัดการทานให้อิ่มท้องก่อนที่จะเริ่มต้นเทศกาลนองเลือดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

“จะให้ข้าปรับเปลี่ยนกฎอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?”

“ไม่ต้อง” เจ้านรกกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเหมือนที่ผ่านๆ มา “เจ้านั่นก็เป็นแค่หมากเบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”

“แต่เป็นตัวหมากที่จะไม่มีวันทรยศท่านอย่างแน่นอนนะครับ” คำพูดของไคม์ได้ไปสะกิดความเคลือบแคลงใจบางอย่างของเจ้านรก ทว่าก็ไม่มีเค้าลางของความสงสัยที่เจ้าตัวแสดงออกมา

ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น แต่ในทางกลับกันราชาแห่งนรกภูมิก็กระตุกยิ้มออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“ถ้าให้สิทธิ์เจ้านั่นมากกว่าคนอื่นไปมันจะสนุกอะไรล่ะ จริงมั้ย?”

 

*

 

“จะลงแข่งอยู่แล้วยังไม่ยอมออกมาทานอะไรรองท้องอีก”

ชเนย์ลอบถอนหายใจเพียงลำพังในครัวหลังจากปีศาจรับใช้มาเข็นอาหารเช้าออกไป ช่วงวันสองวันมานี้อเวเค่นขังตัวเองอยู่แต่ในห้องไม่ยอมโผล่หน้าออกมา ทีแรกก็คิดว่าจะปล่อยไปสักพักจนกว่าคนคนนั้นจะอารมณ์ดีขึ้นเอง

ทั้งๆ ที่คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแต่สุดท้ายก็กลับมีเรื่องให้กังวลจนนั่งไม่ติด นั่นเพราะวันนี้เป็นวันเปิดศึก ทว่านักฆ่าผมแดงคนนั้นกลับไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา

นี่ใจคอคิดจะอดข้าวประชดกันหรือไง

เมื่อความอดทนมาถึงขีดสุด ชเนย์จึงยกเอาถาดอาหารเดินบุกเข้าไปยังห้องพักของอเวเค่น พร้อมอาวุธลับคือกุญแจห้องที่ไปขอมาจากพ่อบ้านปีศาจ

เขาไขกุญแจเข้ามาและแอบชะเง้อมองคนที่นอนพลิกตัวหันข้างไปอีกทาง ดูท่าจะหลับลึกพอสมควรถึงไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีคนลอบเข้ามาในห้องนอน ถึงจะรู้สึกผิดนิดๆ ที่บุกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ที่ทำก็เพราะกลัวเจ้าของห้องจะหิวตายก่อนแข่งมากกว่า กองทัพน่ะมันต้องเดินด้วยท้องสิ

ทว่าก่อนที่ชเนย์จะวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ดวงตาหลังกรอบแว่นสีเข้มก็บังเอิญสังเกตเห็นซองยาปริศนาที่วางอยู่ก่อน เมื่อลองอ่านฉลากถึงรู้ว่าเป็นยาแก้อักเสบและยานอนหลับ

บ้าจริง นี่เขาป่วยอยู่เหรอเนี่ย แล้วทำไมถึงอุบเงียบไว้ล่ะ ชเนย์สบถกับตัวเอง บางทีเป็นเพราะสาเหตุนี้เองที่ทำให้อเวเค่นไม่ยอมออกจากห้องมาที่ครัวเลย

“อเวเค่น ตื่นมากินอะไรสักหน่อยเถอะครับ” ชเนย์นั่งลงข้างเตียงแล้วเอื้อมมือไปหาร่างที่นอนนิ่ง ทว่าเมื่อมือของเขาจับลงบนตัวอีกคน จู่ๆ ร่างที่นอนนิ่งก็ดึงแขนเขาไว้ก่อนที่มีดเล็บเหยี่ยวสีดำสนิทจะพุ่งตรงเข้าหาลำคอของเขา

“ชเนย์!? คุณมาทำอะไรที่นี่?” นับว่ายังโชคดีที่อเวเค่นหยุดมือก่อนที่ปลายมีดแหลมคมจะได้ทันเฉือนคอหอยของคนที่มาปลุก

“จิตสังหารรุนแรงจังเลยนะครับ ปกติคุณระวังตัวแจขนาดนี้เลยเหรอ?” ชเนย์นิ่งค้างเพราะมีดที่กดบนคอฝังคมเขี้ยวลงกับเนื้อบริเวณเส้นเลือดใหญ่ กลิ่นคาวเลือดทำให้รู้ว่าหยาดน้ำสีแดงเข้มกำลังไหลรินจากคอของเขาทีละนิด

“คุณเข้ามาได้ยังไงน่ะ?” อเวเค่นรีบชักมีดกลับและเก็บเข้าที่ซ่อนโดยไว

“ผมก็ไปขอกุญแจสำรองมาน่ะสิครับ คุณนั่นแหละทำไมถึงไม่บอกว่าป่วยอยู่” ร่างสูงโปร่งก้มลงหยิบเม็ดยาที่กระเป๋าข้างซ้ายตัวเองขึ้นมาสองสามเม็ดก่อนจะกลืนมันลงไป

“...สภาพเป็นอย่างนี้แล้วคิดว่าผมจะมีแรงลุกไปบอกคุณมั้ยล่ะ” ชายหนุ่มนักฆ่าจ้องมองบาดแผลที่คอค่อยๆ สมานตัวกันอย่างน่าอัศจรรย์ “ว้าว! มียาดีอยู่ด้วยนี่นา”

“แล้วนี่คุณหายดีหรือยังล่ะครับ?”

“อืม...ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว”

“ถึงจะอาการดีขึ้นแล้วแต่คราวหน้าคราวหลังอย่าเอายามากินเองแบบนี้สิครับ เกิดกระเพาะเป็นแผลขึ้นมาจะทำยังไง” คนเทศนากลายร่างจากพ่อครัวเป็นคุณหมอที่กำลังตำหนิคนไข้ในทันที แถมยังทำท่าเหมือนกำลังจะโวยวายต่อด้วย

“...เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องบ่นเลย” หลังจากโดนร่ายยาวไปชุดหนึ่ง อเวเค่นก็ทำเสียงอ่อนและเบือนหน้าหลบสายตาของพ่อครัว “มาปลุกผมถึงห้องมีอะไรรึเปล่า หรือว่าการแข่งเริ่มแล้ว?”

“ยังครับ แต่ได้ยินว่าท่านเจ้านรกให้คนส่งจดหมายไปเชิญเจ้าเมืองเซฟิลมาตกลงกติกาการแข่งร่วมกัน อีกเดี๋ยวทางนั้นก็คงจะเดินทางมาถึงปราสาท” ชเนย์พูดพลางเอาหลังมือแตะหลังหน้าผากอเวเค่น “ไม่มีไข้สินะครับ”

“...อย่าเข้ามาใกล้ผมนักสิ ทำแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ผมจะตัดใจจากคุณได้สักที” ชายหนุ่มผมแดงผละตัวออกมาจากมืออุ่น

“อา...ขอโทษครับ มันเผลอไปหน่อย” ชเนย์ที่เพิ่งจะรู้ตัวถอยห่างออกมา “ทานข้าวไหวมั้ยครับ? แต่ถึงยังไงก็ต้องทานอะไรรองท้องก่อนแข่งสักหน่อยล่ะนะ”

“ผมหายดีแล้วล่ะน่า เป็นห่วงมากเกินไปแล้ว” อเวเค่นลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะไปล้างหน้าแล้วมานั่งทานอาหาร กระเพาะที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันกลับทำงานได้ดีจนน่าแปลกใจ

หลังจากจัดการอาหารเช้าหมดไปเป็นที่เรียบร้อยก็หันไปเอ่ยแซวพ่อครัว “ช่วงที่ผมไม่ไปกวนใจ ได้สวีทกับท่านเจ้านรกหวานชื่นดีมั้ยล่ะ หืม?”

ชเนย์ยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ “ผมไม่อยากไปรบกวนเขาในช่วงเวลาสำคัญหรอกครับ ส่วนทางนั้นก็แค่แวะมาหาอะไรเติมลงท้องเวลากินไม่อิ่มเท่านั้นเอง”

“งั้นเหรอ...” อเวเค่นค่อยๆ ตักอาหารอีกสองสามจานตรงหน้าเข้าปาก แม้ปริมาณแต่ละจานจะไม่ได้เยอะแต่เมนูที่ทำมาเพื่อเพิ่มความอยากอาหารให้เขานั้นเหมือนคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาควรต้องได้รับสารอาหารแค่ไหน “แล้วทางคุณน่ะไม่เป็นไรแล้วเหรอ?”

“ครับ ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ร่างสูงโปร่งหันไปมองนอกหน้าต่างที่ทิวทัศน์หันไปยังเกาะเซฟิลพอดิบพอดี “ผมเองก็ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะทำให้การแข่งขันนี้สนุกสนานขึ้น”

“สนุกสนานเรอะ?” คนฟังถึงกับตวัดหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย “นึกว่าจะพูดทำนองว่าจะตั้งใจทำภารกิจให้ลุล่วงหรือยืนหยัดเคียงข้างไอ้คุณเจ้านรกจนหยดสุดท้ายอะไรแบบนั้น”

ชเนย์เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะคลี่ยิ้มให้คนป่วยอย่างอ่อนโยน

“คุณเองก็ไม่เห็นความว่างเปล่าในสายตาของเค้าสินะครับ”

“หมายความว่าไงล่ะนั่น มีอะไรที่ผมมองข้ามไปรึไง?”

“อืม...จะมองไม่เห็นก็ไม่ผิดหรอกครับ ก็อย่างว่าแหละ...ผีมันมองเห็นผีด้วยกัน” พ่อครัวเท้าคางลงกับโต๊ะแล้วคีบผักที่โดนอเวเค่นเขี่ยออกมานอกจานกลับไปเพื่อบังคับให้คนป่วยกิน

“แล้วจะให้ผมเอาตาที่ไหนไปมองเจ้านรกได้กันล่ะ”

แค่นี้ก็ไม่มีตาหันไปมองคนอื่นแล้ว ประโยคหลังอเวเค่นไม่ได้กล่าวออกไป

“คุณนี่นะ จวนเจียนจะลงแข่งอยู่แล้วก็ยังดื้อแพ่งกับเค้าไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” ชเนย์ยิ้มอ่อนพลางส่ายหน้า “ทานให้อิ่มนะครับ มื้อนี้ผมลงมือทำสุดฝีมือเลย”

“เพราะอาจเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก็ได้สินะ” ชายหนุ่มนักฆ่าตักชิ้นเนื้อคำสุดท้ายเข้าปากและจบประโยคที่ฟังดูไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก

“คุณเคยสัญญากับผมไว้แล้ว หวังว่าคงไม่แกล้งลืมหรอกนะ” พ่อครัวหนุ่มท้วงเรื่องที่คนตรงหน้าเกี่ยวก้อยสัญญาไปก่อนหน้านี้

“อะไรๆ ก็ไม่แน่นอนนี่ แต่ถ้ารอดมาได้ไว้มาดื่มฉลองกันอีกนะ” อเวเค่นยกแก้วน้ำขึ้นแล้วเอาไปชนกับเหยือกน้ำเหมือนเวลาที่ชนแก้ว

“ฮะๆ ๆ อีกแล้วเหรอ แต่เอางั้นก็ได้ครับ” ชเนย์กอดอกแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะรวบจานทั้งหมดเก็บเข้าที่ “อีกไม่กี่ชั่วโมงท่านเจ้านรกคงจะเริ่มเจรจากับเจ้าเมืองนั้นแล้ว ผมว่าคุณเตรียมตัวไว้เลยดีกว่านะ”

เมื่อจานเปล่าทั้งหมดถูกเก็บซ้อนอย่างดีแล้วชเนย์ก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ประตู “แล้วอย่าลืมมากินอาหารว่างก่อนเที่ยงด้วยล่ะ”

“ยังจะมีเวลามาทำให้กินอยู่อีกเหรอ?” อเวเค่นยันตัวเองขึ้นนั่งมองร่างสูงโปร่งที่กำลังจะออกจากห้องของเขาไป

“ผมทำเตรียมเอาไว้แล้วต่างหากครับ” พ่อครัวผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่แม้เป็นแค่งานเฉพาะกิจช่วงสั้นๆ หันมายิ้มกว้างให้ราวกับแค่จะออกไปเดินเล่นรับลมเท่านั้น “จะว่าไปแล้วคุณป่วยเป็นอะไรเหรอครับ?”

“ก็...แค่แผลฉีกนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”

เอ่ยแค่นั้นโดยไม่ได้ระบุเจาะจงชัดว่าเป็นแผลที่ไหน นักฆ่าหนุ่มฉีกเอาเม็ดยามากินอีกครั้งแล้วทิ้งซองเปล่าลงถังขยะ

“ไปได้แผลมาจากไหนเหรอครับ? คุณก็ไม่ได้ออกไปไหนนี่” คนเคยเป็นหมอถามไถ่สาเหตุจากคนป่วย แต่อเวเค่นนอกจากจะไม่ตอบแล้วยังคลานขึ้นเตียงไปนอนต่อสบายใจเฉิบอีก

“ถึงเวลาแล้วปลุกด้วยล่ะ” ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงจนมิด ทำเอาพ่อครัวได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับปิดประตูล็อคกุญแจให้เสร็จสรรพ

นักฆ่าหนุ่มโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มหลังเสียงฝีเท้าของพ่อครัวเดินจากไปแล้ว ดวงตาสีทองเย็นยะเยือกมองมีดในมือของตนที่มีคราบเลือดของอีกคนติดอยู่ ก่อนที่ปลายลิ้นจะแลบเลียไปตามแนวความคมจนมีดคู่ใจปราศจากรอยเปื้อนใดๆ

 

*

 

อเวเค่นยืนมองภาพปราสาทเจ้านรกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ขาทั้งสองจะก้าวเข้าสู่สนามการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ในการแข่งที่อาจเรียกได้ว่าเอาชีวิตมาทิ้งอย่างสูญเปล่า

แต่หากโชคดีรอดไปได้จริงๆ ก็คงจะมีอนาคตที่ดีรอเขาอยู่

อิสรภาพที่เขาจะได้รับนั้น แม้แต่ตัวอเวเค่นเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นเส้นทางไหน ระหว่างการได้มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยแบกรับบาปที่เคยทำมาเอาไว้ หรือปลดปล่อยจิตวิญญาณของตนด้วยการดับสูญไปจากโลกนี้

 

*

 

ชเนย์เก็บถาดและจานทั้งหมดเข้าที่พักจานหลังจากล้างจนสะอาดเอี่ยม มองนาฬิกาที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เที่ยงแล้วถอนหายใจ หน้าที่ในฐานะพ่อครัวคงจบลงแต่เพียงเท่านี้..

“คงหมดแล้วมั้ง?” สำรวจความเรียบร้อยของห้องที่ใช้ต่างห้องนั่งเล่นมานานวันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนประตูห้องครัวจะปิดลง

ร่างสูงโปร่งเดินไปตามทางเชื่อมปราสาท ปกติจะมีอาหารหรือเครื่องดื่มสักอย่างติดมืออยู่ตลอด บัดนี้มีอาวุธคู่กายสวมไว้แทนที่ สองเท้าก้าวไปตามทางเดินเงียบสนิท น่าแปลกใจที่ใกล้จะถึงเวลาตัดสินแล้ว แต่ผู้คนกลับยิ่งห่างหายตัวตนจากกันและกัน

“อย่างกับปราสาทร้างเลยล่ะครับ” ชเนย์มาหยุดที่หน้าห้องบัลลังก์ที่มีเพียงเจ้านรกนั่งรอเวลาอยู่เพียงลำพัง “คุณไคม์ไม่อยู่เหรอ?”

“ไปเตรียมการน่ะ ส่วนข้ากำลังรอเจ้าเมืองเซฟิลอยู่” เจ้านรกแสยะยิ้มน่าสงสัยพลางเท้าคางจดจ้องออกไปยังทะเลสงบเงียบ

“...ผมกลัวว่าจะไม่มีโอกาส เลยว่าจะมากล่าวลาไว้ก่อน” มนุษย์ผู้ไม่เกรงกลัวต่อตำแหน่งของบุคคลเบื้องหน้าเดินเข้ามาหาและหยุดอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ของอีกฝ่าย

“ทำตัวบ้าบิ่นแบบนี้เป็นด้วยรึ?” เจ้าของปราสาทพลันนึกถึงนักฆ่าอวดดีที่กล้ากระทำตัวคล้ายๆ กันแบบนี้ แต่กับชเนย์เขาไม่รู้สึกถึงความท้าทายในอำนาจดั่งเช่นคนก่อนหน้า

พ่อครัวชั่วคราวที่บัดนี้แปรเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นทหารสงครามผายมือมาด้านหน้าและค้อมตัวลง เจ้านรกเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ทราบจุดประสงค์ทันทีก่อนจะยื่นมือของตนไปให้

“หากการแข่งครั้งนี้จบลง แล้วคุณยังคิดจะทำตามความต้องการนั้นจริงๆ ผมก็จะขอยอมรับการตัดสินใจของคุณ” ชเนย์ก้มลงจูบบนหลังฝ่ามือหุ้มเกราะนั้นอย่างบรรจง “แต่หากว่าสักวัน...”

ผู้ครองนรกมองกลับมาและรอฟังคำพูดที่อีกฝ่ายจะเอื้อนเอ่ย

“ถ้าสักวันเรามีโอกาสได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง ผมจะไม่ปล่อยมือนี้ไปแล้วนะครับ”

“...ข้าไม่ค่อยชอบเรื่องน้ำเน่า แต่กับเจ้า...ข้าจะปล่อยไปสักครั้งแล้วกัน” ถึงจะพูดแบบนั้น ทว่ามือหนาที่วางอยู่บนฝ่ามือของอีกคนกลับกุมแน่น ใบหน้าคมเอียงซบกับฝ่ามือข้างที่วางเท้าคางไว้ราวกับกำลังแอบซ่อนความเขินนั้นช่างน่าเอ็นดูในสายตาของชเนย์

“แหะๆ ส่วนของว่างน่ะผมเก็บไว้ในตู้เย็นนะครับ ระหว่างที่นั่งรอถ้าเกิดท้องหิวจะได้ลุกไปกินได้ทุกเมื่อ” ชเนย์เก็บซ่อนแววตาเศร้าสร้อยไปกับเปลือกตาที่ปิดลงพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ส่งไปให้เจ้านรก

“เจ้าจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้วยังจะสนใจปากท้องคนอื่นอีก!”

“แหม ไหนๆ ก็ทำเผื่อไว้แล้วมันน่าเสียดายนี่ครับ” ชเนย์ถอยออกมายืนเว้นระยะห่างๆ ด้วยเกรงจะมีใครเข้ามาเห็น

“...ไว้เจรจาเสร็จแล้วข้าจะกลับมากิน” เสียงทุ้มทรงอำนาจเบาลงเล็กน้อย

“ถ้าจบการแข่งขันแล้วฝ่ายเราชนะ ผมตั้งใจว่าจะทำฟูลคอร์สชุดใหญ่เลี้ยงฉลองล่ะครับ!” พ่อครัวหนุ่มทำหน้าระริกระรี้พลางนึกถึงเมนูมากมายที่เรียงรายเต็มโต๊ะตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน

“...แล้วข้าจะรอกินนะ”

“ครับ...”

สองเสียงต่างโทนเบาลงจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ เป็นครั้งแรกที่ดวงตาของทั้งสองจ้องมองกันโดยไร้ซึ่งการปิดบังความรู้สึกใดๆ ก่อนที่รอยยิ้มปลอบโยนของแต่ละคนจะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า เพียงครู่เดียวทหารผู้ซื่อสัตย์ในนามของตัวแทนฝั่งเจ้านรกก็โค้งคำนับและผละตัวออกจากห้องบัลลังก์ และเตรียมก้าวสู่การต่อสู้อย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรงต่อความตาย

ถ้าเจ้าอยากเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ต้องรอดมาเห็นมันด้วยตาของตัวเอง

หากอยากรู้มากนักว่าข้าจะพอใจกับสิ่งที่เจ้าทำลงไปหรือไม่ก็จงอย่าตายซะล่ะ…ชเนย์